-
*มีศัพท์เฉพาะเกี่ยวกับภาพยนตร์
-
สวัสดีครับ ผม Tony Zhou
และนี่คือ Every Frame a Painting
-
วันนี้ผมจะมาพูดถึง
ยอดผู้กำกับคนนึงในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา
-
เขาคือ "ซาโตชิ คง"
-
เชื่อว่าแม้คุณจะไม่เคยรู้จักเขา
ก็ต้องเคยผ่านตางานภาพของเขามาแล้ว
-
เขาเป็นผู้กำกับที่เป็นแรงบันดลางใจของ
Darren Aronovsky และ Christopher Nolan
-
และมีกลุ่มแฟนเหนียวแน่น ซึ่งน่าจะรวมถึงทุกๆคน
ที่ชอบงานอนิเมชั่น
-
ในช่วงปี 1997 -2007
เขาสร้างหนังไป 4 เรื่องและทีวีซีรีส์ 1 เรื่อง
-
และมัน เจ๋งมากทุกเรื่อง
-
ทุกเรื่อง จะเกี่ยวกับการที่มนุษย์ยุคใหม่ทุกๆคน
ต้องต่อสู้ในการใช้ชีวิตที่มีหลายบทบาท
-
ชีวิตส่วนตัว - ชีวิตสาธารณะ, บนจอ - นอกจอ,
ตอนตื่น - ตอนฝัน
-
ถ้าเคยดูจะสังเกตเห็นการเบลอร์เส้นแบ่ง
ระหว่างความจริงและจินตนาการเข้าด้วยกันอยู่เสมอ
-
แต่วันนี้ ผมจะมาโฟกัสเรื่องสำคัญ
ความยอดเยี่ยมในการตัดต่อหนังของเขา
-
ในฐานะที่เป็นคนตัดต่อ
ผมมักจะมองหาวิธีการใหม่ๆเสมอ
-
โดยเฉพาะการเล่าจากมุมที่เล่าไม่ได้ในโลกการแสดงจริง
-
คง คือหนึ่งในคนที่เชี่ยวชาญที่สุดในเรื่องนี้
-
อย่างนึงที่เป็นลายเซนต์คือวิธีเชื่อมต่อซีนของเขา
-
ผมเคยเล่าไว้ว่า Edgar Wright ใช้วิธีนี้เพื่อความตลก
-
--Scott!
--What?
-
ซึ่งเป็นสิ่งที่เห็นได้บ่อยใน เดอะ ซิมป์สัน
-
และงานของ บัสเตอร์ คีตัน
-
แต่ คง ต่างออกไป
-
แรงบันดาลใจของเขามาจากหนังอย่าง
-
Slaughterhouse-Five
ของ George Roy Hill
-
--I can always tell, you know,
when you've been time-tripping
-
มันมักใช้ในหนังไซไฟ เช่น งานของ Philip K Dick
-
และ Terry Gilliam
-
แต่ คง ทำให้ไอเดียแบบนี้ไปไกลกว่าเดิม
-
Slaughterhouse-Five ใช้การเชื่อมซีนหลักๆอยู่ 3 แบบ
-
1. การแมทช์คัท
-
2. การซ้อนภาพแบบที่เหมือนกัน
-
3. การตัดสลับระหว่างสองห้วงเวลาที่เราเรื่องเดียวกัน
-
คง ใช้วิธีการเหล่านี้ทั้งหมด
-
แต่เขายังใช้การรีไวด์หนัง,
ข้ามเส้นไปสู่ซีนใหม่,
-
ซูมเอาท์จากจอทีวี,
แทรกเฟรมดำเพื่อจัมป์คัท,
-
ใช้วัตถุในการไวป์เฟรม,
หรือแบบนี้ ไม่รู้เหมือนกันว่าเรียกว่าอะไร
-
ยกตัวอย่างให้เห็นชัดขึ้น
นี่คือ 4 นาทีแรกของ 'Paprika'
-
หนังเปิดด้วย 5 ซีเควนซ์ความฝัน
ที่ทุกอัน เชื่อมต่อกันด้วยการแมทช์คัท
-
แต่ซีเควนซ์ที่ 6 ไม่ได้เชื่อมด้วยแมทช์คัท
-
เขากลับใช้วิธีการซ้อนกราฟฟิคเพื่อเชื่อมมัน
-
เพื่อเปรียบเทียบให้เห็นชัดขึ้น
ใน 15 นาทีแรกของ 'Inception'
-
มีซีนความฝันที่เชื่อมต่อกัน 4 ซีน
แต่ใช้การแมทช์คัทเชื่อมซีนแค่ครั้งเดียว
-
--What is the most resilient parasite?
