-
เจริญพร
-
เช้าๆ วันอาทิตย์มาฟังธรรมก็ดี
-
ได้มีแรงเอาไว้สู้กิเลสอีกหลายวัน
-
ธรรมะเป็นของร่มเย็น โลกมันเร่าร้อน
-
เราฝึกปฏิบัติกันไป
-
จิตใจเราร่มเย็นเป็นสุข
-
โลกข้างนอกเราแก้มันไม่ได้
-
มันวุ่นวายอย่างนี้ ธรรมดาของโลก
-
เรามาฝึกจิตใจของเราเอง ให้อยู่กับโลกได้
-
โดยที่เราไม่ร้อนตามมันไปด้วย
-
ธรรมะเป็นของร่มเย็น
-
เสียดายชาวพุทธเราส่วนใหญ่ไม่ได้สนใจธรรมะ
-
เป็นพุทธแต่ชื่อ
-
ไม่เคยลิ้มรสเลยว่า
รสของธรรมะนั้นวิเศษแค่ไหน
-
เราไปตามวัดตามอะไรอย่างนี้ เห็น
-
พากันไหว้พวกเทวรูปพวก
สิ่งศักดิ์สิทธิ์นอกพระพุทธศาสนา
-
ไหว้ต้นตะเคียนไหว้อะไรอย่างนี้
-
ตามวัด เยอะแยะ
-
วัดที่สอนกรรมฐานจริงๆ คนก็ไม่ค่อยเข้า
-
คนก็ชอบเข้าวัดแบบนั้น มันพอดีกัน
-
พอดีกับสภาพจิตใจ
-
คนที่จะสนใจธรรมะก็ต้องมีบุญมีบารมี
-
สะสมมามากพอ
-
คนส่วนใหญ่อินทรีย์ก็ยังอ่อน
-
เขาก็ต้องการที่พึ่งแบบโลกๆ ไป
-
ทำแล้วเฮง ทำแล้วรวย
-
ทำแล้วได้ผลประโยชน์
-
มุ่งไปที่ตรงนั้น
-
ถามว่ามันมีประโยชน์ไหม มันก็มีนะ
-
แต่ประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่สูงสุด
-
ที่พระพุทธศาสนาจะให้ได้
-
คนกลับไม่ค่อยเข้าใจไม่ค่อยสนใจ
-
ฉะนั้นเราต้องลงมือศึกษาปฏิบัติให้จริงจัง
-
อย่าทำเป็นเล่น
-
เวลาของแต่ละคนมีไม่มาก
-
เวลาของเราหมดไปทุกวันๆ
-
ครูบาอาจารย์ก็ร่อยหรอลงทุกทีแล้ว
-
เมื่อ 40 กว่าปี 50 ปีก่อน
-
สมัยหลวงพ่อออกศึกษาธรรมะ
-
ครูบาอาจารย์ที่ดีๆ ยังมีเยอะ
-
ยิ่งทางอีสาน
-
มีครูบาอาจารย์ดีๆ เต็มไปหมดเลย
-
ถนนสายเดียวนี่วิ่งไปสักพักหนึ่งก็เจอ
-
วัดนี้องค์นี้อยู่ วัดนี้องค์นี้อยู่
-
เดี๋ยวนี้พอผ่านไป วัดนี้องค์นี้เคยอยู่
-
ที่วัดนี้องค์นี้ก็เคยอยู่
-
มีแต่คำว่าเคยอยู่
-
ท่านไม่ได้อยู่ด้วยแล้ว
-
สมัยก่อนหลวงพ่อเลยชอบวันหยุด
-
จะออกไปทางอีสานหรือไม่ก็ขึ้นไปทางเหนือ
-
ไปหาครูบาอาจารย์ทางเชียงใหม่เชียงราย
-
ส่วนใหญ่จะไปทางอีสานครูบาอาจารย์เยอะ
-
ไปแล้วมันมีความสุข
-
ไปกินข้าววัด
-
ไปภาวนาอยู่ในวัด ไปนอนอยู่ในวัด
-
อาหารที่กินก็อาหารชาวบ้านธรรมดา
-
น้ำพริกกับผักอะไรอย่างนี้
-
กินอาหารอย่างนั้นจริงๆ เราไม่ค่อยคุ้นเคย
-
เราคนเมือง
-
แต่เราไปอยู่อย่างนั้นเรารู้สึก
-
มันไม่มีภาระทางใจ ใจมันสบาย
-
นอนมีกุฏิก็นอน
-
ไม่มีก็ไปผูกกลดอยู่ใต้ต้นไม้
-
ผ่านเวลากลางคืน
-
ออกมาเดินจงกรมใต้แสงเดือนแสงดาว
-
สงบวิเวก มีป่ามีเขา
-
กลางคืนก็มีสัตว์ร้อง มีนกมีแมลงร้อง
-
มันไม่ยั่วกิเลสเรา
-
เราก็ภาวนาร่มเย็นเป็นสุข
-
นี่ฝึกตัวเองมาทุกวัน
-
อยู่ง่าย กินง่าย นอนง่าย
-
แล้วเวลาส่วนใหญ่เอาไว้เจริญสติ
-
ถึงเวลาก็นั่งสมาธิเดินจงกรม
-
ไหว้พระสวดมนต์
-
เวลาที่เหลือเจริญสติในชีวิตประจำวัน
-
การเจริญสติในชีวิตประจำวัน
-
เป็นเรื่องสำคัญมากเลย
-
หลวงปู่มั่นท่านเคยสอน หลวงพ่อไม่ทันท่าน
-
แต่ว่าครูบาอาจารย์ที่เป็นลูกศิษย์ท่าน
-
เคยเล่าให้ฟัง
-
อย่างท่านสอนบอกว่าทำสมาธิมากเนิ่นช้า
-
คิดพิจารณามากฟุ้งซ่าน
-
หัวใจสำคัญของการปฏิบัติ
-
คือการเจริญสติในชีวิตประจำวัน
-
หัวใจอยู่ตรงนี้
-
เก่งเฉพาะตอนนั่งสมาธิตอนเดินจงกรม
-
ไม่ได้กินหรอก
-
วันหนึ่งจะนั่งเท่าไรจะเดินเท่าไร
-
เวลาส่วนใหญ่ถ้าภาวนาไม่เป็น
-
โอกาสจะได้มรรคผลนิพพานยากเหลือเกิน
-
หลวงพ่อภาวนาเจริญสติเป็นหลักเลย
-
บางช่วงยังพลาดพลั้ง
-
ไม่ยอมทำสมาธิ รู้สึกเสียเวลา
-
ขี้เกียจทำสมาธิ
-
พอหลายๆ วันเข้ากำลังสมาธิไม่พอ
-
เดินปัญญาไม่ได้จริง
-
เพราะฉะนั้นสมาธิก็ต้องทำ
-
เวลาส่วนใหญ่ของหลวงพ่อ
ใช้การเจริญสติในชีวิตประจำวัน
-
เพราะหลวงปู่ดูลย์ท่านสอนหลวงพ่อมา
-
ให้อ่านจิตตนเอง
-
การเจริญสติในชีวิตประจำวัน
-
กับการอ่านจิตตนเอง
-
มันมารวมเข้าด้วยกันได้
-
เราสามารถปฏิบัติในชีวิตธรรมดานี่ล่ะ
-
เมื่อตาเห็นรูป
-
เกิดความรู้สึกแปลกปลอมขึ้นในใจเรา
