-
สวัสดีค่า วิวจากแชแนล Point of View ค่า
-
วันนี้อยู่ในรายการ View On Tour
-
พามานอกสถานที่อีกแล้วนะคะ
-
คิดว่าตอนนี้วิวอยู่ที่ไหนคะ?
-
ดูจากบรรยากาศข้างหลัง
เชื่อว่าทุกคนจะคิดคำเดียวกันก็คือ
-
สถานีรถไฟหัวลำโพง ใช่มะ?
-
แต่ว่าจริงๆ แล้วไม่ใช่นะคะ
-
ที่นี่ไม่ใช่สถานีรถไฟหัวลำโพงค่ะ
-
ที่นี่คือสถานีรถไฟกรุงเทพ!
-
เห็นป้ายมั้ย? อึ้งมั้ย? ช็อกมั้ย?
-
เฮ้ย คือแบบ My whole life is a lie!
-
ดังนั้นถ้าใครอยากรู้นะคะ
-
ว่าทำไมที่นี่ไม่ใช่สถานีรถไฟหัวลำโพง
-
แต่เป็นสถานีรถไฟกรุงเทพ
-
อยากลองเที่ยวสถานีรถไฟกรุงเทพ
-
แบบที่มาเองแล้วจะงงๆ ว่าแบบ
-
เฮ้ย มีสิ่งนี้อยู่จริงรึเปล่า?
-
อยากเที่ยวแบบสนุกแล้วก็มีสาระนะคะ
-
ก็อย่าลืมกดติดตามช่อง Point of View ค่ะ
-
แล้วก็กด See First กดกระดิ่ง
-
กดทุกสิ่งอย่างเลยนะคะ
-
จะได้ไม่พลาดคลิปวิดิโอสนุกๆ
-
แล้วก็ข่าวสารดีๆ จากช่อง Point of View ค่ะ
-
สำหรับตอนนี้พร้อมที่จะเที่ยว
แบบสนุกแล้วก็มีสาระรึยังคะ?
-
ถ้าพร้อมกันแล้วก็ไปกันเลย!
-
ให้วิวมาพูดเรื่องรถไฟนะคะ
-
หลายคนอาจจะไม่เชื่อถือว่าแบบ เฮ้ย คุณวิว
-
คุณรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับเรื่องรถไฟจริงรึเปล่า?
-
วันนี้วิวไม่ได้มาคนเดียวค่ะ
-
วิวมากับอีกคนนึงนะคะ ก็คือ
-
ผ่ามมม!
-
พี่แฮมนะคะ!
-
พี่แฮมเป็นสุดยอดแฟนพันธุ์แท้คนรักรถไฟ
-
แล้วก็เป็นเจ้าของเพจนั่งรถไฟกับนายแฮมมึนนะคะ
-
ดังนั้นวันนี้พี่แฮมจะเป็นคน
มาให้ข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับที่นี่ให้เรานะคะ
-
และขอบอกเลยว่าคลิปนี้
น่าจะเป็นคลิปในช่องที่วิวพูดน้อยที่สุด
-
เพราะว่าพี่แฮมเล่าสนุกมาก
-
วิวจะยืนฟังอย่างมีความสุขค่ะ
-
แกหาว่าพี่พูดมากเหรอ?
-
เมื่อกี้ตอนเริ่มเนี่ย วิวพูดไปแล้วใช่มั้ยคะ
-
ว่าที่นี่คือสถานีรถไฟกรุงเทพ
ไม่ใช่สถานีรถไฟหัวลำโพง
-
ทีนี้งงกันมั้ยว่า อ้าว? แล้วไงอะ?
-
ทำไมที่นี่ถึงเป็นสถานีรถไฟกรุงเทพ?
-
แล้วสถานีรถไฟหัวลำโพงอยู่ที่ไหน?
-
ทั้งชีวิตฉันเข้าใจว่าหัวลำโพงคือที่นี่มาตลอด
-
ฉันโดนหลอกเหรอ!? อะไรบลาๆๆ นะคะ
-
ดังนั้นเรามาถามพี่แฮมกันดีกว่าว่าจริงๆ แล้ว
-
สถานีรถไฟที่นี่ทำไมถึงชื่อกรุงเทพ?
-
แล้วสถานีรถไฟหัวลำโพงอยู่ที่ไหน?
-
จริงๆ แล้วการเรียกที่นี่ว่าสถานีหัวลำโพงก็ไม่ผิดนัก
-
เพราะพื้นที่นี้คือทุ่งหัวลำโพง
-
แต่มันมีสถานีรถไฟสถานีหนึ่ง มันเกิดก่อนสถานีนี้!
-
นั่นคือสถานีหัวลำโพงนั่นเอง!
-
เอ๊ะ งง มันคืออะไร?
-
คือรถไฟเนี่ย เมื่อก่อนมีสองสาย
-
รถไฟสายแรกในประเทศไทยนะครับ คือรถไฟสายปากน้ำ
-
จากสถานีรถไฟหัวลำโพงไปสถานีรถไฟปากน้ำ
-
เป็นบริษัทรถไฟเอกชนที่สัมปทานโดยชาวเดนมาร์กนะครับ
-
วิ่งจากหน้าหัวลำโพง ริมคลองหัวลำโพงไปทางสีลม
-
ศาลาแดง คลองเตย บางนางเกร็ง
-
สมุทรปราการ แล้วก็ปากน้ำนะครับ
-
แต่ใกล้ๆ กัน มีรถไฟอีกเส้นหนึ่ง
-
เป็นรถไฟของสยาม เป็นรถไฟหลวง
-
เริ่มต้นจากสถานีกรุงเทพ ปลายทางที่สถานีนครราชสีมา
-
เดี๋ยวพี่ ทำไมถึงต้องใช้อินเนอร์แบบมิสแกรนด์เบอร์นี้ด้วย
-
ก็จะได้จำกันได้ไง!
-
ปลายทางนครราชสีมานะครับ
-
ซึ่งสองสถานีนี้ตั้งอยู่ในละแวกใกล้เคียงกัน
-
แต่จริงๆ แล้วต้องบอกก่อนว่า รถไฟเกิดมา 122-123 ปีละ
-
สำหรับรถไฟหลวง
-
แต่สถานีรถไฟกรุงเทพเพิ่งจะครบรอบ 103 ปี
-
คือจริงๆ มีสถานีนึง ที่เป็นสถานีออริจินอล
-
เดี๋ยวพี่พาวิวไปดู
-
แต่เราจะทำความรู้จักกับสถานีนี้ก่อนนะครับ
-
ว่าไปไงมาไง ทำไมคนถึงเรียกว่าหัวลำโพง?
-
ด้วยสถานีเดิมที่มันอยู่ตรงนี้มานานละ
-
มันคือสถานีหัวลำโพงสายปากน้ำ
-
คนเขาก็เรียกไปเลยว่า
-
เออ ตรงนี้มันคือสถานีหัวลำโพงๆ
-
แล้วสถานีกรุงเทพพอมันตั้งขึ้นมา
-
คนก็เรียกว่า station กรุงเทพ หรือ station ที่หัวลำโพง
-
ประมาณนี้
-
คนเขาก็เลยชินกันว่า อ๋อ ที่นี่มันก็คือหัวลำโพงมาแต่ไหนแต่ไร
-
ด้วยชื่อของพื้นที่นั่นเองครับ
-
อารมณ์คล้ายๆ เวลาเราไปรถใต้ดินสีสมกับรถไฟฟ้าศาลาแดง
-
แล้วเรียกรวมกันอะว่า อ๋อไปสีลม ประมาณนั้น
-
อารมณ์ประมาณว่าเรียกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปว่ามาม่า
-
อ่า นั่นไง แล้วเราจะลากไปถึงสปอนเซอร์เลยมั้ย?
-
เยอะแยะมากมาย
-
ไม่มี! คลิปนี้ไม่ได้ขายของ!
-
ทีนี้อยากรู้มั้ยว่าสถานีรถไฟหัวลำโพงจริงๆ อยู่ตรงไหน?
-
ถ้าอยากรู้นะ หันไปด้านนู้น หันไปค่ะ
-
เห็นโดมทองๆ นั่นมั้ยฮะ?