-
การตัดต่อหนังแบบนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก
แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องทั่วๆไปที่คนทำหนังจะทำ
-
ปกติมันจะเป็นเอฟเฟคท์ที่ใช้ครั้งเดียวเท่านั้น
2 ตัวอย่างที่โดดเด่นคือ ;
-
อ้อ แล้วก็ตัวนี้อีกตัว เพราะมันเจ๋งมาก
-
งานของ คง มักจะเกี่ยวกับความฝัน ความทรงจำ
-
ฝันร้าย, หนัง, และชีวิต
-
เขาใช้ภาพที่ล้อกันในการเชื่อมโลกเหล่านี้
-
บางครั้งเค้าก็ผสมทรานสิชั่นพวกนี้ต่อเนื่องกัน
-
เพื่อให้เราคุ้นเคยกับภาพของซีนต่อไป
ก่อนที่จะเข้าซีนนั้น
-
ทั้งหมดนี่ทำให้หนังของเขาตื่นตาตื่นใจเสมอ
-
เราอาจจะโดนโยนข้ามซีนแค่ชั่วกระพริบตา
-
ต่อให้ไม่ได้เล่าเรื่องความฝัน
คง ก็ไม่ได้ตัดต่อแบบธรรมดาๆ
-
เขาชอบที่จะเล่นกับเรื่องที่ขนานกัน
บ่อยครั้งที่เขาจะเล่าข้ามไปที่บางส่วนของซีนอื่น
-
เช่น เราเห็นตัวละครมองไปที่กุญแจดอกนึง
-
เราก็คาดหวังว่าเขาจะหยิบมันไป
-
แต่เขาก็เล่าไปที่ซีนอื่นซะ
ก่อนที่จะหยิบมันมาเล่าอีกที
-
หรือ ในซีนที่ชายคนนึงโดดจากหน้าต่างแล้วเฟดออก
-
ทันใด เราก็โดนตัดมาสู่ซีนที่เราไม่เข้าใจ
เพื่อบอกเราว่า นี่คือความฝัน
-
แล้วค่อยเล่าสรุปซีนก่อนหน้าให้เรา
-
แม้แต่เรื่องฆาตกรรม
เขาก็ยังคงเล่าด้วยการแทรกภาพแปลกๆ
-
แล้วค่อยจบด้วยความรู้สึกสยอง
-
ส่วนตัวแล้ว ผมชอบวิธีการตายของตัวละครของเขา
-
อย่างอันนี้ คนแก่ตายลงแล้วกังหันลมก็หยุดหมุน
-
แต่กลายเป็นว่าเขายังไม่ตาย
กังหันก็กลับมาหมุนอีกครั้ง
-
ในตอนท้ายของซีนนี้ ชอทกังหันไม่ได้ถูกใช้ซ้ำ
-
แต่เมื่อเราสังเกตเห็นว่ามันไม่เคลื่อนไหว
เราก็รู้ได้ทันทีว่า เขาตายไปแล้ว
-
คง ชอบที่จะเริ่มซีนด้วยชอทโคลสอัพ
-
ให้เราเดาเอาเองว่าอยู่ที่ไหน
-
นานๆที เขาก็ใช้ establish shot
-
แล้วค่อยบอกว่ามันแค่เป็นมุมมองของตัวละคร
-
นั่นทำให้เราเข้าสู่โลกของตัวละครอย่างไม่รู้ตัว
-
บ่อยครั้งที่เขาจะเล่าภาพนึงขึ้นมา
-
เพื่อที่จะบอกว่ามันไม่ใช่อย่างที่เราคิด
-
ความรู้สึกเรื่องสถานที่และเวลา
กลับกลายเป็นสิ่งที่เรา แค่คิดไปเอง
-
มีหลายสิ่งที่เขาทำในแบบที่คนถ่ายหนังจริงจะทำไม่ได้
-
คง เคยเล่าว่า เขาไม่อยากกำกับหนังคนเล่นจริง
-
เพราะการตัดต่อของเขามันเร็วเกินกว่าคนจะเล่น
-
เช่น
-
ชอทนี้ใช้ภาพแค่ 6 เฟรม
-
ในขณะที่การถ่ายจริงชอทนี้ต้องใช้ภาพ 10 เฟรม
-
ลองดูอินเสิร์ทกระดาษโน้ตชอทนี้สิ
-
เล่าได้ใน 10 เฟรม แต่หนังที่ถ่ายต้องใช้
-
49 เฟรม
-
ในการทำอนิเมชั่น คง รู้ว่า
เขาไม่จำเป็นต้องวาดรายละเอียดมากมายในชอท
-
เพราะคนดูจะเข้าใจชอทเร็วกว่า
-
เราอาจจะเห็นสิ่งที่ Wes Anderson
ทำในการถ่ายหนังของเขา
-
เขาลดข้อมูลในภาพ insert ออก เพื่อให้เราเข้าใจได้ไวขึ้น
-
เรื่องนี้น่าจำไว้ เราอาจจะตัดต่อซีนให้เร็วขึ้น
เพื่อสร้างการรับรู้จากจิตใต้สำนึกขึ้นมา
-
บางชอทในซีนนี้มีแค่เฟรมเดียวเท่านั้น
-
สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แค่เอฟเฟคท์เก๋ๆ
-
คง เชื่อว่า เราสามารถรู้สึกถึงสถานที่ เวลา
ความจริง และจินตนาการ
-
ได้ทั้งในแบบของตัวเอง และความรู้สึกร่วมในสังคม
-
สไตล์ภาพและเสียงของ คง มีเพื่อพรรณาถึงเรื่องนี้
-
ตลอด 10 ปีในการทำหนัง เขาพยายามที่จะผลักงาน
อนิเมชั่นไปสู่สิ่งที่การถ่ายทำให้ไม่ได้
-
ไม่ใช่แค่ภาพที่เหนือจริง
แต่ยังรวมถึงการตัดต่อที่โดดเด่น
-
เขาทำสิ่งเหล่านี้ได้ด้วยความช่วยเหลือของ
Studio Madhouse
-
ที่ช่วยเขาสร้างสรรค์สิ่งที่ยิ่งใหญ่ในหนังขึ้นมาด้วยกัน
-
และนี่ คือหนังที่จะทำให้เข้าถึงบทสรุปการทำงาน
ที่สมบูรณ์ของ คง
-
หนังเรื่องสุดท้ายในชีวิตของเขา
-
หนังสั้น 1 นาที ที่เล่าความรู้สึก
ของการตื่นขึ้นมาในทุกๆเช้า
-
นี่คือ Ohayou (อรุณสวัสดิ์)
-
หลับให้สบายนะครับ
Satoshi Kon