-
ทีแรกใจเราเฉยๆ
-
พอตาเราเห็นดอกไม้สวยงาม
-
ใจเราเกิดความชอบขึ้นมา
-
ใจเรามีความเปลี่ยนแปลงแล้ว
-
เรามีสติรู้ทัน
-
ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในใจเรา
-
เวลาหูเราได้ยินเสียง
-
เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นในใจเรา
-
อย่างมีเสียงคนมาด่าเรา
-
จิตใจเราเกิดโทสะขึ้นมา เรามีสติรู้ทัน
-
จมูกได้กลิ่น
-
ได้กลิ่นหอมใจเราชอบ
-
หรือบางทีได้กลิ่นหอมแล้วใจเราเกิดสงสัย
-
นี่กลิ่นอะไร กลิ่นดอกไม้อะไร
-
พอความสงสัยเกิดขึ้น
หลวงพ่อไม่ได้ไปดูดอกไม้
-
หลวงพ่อดูลงไปที่จิตใจตัวเอง จิตสงสัย
-
เราก็เห็นความสงสัย
เกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วก็ดับไป
-
บางทีได้กลิ่นอย่างนี้เหม็น
-
ใจรำคาญ ใจไม่ชอบ
-
รู้ลงไปที่ใจที่ไม่ชอบ
-
การปฏิบัติในชีวิตประจำวัน
-
หลักการง่ายๆ มีตาก็ดู มีหูก็ฟัง
-
มีจมูกก็ดมกลิ่น มีลิ้นก็รู้รส
-
มีกายก็กระทบสัมผัส
-
มีใจก็คิดนึกไปตามธรรมชาติธรรมดา
-
ไม่ห้าม
-
ใจเราจะคิดดีคิดร้ายอะไร ห้ามได้ที่ไหน
-
จิตมันเป็นอนัตตา
-
บางทีเราอยากคิดแต่เรื่องดีๆ
-
อ้าว มันกลายไปคิดเรื่องชั่วๆ
-
คิดเรื่องกิเลสตัณหาอะไร
-
ทีนี้พอใจมันคิดไปในทางไม่ดี
-
อกุศลเกิด
-
จิตเรามีน้ำหนักขึ้นมา
-
จิตเราเศร้าหมองอึดอัดขัดข้อง
-
เรามีสติรู้ทันจิต
-
โอ้ ตอนนี้จิตเราเศร้าหมองแล้ว
-
หรือเวลาที่จิตเราเป็นกุศล
-
เรามีสติรู้ลงไป
-
อย่างเวลาเห็นครูบาอาจารย์
-
บางทีจิตเรามีปีติ
-
ดีใจได้เห็นครูบาอาจารย์มีปีติ
-
เราแทนที่จะไปดูแค่ครูบาอาจารย์
-
เราก็เห็นจิตใจมีปีติขึ้นมา
-
จิตใจฟังธรรมไป จิตใจเรามีความสุข
-
ไม่ได้มัวแต่นั่งฟังเพลินๆ ไป
-
จิตใจเรามีความสุข รู้ว่ามีความสุข
-
นี่การปฏิบัติจริงๆ สำคัญมากเลยนะตรงนี้
-
แล้วส่วนใหญ่ก็ละเลยกัน ไม่สนใจ
-
แล้วกำหนดอะไรต่ออะไรสอนอะไรกันแปลกๆ ไป
-
ละเลยการเจริญสติในชีวิตประจำวัน
-
ซึ่งหลวงปู่มั่นบอกหัวใจของการปฏิบัติเลย
-
การมีสติในชีวิตประจำวัน
-
ฉะนั้นถ้าเราอยากมีสติในชีวิตประจำวัน
-
เราต้องฝึกตัวเอง
-
หัดอ่านใจตัวเองให้ออก
-
ตาเราเห็นรูปเกิดความเปลี่ยนแปลงที่จิตใจ
-
อย่างเกิดสุข เกิดทุกข์
-
เกิดกุศล เกิดอกุศล
-
ให้เรามีสติรู้
-
อย่างเราเห็นผู้หญิงสวยๆ
-
จิตเรามีราคะขึ้นมา ให้มีสติรู้
-
ไม่ใช่จำเป็นว่าต้องทำเฉยๆ
-
เห็นผู้หญิงสวยๆ ก็กดจิตไว้
-
เพ่งๆๆ ลงไป ไม่ให้มีความรู้สึกขึ้นมา
-
นั่นไม่ใช่การเจริญสติในชีวิตประจำวัน
-
แต่เป็นการเพ่ง
-
เพ่งอยู่ในชีวิตจริงๆ เลย เพ่งมากๆ
-
ใจก็จะแข็งทื่อๆ ไป
-
เหมือนอย่างพระองค์นี้
-
ใจก็ทื่อๆ ไป ไปเพ่งเอา
-
ฉะนั้นเราต้องฝึกหัดอ่านความรู้สึกตัวเอง
-
ตากระทบรูป
-
เกิดสุข เกิดทุกข์
-
เกิดกุศล เกิดอกุศล ให้มีสติรู้ทัน
-
หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น
-
ลิ้นกระทบรส กายกระทบสัมผัส
-
เกิดสุข เกิดทุกข์ เกิดกุศล อกุศล
-
ให้มีสติรู้ทัน
-
เกิดที่ไหน เกิดที่ใจเรา
-
ถ้าจิตเราคิด
-
เราเกิดสุข เกิดทุกข์ เกิดกุศลอกุศล
-
ให้มีสติรู้ทัน
-
มันยากไหมที่จะรู้
-
ไม่ยาก แต่ละเลยที่จะรู้
-
อย่างเราขับรถอยู่คนมาปาดหน้าเรา
-
ขับรถปาดหน้าเรา เราโกรธ
-
คนที่ไม่ได้ปฏิบัติจะไปมองรถที่ปาดเรา
-
เดี๋ยวจะไปเอาคืน
-
ส่วนเรานักปฏิบัติเจริญสติในชีวิตประจำวัน
-
คนเขาขับรถปาดหน้าเรา เราโกรธ
-
เราเห็นความโกรธเกิดขึ้นที่จิตใจเรา
-
นี่อย่างนี้ถึงจะเรียกว่าใช้ได้
-
ลำพังคนปาดหน้าเราแล้วเราก็ไปมองเขา
-
เรียกว่าหลง หลงไปดู
-
เกิดพยาบาทวิตก
-
คิดจะเอาคืน นี่พยาบาทวิตก
-
ฉะนั้นการภาวนาจะว่ายาก มันไม่ยากเลย
-
เราไม่ได้บังคับตัวเอง กดข่มตัวเอง
-
จิตใจเราเป็นอย่างไร เราก็คอยรู้ไป
-
อย่างที่มันเป็น ไม่เห็นจะยากตรงไหนเลย
-
แต่จะว่าง่ายมันก็ไม่ง่าย
-
เพราะเราไม่เคยชินที่จะรู้ใจตัวเอง
-
