หนูทดลอง เลเซอร์ ความทรงจำที่บิดเบือน
-
0:00 - 0:02สตีฟ รามิเรส: ในช่วงปีแรกของการเรียนระดับบัณฑิตศึกษา
-
0:02 - 0:04ผมใช้เวลาส่วนใหญ่ในห้องนอน
-
0:04 - 0:06กินไอศกรีม (ยี่ห้อ) แบน แอ่น เจอรี่ เยอะเลย
-
0:06 - 0:08ดูรายการโทรทัศน์ไร้สาระ
-
0:08 - 0:11และ บางครั้ง บางครั้งก็ฟังเพลงเทเลอร์ สวิฟท์ (Taylor Swift)
-
0:11 - 0:13ผมกำลังอยู่ในช่วงอกหัก
-
0:13 - 0:14(เสียงหัวเราะ)
-
0:14 - 0:17ตลอดช่วงเวลาอันแสนยาวนาน สิ่งที่ผมทำก็คือ
-
0:17 - 0:20หวนทวนความทรงจำถึง 'คนนั้น' ซ้ำแล้วซ้ำอีก
-
0:20 - 0:23หวังจะหลุดพ้น จากความรู้สึกสะเทือนใจ
-
0:23 - 0:25อารมณ์อ่อนไหว ที่บอกไม่ถูก
-
0:25 - 0:28จนบัดนี้ ผมกลายเป็นนักประสาทวิทยา
-
0:28 - 0:30ผมจึงได้รู้ว่า ความทรงจำเกี่ยวกับ 'คนนั้น'
-
0:30 - 0:33กับ ความรู้สึกเลวร้าย ที่ปรุงแต่งความทรงจำ
-
0:33 - 0:36แท้จริงแล้ว ควบคุมโดยระบบสมองคนละส่วน
-
0:36 - 0:38และผมคิดว่า จะเป็นอย่างไรหากเราสามารถสืบค้นเข้าไปในสมอง
-
0:38 - 0:40แล้ว ตัดความรู้สึกที่ก่อความไม่สบายใจออกเสีย
-
0:40 - 0:43แต่ยังคงเก็บความทรงจำเกี่ยวกับ 'คนนั้น' เอาไว้
-
0:43 - 0:46ผมรู้ว่าตอนนี้ มันอาจฟังดูเลิศหรูเกินไป
-
0:46 - 0:48แต่จะเป็นอย่างไร หากเราเริ่มต้นสืบค้นเข้าไปในสมอง
-
0:48 - 0:51ด้วยการแค่ ค้นหาสักหนึ่งความทรงจำ
-
0:51 - 0:54เราจะดึงความทรงจำนั้นกลับมาอีกครั้งได้ไหม
-
0:54 - 0:57บางที อาจถึงกับปรับแต่งเนื้อหาในความทรงจำนั้นด้วย
-
0:57 - 1:00ที่พูดมาทั้งหมดนี้ มีเพียงคนเดียวในโลก
-
1:00 - 1:02ที่ผมหวังว่าเขาจะไม่ดูผมบรรยายในวันนี้
-
1:02 - 1:06(เสียงหัวเราะ)
-
1:06 - 1:09เอาล่ะครับ ใจความสำคัญก็คือว่า
-
1:09 - 1:12ความคิดนี้ อาจทำให้คุณคิดถึง (หนังเรื่อง) 'ฅนทะลุโลก'
(Total Recall) -
1:12 - 1:14(หนังเรื่อง) "ลบเธอให้ไม่ลืม"
(Eternal Sunshine of the Spotless Mind) -
1:14 - 1:15หรือ (หนังเรื่อง) "จิตพิฆาตโลก" (Inception)
-
1:15 - 1:17แต่ตัวเอก ที่เราใช้คือ
-
1:17 - 1:19ดารายอดนิยมของห้องปฎิบัติการ
-
1:19 - 1:20เซีย หลิว: หนูทดลองนั่นเอง
-
1:20 - 1:22(เสียงหัวเราะ)
-
1:22 - 1:25นักประสาทวิทยาอย่างเรา ทำงานในห้องทดลองกับหนู
-
1:25 - 1:28พยายามเข้าใจว่า ความทรงจำทำงานอย่างไร
-
1:28 - 1:31วันนี้ เราอยากจะโน้มน้าวให้คุณเชื่อ
-
1:31 - 1:34ว่าจริงๆ แล้วเราสามารถ กระตุ้นความทรงจำในสมอง
-
1:34 - 1:36ด้วยความเร็วเท่าแสง
-
1:36 - 1:39การทำเช่นนี้ ต้องการเพียงสองขั้นตอน
-
1:39 - 1:43หนึ่ง คุณหาและติดฉลากความทรงจำในสมอง
-
1:43 - 1:46จากนั้น ก็เปิดมันด้วยสวิทช์ มัน
-
1:46 - 1:48แค่นั้นแหละ
-
1:48 - 1:50(เสียงหัวเราะ)
-
1:50 - 1:51สตีฟ: คุณเชื่อไหมนี่?