-
โดมทองๆ นั้นเมื่อก่อนก็คือ เป็นสถานีรถไฟหัวลำโพง
-
ก็คือ สถานีรถไฟหัวลำโพงเนี่ย ตามประวัติแล้วเนี่ย
-
ทางรถไฟสายปากน้ำเดิมเป็นของบริษัทเดนมาร์ก
-
อย่างที่ได้บอกเอาไว้
-
แล้วพอเดนมาร์กหมดสัมปาทานเนี่ย
กรมรถไฟเนี่ยก็รับช่วงต่อไปครับ
-
แต่พอถนนสุขุมวิทมันเริ่มมีความสะดวกมากขึ้น
-
คนใช้รถไฟสายปากน้ำน้อยลง
-
กิจการรถไฟสายปากน้ำก็เลยยกเลิกครับ
-
เมื่อวันที่ 1 ม.ค. 2503
-
สถานีหัวลำโพงและสถานีทุกสถานีเลยในสายปากน้ำ
-
ก็ล้มหายตายจากไป
-
แล้วพอสร้างรถไฟใต้ดินปั๊บ
สถานีหัวลำโพงก็กลับชาติมาเกิดใหม่
-
จากที่อยู่บนดินก็มุดไปอยู่ใต้ดินแทนนะฮะ
-
พื้นที่เดียวกันเลยครับ
-
แล้วทางรถไฟเดิมก็ถูกขยายเป็นถนนพระราม 4 นั่นเอง
-
ในที่สุดเราก็รู้แล้วนะคะว่า
สถานีรถไฟหัวลำโพงจริงๆ อยู่ตรงไหน
-
และสถานีรถไฟนี้คือสถานีรถไฟกรุงเทพ ไม่ใช่หัวลำโพงนะคะ
-
ดังนั้นวันนี้เราเข้าไปดูกันดีกว่า ว่ามีจุดไหนน่าสนใจบ้าง
-
ที่เราจะเดินเข้ามาแล้วแบบ อู้วว!! มีสิ่งนี้อยู่ด้วยเหรอ!?
-
ปะ ไปดูกัน
-
ยังไม่ต้องเดินเข้าไปข้างในเลย
-
แค่อยู่หน้าสถานีเนี่ยนะคะ หันไปด้านข้างนิดเดียว
-
อ่า เราเอาตัวเองมาอยู่ตรงนี้ ก็มีสิ่งที่น่าสนใจแล้ว
-
ก็คือช้างสามเศียรนั่นเอง
-
ถามว่าตรงนี้คืออะไร? มีความสำคัญยังไงกับชีวิตของเรา?
-
สำหรับช้างสามเศียรนะครับ
-
ที่เราเห็นนี้ถือเป็นสิ่งที่น่าสนใจสิ่งแรกครับ
-
ที่เห็นเป็นแบบนี้มันคือน้ำพุ ถูกต้องมะ?
-
แต่สมัยก่อนที่มันจะเป็นน้ำพุเนี่ย
-
มันเป็นหลุมหลบภัยทางอากาศ
สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 นะครับ
-
สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เนี่ย ถ้าใครเคยดูคลิปสงครามโลก
-
จะรู้นะคะว่ามันจะมีการสู้รบกันที่ค่อนข้างโหดร้ายกว่าสงครามโลกครั้งที่ 1 นะคะ
-
โดยเฉพาะการวางระเบิดใช่มะ
-
ดังนั้นมันจะมีเครื่องบินมากมายบินผ่านกรุงเทพมหานคร
-
แล้วก็ทิ้งระเบิดลงมา ตู้มๆๆ
-
ดังนั้นถ้าเราเคยดูหนังหรือดูละครอะไร
ที่เกี่ยวกับสงคราโลกครั้งที่ 2 ในกรุงเทพ
-
ก็จะได้ยินว่า มันมีหวอเตือนว่า
เครื่องบินจะมาทิ้งระเบิดแล้วจ้า วี้ดๆๆ ต่างๆ
-
งู้ววววว งื้มมมม (เลียนเสียงหวอ)
-
ทำทำไมเนี่ย?
-
นั่นไง ทำทำไมนะคะ
-
เวลาคนรู้ว่าระเบิดจะลงเนี่ย
-
เขาก็จะวิ่งไปหาหลุมหลบภัยใกล้บ้าน
-
ซึ่งตรงนี้ก็เป็นหนึ่งในจุดนั้น ก็จะลงไปหลบข้างใต้กัน
-
เหมือนที่ใครเคยดูเรื่องโหมโรง
ก็จะเป็นประมาณนั้นเลยค่ะ
-
พอหลังจากสงครามสิ้นสุดแล้วเนี่ย
หลุมหลับภัยก็ไม่มีความจำเป็นอะไรละ
-
เขาก็เลยเปลี่ยนใหม่ให้กลายเป็นสถานที่สาธารณะอย่างหนึ่ง
-
ที่ทุกคนได้ใช้เป็นสาธารณูปโภคด้วย
-
เขาเรียกว่าอุทกธาร
-
หรือถ้าแปลเป็นภาษาปัจจุบันง่ายๆ ก็คือ
-
ท่อน้ำค่ะ
-
อุทกกเนี่ยนะคะ ก็คำเดียวกับอุทกกภัยเลย
-
คือแปลว่าน้ำนั่นเอง
-
ส่วนธารเนี่ย หมายถึงสายน้ำลำธาร
ห้วย หยาดน้ำ ท่อน้ำนะคะ
-
ดังนั้นรวมกันออกมา อุทกกธารหมายถึงท่อน้ำค่ะ
-
ก็คือประมาณว่า เป็นสถานที่มากินน้ำ
-
มีแบบว่า น้ำสะอาดให้คนได้กิน
-
เพราะว่าสมัยโบราณ แบบโบร่ำโบราณเลย
คนก็กินจากห้วย หนอง คลอง บึง
-
แต่ว่าในเวลาที่ประเทศพัฒนามากขึ้น
-
เราก็ไม่สามารถกินน้ำในห้วย หนอง
คลอง บึง เส้นคลองแสนแสบได้
-
เราก็จะต้องมากิน
- กินน้ำสะอาด
-
กินน้ำสะอาด
-
เขาก็แบบว่า ไม่ใช่ทุกบ้านในสมัยมีน้ำประปา
-
เขาก็เลยทำแบบนี้ไว้
-
ซึ่งที่นี่ไม่ได้มีแค่จุดเดียวในกรุงเทพนะคะ มีอีกหลายจุด
-
เดี๋ยวไว้วันหลังจะพาไปดูค่ะ
-
อีกอันนึงที่สำคัญ ให้มองขึ้นไปนะครับ
-
บริเวณช้างสามเศียรเนี่ย ด้านบนที่มีผ้าสามสีผูกเอาไว้
-
ตรงนั้นนะครับ มีอยู่ฝั่งหนึ่ง
-
สลักเป็นภาพนูนต่ำของในหลวงรัชกาลที่ 5 ด้วย
-
เจ้าแท่นนี้ อุทกธารเนี่ย
-
ปัจจุบันซึ่งมันเป็นน้ำพุเนอะ
-
มันคือกิโลเมตรที่ 0 ของทางรถไฟในประเทศไทยด้วยครับ
-
โอเค เราดูนอกสถานีกันครบแล้ว
-
เดี๋ยวเราเข้าไปดูด้านในสถานีกันดีกว่า
-
ว่าด้านในสถานีมีอะไรน่าสนใจค่ะ ไป~!
-
จุดแรกนะคะที่เรามาอยู่กันตอนนี้
-
เป็นสถานที่ที่น่าสนใจมากในสถานีรถไฟกรุงเทพ
-
และหลายๆ คนไม่รู้ว่ามี
-
ก็คือบริเวณนี้เลย
-
มูลนิธิรถไฟไทยนะคะ
-
ที่นี่มีอะไรน่าสนใจคะพี่แฮม?