มันยากเพราะเราไม่เคยชินที่จะรู้
-
เท่านั้นล่ะ
-
ถ้าหัดฝึกจนเคยชินที่จะรู้
-
การจะอ่านใจตัวเอง
-
ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปเลย
-
หลวงพ่อไม่ได้ฝึกอะไรมากมาย
-
ตอนเด็กๆ ก็ทำสมาธิก็ได้แต่ความสงบ
-
ก็ออกรู้โน้นรู้นี้ไปเรื่อยๆ
-
หาสาระแก่นสารอะไรไม่ได้
-
มาเจอหลวงปู่ดูลย์ท่านบอกให้อ่านจิตตัวเอง
-
หลวงพ่อก็ตามรู้ตามเห็นจิตใจ
-
นี่วิธีอ่านจิตตัวเอง
-
ทำอย่างที่หลวงพ่อบอก
-
ไม่ใช่ไปนั่งจ้องอยู่ที่จิต
-
นั่งเฝ้าจิตดูว่าเมื่อไร
-
จะมีอะไรเกิดขึ้นในจิตใจเรา
-
นั่งเฝ้าอยู่อย่างนี้
-
อันนั้นไม่ใช่ ใช้ไม่ได้เลย
-
เมื่อไรเราจงใจไปนั่งเฝ้าเอา
-
จิตจะนิ่งๆ ทื่อๆ แข็งๆ ไป
-
ไม่มีอะไรให้ดูหรอก
-
ฉะนั้นอย่าไปดักดู
-
ให้ตาหูจมูกลิ้นกายใจกระทบอารมณ์
-
แล้วก็เกิดความรู้สึกขึ้นมาก่อน
-
แล้วค่อยรู้ว่าตอนนี้รู้สึกอย่างไร
-
อย่าไปดักดูไว้ก่อน
-
ถ้าไปดักดูไปรอดู
-
มันจะนิ่งๆ ไม่มีอะไรให้ดูหรอก
-
อันนั้นไม่ใช่การอ่านจิตตนเองแล้ว
-
แต่เป็นการบังคับจิตตนเองให้มันนิ่งๆ ไป
-
ต้องฝึกนะต้องฝึก
-
ถ้าอ่านจิตตัวเองจนชำนาญ
-
เราจะรู้เลยการปฏิบัติ
ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปแล้ว
-
เพราะเราได้สิ่งที่สำคัญที่สุด
-
สำหรับการปฏิบัติแล้ว
-
คือเรารู้จักจิตตัวเอง
-
การปฏิบัติธรรมจริงๆ
ก็คือการฝึกจิตนั่นล่ะ
-
ไม่ได้ฝึกกาย
-
อย่างจะเดินจงกรม
-
บางคนฝึกกายต้องเดินท่านั้นต้องเดินท่านี้
-
แล้วจริงๆ แล้วมันไม่ใช่หรอก
-
เราไม่ได้ฝึกโยธวาทิต
-
จะเดินอย่างนั้นอย่างนี้ให้สวยงาม
-
ไม่จำเป็นหรอก
-
เคยเดินท่าไหนก็เดินท่านั้นล่ะ
-
แต่ว่าจุดสำคัญหัวใจจริงๆ
คือจิตของเรานั่นเอง
-
พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่มั่นท่านก็สอน
-
ได้จิตก็ได้ธรรมะ
-
ไม่ได้จิตไม่ได้ธรรมะหรอก
-
ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น
-
ธรรมะเกิดที่จิต
-
ธรรมะมีอะไรบ้าง
-
อกุศลธรรม รู้จักเคยได้ยินไหม
-
เกิดที่ไหน
-
เกิดที่มือที่เท้าที่ท้องหรือเปล่า
-
ไม่ได้เกิด อกุศลธรรมเกิดที่จิต
-
กุศลธรรมล่ะเกิดที่ไหน
-
ไม่ได้เกิดที่มือที่เท้าที่ท้อง
-
ไม่ได้เกิดที่ลมหายใจ เกิดที่จิต
-
มรรคผลล่ะ มรรคผลก็เกิดที่จิต
-
มรรคผลไม่ได้ไปเกิด
-
ที่ต้นไม้ที่ภูเขาที่แม่น้ำ
-
หรือที่ร่างกาย
-
มรรคผลก็เกิดขึ้นที่จิต
-
ถ้าเราเฝ้ารู้เฝ้าดูไป รักษาจิต
-
มีสติรักษาจิต ดูจิตไป ดูแลจิตไป
-
จิตเป็นอย่างไรก็ช่างมันเถอะ
-
แต่รู้อย่างที่มันเป็นให้ได้เท่านั้นล่ะ
-
แล้วเราจะพบว่า
-
ความรู้สึกของเราเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาเลย
-
เวลาตาเราเห็นรูปความรู้สึกก็เปลี่ยน
-
หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นกระทบรส
-
กายกระทบสัมผัส ใจกระทบความคิด
-
ความรู้สึกก็เปลี่ยนในจิตใจนี้
-
สังเกตไปเรื่อยๆ ไม่ใช่ว่าต้องดี
-
ชั่วหรือดี
-
ครูบาอาจารย์องค์หนึ่งท่านเคยพูด
-
ชั่วหรือดีก็อัปรีย์พอกัน
-
อัปรีย์ไม่ใช่คำหยาบคาย
-
อัปรีย์ตัวนี้เป็นภาษาบาลี “อัปปิยะ”
-
คือไม่น่ารัก ไม่น่าหวงแหน
-
เหมือนๆ กันล่ะ
-
ความชั่วเกิดขึ้นก็อย่าไปรักมัน
-
ความดีเกิดขึ้นก็อย่าไปหลงมัน
-
นี่ท่านสอนถึงขนาดนี้นะ
-
แต่ว่าอันนี้เป็นคำสอนในขั้นการเจริญปัญญา
-
ในขั้นจริยธรรมชั่วกับดีไม่เท่ากัน
-
ชั่วนะอัปรีย์จริง ดีไม่อัปรีย์
-
ดีๆ ดีก็ปิยะ น่ารัก
-
แต่ในขั้นเจริญปัญญาเราไม่ได้ภาวนาเอาดี
-
เพราะดีก็ไม่เที่ยง
-
เราไม่ได้ภาวนาเอาความสุข
เพราะความสุขก็ไม่เที่ยง
-
เราไม่ได้ภาวนาเอาความสงบ
เพราะความสงบไม่เที่ยง
-
เราภาวนาให้เห็นความจริงว่า
-
จิตใจของเรานี่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
-
เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์
เดี๋ยวเป็นกุศล เดี๋ยวเป็นอกุศล
-
ตกอยู่ใต้คำว่าไตรลักษณ์ตลอดเวลา
