-
(เสียงระฆัง)
-
หากไม่มีการเกิดและการตาย
-
เราก็เหมือนถูกสาปให้มีชีวิตอยู่ตลอดไป
ชาติแล้วชาติเล่า
-
สำหรับผมแล้วนี่ไม่ใช่ทางพ้นทุกข์
แต่เป็นความทุกข์และความสิ้นหวังต่างหาก
-
ถ้าธรรมชาติที่แท้จริงของเรา
ไม่มีการเกิดและตาย
-
ก็หมายความว่า เราจะต้องอยู่ตลอดไป
-
เกิดแล้วเกิดอีก เกิดแล้วเกิดอีก
-
สำหรับผมแล้ว
คำสอนที่ว่าไม่มีการเกิด การตายนั้น
-
ไม่ใช่ทางแก้ปัญหา แต่เป็นปัญหาต่างหาก
-
(เสียงหัวเราะ)
-
คือผมไม่รู้สึก...เอิ่ม
-
คือผมไม่เข้าใจจริงจัง แถมยังรู้สึกหดหู่
ปนงงกับคำสอนจริงๆ นะครับ
-
คือมันไม่ใช่แค่คิดนะครับ แต่รู้สึกด้วย
-
สำหรับผม มันไม่ได้ช่วยอะไรผมเลย
นอกจากทำให้หดหู่และเซ็งชีวิตหนักขึ้น
-
สำหรับผม ถ้าผมตายก็อยากจะตายไปเลยมากกว่า
-
ดีกว่าต้องกลับชาติมามีชีวิตอีกครั้ง
-
(แม่ชี)
นมัสการท่านอาจารย์ สวัสดีญาติธรรมทุกท่าน
-
กัลยาณมิตรท่านนี้บอกว่า
-
คำสอนเกี่ยวกับธรรมชาติที่แท้จริง
ที่ว่าไม่มีการเกิดและการตายนั้น
-
ดูเหมือนจะบอกว่าเราต้องอยู่ตลอดไป
-
สำหรับเขาแล้ว นี่ไม่ใช่ทางพ้นทุกข์
-
แต่กลับเป็นความทุกข์อย่างหนึ่ง
-
ซึ่งไม่ใช่แต่เพียงคิดเอาเท่านั้น
-
แต่เกิดความกลัวและสิ้นหวังอย่างจริงจัง
-
สำหรับเขาแล้ว มันคงจะดีกว่า
-
ที่จะตายแล้วเกิดใหม่
-
...ถ้าทำได้
-
(เสียงหัวเราะ)
-
เพราะถ้าเราตายได้ ก็หมายความว่า
ชีวิตนั้นมีจำกัดและมีคุณค่า
-
ฉะนั้นเราก็ควร
จะหาความสุขใส่ตัวให้มากที่สุด
-
แต่ถ้าเราเกิดใหม่อยู่ต่อไปเรื่อยๆ
-
ช้าเร็วเราก็ต้องเบื่อแน่นอน
-
(เสียงหัวเราะ)
-
โลกนี้มีคนอยู่สองประเภท
-
(เสียงหัวเราะ)
-
ประเภทหนึ่ง อยากมีชีวิตอยู่ตลอดไป
-
พวกนี้กลัวตายมาก
-
ในประวัติศาสตร์มนุษยชาติเราจึงพบว่า
-
หลายต่อหลายคนแสวงหาความเป็นอมตะ
-
ในลัทธิเต๋า ก็มีความพยายามทดลอง
สมุนไพร ยา สารเคมีต่างๆ
-
ที่ช่วยให้เป็นอมตะ
-
ก็คือ...คือ...