-
มูลนิธิรถไฟไทยเนี่ยก็จะเป็น
จุดเริ่มต้นของการเป็นมิวเซียมเล็กๆ นะฮะ
-
ที่อยู่ในสถานีรถไฟกรุงเทพ
-
ข้างในก็จะมีของใช้เก่าๆ ที่เคยใช้ในกิจการรถไฟ
-
แล้วก็โรงแรมรถไฟเนี่ย มาจัดโชว์เอาไว้นะครับ
-
รวมถึงเครื่องทางสะดวก กิ๊งๆๆ
-
แล้วก็มีห่วงทางสะดวกด้วย
-
และของที่ระลึกนะครับที่ขายที่นี่
-
ก็รายได้ก็นำเข้ามูลนิธิรถไฟไทย
-
สิ่งที่เรียกได้ว่ามาแล้วไม่ซื้อกลับไปไม่ได้
-
นั่นคือตั๋วรถไฟครับ
-
เป็นตั๋วรถไฟขนาดเล็กๆ ที่เคยใช้กันสมัยเรายังเด็ก
-
ซึ่งปัจจุบันหาไม่ได้แล้ว ที่นี่มีจำหน่ายครับ
-
เอาไว้เก็บสะสมกันได้
-
แล้วที่สำคัญ บนชั้น 2 ครับ ก็มีภาพเตือน
-
ที่แบบ เป็นภาพเตือนสมัยโบราณเลย ที่ใช้ในกินการรถไฟ
-
แล้วแบบ ฮาร์ดคอร์มาก
-
แล้วก็มีอุปกรณ์ ของใช้ต่างๆ ที่น่าสนใจนะครับ
-
ไม่ว่าจะเป็น เครื่องคิดเลขรุ่นโบราณนะฮะ
-
เครื่องตอกตั๋วรถไฟ เครื่องแสตมป์ตั๋วรถไฟ ระฆังนะครับ
-
มาดูกันได้ครับ
-
และเกร็ดความรู้ที่น่าสนใจที่สุด
-
ของพิพิธภัณฑ์รถไฟของมูลนิธิรถไฟนะคะ
-
ก็คือ ใครอยากมานะ มันเปิดตั้งแต่ 10 โมงเช้า ถึง 6 โมงเย็น
-
ของวันอังคารถึงวันเสาร์ค่ะ
-
และวันนี้ที่เรามา
-
เนื่องจากเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาในปี 2562
-
- คือวัน
- อาทิตย์
-
ดังนั้นมัน ปิดจ้าา~~
-
ฮือออ นั่นแหละค่ะ เอาเป็นว่าวันหลังมาดูกันเองนะ
-
เพราะว่าข้างในมันมีเขียนอธิบายอยู่แล้ว
-
เราไปดูอะไรที่มาดูกันเองไม่ได้ดีกว่า ปะ! ต่อ!
-
จุดที่สองที่น่าสนใจนะคะ ที่เราพามาดูกันในวันนี้ก็คือ
-
สิ่งที่ทุกคนจะนึกถึงเมื่อนึกถึงสถานีรถไฟ “หัวลำโพง”
-
ในความคิดของหลายๆ คน
-
อ่า! ก็คือนาฬิกาเรือนด้านหลังนั่นเอง
-
นี่~ เรือนใหญ่เบ้อเริ่มเทิ่มเลยนะคะ
-
เดี๋ยวเราให้พี่แฮมอธิบายดีกว่าว่า
-
นาฬิกานี้มีความสำคัญยังไงค่ะ
-
คือเมื่อก่อนอะ นาฬิกาที่จะต้องใช้
เป็นมาตรฐานเพื่อให้รถไฟเข้าออกเนี่ย
-
มันก็จะอยู่ในสถานีใช่มะ
-
แต่อันนี้คือมันจะเห็นจากทั้งข้างในและข้างนอก
-
ข้างนอกก็จะรู้ว่า เอ้อ เวลานี้รถไฟใกล้จะออกแล้ว
-
ก็จะรีบวิ่งหูตูบเข้ามาในสถานี
-
แต่ถ้าข้างใน เมื่อก่อนนะครับ ทางรถไฟอะ
-
มันจะยาวเข้ามาถึงตรงที่เรากำลังนั่งกันอยู่ตรงนี้นี่แหละ
-
แล้วพอการโดยสารเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ใช่มะ
-
เขาก็รื้อทางรถไฟตรงนี้ออก แล้วก็ทำให้เป็นพื้น
-
เป็นโถงสถานีแทน
-
แล้วเขาก็ใช้นาฬิกาเรือนนี้แหละ ที่เอาไว้เป็นตัวบอกว่า
-
รถไฟกำลังจะออกแล้วนะครับ
-
เพราะว่านาฬิกาข้อมือ สมัยก่อนก็ไม่ได้มีกันทุกคนเนอะ
-
แล้วก็ถือว่าเป็นนาฬิกาเรือนหลักเลย ของสถานีรถไฟก็ว่าได้
-
เป็นนาฬิการะบบไฟฟ้าด้วยที่สำคัญ
-
ซึ่งมันจะแตกต่างกับนาฬิกาเรือนอื่นๆ คือ
-
ถ้าเป็นนาฬิกาในยุคนี้
-
เราก็จะเห็นชื่อผู้ผลิตติดประทับอยู่ในตัวเรือนเนอะ
-
แต่ในอันนี้ไม่มีชื่อผู้ผลิต
-
ซึ่งสันนิษฐานว่าน่าจะผลิตมาจากซีเมนส์
-
อันนี้แอบบอกนิดนึงว่ามันก็จะคล้ายๆ กับที่อังกฤษคือ
-
เวลาที่มีรถไฟเนี่ย สิ่งหนึ่งที่จะมีคู่กันเสมอก็คือนาฬิกา
-
คือเหมือนกับว่าประเทศไหนที่มีรถไฟ มันก็ต้องมีนาฬิกาด้วย
-
เพราะว่ามันเป็นการเริ่มเดินทางอันแรก
-
ที่มันต้องจำกัดว่าเวลามันจะเริ่มตอนนี้จ้า
-
ก่อนหน้านี้เราพายเรือ เราไม่จำเป็นต้องบอกนี่
-
ว่าเรือจะต้องออกตอนนี้ตอนนั้น อะไรเงี้ย
-
พอมีรถไฟปุ๊บก็ อะ ต้องเริ่มรู้จักการดูนาฬิกาแล้ว
-
รถไฟจะออกตอน 8 โมง 10 นาที
มันก็ออกตอน 8 โมง 10 นาที
-
ประมาณนี้ค่ะ
-
แล้วที่สำคัญคือการใช้หน่วยเวลา 24 ช.ม.
-
ก็เริ่มมาจากรถไฟด้วย
-
เพราะว่ามันจะต้องบอกเวลาให้ถูกต้อง ว่ารถไฟออกกี่โมง
-
ถ้าเรามัวไปจำแบบ สองโมง สองยาม อะไรอย่างงี้
-
มันก็อาจจะเกิดความคลาดเคลื่อนได้
-
เราก็รับสิ่งนี้เข้ามา
-
แล้วเราก็ใช้นาฬิกาหน่วยเป็น 24 ช.ม.
ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาครับ
-
ส่วนใครอยากรู้วิธีการนับเวลาแบบโบราณนะคะ
-
ก็กดไปดูได้ตรงนี้ค่ะ วิวเคยทำไว้แล้ว เย่! ขายของ
-
ขายเก่งอะ! ขายเก่งมากๆ เลยเนี่ยคนนี้
-
ไม่ใช่~ เขาจะได้ดูแบบละเอียดไง
-
เดี๋ยวเขาก็จะมาคอมเมนต์ถามว่าแบบ นับยังไงอะไรอย่างงี้
-
ก็กดไปดูได้ตรงนี้ ทำไว้แล้วจ้า
-
ครับผม
-
หยุดขายของ กลับเข้าเรื่องค่ะ
-
จะบอกว่า พี่แฮมอะ บอกอีกอย่างที่น่าสนใจก็คือ
-
เกี่ยวกับกระจกสีที่อยู่รอบๆ นาฬิกาเรือนนี้
-
ว่าเป็นกระจกนำเข้าด้วย
-
รู้มั้ยว่าทำไมถึงเป็นกระจกนำเข้า? ไปฟังพี่แฮมกันดีกว่า
-
ที่เป็นกระจกนำเข้าเพราะว่า
-
คนที่ออกแบบสถานีนี้ไม่ใช่คนไทยนะครับ
-
เป็นสถาปนิกที่ทำงานในสยาม
-
แต่เป็นคนอิตาลี ชื่อว่ามารีโอ ตามัญโญ
-
ไม่ใช่มาริโอ เมาเร่อนะครับ
-
และมารีโอ ตามัญโญเนี่ย
-
ถ้าเกิดใครเคยติดตามช่องวิว View On Tour ตั้งแต่อีพีแรกๆ
-
จะรู้ว่ามนุษย์ผู้นี้ออกแบบทุกสิ่งอย่างในยุคสมัยนั้น
-
ในยุคสมัยประมาณรัชกาลที่ 5
-
ก็จะเห็นที่ตอนวิวไปพูดเรื่องวังนู้น วังนี้ วังนั้นนั่นแหละ
-
ออกแบบเยอะมากค่ะ เพราะว่าเป็นคนที่เชี่ยวชาญด้านงานปูน
-
เมื่อเข้ามาในสถานีรถไฟกรุงเทพเนี่ย
ก็จะเห็นงานปูนปั้นต่างๆ อยู่
-
ก็เพราะว่าเป็น signature ของมารีโอ ตามัญโญนี่แหละค่ะ
-
ครับผม แล้วก็สันนิษฐานกันว่าตัวสถานีเนี่ย
-
ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Frankfurt Hauptbahnhof
-
ที่เยอรมันนะครับ เพราะมีความคล้ายคลึงที่สุด
-
แต่จริงๆ แล้วมารีโอ ตามัญโญเนี่ย
-
นำแบบจากหลายๆ สถานีเข้ามาประกอบร่างเป็นอันเดียวกัน
-
รู้มั้ยมั้ยวิว ว่าแบบนี้เป็นแบบที่มาใช้ภายหลังนะ
-
มีแบบหนึ่งเป็นแบบแรก แล้วโดนปัดตกไป
-
คือขอบคุณมากที่โดนปัดตก
-
เพราะว่าตรงกลางเนี่ย มันจะมีเหมือนเป็นยอดปราสาท
-
เป็นปรางค์ขึ้นมาด้วย
-
ก็เลยมาเป็นแบบนี้แทนนะครับ
-
สถานีรถไฟกรุงเทพเนี่ย มันก็จะมีความคล้ายๆ
-
ถ้าใครเคยไปทางยุโรปเนี่ย
-
มันก็จะมี King’s Cross Waterloo อะไรงี้นะ
-
ที่มันเหมือนๆ กันด้วย
-
นั่นก็คือเป็นลักษณะรูปแบบของสถานีรถไฟ
-
ที่มีความนิยมสร้างในสมัยนั้น
-
แล้วสถานีรถไฟกรุงเทพเป็นสถานีรถไฟแบบปลายชานชาลาตัน
-
คือรถไฟวิ่งเข้ามาปั๊บ ชานชาลาขวางหน้าเลย
-
ในประเทศนี้มีแค่สองสถานีเท่านั้น
คือสถานีกรุงเทพกับสถานีเชียงใหม่ครับ
-
ไปที่จุดถัดไปกันดีกว่าค่ะ
-
ตอนนี้นะคะเราก็มาอยู่อีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจ
-
ภายในสถานีรถไฟกรุงเทพแล้วนะ
-
ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ปัจจุบันเนี่ยไม่มีแล้ว
แต่ว่าในอดีตมันเคยรุ่งโรจน์มากๆ เลย
-
ก็คือด้านหลังนี้ อาคารสถานีรถไฟกรุงเทพ
-
งงมั้ย? คืออะไร?