-
เวลาเราดูจิตดูใจนี่
-
สามัญลักษณะคือลักษณะร่วมของ
สิ่งที่เป็นความปรุงแต่งทั้งหลายทั้งปวง
-
หรือเรียกว่าไตรลักษณ์นี่
-
จริงๆ ชื่อจริงๆ ของมันคือสามัญลักษณะ
-
ลักษณะร่วมของสิ่งที่เป็น
ความปรุงแต่งทั้งหลายทั้งปวง
-
ทั้งรูปธรรมทั้งนามธรรม
-
มี 3 อย่าง ไม่เที่ยง
-
ไม่เที่ยงก็คือของเคยมีแล้วมันไม่มี
-
ของไม่มีแล้วมันก็มี มันไม่เที่ยง
-
มันเป็นทุกข์ คือมันถูกบีบคั้น
ให้แตกสลายอยู่ตลอดเวลา
-
อย่างความสุขเกิดขึ้น
-
ความสุขก็ถูกบีบคั้นให้แตกสลาย
-
บางทีหลายคนเจอหลวงพ่อ คุยกับหลวงพ่อเลย
-
เกิดปีติ ปีติถ้าเรามีสติรู้ลงไป
-
เราก็เห็นปีติถูกบีบคั้นให้แตกสลาย
-
ค่อยๆ กร่อนๆๆ ลงไปแล้วก็หายไป
-
แล้วมันก็เป็นอนัตตา
-
จิตเราจะสุขหรือจะทุกข์ จะดีหรือจะชั่ว
-
เราสั่งไม่ได้ เลือกไม่ได้
-
นี่คือความจริง
-
สามัญลักษณะ
-
ลักษณะร่วมของสิ่งที่เป็นสังขารทั้งหลาย
-
ก็คือรูปธรรมนามธรรมทั้งหลาย
-
ล้วนแต่ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ทั้งหมด
-
มีสิ่งเดียวที่พ้นจาก
ไตรลักษณ์ไปคือพระนิพพาน
-
นิพพานไม่มีความเกิด
-
เมื่อนิพพานไม่มีความเกิด
-
นิพพานก็ไม่มีความเก่า
-
ไม่มีความตาย ไม่มีความดับ
-
ของนอกนั้นจะเป็นรูปธรรมหรือนามธรรม
-
จะเป็นกุศลหรืออกุศล เกิดแล้วดับทั้งสิ้น
-
เรามีสติตามอ่านความเป็นจริง
-
ในจิตในใจของเราเรื่อยๆ ไป
-
แล้ววันหนึ่งเราก็จะเข้าใจ
-
ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่าน
เข้ามาสู่ความรับรู้ของเรา
-
อยู่ชั่วคราวแล้วก็ดับสลายไป
-
นี่ดูไปเรื่อยๆ
-
หลวงพ่อใช้เวลาตรงนี้
-
หลวงปู่ดูลย์บอกให้อ่านจิตตนเอง
-
หลวงพ่อใช้เวลา 7 เดือนในการอ่านจิตตนเอง
-
แต่ 7 เดือนนี้อ่านผิดไป 3 เดือน
-
อ่านผิดอย่างไร ก็พยายามบังคับจิตให้นิ่ง
-
ไม่ให้จิตคิดนึกปรุงแต่ง
-
ทำได้ไหม ก็ทำได้ ทำสมาธิไป
-
จิตก็ว่างๆ นิ่งๆ สบาย
-
แล้วไปหาหลวงปู่บอกผมดูจิตได้แล้ว
-
หลวงปู่ถามจิตเป็นอย่างไร
-
บอก โอ้ย จิตมันวิจิตรพิสดาร
-
มันปรุงแต่งได้สารพัดเลย
-
แต่ผมสามารถทำให้มันสงบไม่ปรุงแต่ง
-
ว่างๆ อยู่อย่างนั้น
-
หลวงปู่บอกว่าให้ไปอ่านจิต
-
ไม่ใช่ให้ไปปรุงแต่งจิต
-
ทำผิดแล้ว ไปทำใหม่ นี่ท่านสอนอย่างนี้
-
หลวงพ่อก็เลยมาทำใหม่
-
ก็คือมาอ่านจิตตนเองจริงๆ
-
อ่านอย่างไร
ก็อ่านอย่างที่เล่าให้ฟังนี่ล่ะ
-
ไม่ได้อ่านแบบพิสดารอะไรทั้งสิ้นเลย
-
อ่านซื่อๆ อ่านสบายๆ นี่ล่ะ
-
อย่างขณะนี้พวกเราฟังหลวงพ่อเทศน์
-
ลองนึกซิใจเราสุขหรือทุกข์ รู้ไหม
-
รู้ได้ไหมว่าตอนนี้ใจสุขหรือทุกข์
-
ไม่เห็นจะยากตรงไหนเลย
-
หรืออย่างร่างกายถ้าบางคนดูกาย
-
รู้ไหมร่างกายกำลังนั่งอยู่
-
ยากไหมที่จะรู้ร่างกายกำลังนั่งอยู่
-
ถ้ายากก็เพี้ยนแล้ว ไปหาจิตแพทย์ได้เลย
-
นี่ธรรมะจริงๆ
-
เปิดเผยเรียบง่ายตรงไปตรงมาที่สุดเลย
-
ร่างกายหายใจออกร่างกายหายใจเข้ารู้ได้ไหม
-
ต้องทำจิตให้นิ่งก่อนแล้วถึงจะรู้ไหม
-
ไม่ต้อง รู้เฉยๆ
-
การรู้จิตรู้ใจก็รู้แบบเดียวกัน
-
รู้เหมือนที่รู้ร่างกายมันยืนเดินนั่งนอน
-
ร่างกายหายใจออกหายใจเข้านี่ล่ะ
-
รู้เฉยๆ รู้อย่างที่มันเป็น
-
ตอนนี้ใจเราสุขหรือทุกข์รู้ได้ไหม
-
ตอนนี้ใจเรางงไหม บางคนงง
-
เอะ มันสุขหรือมันทุกข์
-
หลายคนนะ
-
บางคนบอกไม่งง แต่ว่าอ่านใจไม่ออก
-
ขณะที่บอกไม่งงเลย กำลังหลงอยู่
-
หลงไปที่อื่นแล้ว ไม่ได้อ่านใจตัวเองแล้ว
-
จิตใจเป็นของละเอียด
-
เป็นของที่ว่องไวที่สุดเลย
-
เราต้องพัฒนาสติของเราให้ไวขึ้นมา
-
เพื่อจะอ่านมันให้ทัน
-
ไม่ใช่ไปหน่วงความรู้สึกทางใจให้ช้าลง
-
เพื่อสติที่ช้าๆ จะได้อ่านทัน
-
อย่าไปดัดแปลงมัน เหมือนอย่างบางคน
-
เดินจงกรมเดินให้ช้าๆ สติจะได้ตามทัน
-
เดินช้าๆ
-
จิตหนีไปสร้างภพสร้างชาติสร้างทุกข์
-
ไม่รู้กี่ร้อยรอบแล้ว
-
กว่าจะเดินได้แถวตลอดแนวนี่
-
เพราะฉะนั้นกิเลสมันไม่ช้าด้วยหรอก
-
