(เสียงระฆัง) หากไม่มีการเกิดและการตาย เราก็เหมือนถูกสาปให้มีชีวิตอยู่ตลอดไป ชาติแล้วชาติเล่า สำหรับผมแล้วนี่ไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ แต่เป็นความทุกข์และความสิ้นหวังต่างหาก ถ้าธรรมชาติที่แท้จริงของเรา ไม่มีการเกิดและตาย ก็หมายความว่า เราจะต้องอยู่ตลอดไป เกิดแล้วเกิดอีก เกิดแล้วเกิดอีก สำหรับผมแล้ว คำสอนที่ว่าไม่มีการเกิด การตายนั้น ไม่ใช่ทางแก้ปัญหา แต่เป็นปัญหาต่างหาก (เสียงหัวเราะ) คือผมไม่รู้สึก...เอิ่ม คือผมไม่เข้าใจจริงจัง แถมยังรู้สึกหดหู่ ปนงงกับคำสอนจริงๆ นะครับ คือมันไม่ใช่แค่คิดนะครับ แต่รู้สึกด้วย สำหรับผม มันไม่ได้ช่วยอะไรผมเลย นอกจากทำให้หดหู่และเซ็งชีวิตหนักขึ้น สำหรับผม ถ้าผมตายก็อยากจะตายไปเลยมากกว่า ดีกว่าต้องกลับชาติมามีชีวิตอีกครั้ง (แม่ชี) นมัสการท่านอาจารย์ สวัสดีญาติธรรมทุกท่าน กัลยาณมิตรท่านนี้บอกว่า คำสอนเกี่ยวกับธรรมชาติที่แท้จริง ที่ว่าไม่มีการเกิดและการตายนั้น ดูเหมือนจะบอกว่าเราต้องอยู่ตลอดไป สำหรับเขาแล้ว นี่ไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ แต่กลับเป็นความทุกข์อย่างหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่แต่เพียงคิดเอาเท่านั้น แต่เกิดความกลัวและสิ้นหวังอย่างจริงจัง สำหรับเขาแล้ว มันคงจะดีกว่า ที่จะตายแล้วเกิดใหม่ ...ถ้าทำได้ (เสียงหัวเราะ) เพราะถ้าเราตายได้ ก็หมายความว่า ชีวิตนั้นมีจำกัดและมีคุณค่า ฉะนั้นเราก็ควร จะหาความสุขใส่ตัวให้มากที่สุด แต่ถ้าเราเกิดใหม่อยู่ต่อไปเรื่อยๆ ช้าเร็วเราก็ต้องเบื่อแน่นอน (เสียงหัวเราะ) โลกนี้มีคนอยู่สองประเภท (เสียงหัวเราะ) ประเภทหนึ่ง อยากมีชีวิตอยู่ตลอดไป พวกนี้กลัวตายมาก ในประวัติศาสตร์มนุษยชาติเราจึงพบว่า หลายต่อหลายคนแสวงหาความเป็นอมตะ ในลัทธิเต๋า ก็มีความพยายามทดลอง สมุนไพร ยา สารเคมีต่างๆ ที่ช่วยให้เป็นอมตะ ก็คือ...คือ... พวกเขาแสวงหาชีวิตอันเป็นนิรันดร์ เบื้องหลังของความปรารถนาอย่างนั้น คือความกลัวการดับสูญ กลัวการไม่มีตัวตน ไม่อยากจะเปลี่ยนผ่านจาก "ความมีตัวตน" ไปสู่ความไม่มี มันเป็นความคิดที่น่ากลัว เราต้องมาทำความเข้าใจ พวกที่แสวงหาความอมตะ ผู้ไม่ปรารถนาต่อความตาย พวกเขาก็เป็นทุกข์กับ ความคิด ความเชื่อเช่นนั้น เที่ยวแสวงหาหนทางแห่งความไม่ตาย หวาดหวั่นต่อความรู้สึกไม่มีตัวตน ขณะที่ บางพวก กลับเหนื่อยหน่ายกับการมีชีวิตอยู่ พออายุผ่านไป 50, 70 ปี หรือบางที 30 ก็เริ่มเบื่อ รู้สึกว่าการจะมีชีวิตอยู่ต่อไปนั้น เป็นทุกข์เหลือเกิน พวกนี้จึงปรารถนาภาวะของความไม่มีตัวตน บางคนคิดว่าการฆ่าตัวตาย เป็นทางพ้นทุกข์ เป็นการเปลี่ยนผ่านจากความ "มี" ไปสู่ความ "ไม่มี" และความปรารถนาเช่นนี้ มีรากมาจากความเห็นที่ผิด ที่เข้าใจว่ามีสภาวะบางอย่าง ที่เรียกว่า "ความไม่มีตัวตน" "ความไม่คงอยู่" "ความดับสูญ" จึงอยากจะบรรลุถึงสภาวะอย่างนั้น เพื่อว่าจะได้ไม่ต้องมาทนทุกข์อีกต่อไป ไม่ต้องทนเบื่ออีกต่อไป ถึงได้ปรารถนาสภาวะแห่ง "ความไม่มี" เพื่อที่....