-
จริงๆ แล้วมันคืออดีตโรงแรมรถไฟนะคะ
-
เป็นโรงแรมที่อยู่ภายในสถานี
แล้วก็ดำเนินการโดยกรมรถไฟเองเลย
-
แต่ว่าวิวจะไม่ลงรายละเอียด
เพราะว่าเรามีผู้เชี่ยวชาญอยู่ข้างๆ ไง
-
เราใช้พี่แฮมดีกว่า เชิญค่ะ
-
อ่า สำหรับโรงแรมรถไฟนะครับ มีไว้ทำไม?
-
เมื่อก่อนเลย รถไฟไม่วิ่งตอนกลางคืน
-
จะวิ่งตอนกลางวันเป็นส่วนใหญ่นะครับ
-
เนื่องจากว่าสะพานรถไฟเมื่อก่อนส่วนใหญ่เป็นสะพานไม้
-
มีความสุ่มเสี่ยงในการเกิดวินาศกรรม
-
แล้วก็ที่สำคัญคือมีสัตว์ป่าเดินกันระเหเร่ร่อนเลยนะฮะ
-
ไม่ว่าจะเป็นช้าง ม้า วัว ควายนะฮะ
-
ห้ามพูดคำว่าแรดแล้วหันมา
-
ไม่มี บ้านเราไม่มีแรดนะครับ
-
ก็จริงๆ แล้วสัตว์พวกนี้เนี่ย ผิวหนังของเขาจะไม่สะท้อนแสงไฟ
-
มันเลยค่อนข้างอันอันตรายมาก
-
พอผ่านมาประมาณช่วงรัชกาลที่ 6 เนี่ย
-
ก็ได้มีความริเริ่มที่จะวิ่งรถกลางคืน
-
ซึ่งเป็นการมาถึงของรถไฟตู้นอนเป็นครั้งแรก
-
แต่รถไฟตู้นอนไม่ได้มีทุกขบวนครับ มีเป็นบางขบวนเท่านั้น
-
โรงแรมรถไฟมีไว้ทำไม?
-
มันก็เริ่มมาตั้งแต่สมัยที่ยังไม่ได้มีรถไฟวิ่งกลางคืนนั่นแหละ
-
ผู้โดยสารกว่าจะไปถึงเชียงใหม่ได้ ใช้เวลาประมาณ 2 วัน
-
ต้องไปนอนกลางทางที่พิษณุโลกก่อน
-
เพราะเมื่อก่อนเนี่ยใช้รถจักรไอน้ำ จอดแวะเติมน้ำ เติมฟืน
-
ความเร็วต่ำ กรุงเทพ-พิษณุโลกก็ 1 วันแล้วนะครับ
-
ก็ลงที่พิษณุโลก แล้วก็นอนค้าง
-
วันรุ่งขึ้นก็เดินทางต่อจากพิษณุโลก-เชียงใหม่
ด้วยรถไฟอีกขบวนหนึ่ง
-
จึงมีโรงแรมรถไฟต่างๆ มากมาย
กระจายตัวกันอยู่ทั่วประเทศครับ
-
พิษณุโลก ทุ่งสรง ชุมพร หัวหิน หาดใหญ่ กรุงเทพ มีหมดเลย
-
โดยเฉพาะสถานีกรุงเทพเนี่ย มันจำเป็นมาก
-
เพราะคนเดินทางจากต่อจากเหนือลงไปใต้นะครับ
-
ก็มาพักที่นี่ก่อนแล้วค่อยเดินทางต่อได้ครับ
-
เพราะว่าการเดินทางด้วยรถไฟนั่น
สะดวกที่สุดแล้วในสมัยนั้นครับผม
-
และสถานีนี้นะครับ มีโรงแรมที่มีชื่อว่า
-
โรงแรมราชธานีครับผม
-
นี่คือสาเหตุให้ตามสถานีรถไฟเนี่ย
ต้องมีอาหารขายด้วยใช่มั้ยคะ
-
เพราะว่าต้องไปพักกินข้าวต่างๆ
-
อ่า ส่วนหนึ่งครับ ใช่เลย
-
แต่ว่าโดยส่วนใหญ่แล้วเนี่ย ถ้าอยู่ตามภูมิภาคจะเป็นบังกะโล
-
แต่ถ้าเป็นสถานีหลักๆ เนี่ย ก็จะเป็นลักษณะของโรงแรม
-
อย่างกรุงเทพ เชียงใหม่ หัวหินเนี่ย
-
แล้วหัวหินพิเศษกว่าคือ
-
มันมีเรื่องของความนิยมในการพักผ่อนตากอากาศด้วย
-
ซึ่งปัจจุบันโรงแรมรถไฟที่หัวหินก็คือโรงแรมเซ็นทารานั่นเอง
-
ดังนั้นนะคะ ถ้าใครอยากฟังเรื่องเกี่ยวกับรถไฟอีพีอื่น
-
ที่แบบไปตรงอื่นนะคะ ก็กดดันพี่แฮมมาด้านล่างนะคะ
-
เราจะทำการกดดันให้พี่แฮมพาเราไปเที่ยวนะคะ
-
เอางี้เลยอ่อ?
-
ใช่ค่ะ เราใช้ฝูงชนกดดัน
-
จะบอกเลยนะเรื่องรถไฟอะ
คุณพอจะมีเวลาว่างสักประมาณ 3-4 วันมั้ยครับ?
