WEBVTT 00:00:00.000 --> 00:00:05.019 *มีศัพท์เฉพาะเกี่ยวกับภาพยนตร์ 00:00:08.316 --> 00:00:10.699 สวัสดีครับ ผม Tony Zhou และนี่คือ Every Frame a Painting 00:00:11.029 --> 00:00:13.939 วันนี้ผมจะมาพูดถึง ยอดผู้กำกับคนนึงในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา 00:00:13.939 --> 00:00:15.979 เขาคือ "ซาโตชิ คง" 00:00:16.289 --> 00:00:19.580 เชื่อว่าแม้คุณจะไม่เคยรู้จักเขา ก็ต้องเคยผ่านตางานภาพของเขามาแล้ว 00:00:19.580 --> 00:00:23.260 เขาเป็นผู้กำกับที่เป็นแรงบันดลางใจของ Darren Aronovsky และ Christopher Nolan 00:00:23.270 --> 00:00:26.570 และมีกลุ่มแฟนเหนียวแน่น ซึ่งน่าจะรวมถึงทุกๆคน ที่ชอบงานอนิเมชั่น 00:00:26.570 --> 00:00:29.880 ในช่วงปี 1997 -2007 เขาสร้างหนังไป 4 เรื่องและทีวีซีรีส์ 1 เรื่อง 00:00:29.879 --> 00:00:31.629 และมัน เจ๋งมากทุกเรื่อง 00:00:31.629 --> 00:00:35.059 ทุกเรื่อง จะเกี่ยวกับการที่มนุษย์ยุคใหม่ทุกๆคน ต้องต่อสู้ในการใช้ชีวิตที่มีหลายบทบาท 00:00:35.059 --> 00:00:39.090 ชีวิตส่วนตัว - ชีวิตสาธารณะ, บนจอ - นอกจอ, ตอนตื่น - ตอนฝัน 00:00:39.540 --> 00:00:43.590 ถ้าเคยดูจะสังเกตเห็นการเบลอร์เส้นแบ่ง ระหว่างความจริงและจินตนาการเข้าด้วยกันอยู่เสมอ 00:00:48.960 --> 00:00:52.250 แต่วันนี้ ผมจะมาโฟกัสเรื่องสำคัญ ความยอดเยี่ยมในการตัดต่อหนังของเขา 00:00:52.250 --> 00:00:54.799 ในฐานะที่เป็นคนตัดต่อ ผมมักจะมองหาวิธีการใหม่ๆเสมอ 00:00:54.799 --> 00:00:56.939 โดยเฉพาะการเล่าจากมุมที่เล่าไม่ได้ในโลกการแสดงจริง 00:00:56.939 --> 00:00:59.539 คง คือหนึ่งในคนที่เชี่ยวชาญที่สุดในเรื่องนี้ 00:00:59.539 --> 00:01:02.409 อย่างนึงที่เป็นลายเซนต์คือวิธีเชื่อมต่อซีนของเขา 00:01:11.420 --> 00:01:14.379 ผมเคยเล่าไว้ว่า Edgar Wright ใช้วิธีนี้เพื่อความตลก 00:01:14.379 --> 00:01:16.099 --Scott! --What? 00:01:16.099 --> 00:01:18.309 ซึ่งเป็นสิ่งที่เห็นได้บ่อยใน เดอะ ซิมป์สัน 00:01:19.500 --> 00:01:20.920 และงานของ บัสเตอร์ คีตัน 00:01:20.920 --> 00:01:22.610 แต่ คง ต่างออกไป 00:01:22.610 --> 00:01:24.340 แรงบันดาลใจของเขามาจากหนังอย่าง 00:01:24.340 --> 00:01:26.619 Slaughterhouse-Five ของ George Roy Hill 00:01:27.079 --> 00:01:30.429 --I can always tell, you know, when you've been time-tripping 