WEBVTT 00:00:01.528 --> 00:00:04.280 (เสียงระฆัง) 00:00:06.280 --> 00:00:09.360 หากไม่มีการเกิดและการตาย 00:00:09.450 --> 00:00:13.880 เราก็เหมือนถูกสาปให้มีชีวิตอยู่ตลอดไป ชาติแล้วชาติเล่า 00:00:13.890 --> 00:00:31.573 สำหรับผมแล้วนี่ไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ แต่เป็นความทุกข์และความสิ้นหวังต่างหาก 00:00:33.573 --> 00:00:38.286 ถ้าธรรมชาติที่แท้จริงของเรา ไม่มีการเกิดและตาย 00:00:38.466 --> 00:00:43.634 ก็หมายความว่า เราจะต้องอยู่ตลอดไป 00:00:43.787 --> 00:00:46.660 เกิดแล้วเกิดอีก เกิดแล้วเกิดอีก 00:00:47.911 --> 00:00:50.884 สำหรับผมแล้ว คำสอนที่ว่าไม่มีการเกิด การตายนั้น 00:00:51.294 --> 00:00:53.947 ไม่ใช่ทางแก้ปัญหา แต่เป็นปัญหาต่างหาก 00:00:53.977 --> 00:00:55.367 (เสียงหัวเราะ) 00:00:55.967 --> 00:00:58.141 คือผมไม่รู้สึก...เอิ่ม 00:00:58.349 --> 00:01:05.844 คือผมไม่เข้าใจจริงจัง แถมยังรู้สึกหดหู่ ปนงงกับคำสอนจริงๆ นะครับ 00:01:05.928 --> 00:01:11.906 คือมันไม่ใช่แค่คิดนะครับ แต่รู้สึกด้วย 00:01:12.000 --> 00:01:16.408 สำหรับผม มันไม่ได้ช่วยอะไรผมเลย นอกจากทำให้หดหู่และเซ็งชีวิตหนักขึ้น 00:01:16.649 --> 00:01:18.598 สำหรับผม ถ้าผมตายก็อยากจะตายไปเลยมากกว่า 00:01:18.688 --> 00:01:22.181 ดีกว่าต้องกลับชาติมามีชีวิตอีกครั้ง 00:01:24.490 --> 00:01:26.562 (แม่ชี) นมัสการท่านอาจารย์ สวัสดีญาติธรรมทุกท่าน 00:01:26.625 --> 00:01:28.139 กัลยาณมิตรท่านนี้บอกว่า 00:01:28.234 --> 00:01:32.421 คำสอนเกี่ยวกับธรรมชาติที่แท้จริง ที่ว่าไม่มีการเกิดและการตายนั้น 00:01:32.438 --> 00:01:36.042 ดูเหมือนจะบอกว่าเราต้องอยู่ตลอดไป 00:01:36.375 --> 00:01:40.506 สำหรับเขาแล้ว นี่ไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ 00:01:40.642 --> 00:01:42.880 แต่กลับเป็นความทุกข์อย่างหนึ่ง 00:01:42.904 --> 00:01:44.144 ซึ่งไม่ใช่แต่เพียงคิดเอาเท่านั้น 00:01:44.194 --> 00:01:47.972 แต่เกิดความกลัวและสิ้นหวังอย่างจริงจัง 00:01:48.091 --> 00:01:51.048 สำหรับเขาแล้ว มันคงจะดีกว่า 00:01:51.139 --> 00:01:53.896 ที่จะตายแล้วเกิดใหม่ 00:01:54.295 --> 00:01:55.690 ...