-
3-4 วันเองเหรอคะ? ว่างทั้งปีเลย
-
โอ้โห
-
ไปๆ ไปดูข้างในกันก่อน
-
เดินเข้ามาด้านในของโรงแรมรถไฟเก่านะคะ
-
ตรงนี้ก็จะเป็นบริเวณที่เป็นห้องโถงเดิมเนอะ
-
ตรงนี้ก็สันนิษฐานว่าแต่ก่อนเป็นล็อบบี้นะคะ
-
แล้วก็ตัวเสาเนี่ยจะเป็นเสาหินอ่อนเลยนะ ขนาดใหญ่
-
นั่นละค่ะ คนรักรถไฟมากๆ เขาก็จะเป็นอย่างงี้นะคะ
-
รักทุกอย่างในสถานีจริงๆ
-
และด้านนี้นะคะ ก็คือห้องอาหารโรงแรมรถไฟเดิม
-
ก็คือร้านอาหารหรูสมัยนั้น
-
ปัจจุบันเป็นสุขาหญิงจ้า
-
อีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจที่พี่แฮมบอกไว้ก็คือตรงนี้
-
ให้เดินมาดู มาๆ เดินตามมา พาเองแล้วเนี่ย นี่
-
จุดที่น่าสนใจนะครับ ก็คือก็คือบันไดนี้
-
เป็นบันไดหินอ่อนด้วยนะฮะ
-
แต่ก่อนที่จะไปดูบันไดหินอ่อนนั้น ให้ไปดูที่พื้นก่อนนะครับ
-
พื้นเนี่ยมีเอกลักษณ์มาก
เพราะว่าเป็นลักษณะลวดลายที่ถูกวางเอาไว้
-
แล้วเราก็จะเห็นลวดลายลักษณะแบบนี้เช่นเดียวกันกับ
-
ที่ตึกเรลเวย์วิงของโรงแรมเซ็นทารา หัวหิน
-
ซึ่งเคยเป็นอดีตโรงแรมรถไฟครับ
-
กลับมาที่บันไดอีกครั้งหนึ่งนะครับ ไม่ต้องสนใจคำขวัญเหล่านี้
-
บันไดนะฮะ ขึ้นไปชั้น 2 ก็คือเป็นทางขึ้นห้องพัก
-
ห้องพักได้มาตรฐานมาก มีน้ำร้อน น้ำเย็นนะครับ
-
มีห้อง Suite ด้วย ถือว่าทันสมัยที่สุดในขณะนั้น
-
แต่ที่ต้องยกเลิกกิจการไปเพราะว่าเรื่องการแข่งขัน
-
โรงแรมในยุคใหม่ๆ นั้นจะมีความสะดวกสบายมากกว่า
-
แต่ของเราเนี่ยมันเป็นโรงแรมที่เอาไว้
ใช้พักระหว่างทางก่อนที่จะเดินทางต่อ
-
แอบถามค่ะว่าโรงแรมนี้สมัยรัชกาลที่ 5 ถูกมั้ย?
-
ประมาณ 6 เพราะว่าตัวอาคารสถานีกรุงเทพ
-
ที่เราใช้อยู่ในปัจจุบันเนี่ย เปิดใช้ในปี 2459
-
หลังจากเปิดใช้รถไฟไปแล้ว 20 ปี
-
ซึ่งข้ามมาช่วงรัชกาลที่ 6 แล้วครับ
-
การสร้างอาคารหลังนี้เพราะว่าอาคารหลังเก่ามีความคับแคบ
-
เดี๋ยวเราจะพาไปดูอาคารหลังเก่ากันนะ
-
แล้วโรงแรมเนี่ย ก็คาดว่าสร้างมา
ในเวลาเดียวกับตัวอาคารสถานีเลยครับ
-
เพราะตอนนี้กำลังพยายามลองเทียบเคียงขำๆ ดูว่า
-
ในยุครัชกาลที่ 6 เนี่ยเริ่มมีความนิยมสร้างโรงแรมขึ้น
-
อย่างตอนเราไปพระราชวังพญาไทก็เห็นว่ามันเป็นโรงแรม
-
เป็นโรงแรมรถไฟเก่าด้วย
-
อ๋อ คือพระราชวังพญาไทนี่เป็นโรงแรมรถไฟด้วย
-
ใช่ พระราชวังพญาไทนะครับ จะเป็นโรงแรมรถไฟเก่าด้วย
-
แต่ว่าจะเริ่มมาใช้ตอนประมาณรัชกาลที่ 7
-
หลังจากที่รัชกาลที่ 6 สวรรคตไปแล้ว วังก็ปล่อยทิ้งเอาไว้
-
ก็ไม่รู้จะทำอะไร ก็เลยมาพัฒนาให้มาเป็นโรงแรมรถไฟ
-
ซึ่งตอนนั้นเป็นโรงแรมที่น่าจะ
ราคาสูงที่สุดในประเทศตอนนั้นเลย
-
คือเหนือกว่าโอเรียนเต็ลอีกจ้า
-
เป็นหนึ่งในโรงแรมที่เท่มาก ถ้ามีโอกาส เดี๋ยวไว้พาไปเที่ยวค่ะ
-
เพราะว่ามีอ่างแบบว่า ลงไปอาบน้ำ
-
แบบว่ายน้ำได้ในห้องส่วนตัวเลยนะ
-
จริงปะเนี่ย?
-
จริงๆ ลงไปแล้วแบบ ถึงคออย่างนี้เลย เท่มาก
-
ที่ถึงคอเพราะว่าเธอไม่สูงปะ?
-
เราเปลี่ยนแขกรับเชิญมั้ยคะ?
-
มีสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจตรงนี้
-
พอมองขึ้นไปจากบันไดนะคะ สิ่งที่พี่แฮมบอกก็คือตรงนี้เลย
-
มันคือฝ้าครับ ฝ้าเพดานนะฮะ
-
ที่เป็นฝ้าไม้ฉลุลายนะครับ เป็นการทำลายเอาไว้
-
ก็คือลักษณะจะมีความดูจีนๆ นิดนึง
-
สันนิษฐานเอาว่าที่มันมีความจีนๆ ผสมมา
เพราะว่าตรงนี้มันใกล้เยาวราชนะครับ
-
และที่สำคัญฝ้าเพดานข้างบนเคย
-
ห้อยแชนเดอเรียมาก่อนด้วย มีคนว่าเอาไว้
-
แต่เราก็ยังไม่เคยเห็นรูปที่มันชัดเจนจริงๆ สักทีนึง
-
แต่มันจะมีแน่ๆ รูปนึงเลยที่เราเคยเห็นนะครับ
-
ตรงนี้จะมีเก้าอี้หวายเอาไว้เต็มเลย สำหรับนั่งรอ
-
เป็นล็อบบี้โรงแรมนั่นเอง ตรงนี้นะครับ
-
ซึ่งปัจจุบันล็อบบี้โรงแรมนั้นได้กลายสภาพมาเป็น
-
สุขาชายและสุขาหญิงครับ
-
ตอนนี้นะคะเราก็เข้ามาอยู่กลางโถงสถานีแล้วค่ะ
-
ซึ่งด้านหลังเราเนี่ยเป็นรางรถไฟแบบออริจินอล
-
ทั้งหมด 4 รางนะคะ ตั้งแต่สมัยแรกเริ่มเดิมทีเลย
-
ดังนั้นเราให้พี่แฮมเล่าค่ะว่าตรงนี้มีอะไรน่าสนใจอีกนะ
-
ก็คือตอนสมัยที่สร้างสถานีรถไฟกรุงเทพแรกๆ อะ
-
รางรถไฟที่เป็นออริจินอลเลยก็จะมีแค่ 1 2 3 4 นะครับ
-
แล้วก็จริงๆ ตรงนี้เนี่ยจะเป็นมุมที่คนมาถ่ายรูปกันมากที่สุด
-
เราจะสังเกตเวลาใครที่เข้ามาที่สถานีแล้วจะนั่งรถไฟ
-
เขาจะต้องมายืนถ่ายรูปแบบ
-
แล้วก็มีตั๋วรถไฟถือไว้ แล้วก็มีแคปชั่น
-
“อยากนั่งรถไฟไปทะเลโง่ๆ” อะไรอย่างงี้ นะ
-
เอาเป็นว่าถ้าใครมาที่สถานีนะครับ
-
ตรงนี้จะเป็นจุดที่เราแนะนำให้ทุกคนถ่ายรูป
-
แล้วยิ่งถ้ามีรถไฟเข้ามาพร้อมกัน 4 ขบวนแบบนี้
-
ก็จะได้รูปรถจักรครบทั้ง 4 ทางครับ
-
เดี๋ยวต่อไปเราจะไปดูอะไรกันบางอย่าง
-
ซึ่งเราน่าจะเคยเห็นกันมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วแหละ
-
แต่มันถูกเอามาใช้ใหม่อีกครั้งนึง ปะ ไปดูกัน
-
และแล้วตอนนี้นะคะ เราก็พามาดูแกลเลอรี่เล็กๆ
-
ด้านในสถานีรถไฟนะคะ
-
ซึ่งเป็นแกลเลอรี่ภาพที่ดูแล้วรื่นรมย์อย่างรุนแรง
-
ก็คือภาพเตือนนั่นเอง
-
ที่เราชอบเห็นเขาแชร์กันในอินเตอร์เน็ตนั่นแหละ
-
เรามาดูของจริงกันตรงนี้
-
ภาพเตือนพวกนี้จริงๆ แล้วมันวาดมานานแล้ว
-
มีคนวาด 2 คน คือคุณศุภารัตน์กับคุณศักดิ์ดาครับ
-
ภาพก็รื่นรมย์มาก ตามมาดูกันเลยฮะ
-
รื่นรมย์ในระดับไหน? ระดับเลือดสาดอะครับ
-
แบบเนี้ย!