00:01:30.429 --> 00:01:33.539 มันมักใช้ในหนังไซไฟ เช่น งานของ Philip K Dick 00:01:33.539 --> 00:01:35.639 และ Terry Gilliam 00:01:40.670 --> 00:01:43.400 แต่ คง ทำให้ไอเดียแบบนี้ไปไกลกว่าเดิม 00:01:43.400 --> 00:01:46.150 Slaughterhouse-Five ใช้การเชื่อมซีนหลักๆอยู่ 3 แบบ 00:01:46.360 --> 00:01:47.810 1. การแมทช์คัท 00:01:50.969 --> 00:01:53.388 2. การซ้อนภาพแบบที่เหมือนกัน 00:01:55.679 --> 00:01:59.370 3. การตัดสลับระหว่างสองห้วงเวลาที่เราเรื่องเดียวกัน 00:02:03.140 --> 00:02:05.090 คง ใช้วิธีการเหล่านี้ทั้งหมด 00:02:05.090 --> 00:02:08.639 แต่เขายังใช้การรีไวด์หนัง, ข้ามเส้นไปสู่ซีนใหม่, 00:02:08.639 --> 00:02:12.819 ซูมเอาท์จากจอทีวี, แทรกเฟรมดำเพื่อจัมป์คัท, 00:02:12.819 --> 00:02:16.528 ใช้วัตถุในการไวป์เฟรม, หรือแบบนี้ ไม่รู้เหมือนกันว่าเรียกว่าอะไร 00:02:20.308 --> 00:02:24.150 ยกตัวอย่างให้เห็นชัดขึ้น นี่คือ 4 นาทีแรกของ 'Paprika' 00:02:24.150 --> 00:02:28.210 หนังเปิดด้วย 5 ซีเควนซ์ความฝัน ที่ทุกอัน เชื่อมต่อกันด้วยการแมทช์คัท 00:02:32.110 --> 00:02:34.329 แต่ซีเควนซ์ที่ 6 ไม่ได้เชื่อมด้วยแมทช์คัท 00:02:34.329 --> 00:02:36.309 เขากลับใช้วิธีการซ้อนกราฟฟิคเพื่อเชื่อมมัน 00:02:37.999 --> 00:02:40.950 เพื่อเปรียบเทียบให้เห็นชัดขึ้น ใน 15 นาทีแรกของ 'Inception' 00:02:40.950 --> 00:02:44.559 มีซีนความฝันที่เชื่อมต่อกัน 4 ซีน แต่ใช้การแมทช์คัทเชื่อมซีนแค่ครั้งเดียว 00:02:45.379 --> 00:02:47.979 --What is the most resilient parasite? 00:02:48.409 --> 00:02:52.850 การตัดต่อหนังแบบนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องทั่วๆไปที่คนทำหนังจะทำ 00:02:52.850 --> 00:02:56.818 ปกติมันจะเป็นเอฟเฟคท์ที่ใช้ครั้งเดียวเท่านั้น 2 ตัวอย่างที่โดดเด่นคือ ; 00:03:01.000 --> 00:03:02.620 อ้อ แล้วก็ตัวนี้อีกตัว เพราะมันเจ๋งมาก 00:03:04.490 --> 00:03:07.200 งานของ คง มักจะเกี่ยวกับความฝัน ความทรงจำ 00:03:07.200 --> 00:03:08.658 ฝันร้าย, หนัง, และชีวิต 00:03:08.658 --> 00:03:11.239 เขาใช้ภาพที่ล้อกันในการเชื่อมโลกเหล่านี้ 00:03:11.869 --> 00:03:14.080 บางครั้งเค้าก็ผสมทรานสิชั่นพวกนี้ต่อเนื่องกัน 00:03:14.080 --> 00:03:17.420 เพื่อให้เราคุ้นเคยกับภาพของซีนต่อไป ก่อนที่จะเข้าซีนนั้น 00:03:21.979 --> 00:03:23.869 ทั้งหมดนี่ทำให้หนังของเขาตื่นตาตื่นใจเสมอ 00:03:23.869 --> 00:03:26.460 เราอาจจะโดนโยนข้ามซีนแค่ชั่วกระพริบตา 00:03:37.090 --> 00:03:39.878 ต่อให้ไม่ได้เล่าเรื่องความฝัน คง ก็ไม่ได้ตัดต่อแบบธรรมดาๆ 00:03:39.878 --> 00:03:43.359 เขาชอบที่จะเล่นกับเรื่องที่ขนานกัน บ่อยครั้งที่เขาจะเล่าข้ามไปที่บางส่วนของซีนอื่น 00:03:45.500 --> 00:03:47.840 เช่น เราเห็นตัวละครมองไปที่กุญแจดอกนึง 00:03:47.840 --> 00:03:50.060 เราก็คาดหวังว่าเขาจะหยิบมันไป 00:03:50.060 --> 00:03:54.290 แต่เขาก็เล่าไปที่ซีนอื่นซะ ก่อนที่จะหยิบมันมาเล่าอีกที 00:03:57.769 --> 00:03:59.900 หรือ ในซีนที่ชายคนนึงโดดจากหน้าต่างแล้วเฟดออก 00:03:59.900 --> 00:04:03.439 ทันใด เราก็โดนตัดมาสู่ซีนที่เราไม่เข้าใจ เพื่อบอกเราว่า นี่คือความฝัน 00:04:03.439 --> 00:04:06.000 แล้วค่อยเล่าสรุปซีนก่อนหน้าให้เรา 00:04:08.848 --> 00:04:11.848 แม้แต่เรื่องฆาตกรรม เขาก็ยังคงเล่าด้วยการแทรกภาพแปลกๆ 00:04:13.458 --> 00:04:15.060 แล้วค่อยจบด้วยความรู้สึกสยอง 00:04:18.060 --> 00:04:21.148 ส่วนตัวแล้ว ผมชอบวิธีการตายของตัวละครของเขา 00:04:21.148 --> 00:04:23.900 อย่างอันนี้ คนแก่ตายลงแล้วกังหันลมก็หยุดหมุน 00:04:24.790 --> 00:04:27.289 แต่กลายเป็นว่าเขายังไม่ตาย กังหันก็กลับมาหมุนอีกครั้ง 00:04:27.289 --> 00:04:29.438 ในตอนท้ายของซีนนี้ ชอทกังหันไม่ได้ถูกใช้ซ้ำ 00:04:29.438 --> 00:04:32.369 แต่เมื่อเราสังเกตเห็นว่ามันไม่เคลื่อนไหว เราก็รู้ได้ทันทีว่า เขาตายไปแล้ว 00:04:33.140 --> 00:04:35.570 คง ชอบที่จะเริ่มซีนด้วยชอทโคลสอัพ 00:04:35.570 --> 00:04:38.039 ให้เราเดาเอาเองว่าอยู่ที่ไหน 00:04:38.839 --> 00:04:41.269 นานๆที เขาก็ใช้ establish shot 00:04:41.269 --> 00:04:44.030 แล้วค่อยบอกว่ามันแค่เป็นมุมมองของตัวละคร 00:04:44.030 --> 00:04:46.690 นั่นทำให้เราเข้าสู่โลกของตัวละครอย่างไม่รู้ตัว 00:04:47.600 --> 00:04:49.720 บ่อยครั้งที่เขาจะเล่าภาพนึงขึ้นมา 00:04:49.720 --> 00:04:51.560 เพื่อที่จะบอกว่ามันไม่ใช่อย่างที่เราคิด 00:04:51.560 --> 00:04:54.120 ความรู้สึกเรื่องสถานที่และเวลา กลับกลายเป็นสิ่งที่เรา แค่คิดไปเอง 00:04:57.030 --> 00:05:00.539 มีหลายสิ่งที่เขาทำในแบบที่คนถ่ายหนังจริงจะทำไม่ได้ 00:05:00.539 --> 00:05:03.379 คง เคยเล่าว่า