ถึงเราแกล้งเดินให้ช้ากิเลสมันไม่ช้าด้วย
-
จิตนี้ก็เหมือนกัน
-
ไม่ต้องไปแกล้งทำให้ช้าๆ เอ๋อๆ นิ่งๆ
-
เงียบๆ อะไรอย่างนี้
-
กิเลสมันไม่ช้าด้วย
-
เพราะฉะนั้นมันเป็นอย่างไร
รู้อย่างที่มันเป็นให้ได้
-
หลวงพ่อฝึกดูอ่านจิตตัวเองได้จริงๆ
-
4 เดือนเท่านั้น
-
หลวงพ่อก็เข้าใจจิตแล้ว
-
จิตมีธรรมชาติที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
-
ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา
-
เห็นความเป็นไตรลักษณ์ของมันไป
-
คราวนี้ไปส่งการบ้านกับหลวงปู่
-
หลวงปู่บอกว่าอย่างนี้ช่วยตัวเองได้แล้ว
-
ไม่จำเป็นต้องเรียนที่ไหนแล้ว
-
เรียนที่จิตใจตัวเองนี่ไปได้เอาตัวรอดแล้ว
-
ท่านสอน
-
มีพระมาถามหลวงพ่อ
-
อันนี้อีกวัดหนึ่งอยู่กับ
ครูบาอาจารย์เหมือนกัน
-
พระอุปัฏฐากท่าน
-
ได้ยินหลวงพ่อส่งการบ้าน
กับหลวงปู่ครูบาอาจารย์
-
แล้วหลวงพ่อออกจากหลวงปู่มา
-
หลวงปู่ก็ชมหลวงพ่อใหญ่
-
พระอุปัฏฐากท่านก็ฟัง
-
ตอนเย็นไปเจอท่าน
-
ท่านก็มาถามหลวงพ่อว่า
-
โยมๆ เป็นฆราวาสแท้ๆ เลย โยมภาวนาอย่างไร
-
โยมทำปีหนึ่ง พระทำ 10 ปี 20 ปี
-
ยังไม่ได้อย่างนี้เลย
-
ท่านถามซื่อๆ เลย
-
บอกพระทำ 10 ปี 20 ปี
ยังไม่ได้อย่างที่โยมทำปีหนึ่ง
-
หลวงพ่อก็บอกท่านผมทำทั้งวัน
-
ท่านก็งง ทำทั้งวันแล้วไม่ทำมาหากินหรือ
-
ตอนนั้นรับราชการ
-
แล้วทำอย่างไรทำทั้งวัน
-
เจริญสติในชีวิตประจำวันนั่นล่ะ
-
เวลาเรามีหน้าที่การงานเราต้องทำงาน
-
สติจดจ่ออยู่กับงาน
-
สมาธิจดจ่ออยู่กับงาน ปัญญาคิดเรื่องงาน
-
อันนั้นไม่ใช่เวลาปฏิบัติ
-
แต่เป็นเวลาทำงาน
-
เวลานอกเหนือจากเวลาที่ทำงาน
-
กับเวลาทำงานที่ใช้ความคิด
-
แต่ถ้าทำงานที่ใช้ร่างกาย
ปฏิบัติได้ตลอดเลย
-
อย่างที่สุรินทร์เมื่อก่อน
เห็นมีสามล้อถีบเยอะเลย
-
คนถีบสามล้อเข้าใจธรรมะก็มี
-
เขาเก่ง
-
เขาถีบสามล้อไป
-
เขาก็อ่านจิตใจตัวเองไป
-
อ่านร่างกายตัวเองไปเรื่อยๆ
-
แม่ค้าขายผักอยู่ในตลาดก็ภาวนาดี
-
หน้าใสปิ๊งเลย สว่างสดใส รู้เนื้อรู้ตัว
-
จิตใจกิเลสเบาบาง
-
นี่เขาภาวนาได้อย่างไร
-
เขาไม่มีเวลามานั่งสมาธิทั้งวันหรอก
-
ไม่มีเวลามาเดินจงกรม นั่งขายผัก
-
เขาทำด้วยการเจริญสติ
-
มีสติรู้สึกกายมีสติรู้สึกใจตัวเองไป
-
นั่งขายผักคนมาซื้อ ดีใจรู้ว่าดีใจ
-
ขายตั้งนานแล้วไม่มีใครมาซื้อเลย
ผักชักจะเหี่ยวแล้ว
-
เมืองสุรินทร์หน้าร้อนๆ ร้อนจัดเลย
-
ผักนี้ชักจะเหี่ยวพอๆ กับคนขายแล้ว
-
คนขายแก่งั่ก แต่คนขายผ่องใส
-
ผักก็เหี่ยวไปแต่คนขายผักผ่องใส
-
เขาก็เห็นผักมันเหี่ยวก็เรื่องธรรมชาติ
-
ใจของเขากังวลว่าขาย
ไม่ออกเดี๋ยววันนี้ขาดทุน
-
เขาเห็นว่าใจกังวล
-
ใจของเขาก็ได้ทรัพย์สมบัติที่วิเศษไป
-
ได้อริยทรัพย์
-
ทรัพย์ทางโลกไม่ค่อยมี
-
อย่างคนสุรินทร์ยุคก่อน
สมัยหลายสิบปีก่อนจนมาก
-
จนแต่เขามีอริยทรัพย์กัน
-
เขามีทาน เขามีศีล เขามีสติ เขามีสมาธิ
-
เขาขยันศึกษาทางธรรม
-
สงสัยเขาไต่ถามครูบาอาจารย์
-
ชีวิตเขาวนเวียนอยู่อย่างนี้ เขาภาวนาดี
-
แต่รุ่นหลังนี่หมดแล้ว ไปดู
-
ก็กลายเป็นเหมือนคนกรุงเทพฯหมดแล้ว
-
พวกหลงโลกทั้งนั้นล่ะ
-
ไปไหนก็เจอแต่พวกหลงโลก
-
หลวงพ่อภาวนาก็ทำอย่างนี้ล่ะ
-
ตกเย็นตกค่ำก็นั่งสมาธินิดหน่อย
-
เดินจงกรมไม่ค่อยได้เดิน
-
เพราะที่บ้านเป็นบ้านโบราณบ้านไม้
-
เวลาเดินดังเอี๊ยดๆๆ
-
หนวกหูคนที่อยู่ในบ้านเดียวกัน เขารำคาญ
-
หลวงพ่อก็ใช้วิธีนั่งเอา
-
ฝึกตัวเอง
-
ที่จะฝึกอ่านใจตัวเอง
ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
-
ก่อนจะนอนก็กินน้ำเยอะๆ
-
กินน้ำมากๆ เพื่ออะไร
-
ปวดฉี่จะได้ตื่น
-
พอตื่นมา มาฉี่เสร็จแล้วก็กินน้ำอีกละ
-
แล้วก็ไปนั่งสมาธิ
-
ถ้าจิตยังมืดมัวอยู่จะไม่นอน
-
ถ้านั่งแล้วจิตไม่ผ่องใสมัวๆ
-
ถูกโมหะครอบ จะไม่นอนต่อ
-
ฝึกตัวเองเข้มงวด
-
ฝึกไปๆ จนกระทั่งกิเลสมันก็ฉลาด
-
พอเราตื่นปุ๊บ สว่าง ใจเราสว่างผ่องใส