-
แต่มันก็เป็นพฤติกรรมที่มันยังมีอยู่ ณ ปัจจุบันนะ เขาก็เตือน
-
แล้วภาพเนี่ยมันทำให้น่ากลัวเพื่อที่ว่าเราจะได้รู้สึกว่า
-
กลัว แล้วก็ตระหนักรู้ว่า อย่าทำแบบนี้นะ!
-
เช่น “นั่งรถอย่าชะโงกหน้าต่าง”
-
นักท่องเที่ยวชอบมาก กับการยื่นกงยื่นกล้องอะไรไป
-
พลาดมา คุณอาจจะเจอสะพานฟาดก็ได้
-
หรืออันนี้ครับ ปัจจุบันก็ยังมีอยู่นะฮะ
-
นั่นคือ “อย่าขีดเขียนข้างรถ”
-
สมัยก่อนขีดเขียนครับ สมัยนี้กราฟิตี้มาเลยฮะ
-
นี่กำลังเป็นข่าวใหญ่โตกันเลยนะครับ
-
อย่าทำนะครับ ไม่ดี ถือว่าทำลายทรัพย์สินราชการ
-
และเจอกันประจำเลยครับ
“อย่าข้ามทางรถไฟก่อนหยุดดูซ้ายขวา”
-
ภาษาอาจจะกำกวมนิดนึง ถ้าให้พูดกันตรงๆ เลยก็คือ
-
ก่อนจะข้ามทางรถไฟ หยุดก่อนนะจ้ะ
-
เพราะว่าถ้าหากว่าไม่หยุดก็อาจโดนชนได้
-
จำไว้นะครับ เสียเวลาดีกว่าเสียชีวิต
-
นี่โฆษณาสสส.หรืออะไรเนี่ย?
-
ไปต่อ
-
อันนี้แอบให้ดูนิดนึงนะคะ
-
ก็คือเข้ามาที่สถานีเนี่ย ก็จะเห็นสิ่งที่เราเล่าไปเมื่อกี้นี้แหละ
-
ด้านบนทั้งหมดก็คือเป็นระเบียงของ
ห้องพักโรงแรมรถไฟแต่ก่อนค่ะ
-
ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นออฟฟิศการรถไฟไปแล้วเนอะ
-
ส่วนด้านล่างเนี่ยนะคะ แต่ก่อนเคยเป็นศุลกากรมาก่อน
-
เพราะว่าเรามีรถไฟที่วิ่งไปต่างประเทศด้วย
-
วิ่งไปปีนังอะไรอย่างนี้น่ะค่ะ
-
ก็คล้ายๆ กับสนามบินในปัจจุบันเลยนะ
-
นอกจากนี้ก็ยังเป็นที่ที่ไปรษณีย์เอาจดหมายอะไรต่างๆ มาลง
-
เพราะว่าแต่ก่อนเวลาส่งจดหมายข้ามเขต
-
เขาก็ส่งกันด้วยรถไฟเนี่ยละค่ะ ปะ!
-
อาคารนี้ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจนะคะ
-
ก็คืออาคารไปรษณีย์หัวลำโพงเก่านั่นเองค่ะ
-
ซึ่งเราจะเห็นว่ามีทางเชื่อมต่อลงมายังบริเวณรางรถไฟนะคะ
-
สาเหตุก็เพราะว่าสมัยก่อนเนี่ย เราส่งไปรษณีย์กันทางรถไฟค่ะ
-
เพราะว่าเป็นการเดินทางที่รวดเร็วที่สุดในสมัยนั้นนะคะ
-
นี่ก็จะเป็นจุดที่เขาจะลำเลียงจดหมายต่างๆ
จากไปรษณีย์มาที่รางรถไฟค่ะ
-
นี่ ตอนนี้หลังจากที่เราดูสถานีรถไฟกรุงเทพนะคะ
-
ย้ำอีกครั้ง กรุงเทพ! ไม่ใช่หัวลำโพงแล้ว
-
วันนี้เรามีอะไรพิเศษนิดนึงที่นี่ก็คือ
-
นี่เลย ด้านหลัง
-
คนนั่นเองนะคะ
-
ไม่ใช่! ไปดูภาพเอา
-
เป็นรถจักรไอน้ำครับ
-
รถจักรไอน้ำที่ยังเหลือใช้งานได้จริงอยู่ในประเทศไทยนะครับ
-
ซึ่งจริงๆ เมื่อก่อน รถจักรไอน้ำเนี่ย
-
เขาก็เหมือนเป็นรถจักรกำลังหลักเลย ที่วิ่งกันไปทั่วประเทศ
-
แต่พอหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เนี่ย เราเสียหายเยอะมาก
-
แล้วก็มีนโยบายของประเทศด้วยที่จะลดการใช้ไม้
-
ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงของรถจักรไอน้ำลง
-
เพราะว่าทรัพยากรป่าไม้เนี่ยเริ่มถดถอยลงนะครับ
-
ปีสุดท้ายที่รถจักรไอน้ำสั่งเข้ามาคือปี 2492
-
ครบ 70 ปีพอดี
-
แล้วก็เริ่มถยอยตัดบัญชีรถจักรไอน้ำเนี่ยตอนปี 2517
-
จนแบบไม่เหลือรถที่วิ่งตามปกติเลยในปี 2522
-
แต่ก็ยังมีรถจักรไอน้ำบางส่วน ยังเก็บเป็น spare เอาไว้
-
รถจักรสำรอง รถจักรสับเปลี่ยนอะไรแบบนี้ครับ
-
จนกระทั่งรถจักรไอน้ำที่ใช้งานเนี่ยก็ถูกเอามาตั้งเป็นอนุสรณ์
-
คือดีกว่าเป็นเศษเหล็กไง เอามาตั้งหน้าสถานี
-
ก็คือเหมือนกับว่า เอาไว้เป็นพิพิธภัณฑ์
-
ใครมาเที่ยว ถ่ายรูปจ้า แอ๊ะ~
-
แต่ถ้าเอามาตั้งเฉยๆ เดี๋ยวมันจะค่อยๆ
เป็นเศษเหล็กไป เพราะมันจะพัง
-
ใช่ ถูกต้อง
-
เพราะฉะนั้นมันต้องกลายเป็น Living Meseum ครับ
-
ผู้บริหารท่านหนึ่งของการรถไฟเนี่ย
-
ก็เลยมองว่ารถจักรไอน้ำสำคัญ
-
เพราะว่าเขาเป็นรากเหง้าถูกต้องมะ?
-
เขาก็เลยคิดว่าจะทำยังไงดีให้เขากลับมามีคุณค่าอีกครั้งหนึ่ง
-
ก็เลยปิ๊งไอเดียเป็นรถไฟนำเที่ยวโดยใช้รถจักรไอน้ำลากจูง
-
เหมือนในต่างประเทศนั่นเองครับ
-
ซึ่งในปีหนึ่ง เราจะเจอกับรถจักรไอน้ำสองคันนี้นะครับ คุณฮวด
-
6 ครั้งต่อปี
-
ก็คือ 26 มีนาคม วันเกิดรถไฟ
-
3 มิถุนายน วันเฉลิมฯ สมเด็จพระราชินีนะครับ
-
แล้วก็เป็นวันที่ 28 กรกฎาคม
วันเฉลิมฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวครับ
-
วันที่ 12 สิงหาคม วันแม่ 23 ตุลาคม ปิยมหาราช
-
และสุดท้ายก็คือ 5 ธันวาคม วันพ่อครับ
-
เป็นรถไฟขบวนพิเศษจริงๆ
-
พี่แฮมแอบบอกนะคะ ว่าสำหรับคนรักรถไฟเนี่ย
-
วันนี้เหมือนเป็นวันมาฆบูชาของคนรักรถไฟเลย
-
เพราะว่าทุกคนจะมารวมตัวกันโดยไม่ได้นัดหมาย
-
เห็นด้านหลังเนี่ย ดู ประมาณนั้น
-
คือไม่มีใครนัดกันเลย
-
ทุกคนก็แค่อยากมาถ่ายรูปกับรถจักรไอน้ำ
-
เพราะว่ามันหาโอกาสยาก
-
สำหรับใครที่อยากถ่ายรูปกับรถจักรไอน้ำ และที่สำคัญนะ
-
ที่สถานีหัวลำโพง ไม่ใช่ ที่สถานีรถไฟกรุงเทพเนี่ยนะคะ
-
ก็จะต้องรีบมา เพราะว่าเดี๋ยวมันจะมีการเปลี่ยนแปลง
-
คือเราจะย้ายสถานีหลักเนี่ย สถานีกลาง ไปอยู่ที่บางซื่อแล้ว
-
เมื่อไปตรงนั้นแล้ว เราไม่รู้ว่า
-
เขายังจะเอารถจักรไอน้ำมาวิ่งที่นี่อยู่รึเปล่า
-
ดังนั้นถ้าอยากได้ภาพแบบนี้
-
แบบนี้เป๊ะๆ ด้านหลังเป็นโค้งๆ อย่างนี้
-
ก็รีบมานะจ้ะ ระวังอด
-
บอกอะไรนิดนึง ขบวนนี้จองตั๋วยากด้วยนะครับ
-
ขายตั๋วเป็นตั๋วไป-กลับ 250 บาท นี่คือราคาเริ่มต้น
-
ไปและกลับ 250 บาท แล้วมีบริการ Snack ด้วย
-
ถ้าใครที่อยากนั่งรถไฟที่ลากจูงด้วยรถจักรไอน้ำ
-
และไม่ต้องไปไกลถึงญี่ปุ่นนะครับ เรียนเชิญครับผม
-
6 วันที่ได้กล่าวเอาไว้นั้น
-
วิวอยากนั่งมั้ยครับ?