เขาไม่อยากกำกับหนังคนเล่นจริง 00:05:03.379 --> 00:05:05.519 เพราะการตัดต่อของเขามันเร็วเกินกว่าคนจะเล่น 00:05:05.519 --> 00:05:07.000 เช่น 00:05:09.939 --> 00:05:12.530 ชอทนี้ใช้ภาพแค่ 6 เฟรม 00:05:12.530 --> 00:05:16.410 ในขณะที่การถ่ายจริงชอทนี้ต้องใช้ภาพ 10 เฟรม 00:05:16.990 --> 00:05:18.720 ลองดูอินเสิร์ทกระดาษโน้ตชอทนี้สิ 00:05:19.900 --> 00:05:22.068 เล่าได้ใน 10 เฟรม แต่หนังที่ถ่ายต้องใช้ 00:05:24.288 --> 00:05:25.109 49 เฟรม 00:05:25.839 --> 00:05:29.740 ในการทำอนิเมชั่น คง รู้ว่า เขาไม่จำเป็นต้องวาดรายละเอียดมากมายในชอท 00:05:29.740 --> 00:05:31.618 เพราะคนดูจะเข้าใจชอทเร็วกว่า 00:05:31.618 --> 00:05:34.728 เราอาจจะเห็นสิ่งที่ Wes Anderson ทำในการถ่ายหนังของเขา 00:05:35.210 --> 00:05:38.600 เขาลดข้อมูลในภาพ insert ออก เพื่อให้เราเข้าใจได้ไวขึ้น 00:05:41.069 --> 00:05:45.508 เรื่องนี้น่าจำไว้ เราอาจจะตัดต่อซีนให้เร็วขึ้น เพื่อสร้างการรับรู้จากจิตใต้สำนึกขึ้นมา 00:05:45.508 --> 00:05:48.130 บางชอทในซีนนี้มีแค่เฟรมเดียวเท่านั้น 00:05:48.700 --> 00:05:50.118 สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แค่เอฟเฟคท์เก๋ๆ 00:05:50.118 --> 00:05:54.058 คง เชื่อว่า เราสามารถรู้สึกถึงสถานที่ เวลา ความจริง และจินตนาการ 00:05:54.058 --> 00:05:57.900 ได้ทั้งในแบบของตัวเอง และความรู้สึกร่วมในสังคม 00:05:58.300 --> 00:06:00.890 สไตล์ภาพและเสียงของ คง มีเพื่อพรรณาถึงเรื่องนี้ 00:06:01.380 --> 00:06:05.398 ตลอด 10 ปีในการทำหนัง เขาพยายามที่จะผลักงาน อนิเมชั่นไปสู่สิ่งที่การถ่ายทำให้ไม่ได้ 00:06:05.548 --> 00:06:10.909 ไม่ใช่แค่ภาพที่เหนือจริง แต่ยังรวมถึงการตัดต่อที่โดดเด่น 00:06:11.709 --> 00:06:13.860 เขาทำสิ่งเหล่านี้ได้ด้วยความช่วยเหลือของ Studio Madhouse 00:06:13.860 --> 00:06:15.869 ที่ช่วยเขาสร้างสรรค์สิ่งที่ยิ่งใหญ่ในหนังขึ้นมาด้วยกัน 00:06:16.059 --> 00:06:18.519 และนี่ คือหนังที่จะทำให้เข้าถึงบทสรุปการทำงาน ที่สมบูรณ์ของ คง 00:06:18.519 --> 00:06:19.889 หนังเรื่องสุดท้ายในชีวิตของเขา 00:06:19.889 --> 00:06:22.359 หนังสั้น 1 นาที ที่เล่าความรู้สึก ของการตื่นขึ้นมาในทุกๆเช้า 00:06:22.568 --> 00:06:23.963 นี่คือ Ohayou (อรุณสวัสดิ์) 00:07:21.305 --> 00:07:23.450 หลับให้สบายนะครับ Satoshi Kon