ถ้าทำได้ 00:01:55.819 --> 00:01:57.776 (เสียงหัวเราะ) 00:01:58.067 --> 00:02:02.408 เพราะถ้าเราตายได้ ก็หมายความว่า ชีวิตนั้นมีจำกัดและมีคุณค่า 00:02:02.468 --> 00:02:04.809 ฉะนั้นเราก็ควร จะหาความสุขใส่ตัวให้มากที่สุด 00:02:04.849 --> 00:02:06.503 แต่ถ้าเราเกิดใหม่อยู่ต่อไปเรื่อยๆ 00:02:06.563 --> 00:02:09.823 ช้าเร็วเราก็ต้องเบื่อแน่นอน 00:02:09.865 --> 00:02:14.196 (เสียงหัวเราะ) 00:02:17.467 --> 00:02:19.517 โลกนี้มีคนอยู่สองประเภท 00:02:19.787 --> 00:02:21.359 (เสียงหัวเราะ) 00:02:21.457 --> 00:02:27.990 ประเภทหนึ่ง อยากมีชีวิตอยู่ตลอดไป 00:02:28.053 --> 00:02:31.084 พวกนี้กลัวตายมาก 00:02:31.651 --> 00:02:35.369 ในประวัติศาสตร์มนุษยชาติเราจึงพบว่า 00:02:35.419 --> 00:02:39.409 หลายต่อหลายคนแสวงหาความเป็นอมตะ 00:02:41.698 --> 00:02:49.188 ในลัทธิเต๋า ก็มีความพยายามทดลอง สมุนไพร ยา สารเคมีต่างๆ 00:02:49.263 --> 00:02:52.765 ที่ช่วยให้เป็นอมตะ 00:02:56.021 --> 00:02:59.351 ก็คือ...คือ... 00:02:59.753 --> 00:03:05.759 พวกเขาแสวงหาชีวิตอันเป็นนิรันดร์ 00:03:08.909 --> 00:03:13.715 เบื้องหลังของความปรารถนาอย่างนั้น 00:03:13.787 --> 00:03:23.295 คือความกลัวการดับสูญ 00:03:23.469 --> 00:03:28.014 กลัวการไม่มีตัวตน 00:03:29.091 --> 00:03:31.539 ไม่อยากจะเปลี่ยนผ่านจาก "ความมีตัวตน" 00:03:31.589 --> 00:03:35.543 ไปสู่ความไม่มี มันเป็นความคิดที่น่ากลัว 00:03:36.017 --> 00:03:40.559 เราต้องมาทำความเข้าใจ พวกที่แสวงหาความอมตะ 00:03:40.589 --> 00:03:42.851 ผู้ไม่ปรารถนาต่อความตาย 00:03:42.882 --> 00:03:45.653 พวกเขาก็เป็นทุกข์กับ ความคิด ความเชื่อเช่นนั้น 00:03:45.828 --> 00:03:50.632 เที่ยวแสวงหาหนทางแห่งความไม่ตาย 00:03:51.569 --> 00:03:55.922 หวาดหวั่นต่อความรู้สึกไม่มีตัวตน 00:03:58.454 --> 00:03:59.873 ขณะที่ 00:03:59.913 --> 00:04:04.583 บางพวก กลับเหนื่อยหน่ายกับการมีชีวิตอยู่ 00:04:07.159 --> 00:04:15.587 พออายุผ่านไป 50, 70 ปี หรือบางที 30 ก็เริ่มเบื่อ 00:04:18.473 --> 00:04:22.744 รู้สึกว่าการจะมีชีวิตอยู่ต่อไปนั้น เป็นทุกข์เหลือเกิน 00:04:23.589 --> 00:04:28.464 พวกนี้จึงปรารถนาภาวะของความไม่มีตัวตน 00:04:30.233 --> 00:04:33.895 บางคนคิดว่าการฆ่าตัวตาย 00:04:33.895 --> 00:04:36.715 เป็นทางพ้นทุกข์ 00:04:36.715 --> 00:04:41.992 เป็นการเปลี่ยนผ่านจากความ "มี" ไปสู่ความ "ไม่มี" NOTE Paragraph 00:04:42.826 --> 00:04:50.237 