-
อ้าว นอนได้แล้ว
-
กิเลสมันเก่งนะ
-
แหม่มันหลอกเราได้สารพัด กว่าจะรู้ทันมัน
-
เออ สว่างก็ดีแล้วนี่ นั่งต่อเลย
-
นี่ฝึกตัวเองอย่างนี้ ฝึกไป
-
อยากได้ของดีก็ต้องอดทน
-
แต่ต้องอดทนให้ถูกทางถูกหลัก
-
อดทนไม่ถูกหลักก็เหนื่อยเปล่า
-
นักปฏิบัติที่ทำผิดมี 2 อัน
-
กามสุขัลลิกานุโยคกับอัตตกิลมถานุโยค
-
กามสุขัลลิกานุโยคก็หลง หลงตามกิเลสไป
-
อัตตกิลมถานุโยคก็คือทำตัวเองให้ลำบาก
-
บังคับกายบังคับใจตัวเอง
-
เหมือนอย่างพระองค์นี้ท่านสงสัย
-
ท่านจะมาถามหลวงพ่อ
-
อยากถามหลวงพ่อภาวนาตั้งนาน
-
ทำไมไม่เจริญ
-
ท่านติดเพ่งอยู่ ให้ใจนิ่งๆ
-
แต่ตอนนี้ใจท่าน
ไม่เหมือนอย่างเมื่อกี้แล้ว
-
ตอนนั่งฟังใหม่ๆ ใจท่านแน่นอึ้ด
-
แต่ตอนนี้ใจท่านคลายออกแล้ว
-
รู้เนื้อรู้ตัวขึ้นมา อย่างนี้ถึงจะภาวนาได้
-
ถ้านั่งเพ่งอยู่ กี่ปีมันก็อยู่แค่นั้นล่ะ
-
ไม่มีความเจริญหรอก
-
ฉะนั้นหัดอ่านใจตัวเองบ่อยๆ
-
แล้วเราจะได้ๆ ของดี ของดีก็คือธรรมะนั่นล่ะ
-
ถ้าเราเข้าใจธรรมะเราจะไม่ตีกับใคร
-
เราจะไม่ทะเลาะกับใคร
-
เอาธรรมะไปเถียงกันอะไรอย่างนี้
-
ไม่ทำหรอก
-
ธรรมะเป็นของสูงเป็นของร่มเย็น
-
ไม่ได้เรียนเอาไว้ทะเลาะกัน
-
อันนั้นเรียนแล้วกิเลสแรงกว่าเก่า
-
อย่างน้อยเรียนแล้วกูเก่ง
-
กูรู้เยอะกว่าคนอื่นอะไรอย่างนี้
-
นี่กิเลสทั้งนั้นเลย
-
แล้วพูดธรรมะฉอดๆๆๆ
-
แต่ไม่เห็นกิเลส ใช้ไม่ได้หรอก
-
อ่านจิตตัวเองไม่ออก
-
ฉะนั้นพวกเราหัดอ่านจิตตัวเอง
-
ไม่ใช่เรื่องยากหรอก มันละเลยที่จะอ่าน
-
วันนี้เทศน์ไปเทศน์มา
-
เนื้อหาสาระที่ควรจะบอกๆ หมดแล้ว
-
เอาไปทำเอานะ
-
สังเกตไหมพอหลวงพ่อบอกว่าเทศน์เสร็จแล้ว
-
ใจของเราเปลี่ยนทันทีเลย รู้สึกไหม
-
เฮ้อ แหม มันออกหน้าออกตามากไป
-
ไม่รู้จักเกรงใจเลย
-
นี่รู้สึกไหมใจขำ เห็นไหม
-
ความรู้สึกขำเกิดขึ้น
-
รู้สึกนี่ขำแล้วเอิ๊กๆ อ๊ากๆ
-
เหมือนเด็กทารก เหมือนพระพุทธเจ้าบอกนะ
-
อย่างหัวเราะเอิ๊กอ๊ากๆ
-
มันอาการของเด็กทารก
-
ไม่รู้เรื่องไม่มีสติ
-
อย่างที่วัดหลวงพ่อคอยดูพระเรื่อยๆ
-
คุยกันเสียงดังหลวงพ่อยังดุเลย
-
อย่างหัวเราะก๊ากๆ นี่โดนทันทีเลย
-
ถ้าคุยเสียงดัง
เดี๋ยวว่างๆ แล้วจะเรียกมาดุ
-
แต่ถ้าหัวเราะก๊ากๆ นี่โดนทันทีเลย
-
เพราะว่านักปฏิบัติไม่ควรจะเป็นอย่างนั้น
-
ต้องมีสติ
-
สนุกได้ไหม
-
ความรู้สึกสนุกเกิดขึ้นได้ไหม ได้
-
แต่อย่าให้ขาดสติ
-
มีความสุขได้ไหม มีความสุขได้
-
ไม่ใช่ พระพุทธเจ้าบอกให้รู้ทุกข์
-
ฉะนั้นกูต้องทุกข์อย่างเดียว
-
อันนั้นไม่ใช่นะ
-
คำว่ารู้ทุกข์ก็คือ
-
รู้รูปรู้นามรู้กายรู้ใจ
-
ความสุขก็อยู่ในกองทุกข์
-
ความสุขก็เป็นตัวทุกข์ชนิดหนึ่ง
-
ตัวเวทนาเป็นตัวทุกข์อย่างหนึ่ง
-
ตามรู้ตามเห็น ไม่อยากหรอก
-
ธรรมะก็ประณีตเป็นลำดับๆ ไป
-
เบื้องต้นนี่อ่านใจตัวเองให้ออก
-
หลวงปู่ดูลย์ท่านสอนธรรมะสอนสั้นๆ
-
ไม่สอนยาวอย่างหลวงพ่อหรอก
-
ถ้าหลวงพ่อเอาอย่างหลวงปู่ดูลย์สอนสั้นๆ
-
พวกเราไม่รู้เรื่อง
-
เพราะอินทรีย์พวกเราอ่อน ขี้เกียจด้วย
-
ใครยังรู้สึกตัวว่าขี้เกียจบ้าง
-
ไม่ต้องยกๆ ของมันเห็นๆ กันอยู่
-
ไม่ต้องยกหรอก
-
ถ้ายังมีการเว้นวรรค
-
การปฏิบัติของเรายังประมาทเกินไป
-
ตอนนี้ขอเล่นเกมสัก
ชั่วโมงหนึ่งก่อนอะไรอย่างนี้
-
นี่ประมาทนะ
-
ระหว่างเล่นเกมอาจจะช็อกตายก็ได้
-
ดีใจชนะเกม นี่ประมาท
-
ฉะนั้นอย่าให้มีช่องโหว่
-
ช่องโหว่เล็กนิดเดียวกิเลสลุยทันที
-
กิเลสมันเก่งนะไม่ใช่มันไม่เก่ง
-
ต้องฝึก
-
หลวงปู่ดูลย์ท่านสอนสั้นๆ
-
อย่างถ้าท่านจะสอนให้
จิตเรามีสมาธิตั้งมั่นนี่
-
ท่านพูดประโยคเดียว “อย่าส่งจิตออกนอก”
-
จิตออกนอกคือจิตไหลไป
-
ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ
-
บอกอย่าส่งไป
-
แต่ถ้าจิตมันส่งไปเอง ห้ามมันไม่ได้นะ
-
แต่เราอย่าส่งไป
-
ส่งไปก็คืออุ้ยสนุกจังเลย
-