จะหายไป และความปรารถนาอย่างนี้ ก็มีฐานมาจากความเห็นผิดเช่นกัน ทีนี้...มุมมองที่ถูกต้องคือ การเกิด และการตาย หรือความมีชีวิต และความตาย เป็นสิ่งที่มาเป็นคู่ "ด้วยกันเสมอ" เราจะไปแยกอย่างหนึ่ง ออกจากอีกอย่างหนึ่งไม่ได้เลย คือ ตอนนี้ เธอกำลังแสวงหา "ภาวะความตาย (ดับ)" แล้วก็พยายามแยกเอา "ภาวะความมีชีวิต" ออกมาต่างหาก มันเป็นไปไม่ได้เลย เพราะสองสิ่งนี้มา "คู่กันเสมอ" เหมือนข้างซ้ายและข้างขวา เราจะไปแยกซ้ายออกจากขวาไม่ได้ หรือจะแยกขวาออกจากซ้ายก็ไม่ได้ มันเป็นกฏของธรรมชาติเลย ซึ่งเราจะเห็นได้ เมื่อเราเจริญสติลึกลงไปภายใน เราจะเห็นได้เลยว่าพวกนี้เป็นเพียง "การสมมติเรียกขึ้นมาเท่านั้น" คำว่า "ซ้าย" หรือ "ขวา" เป็นคำพูดในหัวต่างหาก เป็นความคิดมากเสียกว่าความเป็นจริง ฉะนั้นคำพูดประเภท เบื่อ-ไม่เบื่อ ทุกข์ - สุข มีตัวตน - ไม่มีตัวตน เป็นเพียงการ "จำแนกด้วยความคิด" จากฐานการตีความของสมอง หาใช่ความเป็นจริง เราทำราวกับว่าเรารู้ว่าอะไรคือความจริง และ..เราก็เพียงแค่ต้องการ จัดหมวดหมู่ความจริง แต่ความจริงที่เราคิดว่าเรา "รู้" เนี่ย เป็นเพียงการตีความของจิต "เกิด" และ "ตาย" ก็เป็นเพียง การตีความของความคิด มันไม่ใช่ความเป็นจริง และเราก็ได้เรียนในคอร์สภาวนานี้ ว่า "การเกิด" "ชีวิต" และ "ความตาย" เป็นเพียงทัศนะ หาใช่ความจริงไม่ รวมไปถึง "การคงอยู่" หรือ "การไม่คงอยู่" เป็นความตรงข้ามที่มาเป็นคู่ ที่เป็นพื้นฐานของทัศนะ "ความเกิด" และ "ความตาย" และถ้าฟังจากคำถามของเธอจะบอกชัดว่า เธอยังคงเชื่อ ใน... ในความมีตัวตน เชื่อว่ามีวิญญาณ... ที่จะคงอยู่ชั่วนิรันดร์ แต่ในความเป็นจริงมันไม่ใช่อย่างนั้น ไม่มีสิ่งใดเลย ที่จะสามารถ คงที่ไม่เปลี่ยนแปลง แม้สักช่วงขณะเดียว แล้วใครกันล่ะที่เบื่อ? เพราะเธอ ณ ขณะนี้ ก็ไม่ใช่เธอเมื่อตะกี้ ทั้งนี้เพราะเรายังดูลงไปไม่ลึกพอ ยังไม่สัมผัสถึงธรรมชาติแท้จริง ที่ไม่มี การแบ่งแยก "ความเกิด - ความดับ" ไม่มี "ของตน - ของผู้อื่น" ไม่มี "ความคงอยู่ - ไม่คงอยู่" ผู้ปรารถนาจะแจ้งในนิพพาน อาจจะมีความคิดแบบนี้ก็ได้ว่า เมื่อได้สัมผัสนิพพานแล้ว เราไม่ต้องเกิดอีกต่อไป ว่าเรา (ตอนนี้) อยู่ในสถานะของ "ความไม่เป็นอะไร" นั่นเป็น "มิจฉาทิฏฐิ" ที่สุดในเรื่องนิพพาน เข้าใจว่านิพพานคือ การดับสิ้น สำหรับบางคน การดับสิ้น คือทางพ้นทุกข์ เพราะไม่ต้องเกิดใหม่เพื่อเป็นทุกข์อีกต่อไป นี่คือ "ความเห็นผิด" คนจำนวนมาก ไปจนถึงนักศึกษา ศาสนาพุทธชาวตะวันตก เชื่อว่าเป้าหมายของศาสนาพุทธคือ "การดับสูญ" การอยู่ในสภาพ "ไม่เป็นอะไร" ชั่วนิรันดร์ ทว่าพระพุทธเจ้าได้ทรงตรัส "ปฏิเสธ" หลายครั้งเหลือเกินว่า เป้าหมายของเรา "ไม่ใช่การบรรลุสู่ความไม่มีไม่เป็นอะไร" หรือเพื่อ...