และความปรารถนาเช่นนี้ มีรากมาจากความเห็นที่ผิด 00:04:51.133 --> 00:04:54.594 ที่เข้าใจว่ามีสภาวะบางอย่าง ที่เรียกว่า "ความไม่มีตัวตน" 00:04:55.049 --> 00:04:57.546 "ความไม่คงอยู่" 00:04:59.504 --> 00:05:01.976 "ความดับสูญ" 00:05:02.757 --> 00:05:10.985 จึงอยากจะบรรลุถึงสภาวะอย่างนั้น เพื่อว่าจะได้ไม่ต้องมาทนทุกข์อีกต่อไป 00:05:11.252 --> 00:05:14.483 ไม่ต้องทนเบื่ออีกต่อไป 00:05:14.673 --> 00:05:17.379 ถึงได้ปรารถนาสภาวะแห่ง "ความไม่มี" 00:05:17.602 --> 00:05:22.424 เพื่อที่....จะหายไป 00:05:22.879 --> 00:05:26.944 และความปรารถนาอย่างนี้ ก็มีฐานมาจากความเห็นผิดเช่นกัน 00:05:27.085 --> 00:05:31.419 ทีนี้...มุมมองที่ถูกต้องคือ NOTE Paragraph 00:05:31.973 --> 00:05:35.048 การเกิด และการตาย หรือความมีชีวิต และความตาย 00:05:35.098 --> 00:05:37.277 เป็นสิ่งที่มาเป็นคู่ "ด้วยกันเสมอ" 00:05:37.297 --> 00:05:41.152 เราจะไปแยกอย่างหนึ่ง ออกจากอีกอย่างหนึ่งไม่ได้เลย 00:05:42.696 --> 00:05:46.426 คือ ตอนนี้ เธอกำลังแสวงหา "ภาวะความตาย (ดับ)" 00:05:46.831 --> 00:05:50.374 แล้วก็พยายามแยกเอา "ภาวะความมีชีวิต" ออกมาต่างหาก 00:05:50.607 --> 00:05:52.449 มันเป็นไปไม่ได้เลย 00:05:52.489 --> 00:05:58.796 เพราะสองสิ่งนี้มา "คู่กันเสมอ" เหมือนข้างซ้ายและข้างขวา 00:05:58.839 --> 00:06:01.570 เราจะไปแยกซ้ายออกจากขวาไม่ได้ 00:06:01.635 --> 00:06:03.891 หรือจะแยกขวาออกจากซ้ายก็ไม่ได้ 00:06:03.941 --> 00:06:09.568 มันเป็นกฏของธรรมชาติเลย ซึ่งเราจะเห็นได้ เมื่อเราเจริญสติลึกลงไปภายใน 00:06:10.465 --> 00:06:16.300 เราจะเห็นได้เลยว่าพวกนี้เป็นเพียง "การสมมติเรียกขึ้นมาเท่านั้น" 00:06:16.836 --> 00:06:21.703 คำว่า "ซ้าย" หรือ "ขวา" เป็นคำพูดในหัวต่างหาก 00:06:21.842 --> 00:06:25.781 เป็นความคิดมากเสียกว่าความเป็นจริง 00:06:27.102 --> 00:06:30.105 ฉะนั้นคำพูดประเภท เบื่อ-ไม่เบื่อ 00:06:30.155 --> 00:06:33.630 ทุกข์ - สุข มีตัวตน - ไม่มีตัวตน 00:06:33.650 --> 00:06:38.745 เป็นเพียงการ "จำแนกด้วยความคิด" 00:06:38.893 --> 00:06:44.186 จากฐานการตีความของสมอง หาใช่ความเป็นจริง 00:06:45.795 --> 00:06:50.636 เราทำราวกับว่าเรารู้ว่าอะไรคือความจริง 00:06:51.399 --> 00:06:56.381 และ..