-
พวกเขาแสวงหาชีวิตอันเป็นนิรันดร์
-
เบื้องหลังของความปรารถนาอย่างนั้น
-
คือความกลัวการดับสูญ
-
กลัวการไม่มีตัวตน
-
ไม่อยากจะเปลี่ยนผ่านจาก "ความมีตัวตน"
-
ไปสู่ความไม่มี
มันเป็นความคิดที่น่ากลัว
-
เราต้องมาทำความเข้าใจ
พวกที่แสวงหาความอมตะ
-
ผู้ไม่ปรารถนาต่อความตาย
-
พวกเขาก็เป็นทุกข์กับ
ความคิด ความเชื่อเช่นนั้น
-
เที่ยวแสวงหาหนทางแห่งความไม่ตาย
-
หวาดหวั่นต่อความรู้สึกไม่มีตัวตน
-
ขณะที่
-
บางพวก กลับเหนื่อยหน่ายกับการมีชีวิตอยู่
-
พออายุผ่านไป 50, 70 ปี หรือบางที 30
ก็เริ่มเบื่อ
-
รู้สึกว่าการจะมีชีวิตอยู่ต่อไปนั้น
เป็นทุกข์เหลือเกิน
-
พวกนี้จึงปรารถนาภาวะของความไม่มีตัวตน
-
บางคนคิดว่าการฆ่าตัวตาย
-
เป็นทางพ้นทุกข์
-
เป็นการเปลี่ยนผ่านจากความ "มี"
ไปสู่ความ "ไม่มี"
-
และความปรารถนาเช่นนี้
มีรากมาจากความเห็นที่ผิด
-
ที่เข้าใจว่ามีสภาวะบางอย่าง
ที่เรียกว่า "ความไม่มีตัวตน"
-
"ความไม่คงอยู่"
-
"ความดับสูญ"
-
จึงอยากจะบรรลุถึงสภาวะอย่างนั้น
เพื่อว่าจะได้ไม่ต้องมาทนทุกข์อีกต่อไป
-
ไม่ต้องทนเบื่ออีกต่อไป
-
ถึงได้ปรารถนาสภาวะแห่ง "ความไม่มี"
-
เพื่อที่....จะหายไป
-
และความปรารถนาอย่างนี้
ก็มีฐานมาจากความเห็นผิดเช่นกัน
-
ทีนี้...มุมมองที่ถูกต้องคือ
-
การเกิด และการตาย
หรือความมีชีวิต และความตาย
-
เป็นสิ่งที่มาเป็นคู่ "ด้วยกันเสมอ"
-
เราจะไปแยกอย่างหนึ่ง
ออกจากอีกอย่างหนึ่งไม่ได้เลย
-
คือ ตอนนี้
เธอกำลังแสวงหา "ภาวะความตาย (ดับ)"
-
แล้วก็พยายามแยกเอา "ภาวะความมีชีวิต"
ออกมาต่างหาก
-
มันเป็นไปไม่ได้เลย
-
เพราะสองสิ่งนี้มา "คู่กันเสมอ"
เหมือนข้างซ้ายและข้างขวา
-
เราจะไปแยกซ้ายออกจากขวาไม่ได้
-
หรือจะแยกขวาออกจากซ้ายก็ไม่ได้
-
มันเป็นกฏของธรรมชาติเลย ซึ่งเราจะเห็นได้
เมื่อเราเจริญสติลึกลงไปภายใน
-
เราจะเห็นได้เลยว่าพวกนี้เป็นเพียง
"การสมมติเรียกขึ้นมาเท่านั้น"
-
คำว่า "ซ้าย" หรือ "ขวา"
เป็นคำพูดในหัวต่างหาก
-
เป็นความคิดมากเสียกว่าความเป็นจริง
-
ฉะนั้นคำพูดประเภท เบื่อ-ไม่เบื่อ
-
ทุกข์ - สุข
มีตัวตน - ไม่มีตัวตน
-
เป็นเพียงการ "จำแนกด้วยความคิด"
-
จากฐานการตีความของสมอง
หาใช่ความเป็นจริง
-
เราทำราวกับว่าเรารู้ว่าอะไรคือความจริง
-
และ..เราก็เพียงแค่ต้องการ
จัดหมวดหมู่ความจริง
-
แต่ความจริงที่เราคิดว่าเรา "รู้" เนี่ย
-
เป็นเพียงการตีความของจิต
-
"เกิด" และ "ตาย" ก็เป็นเพียง
การตีความของความคิด
-
มันไม่ใช่ความเป็นจริง
-
และเราก็ได้เรียนในคอร์สภาวนานี้
-
ว่า "การเกิด" "ชีวิต" และ "ความตาย"
-
เป็นเพียงทัศนะ หาใช่ความจริงไม่
-
รวมไปถึง "การคงอยู่" หรือ "การไม่คงอยู่"
เป็นความตรงข้ามที่มาเป็นคู่
-
ที่เป็นพื้นฐานของทัศนะ
"ความเกิด" และ "ความตาย"
-
และถ้าฟังจากคำถามของเธอจะบอกชัดว่า
-
เธอยังคงเชื่อ ใน...