-
คือสิ่งที่วิวทำได้ตอนนี้คือนั่งแล้วก็ลงใช่มั้ยคะ?
-
ใช่ เพราะเราไม่มีตั๋ว มันเต็ม
-
น่ะ นั่นแหละ เอาเป็นว่าเดี๋ยวเราไปดูกันค่ะ ไป~
-
สิ่งนึงที่หลายคนงงนะคะ ก็คือ
-
ทำไมถึงมีคนขับ 2 คนนะคะ งงมะ?
-
คนขับคนที่ 1 คนขับคนที่ 2
-
สาเหตุเพราะว่านี่คือหัวรถจักรไอน้ำ 2 หัวนะคะ
-
นั่น สองหัวไม่ใช่หัวเดียวนะจ้ะ
-
ที่มันต่อกัน โดยเอาก้นต่อกันไว้
-
เพราะว่าสมัยก่อนจะมีสิ่งที่เรียกว่า Turntable ค่ะ
-
เวลารถจักรวิ่งไปถึงไหนปุ๊บมันก็จะสามารถกลับรถกลับมาได้
-
เวลาวิ่งไปถึงอยุธยาแล้วมันจะได้วิ่งกลับได้นะคะ
-
ในทางตรงข้ามเลย ก็เปลี่ยนเอาหัวนี้มาวิ่งแทน
-
และอีกอย่างนึงนะที่ช่วยได้นะ
-
ก็คือพอมันมี 2 หัวรถจักรเนี่ย
-
มันก็จะมี 2 หัวแบบช่วยเพิ่มแรงดัน อะไรประมาณนั้นค่ะ
-
แอบให้ความรู้ที่น่าสนใจอีกข้อหนึ่งนะคะ
-
ก็คือ หลายคนเรียกเสียงของรถไฟที่ดังปู๊นๆ
-
ว่าเสียงหวูดนะคะ
-
แต่จริงๆ แล้วเขาบอกว่าเป็นคำที่ผิดค่ะ
-
เสียงของรถไฟเนี่ยเขาเรียกว่าเสียงหวีด
-
เพราะว่ามาจากคำว่า Whistle ที่แปลว่านกหวีดนั่นเองค่ะ
-
ในขณะที่ถ้าเราพูดถึงเสียงหวูดนะคะ
-
เสียงนั้นจริงๆ จะต้องเป็นเสียงของเรือเดินสมุทรค่ะ
-
ตอนนี้นะคะ เราก็มาอยู่ในอีกจุดหนึ่งที่สำคัญ
-
ในสถานีรถไฟกรุงเทพนะคะ
-
เพราะว่ามันเป็นต้นกำเนิดของทุกสิ่งอย่างบริเวณนี้เลย
-
ซึ่งเราก็จะโยนภาระให้พี่แฮมอีกแล้วค่ะ
-
คลิปนี้วิวสบายจริงๆ มีความสุข
-
เนี่ย เขาบอกแล้วว่าคลิปนี้เขายกให้เรา นะ!
-
ตรงนี้นะครับ มันเป็นจุดสุดท้าย
-
ที่เราจะเข้ามาดูในสถานีกรุงเทพ
-
แต่มันคือจุดเริ่มต้นของทั้งหมด นี่เลยครับ
-
อนุสรณ์ที่คุณเห็นอยู่ข้างหลังนี้นะครับ
-
คือจุดที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
-
และสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถนะครับ
-
หรือสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี
-
ได้ทรงกระทำพิธีตอกหมุดปฐมฤกษ์เดินรถไฟหลวงครับ
-
เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2439
-
หรือถ้าหากว่านับตามปีปฏิทินปัจจุบันนั้นคือปี 2440 ครับ
-
จะมีความงงนิดนึงนะคะ
-
เพราะสมัยก่อนกับสมัยปัจจุบันนับวันปีใหม่ไม่เหมือนกัน
-
ในสมัยนั้นเขายังนับวันปีใหม่อยู่ตรงที่ 1 เมษายนนะคะ
-
ดังนั้นปีมันก็เลยจะงงๆ นิดนึง
-
เวลาดูปีในประวัติศาสตร์ไทย ต้องระวังตรงนี้ดีๆ นะคะ
-
ให้ดูเดือนดีๆ ครับ
-
เพราะว่าประวัติศาสตร์ของรถไฟ
ก็เพี้ยนมาหลายจุดแล้วเหมือนกัน
-
เพราะว่ามันไม่ได้มีการระบุเดือนอย่างชัดเจนนะครับ
-
และที่สำคัญนะครับ
-
ตรงนี้ไม่ใช่เป็นแค่เพียงจุดปฐมฤกษ์เท่านั้นนะครับวิว
-
ยังเป็นสถานีรถไฟกรุงเทพหลังแรกด้วย
-
สถานีรถไฟกรุงเทพหลังแรกนะครับ ใช้งานในปี 2439
-
หรือถ้านับตามปีปัจจุบันอย่างที่ว่าก็คือ 2440 นั่นแหละ
-
ในประวัติเนี่ย ไม่ได้ระบุสถานที่และตำแหน่งที่ตั้งชัดเจนครับ
-
เราเพิ่งจะมาค้นพบที่หลังครับว่า
-
จุดที่เป็นสถานีรถไฟกรุงเทพ เริ่มต้นเป็นอาคารไม้ 2 ชั้นนะครับ
-
อยู่ตรงข้ามกับวังสายปัญญา
-
ซึ่งมันพอดีประจวบเหมาะกับตรงนี้เลยครับ
-
ที่เราก็สันนิษฐานกันว่าเป็นจุดตอดหมุดครั้งแรก
-
เพราะเมื่อเดินออกจากด้านหลังตรงนี้ไปนะครับ
-
จะตรงกับโรงเรียนสายปัญญาพอดีเป๊ะเลยครับ
-
รวมถึงภาพเก่าๆ นะครับ ที่ถ่ายมาเนี่ย
-
เราก็จะมองเห็นบริเวณพื้นที่
ของสถานีกรุงเทพที่สร้างใหม่ในปี 2459
-
และเราก็จะเห็นชานชาลาเล็กๆ อยู่นิดนึงครับ
-
นั่นก็ทำให้เรายิ่งมั่นใจได้เลยครับว่าบริเวณนี้นะครับ
-
มันเคยเป็นสถานีรถไฟกรุงเทพออริจินอลมาก่อนครับผม
-
เนื่องจากตอนนี้วิวดูไร้ประโยชน์มากนะคะ
-
ดังนั้นวิวขอมอบช่องนี้ให้กับพี่แฮม เอาไปเลยค่ะตอนนี้
-
เดี๋ยวค่อยกลับมาเจอกันปลายๆ คลิปแล้วกันนะ
-
เพราะว่ารู้สึกว่ายืนเป็นวอลเปเปอร์หนักมากนะจ้ะ
-
เดี๋ยวมาดูอันนี้กันต่อครับ หลังปฐมฤกษ์
-
ตรงนี้จะเป็นรถจักรไอน้ำนะครับ
-
เป็นรถจักรไอน้ำหมายเลข 714 ครับ
-
ก็คือเป็นหนึ่งในกลุ่มสามสหาย
รถจักรไอน้ำของรุ่น C56 ที่เหลืออยู่
-
ก็คือ เมื่อเช้าเราเห็นรถจักรไอน้ำ 824 กับ 850 แล้วใช่มะ?