-
1:51 - 1:55แต่กลายเป็นว่า การค้นหาความทรงจำในสมอง
นัั้นไม่ง่ายเลย -
1:55 - 1:58เซีย: ความจริง มันยากมาก ลองนึกถึง
-
1:58 - 2:00ค้นหาเข็มในกองฟาง
-
2:00 - 2:03อย่างน้อย คุณก็ยังรู้ว่าเข็มมันมีตัวตน
-
2:03 - 2:05คุณสามารถใช้นิ้วหยิบมันขึ้นมาได้
-
2:05 - 2:07แต่ ความทรงจำไม่ใช่แบบนั้น
-
2:07 - 2:11และยังมีเซลล์ประสาทมากมายในสมอง
-
2:11 - 2:16มากยิ่งกว่าจำนวนปล้องหญ้า ในกองฟาง
-
2:16 - 2:18ดังนั้น งานนี้จึงน่าหวาดหวั่น
-
2:18 - 2:22แต่โชคดี ที่เราได้รับความช่วยเหลือจากสมองเอง
-
2:22 - 2:25กลายเป็นว่า สิ่งที่เราต้องทำคือ เพียงแค่
-
2:25 - 2:27ปล่อยในสมองสร้างความทรงจำ
-
2:27 - 2:30แล้ว สมองจะบอกเราว่าเซลล์ประสาทใดเกี่ยวข้อง
-
2:30 - 2:32กับความทรงจำนั้น
-
2:32 - 2:35สตีฟ: แล้วมันเกิดอะไรขึ้นในสมองของผม
-
2:35 - 2:37เมื่อผม หวนระลึกถึงความทรงจำเรื่องแฟนเก่า
-
2:37 - 2:39ถ้าเรา ไม่ต้องสนใจมนุษยธรรม สักวินาที
-
2:39 - 2:41แล้ว ตัดสมองผมเป็นแผ่นๆ ตอนนี้
-
2:41 - 2:43คุณพบว่า มันมีบริเวณของสมอง มากมายหลายแห่ง
-
2:43 - 2:46ที่ตื่นตัว ในขณะระลึกความทรงจำนั้น
-
2:46 - 2:49บริเวณหนึ่งของสมอง ที่ตื่นตัวเป็นอย่างยิ่ง
-
2:49 - 2:51คือส่วนที่เรียกวา ฮิปโปแคมปัส (hippocampus)
-
2:51 - 2:53ซึ่งเป็นเวลาหลายสิบปี ที่มันถูกเข้าใจว่า
เชื่อมโยงกับการสร้าง -
2:53 - 2:56ความทรงจำเกี่ยวกับคนที่เราชื่นชอบ สนิทชิดใกล้
-
2:56 - 2:58ซึ่งทำให้มันเป็น เป้าหมาย การสืบค้น
-
2:58 - 3:01และการพยายามค้นหา กระตุ้นความทรงจำ
-
3:01 - 3:03เซีย: เมื่อเรามองภาพขยาย ของฮิปโปแคมปัส
-
3:03 - 3:06คุณจะเห็นเซลล์จำนวนมหาศาล
-
3:06 - 3:09แต่เราสามารถพบเซลล์ที่เกี่ยวข้อง
-
3:09 - 3:10กับความทรงจำหนึ่งๆได้
-
3:10 - 3:13เพราะ เมื่อไหร่ที่เซลล์ใดตื่นตัว
-
3:13 - 3:14เช่น เมื่อมันสร้างความทรงจำ
-
3:14 - 3:18มันจะเหลือร่องรอย ที่บอกให้เรารู้ภายหลัง
-
3:18 - 3:21ว่าเซลล์นั้นเพิ่ง ตื่นตัวเร็วๆนี้
-
3:21 - 3:23สตีฟ: เหมือนกับ ตอนกลางคืนที่ไฟในตึกเปิดอยู่
-
3:23 - 3:26บอกให้คุณรู้ว่า ตอนนั้นน่าจะมีคนทำงานอยู่ที่นั่น
-
3:26 - 3:29ในความเป็นจริงนั้น มันมีตัวรับสัญญาณทางชีวภาพ
-
3:29 - 3:31ภายในเซลล์ที่มีการเปิดใช้
-
3:31 - 3:33ณ เวลาที่เซลล์นั้นทำงานอยู่เท่านั้น
-
3:33 - 3:35เหมือนกับ หน้าต่างที่มีแสงทางชีวภาพ
-
3:35 - 3:37ที่บอกให้เรารู้ว่า เซลล์เพิ่งตื่นตัว
-
3:37 - 3:40เซีย: ดังนั้น เราตัดเอาส่วนหนึ่งของตัวรับสัญญาณ
-
3:40 - 3:43แล้วติดมันเข้ากับปุ่มเปิดปิดเพื่อควบคุมเซลล์
-
3:43 - 3:47แล้วเราก็ใส่เข้ามันไปในไวรัสที่มีการดัดแปลงทางพันธุกรรม
-
3:47 - 3:50แล้วฉีดไวรัสนี้เข้าไปในสมองหนู
-
3:50 - 3:52เมื่อใดก็ตามที่มีการสร้างความทรงจำ
-
3:52 - 3:55เซลล์ใดก็ตามที่ตื่นตัวต่อความทรงจำนั้น
-
3:55 - 3:57จะมีปุ่มเปิดปิดติดอยู่
-
3:57 - 3:59สตีฟ: นี่คือหน้าตาของสมองส่วน ฮิปโปแคมปัส
-
3:59 - 4:02หลังจากสร้างความทรงจำเกี่ยวกับความกลัว เป็นต้น
-
4:02 - 4:04แถบสีน้ำเงินที่เราเห็น
-
4:04 - 4:06คือ เซลล์สมองที่อัดแน่น
-
4:06 - 4:07แต่ส่วนเซลล์สีเขียว
-
4:07 - 4:10คือเซลล์สมอง ซื่งบันทึก
-
4:10 - 4:11ความทรงจำจำเพาะต่อเรื่องความกลัว
-
4:11 - 4:13คุณเห็นการตกผลึก
-
4:13 - 4:16ของการก่อตัวอย่างฉับพลันของความกลัว
-
4:16 - 4:19คุณกำลังเห็น ภาพตัดขวางของความทรงจำ
-
4:19 - 4:22เซีย: มาที่ปุ่มเปิดปิดที่เราพูดถึง
-
4:22 - 4:25ตามอุดมคติแล้ว สวิทช์ต้องทำงานเร็วมาก
-
4:25 - 4:27มันไม่ควรใช้เวลาเป็นนาทีหรือเป็นชั่วโมงในการทำงาน
-
4:27 - 4:31มันควรใช้เวลาเพียง หนึ่งในพันของวินาที
-
4:31 - 4:33สตีฟ: คุณคิดว่าอย่างไร เซีย?