ดูละครสัตว์นี่สนุกจังเลย ส่งจิตไปดู
-
ไปดูหมูเด้ง
-
มันเด้งบ้างไม่เด้งบ้าง ส่วนใหญ่มันนอน
-
ก็อุตส่าห์ไปดูกัน ไปดู
-
เวลาไปดูหมูเด้ง
-
เห็นไหมใจไปอยู่ที่หมูเด้ง
-
ถ้าตายไปเราจะต้องแย่งกันไปเป็นฮิปโป
-
แล้วคราวนี้
-
คนอื่นเขาจะมาดูเราเด้งบ้างแล้ว
-
นี่ใจมันไหลออกไป
-
อย่าส่งจิตออกนอกก็คืออย่ามีโลภะเจตนา
-
เที่ยวแสวงหากามคุณอารมณ์
-
คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะทั้งหลาย
-
แต่ธรรมชาติของจิตย่อมส่งออกนอก
-
เห็นไหมจิตมันโดยตัวมันชอบส่งออกนอก
-
ไม่ห้าม
-
ถ้าจิตส่งออกนอกแล้วให้มีสติรู้ทัน
-
ตรงนี้สำคัญนะ
-
นี่คำสอนของหลวงปู่ดูลย์ประโยคเดียว
-
แต่พอกระจายออกมา
-
โห มันเป็นหลักการปฏิบัติ
ที่เยอะแยะไปหมดเลย
-
ถ้าจิตเราไม่ส่งออกนอกจิตเราจะเป็นอย่างไร
-
จิตเราจะตั้งมั่น
-
จิตเราจะตั้งมั่น
เป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน
-
หลวงพ่อฝึกได้จิตที่ตั้งมั่น
-
มาตั้งแต่ 10 ขวบ
-
ฉะนั้นเวลาหลวงปู่สอน
-
หลวงปู่ไม่มาบอก
หลวงพ่อว่าอย่าส่งจิตออกนอก
-
หลวงปู่ต่อยอดให้เลย
-
“จงทำญาณเห็นจิตให้เหมือนตาเห็นรูป”
-
ท่านสอนตรงนี้
-
จงทำญาณเห็นจิตให้เหมือนตาเห็นรูป
-
เวลาตาเราเห็นรูปเราจงใจเห็นไหม
-
หลับตาซิ ทุกคนหลับตา
-
แล้วลองหันหน้าไปให้มันเปลี่ยนทิศทาง
-
แล้วลืมตา
-
เราเจตนาเห็นไหม ไม่ได้เจตนา
-
จงทำญาณเห็นจิตให้เหมือนตาเห็นรูป
-
อันแรกเลยไม่ได้เจตนา
-
มีรูปอย่างไรก็เห็นมันไปอย่างนั้น
-
หันไปแล้วไปเจอสาวสวยก็รู้ รู้รูป
-
หันไปแล้วไปเจอหมาขี้เรือนวิ่งเข้ามา
-
หรือเสือกำลังวิ่งเข้ามาก็รู้ รู้ทัน
-
เหมือนตาเห็นรูป เราไม่เลือกนี่
-
เราเลือกได้ไหมว่าจะเห็นรูปอะไร
-
เราเลือกไม่ได้
-
ตาจะเห็นรูปที่ดีหรือรูปที่ไม่ดี
-
ที่ชอบใจหรือไม่ชอบใจ เราเลือกไม่ได้
-
การดูจิตเขาบอก
-
จงทำญาณเห็นจิตให้เหมือนตาเห็นรูป
-
เราไม่เลือกอารมณ์ของจิต
-
อย่างตาก็ไม่เลือกอารมณ์ของตา
-
มีรูปอะไรก็เห็นไปอย่างนั้น
-
จิตนี่เราก็ไม่เลือกอารมณ์
-
อารมณ์ที่ดีมาเราก็รู้
อารมณ์ที่ไม่ดีมาเราก็รู้
-
ตามรู้อย่างที่มันมีอย่างที่มันเป็นไป
-
มีญาณเห็น
-
ญาณแปลว่าความหยั่งรู้
-
เป็นลักษณะของปัญญา
-
ฉะนั้นไม่ใช่รู้โง่ๆ
-
ไม่ใช่รู้เอ๋อๆ น้ำลายยืดๆ รู้
-
ไม่ใช่ รู้ต้องมีปัญญา
-
มีใจที่ตั้งมั่นปัญญาถึงเกิด
-
มันผ่านบทเรียนที่ชื่อว่า
-
อย่าส่งจิตออกนอกมาแล้ว
-
ใจมันตั้งมั่นแล้ว
-
พอใจมันตั้งมั่นแล้ว
-
มันถึงจะมีญาณเห็นจิตได้
-
ญาณเป็นปัญญา
-
ปัญญามีสัมมาสมาธิ
-
คือความตั้งมั่นเป็นเหตุใกล้ให้เกิด
-
ฉะนั้นที่หลวงพ่อจะจ้ำจี้จำไชพวกเรา เฮ้ย
-
จิตต้องตั้งมั่นนะ จิตต้องถึงฐานนะ
-
เพื่อจะเอาไว้เดินปัญญา
-
ทำญาณเห็นจิตให้เหมือนตาเห็นรูป
-
หมายถึงว่ามีอารมณ์อะไร
เกิดขึ้นก็สักว่ารู้ว่าเห็นไป
-
รู้เห็นอย่างที่มันมีอย่างที่มันเป็น
-
แล้วไม่ได้รู้โง่ๆ รู้แบบมีปัญญา
-
อันแรกเลยมีสติรู้ว่ามี
อารมณ์อะไรเกิดขึ้นกับจิต
-
เช่นความสุขความทุกข์
กุศลอกุศลเกิดขึ้นกับจิต
-
รู้ทัน
-
อันที่สองมีปัญญาซ้ำลงไป
-
ทุกสิ่งทุกอย่างที่จิตไปรู้เข้า
-
ล้วนแต่ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์
-
ความสุขก็ไม่เที่ยง ความทุกข์ก็ไม่เที่ยง
-
กุศลอกุศลก็ไม่เที่ยง
-
หัดดูอย่างนี้ คำว่า
-
“จงทำญาณเห็นจิตให้เหมือนตาเห็นรูป”
-
คืออย่างนี้
-
ไม่ใช่นั่งจ้องอยู่ที่จิต
-
ถ้าไปนั่งจ้องอยู่ที่จิต ไม่ใช่แล้ว
-
มันก็คล้ายๆ เราเข้าห้องปิดประตู
-
แล้วก็จุดเทียนไว้อันหนึ่ง
-
แล้วก็มองอยู่ที่เทียน
ไม่ให้มองอันอื่นเลย
-
ตาก็ต้องเห็นแต่เทียนนี่ล่ะ
เห็นอย่างอื่นไม่ได้
-
ไม่ใช่นะ
-
มีตาก็เห็นอย่างที่มันจะต้องเห็น
-
จิตของเราจะมีความรู้สึกอะไรเกิดขึ้น
-
ให้มันรู้สึกไป
อย่างที่มันมี อย่างที่มันเป็น
-
แล้วเราก็ตามเห็นไป
-
ตอนนี้จิตสุข ตอนนี้จิตทุกข์
-