เราก็เพียงแค่ต้องการ จัดหมวดหมู่ความจริง 00:06:56.468 --> 00:06:59.545 แต่ความจริงที่เราคิดว่าเรา "รู้" เนี่ย 00:06:59.595 --> 00:07:02.896 เป็นเพียงการตีความของจิต 00:07:03.029 --> 00:07:07.841 "เกิด" และ "ตาย" ก็เป็นเพียง การตีความของความคิด 00:07:10.683 --> 00:07:14.511 มันไม่ใช่ความเป็นจริง 00:07:14.695 --> 00:07:16.591 และเราก็ได้เรียนในคอร์สภาวนานี้ 00:07:16.591 --> 00:07:20.071 ว่า "การเกิด" "ชีวิต" และ "ความตาย" 00:07:20.071 --> 00:07:23.030 เป็นเพียงทัศนะ หาใช่ความจริงไม่ 00:07:23.030 --> 00:07:27.992 รวมไปถึง "การคงอยู่" หรือ "การไม่คงอยู่" เป็นความตรงข้ามที่มาเป็นคู่ 00:07:28.458 --> 00:07:36.353 ที่เป็นพื้นฐานของทัศนะ "ความเกิด" และ "ความตาย" 00:07:36.751 --> 00:07:39.807 และถ้าฟังจากคำถามของเธอจะบอกชัดว่า 00:07:39.807 --> 00:07:42.567 เธอยังคงเชื่อ ใน... 00:07:42.737 --> 00:07:46.624 ในความมีตัวตน เชื่อว่ามีวิญญาณ... 00:07:46.654 --> 00:07:49.778 ที่จะคงอยู่ชั่วนิรันดร์ 00:07:49.788 --> 00:07:52.890 แต่ในความเป็นจริงมันไม่ใช่อย่างนั้น 00:07:52.890 --> 00:07:55.464 ไม่มีสิ่งใดเลย ที่จะสามารถ คงที่ไม่เปลี่ยนแปลง 00:07:55.464 --> 00:07:58.295 แม้สักช่วงขณะเดียว 00:07:59.489 --> 00:08:04.430 แล้วใครกันล่ะที่เบื่อ? 00:08:05.055 --> 00:08:07.084 เพราะเธอ ณ ขณะนี้ 00:08:07.084 --> 00:08:13.349 ก็ไม่ใช่เธอเมื่อตะกี้ 00:08:15.202 --> 00:08:19.333 ทั้งนี้เพราะเรายังดูลงไปไม่ลึกพอ 00:08:19.554 --> 00:08:25.959 ยังไม่สัมผัสถึงธรรมชาติแท้จริง ที่ไม่มี การแบ่งแยก "ความเกิด - ความดับ" 00:08:26.511 --> 00:08:30.650 ไม่มี "ของตน - ของผู้อื่น" ไม่มี "ความคงอยู่ - ไม่คงอยู่" 00:08:31.180 --> 00:08:37.415 ผู้ปรารถนาจะแจ้งในนิพพาน 00:08:38.731 --> 00:08:46.155 อาจจะมีความคิดแบบนี้ก็ได้ว่า เมื่อได้สัมผัสนิพพานแล้ว 00:08:46.659 --> 00:08:51.346 เราไม่ต้องเกิดอีกต่อไป 00:08:51.739 --> 00:08:56.506 ว่าเรา (ตอนนี้) อยู่ในสถานะของ "ความไม่เป็นอะไร" 00:09:00.019 --> 00:09:04.983 นั่นเป็น "มิจฉาทิฏฐิ" ที่สุดในเรื่องนิพพาน 00:09:05.331 --> 00:09:10.127 เข้าใจว่านิพพานคือ การดับสิ้น 00:09:10.497 --> 00:09:14.412 สำหรับบางคน การดับสิ้น คือทางพ้นทุกข์ 00:09:14.512 --> 00:09:19.966 เพราะไม่ต้องเกิดใหม่เพื่อเป็นทุกข์อีกต่อไป 00:09:21.595 --> 00:09:23.307 นี่คือ "ความเห็นผิด" 00:09:23.399 --> 