-
4:33 - 4:36ถ้าเราจะใช้ยา
-
4:36 - 4:37ในการกระตุ้นหรือยับยั้งเซลล์สมองล่ะ ?
-
4:37 - 4:41เซีย: ไม่ดีมั้ง ยามันค่อนข้างจะยุ่งเหยิง
พวกมันกระจายทั่วตัวไปหมด -
4:41 - 4:44และมันยังใช้เวลา กว่าจะออกฤทธิ์กับเซลล์
-
4:44 - 4:48ดังนั้น มันไม่อนุญาตให้เราควบคุมความทรงจำ
ในแบบติดตามได้จริง -
4:48 - 4:52สตีฟ ถ้างั้นเราใช้ไฟฟ้าช๊อตเลยดีไหม
-
4:52 - 4:55สตีฟ: ไฟฟ้าก็เร็วดี
-
4:55 - 4:56แต่บางทีเราไม่สามารถที่จะชี้เป้าได้
-
4:56 - 4:59ในการบ่งชี้เซลล์เฉพาะที่เก็บความทรงจำ
-
4:59 - 5:01และเราอาจจะย่างสมอง
-
5:01 - 5:04เซีย: เออจริง ฉะนั้นมันจะเป็นอย่างนั้น
-
5:04 - 5:06เอาล่า เราจึงต้องมองหาทางอื่น
-
5:06 - 5:10ที่จะส่งผลกระทบต่อสมองด้วยความเร็วแสง
-
5:10 - 5:15สตีฟ: กลายเป็นว่า แสงนั้นเดินทางเร็วเท่าแสง
-
5:15 - 5:18ดังนั้นเราอาจกระตุ้นหรือระงับความทรงจำได้
-
5:18 - 5:20เพียงแค่ใช้แสง
-
5:20 - 5:21เซีย: มันก็เร็วดี
-
5:21 - 5:23และเพราะเซลล์สมองธรรมดา
-
5:23 - 5:25ไม่สนองต่อจังหวะกระพริบไฟ
-
5:25 - 5:27ดังนั้นสมองส่วนที่จะตอบสนอง
-
5:27 - 5:29ต้องมีสวิทช์ติดอยู่
-
5:29 - 5:31สิ่งแรกคือ การปรับเซลล์สมอง
-
5:31 - 5:32ให้ตอบสนอต่อแสงเลเซอร์
-
5:32 - 5:34เซีย: ฟังดูดี
-
5:34 - 5:36เราจึงลองฉายเลเซอร์ที่สมอง
-
5:36 - 5:37หัวเราะ
-
5:37 - 5:41เราจึงใช้เทคนิคเรียกว่า ออพโตเจเนทิคส์ (optogenetics)
-
5:41 - 5:44ออพโตเจเนทิคส์ นี้ทำให้เรามีสวิตช์
-
5:44 - 5:46เพื่อเปิด ปิด เซลล์สมอง
-
5:46 - 5:48และปุ่มที่ว่าก็มีชื่อคือ แชนเนลโรดอปซิน (channelrhodopsin)
-
5:48 - 5:51เห็นจุดสีเขียวที่ติดกับสมองไหมครับ
-
5:51 - 5:54คุณลองคิดว่า แชนเนลโรดอปซิน เป็นปุ่มเปิดปิดไฟที่ไวต่อแสง
-
5:54 - 5:57ที่เราสามารถติดตั้งในเซลล์สมองได้
-
5:57 - 5:58ทีนี้เราก็ใช้สวิตช์ได้แล้ว
-
5:58 - 6:01ในการกระตุ้นหรือยังยั้งการทำงานของสมอง โดยแค่คลิกมัน
-
6:01 - 6:04ในที่นี้ เราคลิกด้วยจังหวะความเร็วแสง
-
6:04 - 6:08เซีย: เราติดตั้ง สวิตช์ที่ไวต่อแสง ของแชนเนลโรดอปซิน
-
6:08 - 6:10ไว้กับตัวจับความเปลี่ยนแปลง ที่เราถึงพูดกัน
-
6:10 - 6:12แล้วฉีดเข้าสมอง
-
6:12 - 6:16ดังนั้น เมื่อความทรงจำถูกสร้างขึ้น
-
6:16 - 6:18เซลล์ใดก็ตามที่ตื่นตัวต่อความทรงจำนั้นๆ
-
6:18 - 6:21ก็จะมีสวิตช์ที่ไวต่อแสง ติดตั้งอยู่
-
6:21 - 6:24เราจึงสามารถควบคุมเซลล์เหล่านั้นได้
-
6:24 - 6:28โดยการกระพริบของเลเซอร์ อย่างที่เห็น
-
6:28 - 6:31สตีฟ: เอาล่ะ ลองมาทดลองกันเลยดีกว่า
-
6:31 - 6:33ที่เราทำได้คือ เรานำหนูทดลองมา
-
6:33 - 6:36จากนั้น เราเอามันใส่ไว้ในกล่องที่มีหน้าตาแบบนี้
-
6:36 - 6:38และเราก็ปล่อยกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ ที่เท้า
-
6:38 - 6:40ทำให้มันเกิดความทรงจำที่กลัวกล่องนี้