-
อันนั้นคือ 2 คัน มีอีก 2 คันที่ยังใช้ได้อยู่
-
ก็คือ 713 กับ 715 ส่วนตรงกลางระหว่างนั้น
-
714 มาอยู่ที่นี่ครับ เป็นอนุสรณ์ปฐมฤกษ์เช่นเดียวกัน
-
และที่สำคัญ คุณรู้มั้ยว่ารถจักรไอน้ำคันนี้ รุ่นนี้นะครับ
-
ไม่ได้ซื้อนะฮะ ได้มาฟรีครับ
-
ตอนที่ญี่ปุ่นมาสร้างทางรถไฟสายมรณะ
ตอนสงครามโลกครั้งที่ 2 ครับ
-
ก็ไปรู้ประวัติมาครับว่ารถจักรไอน้ำแบบ C เนี่ย
ก็คือรหัสเขา C56
-
มันถูกออกแบบมาเพื่อให้ใช้กับเส้นทางที่
ไม่มีวงเวียนกลับรถจักรหรือ Turntable ครับ
-
เพราะว่าดูนู่นเลยฮะ
-
ตัวรถลำเลียงของเขาจะมีลักษณะด้านหลังลาดลงนะครับ
-
เวลาขับถอยหลังจะทำให้ทัศนวิสัยมันดีขึ้น
-
และเราก็จะเจอรถจักรไอน้ำแบบ C56 นี้แบบดาษดื่นมาก
-
ในทางรถไฟสายกาญจนบุรีในยุคนั้นนะครับ
-
แล้วปัจจุบัน ญี่ปุ่นเขาก็ทิ้งไว้ให้เราฮะ ให้เราใช้
-
แล้วก็เอากลับไป 2 คัน บ้านเขา
-
มีคำว่า ร.ฟ.ท. ติดไปด้วย
-
แต่ตอนนี้ไปอยู่ที่ศาลเจ้ากับพิพิธภัณฑ์แล้วนะครับ
-
ถ้าใครอยากจะมาเยี่ยมรถจักรไอน้ำหมายเลข 714
-
ก็มาหาเขาได้ที่อนุสรณ์ปฐมฤกษ์รถไฟหลวงได้เลยนะครับ
-
เขาอยู่ที่นี่ตลอดเวลาครับ
-
แต่! เตือนไว้อย่างหนึ่ง
-
การเดินข้ามไปข้ามมาบริเวณชานชาลาต้องระวังครับ
-
เพราะว่าจะมีรถไฟที่เขาสับเปลี่ยนเนี่ย วิ่งเข้าวิ่งออกตลอดเวลา
-
ต้องระวังด้วย
-
อย่างนี้อะครับ เขาจะมาตลอดเวลาแบบนี้เลยนะครับ
-
ต้องระวังเลยนะครับ เรื่องนี้สำคัญเป็นอย่างมากเลยครับ
-
บอกให้ยึดก็เอาไปเลยจริงๆ ด้วยนะ
-
คือเอาไปเลยแบบ เอาไปเลย แบบเอาไปเลย
-
ตั้งใจจะเล่นมุกว่า “ให้พี่ยึดแล้วกันนะคะ”
-
ถือไมค์ คว้า พูดเลย อย่างเมามัน
-
อ้าว ก็วิวให้พี่เองอะ
-
โอเคจ้ะ นั่นแหละจ้ะ
-
ปะ ไปที่ต่อไปกันเถอะ
-
ที่สุดท้าย อันนี้สุดท้ายจริงๆ ละ
-
แต่ว่าไม่ได้มีนัยยะอะไรสำคัญเกี่ยวกับพื้นที่สำคัญ
-
แต่เป็นพื้นที่ๆ ใครมีกล้องก็ไม่ควรพลาด
-
อ๋าา ดังนั้นเราจำเป็นมาก ต้องไปตรงนั้นนะคะ
-
ปะ ไปดูกัน
-
และตอนนี้นะคะ วิวก็ชวนพี่แฮมมา
-
จุดที่น่าจะมีความสำคัญที่สุดของสถานีรถไฟกรุงเทพเลยนะคะ
-
เพราะว่าเป็นจุดที่มีสิ่งที่แบบว่าสำคัญจริงๆ เลยนะ
-
พี่แฮมรู้มั้ยว่าอันนี้คืออะไร?
-
เฮ้ย เดี๋ยววิว ตรงนี้มันไม่ได้มีอะไรสำคัญมากไม่ใช่เหรอ?
-
ทำไมอะ?
-
ก็พี่พาไปดูหมดแล้วอะ
-
ไม่ ตรงนี้อะ คือจุดที่วิวสวยที่สุด
ในสถานีรถไฟกรุงเทพเลยค่ะทุกคน
-
วิวสวยที่สุดในสถานีรถไฟกรุงเทพเลยค่ะทุกคน
-
สามารถมาถ่ายรูปกันได้เพราะว่าวิวสวยจริงๆ นะฮะ
-
วิวสวย?
-
ไม่ใช่วิวนั้นสิ?
-
มันหมายถึงวิวข้างหลัง เห็นมั้ย?
-
อ่า ตรงนี้นะครับ จะเป็นจุดที่ถ่ายรูปสวยที่สุดครับ
-
ใครที่อยากจะถ่ายรูปตัวเองเอาไปลงโปร์ไฟล์เฟสบุ๊ก
-
ให้มาตรงนี้ได้เลยนะครับ
-
เพราะว่าข้างหลังนั้น นอกจากคุณจะได้เห็น
โดมของสถานีกรุงเทพแล้ว
-
ยังเห็นโรงแรมบัว แอท สเตท ทาวเวอร์
-
เห็น ICON SIAM เห็นตึก CAT
-
เห็นเชอราตัน
-
ก็คือเห็นตึกในย่านธุรกิจทั้งหมดนั่นแหละครับ
-
ถือว่าเป็นจุดที่วิวสวยที่สุดนะครับ
-
ซึ่งวิวนั้น หมายถึงวิวจริงๆ ครับ
-
ยังจะคืนไมค์มาอีก
-
และนี่นะคะก็คือทั้งหมดของสถานีรถไฟกรุงเทพ
-
ที่เราพามาเที่ยวกันแบบคร่าวๆ
-
แต่ว่าได้ข้อมูลอันแน่นมาก
-
ต้องขอบคุณพี่แฮมมากๆ เลยนะคะ
-
ยินดีครับ
-
เอาเป็นว่าถ้าใครอยากติดตามพี่แฮม
-
อยากอ่านเรื่องรถไฟอะไรเพิ่มเติมก็
-
เพจทีมนั่งรถไฟกับนายแฮมมึน
-
หรือว่าติดตามบทความได้ที่ The Cloud เนอะ
-
ใช่ครับผม
-
นั่นแหละน่ะ สำหรับตอนนี้ถ้าใครชื่นชอบคลิปนี้
-
อยากให้วิวพาไปเที่ยวที่ไหนอีก อยากไปมีความรู้ที่ไหนสนุกๆ
-
โดยเฉพาะเรื่องรถไฟนะคะ
-
ก็กดไลก์เป็นกำลังใจให้วิว
-
กดแชร์เพื่อชวนเพื่อนๆ มาดูด้วยกัน
-
แล้วก็คอมเมนต์กดดันมาด้านล่างได้เลยนะคะ
-
โดยเฉพาะพี่แฮม กดดันมาให้หนักๆ ให้พี่แฮมมาอีกค่ะ
-
สำหรับวันนี้ลาไปก่อนนะคะทุกคน
-
บ๊ายบายย~
-
สวัสดีค่า
-
จบคลิปแล้ว~ เย่~
-
จริงๆ แล้วอะ ที่มาสถานีรถไฟเนี่ยนะคะ
-
วิวไม่อยากจะบอกเลยว่า ตั้งใจจะมาอันนี้เนี่ยแหละ
-
คือจะไปเรียนค่ะ ตอนนี้ได้เวลาไปเรียนแล้วนะคะ
-
ตอนนี้วิวอยู่ที่ชานชาลาที่ 9 นะคะ
-
ต่อกับชานชาลาที่ 10
-
แปลว่าวิวต้องพุ่งชนเสาสักเสานึงในนี้
-
เพื่อเข้าไปที่ชานชาลาที่ 9 ¾ ใช่มั้ยคะ?
-
แหมะ ทำไมหลังกล้องยืนขำงั้นอะ?
-
ไม่ใช่! พามาดูเฉยๆ
-
นี่ ตรงนี้ ตอนนี้เขาไปสุไหงโกลกเนอะ
ไม่ได้ไปสก็อตแลนด์
-
บาย