-
ในความมีตัวตน เชื่อว่ามีวิญญาณ...
-
ที่จะคงอยู่ชั่วนิรันดร์
-
แต่ในความเป็นจริงมันไม่ใช่อย่างนั้น
-
ไม่มีสิ่งใดเลย ที่จะสามารถ
คงที่ไม่เปลี่ยนแปลง
-
แม้สักช่วงขณะเดียว
-
แล้วใครกันล่ะที่เบื่อ?
-
เพราะเธอ ณ ขณะนี้
-
ก็ไม่ใช่เธอเมื่อตะกี้
-
ทั้งนี้เพราะเรายังดูลงไปไม่ลึกพอ
-
ยังไม่สัมผัสถึงธรรมชาติแท้จริง ที่ไม่มี
การแบ่งแยก "ความเกิด - ความดับ"
-
ไม่มี "ของตน - ของผู้อื่น"
ไม่มี "ความคงอยู่ - ไม่คงอยู่"
-
ผู้ปรารถนาจะแจ้งในนิพพาน
-
อาจจะมีความคิดแบบนี้ก็ได้ว่า
เมื่อได้สัมผัสนิพพานแล้ว
-
เราไม่ต้องเกิดอีกต่อไป
-
ว่าเรา (ตอนนี้) อยู่ในสถานะของ
"ความไม่เป็นอะไร"
-
นั่นเป็น "มิจฉาทิฏฐิ" ที่สุดในเรื่องนิพพาน
-
เข้าใจว่านิพพานคือ การดับสิ้น
-
สำหรับบางคน การดับสิ้น คือทางพ้นทุกข์
-
เพราะไม่ต้องเกิดใหม่เพื่อเป็นทุกข์อีกต่อไป
-
นี่คือ "ความเห็นผิด"
-
คนจำนวนมาก ไปจนถึงนักศึกษา
ศาสนาพุทธชาวตะวันตก
-
เชื่อว่าเป้าหมายของศาสนาพุทธคือ
"การดับสูญ"
-
การอยู่ในสภาพ "ไม่เป็นอะไร" ชั่วนิรันดร์
-
ทว่าพระพุทธเจ้าได้ทรงตรัส
"ปฏิเสธ" หลายครั้งเหลือเกินว่า
-
เป้าหมายของเรา
"ไม่ใช่การบรรลุสู่ความไม่มีไม่เป็นอะไร"
-
หรือเพื่อ...เพื่อ...