-
6:40 - 6:42มันเรียนรู้ ว่ามีสิ่งเลวร้ายบางอย่าง เกิดขึ้นที่นี่
-
6:42 - 6:45ในระบบของเรา เซลล์สมองที่ตื่นตัว
-
6:45 - 6:47ในฮิปโปแคมปัสที่ทำหน้าที่สร้างความทรงจำ
-
6:47 - 6:50แค่เฉพาะเซลล์เหล่านี้เท่านั้น ที่จะมี แชนเนลโรดอปซิน
-
6:50 - 6:53เซีย: เมื่อเราตัวเล็กเท่าหนู
-
6:53 - 6:57เราจะรู้สึก เหมือนทั้งโลกกำลังไล่ล่าคุณ
-
6:57 - 6:59ฉะนั้นการตอบสนองเพื่อป้องกันตัวที่ดีที่สุด
-
6:59 - 7:01ก็คือการพยายามซ่่อนตัว
-
7:01 - 7:03เมื่อไหร่หนูกลัว
-
7:03 - 7:05มันจะแสดงพฤติกรรมที่เป็นไปตามแบบฉบับนี้
-
7:05 - 7:07ด้วยการยืนนิ่งๆ ที่มุมของกล่อง
-
7:07 - 7:10ไม่ขยับส่วนไหนของร่างกาย
-
7:10 - 7:13ซึ่งเรียกท่าทางนี้ว่า การหยุดชะงัก (freezing)
-
7:13 - 7:17ดังนั้นเมื่อหนู จจดำเรื่องเลวร้ายในกล่องนี้ได้
-
7:17 - 7:20และเมื่อเราเอามันกลับในกล่องเดิม
-
7:20 - 7:22มันก็แสดงอาการนิ่งแบบนั้น เช่นกัน
-
7:22 - 7:24เพราะมันกลัวถูกจับได้
-
7:24 - 7:27จากสิ่งที่อาจเป็นอันตราย ในกล่องนี้
-
7:27 - 7:28สตีฟ: คุณสามารถคิดถึงอาการชะงักแบบนี้
-
7:28 - 7:30ว่าเป็นเหมือนเมื่อคุณเดินไปบนถนน สนใจแต่เรื่องคุณเอง
-
7:30 - 7:32และโดยไม่ทันตั้งตัว คุณได้เจอกับ
-
7:32 - 7:34แฟนเก่า
-
7:34 - 7:36ในช่วงเวลา 2 วินาที แห่งความน่าสะพรึงกลัว
-
7:36 - 7:38ที่คุณเริ่มคิดว่า "ทำอย่างไรดี? ทักทายดีไหม?"
-
7:38 - 7:40จะจับมือทัก? หรือกลับหลังหันวิ่งหนี?
-
7:40 - 7:42อยู่ตรงนี้แต่แกล้งทำเป็นว่าฉันไร้ตัวตน?
-
7:42 - 7:45ความคิดที่จะเผ่นแว๊บเหล่านี้ ทำให้คุณไม่สามารถขยับได้
-
7:45 - 7:47ทำให้คุณตกอยู่ในสภาพเหมือน กวางที่เจอไฟหน้ารถส่อง
-
7:47 - 7:51เซีย: อย่างไรก็ดีเมื่อเรา นำหนูใส่ในกล่องอันถัดไป
-
7:51 - 7:54ที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง
-
7:54 - 7:56มันจะไม่กลัวกล่องนี้
-
7:56 - 8:01เพราะมันไม่มีเหตุให้ต้องกลัวสิ่งแวดล้อมใหม่
-
8:01 - 8:04แล้วจะเป็นอย่างไร หากเราเอาหนูใส่ในกล่องใหม่นี้
-
8:04 - 8:08แต่ในเวลาเดียวกันเรากระตุ้นความทรงจำที่น่ากลัว
-
8:08 - 8:10โดยใช้เลเซอร์เหมือนที่เราทำก่อนหน้านี้
-
8:10 - 8:13เราจะดึงความทรงจำที่น่ากลัวจากในกล่องแรก
-
8:13 - 8:17มายังที่ซึ่งเป็นสิ่งแวดล้อมใหม่อย่างสมบูรณ์ได้หรือไม่
-
8:17 - 8:20สตีฟ: เอาละ และนี่คืองานวิจัยล้านดอลลาร์
-
8:20 - 8:23เพื่อที่จะปลุกเอาความทรงจำวันนั้นกลับมาอีกครั้ง
-
8:23 - 8:25ผมจำได้ ตอนนั้นทีม เรดซอกซ์ (Red Sox) เพิ่งชนะการแข่งขัน
-
8:25 - 8:27มันเป็นวันในฤดูใบไม้ผลิอันเขียวชะอุ่ม
-
8:27 - 8:29เหมาะต่อการล่องไปตามแม่น้ำ
-
8:29 - 8:31และบางทีอาจะไปต่อทางทิศเหนือ
-
8:31 - 8:33เพื่อลิ้มรส ขนมแคโนลิ อะไรทำนองนั้น
-
8:33 - 8:36กลายเป็นว่าตอนนี้ เซีย และผม
-
8:36 - 8:39กลับอยู่ในห้องมืดสนิท ไร้หน้าต่าง