00:09:29.033 คนจำนวนมาก ไปจนถึงนักศึกษา ศาสนาพุทธชาวตะวันตก 00:09:29.190 --> 00:09:36.807 เชื่อว่าเป้าหมายของศาสนาพุทธคือ "การดับสูญ" 00:09:41.250 --> 00:09:44.356 การอยู่ในสภาพ "ไม่เป็นอะไร" ชั่วนิรันดร์ 00:09:44.460 --> 00:09:50.893 ทว่าพระพุทธเจ้าได้ทรงตรัส "ปฏิเสธ" หลายครั้งเหลือเกินว่า 00:09:50.951 --> 00:09:54.174 เป้าหมายของเรา "ไม่ใช่การบรรลุสู่ความไม่มีไม่เป็นอะไร" 00:09:54.194 --> 00:09:59.394 หรือเพื่อ...เพื่อ... 00:09:59.467 --> 00:10:01.686 "บรรลุสู่การขาดสูญ" 00:10:01.861 --> 00:10:03.516 ทรงตรัสย้ำเสมอว่า 00:10:03.567 --> 00:10:06.611 "เราไม่ได้สอนให้บรรลุถึงความดับสูญ 00:10:06.684 --> 00:10:11.354 แต่เราแสดงให้เห็นถึง 00:10:11.403 --> 00:10:15.377 ภาวะที่อยู่เหนือเลยขึ้นไป ทั้งจากมุมมองสมมติแห่ง 00:10:15.577 --> 00:10:19.587 "ความขาดสูญ และ ความมีตัวตนเที่ยงแท้" 00:10:20.417 --> 00:10:23.878 ซึ่งเป็นสองสิ่งที่เป็นคู่ตรงข้ามกัน 00:10:27.062 --> 00:10:33.630 ความอมตะ เป็นความสุดโต่งข้างหนึ่ง 00:10:33.788 --> 00:10:39.898 วิญญาณที่ไม่มีวันตาย 00:10:40.042 --> 00:10:44.002 คือความเห็นสุดโต่งไปข้างหนึ่ง 00:10:44.387 --> 00:10:49.430 และความขาดสูญ ก็เป็นความสุดโต่งอีกข้างหนึ่ง 00:10:49.460 --> 00:10:54.578 ดังนั้น สัมมาทิฏฐิ (มุมมองที่ถูกต้อง) คือ การมองข้ามพ้นสมมติทั้ง 2 นี้ 00:10:54.798 --> 00:10:56.826 ความคงอยู่ชั่วนิรันดร์ 00:10:56.843 --> 00:11:00.523 และ.... 00:11:00.563 --> 00:11:04.009 ความดับสูญสู่ความไม่มีอะไร 00:11:04.429 --> 00:11:10.321 ฉะนั้น การมาเจริญสติเข้ามาดู ก็เพื่อละมุมมองที่ผิดเหล่านี้ 00:11:10.379 --> 00:11:14.493 มีมุมมองสมมติแห่ง ความเป็นคู่ มากมายที่รอให้เราละ 00:11:14.563 --> 00:11:17.337 และเมื่อเราละทัศนะเหล่านี้ออกไปได้ 00:11:17.387 --> 00:11:19.337 เราจะพบสันติสุข 00:11:19.422 --> 00:11:21.959 ไม่มีความกังวลอีกต่อไป 00:11:22.373 --> 00:11:25.209 โดยเฉพาะ เลิกกังวลว่าจะมี "เรา" ที่จะต้อง 00:11:25.352 --> 00:11:32.044 ไปเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏ 00:11:32.494 --> 00:11:34.653 มันไม่มีการเกิดและการตายที่แท้จริง 00:11:34.693 --> 00:11:38.564 ไม่มีใคร ที่ต้องไปเกิดไปตาย 00:11:39.214 --> 00:11:44.373 ทั้งหมดเป็นเพียงสมมติเท่านั้น 00:11:44.826 --> 00:11:48.201 เมื่อเห็นแจ้งอย่างนี้ จะรู้สึกโปร่งโล่ง 00:11:48.344 --> 00:11:50.573 เราจะไม่กลัวอีกต่อไป 00:11:50.724 --> 00:11:56.268 เราจะเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่าง เปลี่ยนสู่สภาพใหม่อยู่ตลอดเวลา 00:11:56.331 --> 00:11:59.517 ปีติและความสุขจึงเกิดขึ้นได้ 00:11:59.547 --> 00:12:04.237 ความจางคลายแห่งทุกข์จึงเกิดขึ้นได้ 00:12:04.358 --> 00:12:09.368 และด้วยมุมมองนี้เอง เราสามารถช่วยใครต่อใคร อีกหลายคน ให้เป็นทุกข์น้อยลง 00:12:09.815 --> 00:12:12.310 ชีวิตย่อมมีความหมาย 00:12:12.559 --> 00:12:16.579 เราจะไม่รู้สึกเหนื่อยหน่าย ซังกะตายในชีวิต 00:12:16.710 --> 00:12:20.741 เพราะรู้ว่าชีวิตนั้นมีความหมาย 00:12:21.283 --> 00:12:24.005 มีประโยชน์ 00:12:24.421 --> 00:12:31.600 รู้ว่าสามารถส่งผ่านความเห็นอกเห็นใจ และความปรีดา 00:12:32.180 --> 00:12:36.098 ช่วยเยียวยาความทุกข์ในโลก 00:12:36.961 --> 00:12:42.154 ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าวิญญาณจะเที่ยง 00:12:42.154 --> 00:12:46.434 หรือ...หรือ... 00:12:46.467 --> 00:12:50.152 ไม่เที่ยง จะมองว่าคงอยู่ตลอดไป 00:12:50.152 --> 00:12:52.254 หรือจะมองว่าขาดสูญ 00:12:52.288 --> 00:12:54.669 เพราะใจเป็นอิสระต่อทิฏฐิเหล่านี้ 00:12:54.669 --> 00:12:57.226 ฉะนั้น นิพพาน อย่างแรกเลยคือ 00:12:57.343 --> 00:13:02.221 เป็นความดับทุกข์ในแบบที่ว่านี้ โดยสิ้นเชิง 00:13:02.291 --> 00:13:06.631 เช่น ความกลัว ความโกรธ ความผิดหวัง 00:13:06.696 --> 00:13:10.418 ความดับทุกข์โดยสิ้นเชิงนี้จะเป็นไปได้ ก็ต่อเมื่อ 00:13:10.448 --> 00:13:16.735 เธอสามารถขจัดความคิดของสิ่งที่เป็นของคู่ อย่างเกิดและตาย 00:13:16.735 --> 00:13:19.580 มีตัวตน และไม่มีตัวตน 00:13:20.946 --> 00:13:25.616 ดังนั้น เราสามารถนิยาม "นิพพาน" แบบชัดเจน 00:13:26.006 --> 00:13:29.206 ว่าเป็นภาวะปราศจากการคิดปรุงแต่ง 00:13:29.786 --> 00:13:36.677 และความสิ้นทุกข์ก็เริ่มต้นจากตรงนี้แหละ 00:13:38.037 --> 00:13:39.177 (เสียงหัวเราะ) 00:13:39.267 --> 00:13:40.762 ดีมาก! ยิ้มสวย! 00:13:40.918 --> 00:13:43.535 (เสียงหัวเราะ) 00:13:43.595 --> 00:13:45.721 ยิ้มสวยมาก 00:13:47.762 --> 00:13:53.015 เชื่อมโยง บันดาลใจ เติมเต็ม 00:13:53.144 --> 00:14:24.529 (เสียงระฆัง)