-
"บรรลุสู่การขาดสูญ"
-
ทรงตรัสย้ำเสมอว่า
-
"เราไม่ได้สอนให้บรรลุถึงความดับสูญ
-
แต่เราแสดงให้เห็นถึง
-
ภาวะที่อยู่เหนือเลยขึ้นไป
ทั้งจากมุมมองสมมติแห่ง
-
"ความขาดสูญ และ ความมีตัวตนเที่ยงแท้"
-
ซึ่งเป็นสองสิ่งที่เป็นคู่ตรงข้ามกัน
-
ความอมตะ เป็นความสุดโต่งข้างหนึ่ง
-
วิญญาณที่ไม่มีวันตาย
-
คือความเห็นสุดโต่งไปข้างหนึ่ง
-
และความขาดสูญ
ก็เป็นความสุดโต่งอีกข้างหนึ่ง
-
ดังนั้น สัมมาทิฏฐิ (มุมมองที่ถูกต้อง) คือ
การมองข้ามพ้นสมมติทั้ง 2 นี้
-
ความคงอยู่ชั่วนิรันดร์
-
และ....
-
ความดับสูญสู่ความไม่มีอะไร
-
ฉะนั้น การมาเจริญสติเข้ามาดู
ก็เพื่อละมุมมองที่ผิดเหล่านี้
-
มีมุมมองสมมติแห่ง
ความเป็นคู่ มากมายที่รอให้เราละ
-
และเมื่อเราละทัศนะเหล่านี้ออกไปได้
-
เราจะพบสันติสุข
-
ไม่มีความกังวลอีกต่อไป
-
โดยเฉพาะ เลิกกังวลว่าจะมี
"เรา" ที่จะต้อง
-
ไปเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏ
-
มันไม่มีการเกิดและการตายที่แท้จริง
-
ไม่มีใคร ที่ต้องไปเกิดไปตาย
-
ทั้งหมดเป็นเพียงสมมติเท่านั้น
-
เมื่อเห็นแจ้งอย่างนี้ จะรู้สึกโปร่งโล่ง
-
เราจะไม่กลัวอีกต่อไป
-
เราจะเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่าง
เปลี่ยนสู่สภาพใหม่อยู่ตลอดเวลา
-
ปีติและความสุขจึงเกิดขึ้นได้
-
ความจางคลายแห่งทุกข์จึงเกิดขึ้นได้
-
และด้วยมุมมองนี้เอง เราสามารถช่วยใครต่อใคร
อีกหลายคน ให้เป็นทุกข์น้อยลง
-
ชีวิตย่อมมีความหมาย
-
เราจะไม่รู้สึกเหนื่อยหน่าย
ซังกะตายในชีวิต
-
เพราะรู้ว่าชีวิตนั้นมีความหมาย
-
มีประโยชน์
-
รู้ว่าสามารถส่งผ่านความเห็นอกเห็นใจ
และความปรีดา
-
ช่วยเยียวยาความทุกข์ในโลก
-
ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าวิญญาณจะเที่ยง
-
หรือ...หรือ...
-
ไม่เที่ยง
จะมองว่าคงอยู่ตลอดไป
-
หรือจะมองว่าขาดสูญ
-
เพราะใจเป็นอิสระต่อทิฏฐิเหล่านี้
-
ฉะนั้น นิพพาน อย่างแรกเลยคือ
-
เป็นความดับทุกข์ในแบบที่ว่านี้
โดยสิ้นเชิง
-
เช่น ความกลัว ความโกรธ ความผิดหวัง
-
ความดับทุกข์โดยสิ้นเชิงนี้จะเป็นไปได้
ก็ต่อเมื่อ
-
เธอสามารถขจัดความคิดของสิ่งที่เป็นของคู่
อย่างเกิดและตาย
-
มีตัวตน และไม่มีตัวตน
-
ดังนั้น เราสามารถนิยาม "นิพพาน" แบบชัดเจน
-
ว่าเป็นภาวะปราศจากการคิดปรุงแต่ง
-
และความสิ้นทุกข์ก็เริ่มต้นจากตรงนี้แหละ
-
(เสียงหัวเราะ)
-
ดีมาก! ยิ้มสวย!
-
(เสียงหัวเราะ)
-
ยิ้มสวยมาก
-
เชื่อมโยง บันดาลใจ เติมเต็ม
-
(เสียงระฆัง)