-
8:39 - 8:43ไม่ขยับตาหรือแม้แต่กระพริบตา
-
8:43 - 8:45เพราะตาเรา จ้องแต่จอคอมพิวเตอร์
-
8:45 - 8:48พวกเราดูหนูที่จะเราพยายามกระตุ้นความทรงจำ
-
8:48 - 8:50เป็นครั้งแรกโดยเทคนิคนี้ของเรา
-
8:50 - 8:52เซีย: และนี่คือสิ่งที่เราเห็น
-
8:52 - 8:55เมื่อเราใส่หนูในกล่องนี้
-
8:55 - 8:58มันวิ่งสำรวจ, ดมกลิ่น, เดินรอบๆ
-
8:58 - 8:59วุ่นวายกับเรื่องของตัวเอง
-
8:59 - 9:01เพราะอันที่จริงแล้ว โดยธรรมชาติ
-
9:01 - 9:03หนูเป็นสัตว์ขี้สงสัย
-
9:03 - 9:06มันอยากรู่วามีอะไรเกิดขึ้น ในกล่องใหม่นี้
-
9:06 - 9:07มันช่างน่าสนใจ
-
9:07 - 9:11แต่เมื่อเราใส่เลเซอร์
-
9:11 - 9:14ทันใดนั้น หนูเข้าสู่อาการหยุดชะงัก
-
9:14 - 9:18มันอยู่นิ่งตรงนั้น พยายามไม่ขยับร่างกาย
-
9:18 - 9:20ชัดเจน ว่ามันหยุดนิ่งจังงัง
-
9:20 - 9:22ครับ มันดูเหมือนว่าเราสามารถ
-
9:22 - 9:24นำความทรงจำน่ากลัวจากกล่องแรกนั่นกลับมาได้
-
9:24 - 9:28เมื่อหนูอยู่ในสิ่่งแวดล้อมใหม่โดยสิ้นเชิง
-
9:28 - 9:30เมื่อเราเห็นสิ่งนี้ สตีฟกับผม
-
9:30 - 9:32ตะลึงเหมือนหนูทดลองเสียเอง
-
9:32 - 9:33(เสียงหัวเราะ)
-
9:33 - 9:37หลังการทดลอง เราออกจากห้อง
-
9:37 - 9:38โดยไม่พูดอะไรเลย
-
9:38 - 9:42หลังจากช่วงเวลาที่เราทำตัวเก้ๆกังๆอยู่นาน
-
9:42 - 9:44สตีฟจึงเอ่ยขึ้นว่า
-
9:44 - 9:46สตีฟ "มันสำเร็จใช่ไหม"
-
9:46 - 9:49เซีย: "ใช่" ผมตอบ "มันใช่ได้จริงๆ"
-
9:49 - 9:51เราตื่นเต้นมาก
-
9:51 - 9:54และเมื่อเราตีพิมพ์ผลการค้นพบ
-
9:54 - 9:56ในวารสาร เนเจอร์ (Nature)
-
9:56 - 9:58ตั้งแต่ตีพิมพ์ผลงานของเรา
-
9:58 - 10:01เราได้รับความเห็นมากมาย
-
10:01 - 10:03จากอินเทอร์เน็ตทุกสารทิศ
-
10:03 - 10:06เราขอคัดมาเพื่อดูเป็นบางส่วนนะครับ
-
10:06 - 10:09คุณพระ!!!!..ในที่สุด เราก็มาถึง ความจริงเสมือน, การปรับแต่งประสาท, การเลียนแบบความฝัน..การใส่รหัสทางประสาท, 'เขียนและเปลี่ยนแปลงความทรงจำ', ความผิดปกติทางจิต. อาาา อนาคตเนี่ยโคตรเจ๋ง
-
10:09 - 10:11สตีฟ: สิ่งแรกที่เราสังเกตก็คือผู้คน
-
10:11 - 10:14ผู้คนมีความเห็นที่เข้มข้นจริงจังต่องานประเภทนี้
-
10:14 - 10:16ตอนนี้ผมเห็นด้วยเต็มที่เลยกับพวกที่มองโลกในแง่ดี
-
10:16 - 10:17ของความเห็นแรก
-
10:17 - 10:20เพราะจากเสียงระดับศูนย์ ถึงระดับ [ของนักแสดง]
มอร์แกน ฟรีแมน (Morgan Freeman) -
10:20 - 10:22นับว่ามันเป็นรางวัลเกียรติยศที่น่าย้อนระลึกถึงมากที่สุด
-
10:22 - 10:24ที่ผมเคยได้ยินมา
-
10:24 - 10:26(เสียงหัวเราะ)
-
10:26 - 10:28แต่คุณจะเห็นว่า นั่นไม่ใช่แค่ความเห็นเดียว
-
10:28 - 10:29นี่มันขนหัวลุกจริงๆ ถ้าทำแบบนี้กับคนได้ง่ายๆในอีกสักสองสามปีหน้าล่ะ โอ พระเจ้า แย่แล้วๆ
-
10:29 - 10:31เซีย: ครับ ถ้าเราดูความเห็นที่สอง
-
10:31 - 10:33ผมคิดว่าเราอาจเห็นตรงกันว่า แหม..