เพื่อ... "บรรลุสู่การขาดสูญ" ทรงตรัสย้ำเสมอว่า "เราไม่ได้สอนให้บรรลุถึงความดับสูญ แต่เราแสดงให้เห็นถึง ภาวะที่อยู่เหนือเลยขึ้นไป ทั้งจากมุมมองสมมติแห่ง "ความขาดสูญ และ ความมีตัวตนเที่ยงแท้" ซึ่งเป็นสองสิ่งที่เป็นคู่ตรงข้ามกัน ความอมตะ เป็นความสุดโต่งข้างหนึ่ง วิญญาณที่ไม่มีวันตาย คือความเห็นสุดโต่งไปข้างหนึ่ง และความขาดสูญ ก็เป็นความสุดโต่งอีกข้างหนึ่ง ดังนั้น สัมมาทิฏฐิ (มุมมองที่ถูกต้อง) คือ การมองข้ามพ้นสมมติทั้ง 2 นี้ ความคงอยู่ชั่วนิรันดร์ และ.... ความดับสูญสู่ความไม่มีอะไร ฉะนั้น การมาเจริญสติเข้ามาดู ก็เพื่อละมุมมองที่ผิดเหล่านี้ มีมุมมองสมมติแห่ง ความเป็นคู่ มากมายที่รอให้เราละ และเมื่อเราละทัศนะเหล่านี้ออกไปได้ เราจะพบสันติสุข ไม่มีความกังวลอีกต่อไป โดยเฉพาะ เลิกกังวลว่าจะมี "เรา" ที่จะต้อง ไปเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏ มันไม่มีการเกิดและการตายที่แท้จริง ไม่มีใคร ที่ต้องไปเกิดไปตาย ทั้งหมดเป็นเพียงสมมติเท่านั้น เมื่อเห็นแจ้งอย่างนี้ จะรู้สึกโปร่งโล่ง เราจะไม่กลัวอีกต่อไป เราจะเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่าง เปลี่ยนสู่สภาพใหม่อยู่ตลอดเวลา ปีติและความสุขจึงเกิดขึ้นได้ ความจางคลายแห่งทุกข์จึงเกิดขึ้นได้ และด้วยมุมมองนี้เอง เราสามารถช่วยใครต่อใคร อีกหลายคน ให้เป็นทุกข์น้อยลง ชีวิตย่อมมีความหมาย เราจะไม่รู้สึกเหนื่อยหน่าย ซังกะตายในชีวิต เพราะรู้ว่าชีวิตนั้นมีความหมาย มีประโยชน์ รู้ว่าสามารถส่งผ่านความเห็นอกเห็นใจ และความปรีดา ช่วยเยียวยาความทุกข์ในโลก ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าวิญญาณจะเที่ยง หรือ...หรือ... ไม่เที่ยง จะมองว่าคงอยู่ตลอดไป หรือจะมองว่าขาดสูญ เพราะใจเป็นอิสระต่อทิฏฐิเหล่านี้ ฉะนั้น นิพพาน อย่างแรกเลยคือ เป็นความดับทุกข์ในแบบที่ว่านี้ โดยสิ้นเชิง เช่น ความกลัว ความโกรธ ความผิดหวัง ความดับทุกข์โดยสิ้นเชิงนี้จะเป็นไปได้ ก็ต่อเมื่อ เธอสามารถขจัดความคิดของสิ่งที่เป็นของคู่ อย่างเกิดและตาย มีตัวตน และไม่มีตัวตน ดังนั้น เราสามารถนิยาม "นิพพาน" แบบชัดเจน ว่าเป็นภาวะปราศจากการคิดปรุงแต่ง และความสิ้นทุกข์ก็เริ่มต้นจากตรงนี้แหละ (เสียงหัวเราะ) ดีมาก! ยิ้มสวย! (เสียงหัวเราะ) ยิ้มสวยมาก เชื่อมโยง บันดาลใจ เติมเต็ม (เสียงระฆัง)