-
10:33 - 10:36มันอาจไม่เป็นไปในเชิงบวกเท่าไร
-
10:36 - 10:38แต่มันก็เตือนเราว่า
-
10:38 - 10:40แม้เรายังคงทดลองแค่ในหนู
-
10:40 - 10:44บางทีมันเป็นเรื่องดี ที่เราจะเริ่มคิดและอภิปราย
-
10:44 - 10:47ถึงเป็นไปได้ในความเห็นต่างเรื่องจริยธรรม
-
10:47 - 10:49ของการควบคุมความจำ
-
10:49 - 10:51สตีฟ: จากแรงบันดาลใจ จากความเห็นที่สาม
-
10:51 - 10:53เราอยากบอกคุณ ถึงงานชิ้นล่าสุดที่เรากำลังทำการทดลองอยู่
-
10:53 - 10:55ซึ่งเรียกว่า โครงการแห่งความริเริ่ม (Project Inception)
-
10:55 - 10:58"พวกเขาควรสร้างหนังเกี่ยวกับสิ่งนี้ ซึ่งเกี่ยวกับการใส่ความคิดในจิตใจผู้คน เพื่อที่จะให้เขาสามารถควบคุมตัวเองเพื่อประโยชน์ของพวกเขาเอง เราเรียกมันว่า ความริเริ่ม"
-
10:58 - 11:02ด้วยเหตุผลที่ ว่าตอนนี้เราสามารถเรียกคืนความทรงจำได้
-
11:02 - 11:05จะเป็นอย่างไรถ้าหากเราทำอย่างนั้น
และเริ่มที่จะเชื่อมต่อความทรงจำ -
11:05 - 11:08เราอาจเปลี่ยนมันเป็นความทรงจำที่ผิดเพี้ยนได้หรือไม่
-
11:08 - 11:12เซีย: ความทรงจำ มีความซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงได้ตลอด
-
11:12 - 11:15แต่หากคิดง่ายๆ ลองนึกถึง
-
11:15 - 11:17คลิปวีดีโอ
-
11:17 - 11:19ถึงตอนนี้เราบอกคุณว่า เราสามารถควบคุมมันได้ง่ายๆ โดย
-
11:19 - 11:21กดปุ่ม "เล่น"
-
11:21 - 11:26แล้วเราก็สามารถเล่นวีดีโอได้ทุกที่ ทุกเวลา
-
11:26 - 11:28แต่จะเป็นไปได้ไหมว่าเราอาจจะ
-
11:28 - 11:31เข้าไปในสมอง แล้วตัดต่อคลิปหนังนี้
-
11:31 - 11:34ทำให้มันแตกต่างไปจากของเดิม
-
11:34 - 11:36ใช่ เราทำได้
-
11:36 - 11:38กลายเป็นว่า สิ่งที่เราต้องทำ ง่ายๆก็คือ
-
11:38 - 11:43เรียกคืนความทรงจำด้วยเลเซอร์ เหมือนที่เราทำในงานก่อน
-
11:43 - 11:46แต่ในเวลาเดียวกัน เรามีข้อมูลใหม่ใส่เข้าไปด้วย
-
11:46 - 11:50และให้ข้อมูลใหม่นี้ประสานเข้าไปในข้อมูลเก่า
-
11:50 - 11:53นั่นมันจะเปลี่ยนความทรงจำ
-
11:53 - 11:56มันเหมือนกับการทำ เทปรีมิกซ์
-
11:56 - 11:59สตีฟ: แล้วเราทำได้อย่างไร
-
11:59 - 12:01แทนที่จะค้นหาความทรงจำที่น่ากลัวในสมอง
-
12:01 - 12:03เราเริ่มโดยนำสัตว์ทดลอง
-
12:03 - 12:06ใส่ในกล่องสีน้ำเงินแบบนี้
-
12:06 - 12:08และค้นหาเซลล์สมองส่วนรับรู้เกี่ยวกับกล่องสีน้ำเงิน
-
12:08 - 12:10จากนั้นเรา ทำให้เซลล์นั้นตอบสนองต่อแสง
-
12:10 - 12:12อย่างที่เราพูดก่อนหน้านี้
-
12:12 - 12:14วันต่อมา เรานำหนูทดลอง มาวาง
-
12:14 - 12:17ในกล่องแดงที่มันไม่เคยอยู่มาก่อน
-
12:17 - 12:19เราใช้เลเซอร์ยิงเข้าไปกระตุ้นสมอง
-
12:19 - 12:21เพื่อเรียกคืนความทรงจำกล่องน้ำเงิน
-
12:21 - 12:23จะเกิดอะไรขึ้น หากขณะที่หนูทดลอง
-
12:23 - 12:25กำลังเรียกคืนความทรงจำกล่องน้ำเงิน
-
12:25 - 12:28เราก็ให้กระแสไฟอ่อนช็อคที่เท้ามันด้วย
-
12:28 - 12:30ณ ตรงนี้ เราพยายามสร้าง ความเชื่อมโยงแบบจำแลง
-
12:30 - 12:32ระหว่างความทรงจำกับกล่องน้ำเงิน
-
12:32 - 12:34กับ การช็อคที่เท้า
-
12:34 - 12:35เราพยายามเชื่อมสองสิ่งนั้น
-
12:35 - 12:37เพื่อทดสอบว่าเราทำได้จริงๆ
-
12:37 - 12:38เรานำหนูทดลอง
-
12:38 - 12:40ใส่ในกล่องน้ำเงินอีกครั้ง
-
12:40 - 12:43และเป็นอีกครัง ที่เราเรียกความทรงจำ ตอนที่มันอยู่ในกล่องน้ำเงิน
-
12:43 - 12:45และโดนช็อคเท้าในกล่องแดง
-
12:45 - 12:48ปรากฎว่า หนูมีอาการหยุดนิ่ง
-
12:48 - 12:51เป็นไปดังคาด มันเรียกคืนควาทรงจำที่โดนช็อคในสิ่งแวดล้อมนี้
-
12:51 - 12:54แม้มันไม่เคยเกิดมาก่อนในที่แห่งนี้
-
12:54 - 12:56มันสร้างความทรงจำที่ผิด
-
12:56 - 12:58เพราะมันกลัวในนสิ่งแวดล้อมผิด
-
12:58 - 12:59ซึ่งทางเทคนิค เรากล่าวได้ว่า
-
12:59 - 13:01ไม่มีอะไรเลวร้ายเกิดที่นี่จริงๆ
-
13:01 - 13:04เซีย: ถึงตอนี้ เราแค่กำลังพูดถึง
-
13:04 - 13:06การใช้แสง เป็นปุ่ม "เปิด"
-
13:06 - 13:09จริงๆ แล้ว เราสามารถใช้แสง เป็นปุ่ม "ปิด" ได้ด้วย
-
13:09 - 13:11และคิดง่ายๆ ก็คือ
-
13:11 - 13:14โดยการติดตั้ง ปุ่มปิด ที่ใช้แสงควบคุม
-
13:14 - 13:20เราสามารถปิด ความทรงจำ ที่ไหน เมื่อไหร่ก็ได้
-
13:20 - 13:22ครับ ทุกอย่างที่เราพูดถึงในวันนี้
-
13:22 - 13:26ตั้งอยู่บนการเปลี่ยนแปลงทางปรัชญาของประสาทวิทยาพื้นฐาน
-
13:26 - 13:31ที่ว่าจิตใจ ที่มันเหมือนจะมีคุณสมบัติอันลึกลับ
-
13:31 - 13:34แท้จริงแล้ว มันทำขึ้นจากสิ่งที่จับต้องได้
และเราสามารถเชื่อมต่อมันได้ -
13:34 - 13:36สตีฟ: โดยส่วนตัวแล้ว
-
13:36 - 13:37ผมเห็นโลก ที่เราสามารถกระตุ้นเรียกคืน
-
13:37 - 13:39ความทรงจำใดก็ได้ที่เราต้องการ
-
13:39 - 13:43และผมยังเห็นโลกที่เราสามารถลบความทรงจำที่ไม่ต้องการได้
-
13:43 - 13:45ตอนนี้ ผมเห็นแม้กระทั่งโลก ที่การถปรับแต่งความทรงจำ
-
13:45 - 13:46ใกล้ความเป็นจริง
-
13:46 - 13:48เพราะเรากำลังอยู่ในช่วงเวลาแห่งความเป็นไปได้
-
13:48 - 13:50ที่จะดึงคำถามจากต้นไม้แห่งนิยายวิทยาศาสตร์
-
13:50 - 13:52และปลูกมันในการทดลองจริง
-
13:52 - 13:54เซีย: ทุกวันนี้ คนในห้องทดลอง
-
13:54 - 13:57และคนกลุ่มอื่นๆทั่วโลก
-
13:57 - 14:01กำลังใช้วิธีเดียวกันนี้กระตุ้นหรือปรับแต่งความทรงจำ
-
14:01 - 14:04ไม่ว่าจะเป็นสิ่ง ใหม่ เก่า บวกหรือลบ
-
14:04 - 14:07ทุกประเภทของความทรงจำ เพื่อที่เราจะสามารถเข้าใจ
-
14:07 - 14:09ว่าความทรงจำทำงานอย่างไร
-
14:09 - 14:11สตีฟ: ตัวอย่างเช่น คนในกลุ่มเรา
-
14:11 - 14:13สามารถพบเซลล์สมองที่สร้างความทรงจำน่ากลัว
-
14:13 - 14:16แล้วปรับเปลี่ยนเป็นความทรงจำที่สวยงามน่าพิศมัย
-
14:16 - 14:19นั่นคือสิ่งที่ผมหมายถึง เกี่ยวกับการปรับแต่งกระบวนการเหล่านี้
-
14:19 - 14:21ตอนนี้คนหนึ่งในทีม ทำได้กระทั่ง
-
14:21 - 14:24เรียกคืนความทรงจำเกี่ยวกับหนูตัวเมีย ในหนูตัวผู้
-
14:24 - 14:26ซึ่งลือกันว่ามันเป็นประสบการณ์ที่น่าพิศมัยเชียว
-
14:26 - 14:31เซีย: แน่นอน เราอยู่ในช่วงเวลาแห่งความตื่นเต้น
-
14:31 - 14:34เมื่อวิทยาศาสตร์ สามารถก้าวหน้าได้อย่างไร้ขอบเขต
-
14:34 - 14:38มันถูกจำกัดเพียงแค่จินตนาการของเรา
-
14:38 - 14:40สตีฟ: สุดท้าย เราได้อะไรจากทั้งหมดนี้
-
14:40 - 14:42เราจะผลักดันเทคโนโลยีนี้ไปข้างหน้าได้อย่างไร
-
14:42 - 14:44นี่ยังคงมีคำถามที่ไม่ควรเก็บไว้
-
14:44 - 14:45เพียงแต่ในห้องทดลอง
-
14:45 - 14:48และเป้าหมายหนึ่งของการบรรยายของเราในวันนี้ คือการนำทุกคน
-
14:48 - 14:50ทันกับสิ่งเหล่านี้ที่เป็นไปได้
-
14:50 - 14:52ในประสาทวิทยาสมัยใหม่
-
14:52 - 14:53แต่ตอนนี้ สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน
-
14:53 - 14:56ก็คือ เพื่อให้ทุกท่านมีส่วนร่วมคิดในบทสนทนานี้
-
14:56 - 14:59ลองช่วยกันคิดด้วยกัน ว่าทั้งหมดนี้มันคืออะไร
-
14:59 - 15:01เราจะสามารถทำสิ่งใดได้ และควรดำเนินไปในลู่ทางใด
-
15:01 - 15:03เพราะ เซียและผมคิดว่า เราทุกคน
-
15:03 - 15:06มีการตัดสินใจครั้งใหญ่ รอเราอยู่ข้างหน้า
-
15:06 - 15:07ขอบคุณครับ
-
15:07 - 15:09(เสียงปรบมือ)
- Title:
- หนูทดลอง เลเซอร์ ความทรงจำที่บิดเบือน
- Speaker:
- สตีฟ รามิเรส (Steve Ramirez) และ เซีย หลิว (Xu Liu)
- Description:
-
เราสามารถปรับแต่งความทรงจำได้ไหม? โจทย์จากเรื่องราวในภาพยนต์วิทยาศาสตร์ ที่ทำให้ สตีฟ รามิเรส และเซีย หลู นักวิทยาศาสตร์แห่ง MIT นำไปขมคิด. โดยย่อ มันคือการยิงแสงเลเซอร์สู่สมองของหนูทดลองที่มีชีวิต เพื่อเรียกคืนและปรับแต่งความทรงจำ พวกเขา นำผลงานมาเล่าอย่างสนุกสนาน น่าตื่นเต้น พวกเขาแบ่งปันเรื่องให้เราฟัง ไม่เพียงแค่ "อย่างไร" แต่ทีสำคัญ คือ "ทำไม" พวกเขาจึงทำมัน (ถ่ายทำที่ TEDxBoston)
- Video Language:
- English
- Team:
- closed TED
- Project:
- TEDTalks
- Duration:
- 15:25
Kelwalin Dhanasarnsombut approved Thai subtitles for A mouse. A laser beam. A manipulated memory. | ||
Kelwalin Dhanasarnsombut edited Thai subtitles for A mouse. A laser beam. A manipulated memory. | ||
Kelwalin Dhanasarnsombut edited Thai subtitles for A mouse. A laser beam. A manipulated memory. | ||
Kelwalin Dhanasarnsombut accepted Thai subtitles for A mouse. A laser beam. A manipulated memory. | ||
Kelwalin Dhanasarnsombut commented on Thai subtitles for A mouse. A laser beam. A manipulated memory. | ||
Kelwalin Dhanasarnsombut edited Thai subtitles for A mouse. A laser beam. A manipulated memory. | ||
Kelwalin Dhanasarnsombut edited Thai subtitles for A mouse. A laser beam. A manipulated memory. | ||
Kelwalin Dhanasarnsombut edited Thai subtitles for A mouse. A laser beam. A manipulated memory. |
Kelwalin Dhanasarnsombut
Nice translation so far ka. Have edited few places here and there, please let me know what do you think na ka.
Will continue with it soon ka :)
Kelwalin Dhanasarnsombut
เติมคำเข้าไปเยอะเหมือนกันค่ะ เพราะบางข้อความพอคำตกหล่นไปแล้ว ความหมายเปลี่ยนไปเยอะพอสมควร บางทีประโยคก็ไม่สมบูรณ์อ่านแล้วอาจติดๆขัดๆน่ะค่ะ ต้องขออภัยด้วยถ้าเปลี่ยนน้ำเสียงในการแปลของคุณไปนะคะ
ยังไงช่วยศึกษาตรวจทานอีกทีนะคะ แล้วเทียบกับกฎคราวๆของการแปลค่ะ (เช่นการแปลคำว่า laughter ในวงเล็บว่า เสียงหัวเราะ แทนที่จะเป็น หัวเราะ) ถ้าใช้ google translate หรือโปรแกรมช่วยแปลต้องระวังนิดนึง แต่ที่เหลือดีมากค่ะ ทั้งการใช้คำและแบ่งวรรคตอน ไม่ค่อยมีคำผิด ดีเลยค่ะ การแปลให้คงโทนของผู้แปลต้องค่อยๆฝึกกัน มันท้าทายพอสมควรเลยค่ะ และอีกอย่างทอล์คนี้ท้าทายเรื่องคำศัพท์ด้วย ทำได้แค่นี้สำหรับงานแรกๆก็เก่งแล้วค่ะ พยายามต่อไปนะคะ ถ้าอยากแก้ บอกให้ทราบด้วยนะคะ จะยินดีมากค่ะ
ขอบคุณสำหรับงานแปลค่ะ