ตอนนี้จิตเป็นกุศล ตอนนี้จิตเป็นอกุศล
-
ตามรู้ตามเห็นไป
-
พอตามรู้ตามเห็นไปมากพอ มันจะรู้
-
สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
-
สิ่งนั้นทั้งหมดดับเป็นธรรมดา
-
ทำไม่ใช้คำว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
-
ทำไมไม่ใช้ว่าโลภโกรธหลง
-
สุขทุกข์ดีชั่วอะไร
-
ใช้คำว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
หมายถึง Everything ที่เกิด
-
ทั้งหมดนั่นล่ะต้องดับ
-
ฉะนั้นไม่ใช้คำว่าสุขเกิดแล้วสุขดับ
-
ทุกข์เกิดแล้วทุกข์ดับ กุศลเกิดแล้วก็ดับ
-
โลภโกรธหลงเกิดแล้วก็ดับ
-
อย่างตอนที่เราหัดดูใหม่ๆ ใช่ไหม
-
เราก็จะเห็นสุขเกิดแล้วดับ ทุกข์เกิดแล้วดับ
-
กุศลเกิดแล้วดับ โลภโกรธหลงเกิดแล้วดับ
-
เราดูแต่ละอันเกิดแล้วดับ
แต่ละอันเกิดแล้วดับ
-
ตรงที่ปัญญาแก่รอบเต็มที่แล้วนี่
-
มันไม่มานั่งดูทีละอัน มันสรุปรวบยอด
-
ปัญญาในอริยมรรคนี่มันสรุปรวบยอดเลยว่า
-
สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นทั้งหมดดับเป็นธรรมดา
-
Everything เกิดแล้วดับ
-
ตรงนี้เราจะเข้าใจธรรมะ
-
ก็ได้โสดาบันตรงนี้
-
ถัดจากนั้นก็ภาวนาของเราแบบเดิมนั่นล่ะ
-
แต่ศีลของเราเต็มที่อยู่แล้วล่ะ
-
สมาธิก็จะแก่กล้าขึ้น
-
แล้วก็เจริญปัญญาไป
-
พระสกทาคาพระโสดาบันศีลบริบูรณ์
-
สมาธิเล็กน้อย ปัญญาเล็กน้อย
-
สมาธิเล็กน้อยคือใจเราวอกแวกๆ
-
ไม่ได้ต่างกับชาวบ้านธรรมดาหรอก
-
พระโสดาบันปัญญาเล็กน้อย
-
เห็นไตรลักษณ์เป็นคราวๆ
ไม่ได้เห็นได้ตลอดหรอก
-
พระสกทาคามีศีลบริบูรณ์
-
อันนี้บริบูรณ์ตั้งแต่โสดาบันแล้ว
-
สมาธิปานกลาง
-
ปัญญาเล็กน้อย
-
ปัญญาเล็กน้อยก็ยังไม่ได้
รู้แจ้งแทงตลอดอริยสัจอะไร
-
ปัญญาเล็กน้อยก็
แค่สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นก็ดับ
-
แต่จิตมีกำลังตั้งมั่นมากขึ้น
-
สมาธิปานกลาง
-
สมาธิปานกลางก็คือถ้าจะหลง
-
หลงแวบเดียว ฟุ้งไปก็ฟุ้งสั้นๆ ไม่ฟุ้งยาว
-
ถ้าฟุ้งเป็นชั่วโมงไม่ใช่แล้วล่ะ
-
แสดงว่าสมาธิอ่อนเหลือเกิน
-
แล้วถ้าภาวนาต่อไป
-
รู้แจ้งแทงตลอดในตัวร่างกายในรูปนี่
-
ว่าไม่ใช่อย่างอื่นมีแต่ทุกข์
-
รู้แจ้งแทงตลอดอย่างนี้จิตมันวางกาย
-
พอมันวางร่างกาย
มันก็จะวางตาหูจมูกลิ้นกายใจ
-
มันก็จะพลอยวางรูปเสียง
กลิ่นรสโผฏฐัพพะไปด้วย
-
ตัวที่ทำให้จิตเราฟุ้งซ่านก็คือกามนั่นล่ะ
-
พอเป็นพระอนาคามีมันวาง
-
ตาหูจมูกลิ้นกายลงไปได้
-
แล้วก็วางรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะไปด้วย
-
ความยินดีพอใจในรูปไม่มี
-
ความยินร้ายในรูปไม่มี
-
ใจก็ไม่วิ่งแส่ส่ายออกไปทางตาหูจมูกลิ้นกาย
-
นี่สมาธิมันบริบูรณ์เพราะเหตุนี้
-
เพราะว่าจิตไม่ไหลตามกามออกไป
-
ไม่ไหลไปทางตาหูจมูกลิ้นกาย
-
มันตั้งมั่นเด่นดวงอยู่กับตัวเองนี่
-
ถึงบอกพระอนาคามีมีสมาธิบริบูรณ์
-
มีปัญญาปานกลาง
-
โสดาบัน สกทาคามี
-
เห็นว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น
-
สิ่งนั้นก็ดับไป ไม่มีตัวเรา
-
พระอนาคามีมีปัญญาปานกลาง
-
คือเห็นว่ารูปทั้งหลายร่างกายนี่
-
ไม่มีอย่างอื่นนอกจากทุกข์
-
ไม่มีอย่างอื่นเลย
-
เห็นมีแต่ทุกข์ล้วนๆ เลย
-
นี่เป็นปัญญาปานกลาง
-
แต่ทำไมปัญญานี้ยังไม่สิ้นสุด
-
พระอนาคามียังหลงผิดอยู่
-
ว่าตัวจิตที่ฝึกดีแล้วนี่มีความสุข
-
ฉะนั้นจะมุ่งไปหาความสุขของสมาธิ
-
จะไปติดในรูปราคะอรูปราคะ
-
ทีนี้ภาวนาไปเรื่อยก็จะรู้เลย
-
รูปราคะอรูปราคะ
-
จิตเข้าไปติดไปยึดจิตก็ทุกข์อีก
-
แล้วต่อไปปัญญาแก่รอบจริงๆ จะรู้ว่า
-
จิตนั่นล่ะคือตัวทุกข์
-
มันจะแตกหัก วัฏจักรจะล่มลงก็ตรงที่
-
มันรู้แจ้งแทงตลอดว่าจิตคือตัวทุกข์
-
ไม่ใช่ทุกข์บ้างสุขบ้าง
อย่างที่เคยเห็นแล้ว
-
ตัวนี้คือปัญญาขั้นสุดท้ายเลย
-
ก็จะรู้แจ้งแทงตลอด
-
ปฏิจจสมุปบาทล้างอวิชชา
-
อวิชชาคืออะไร คือความไม่รู้ทุกข์
-
ไม่สามารถรู้ทุกข์ได้ ไม่สามารถละสมุทัย
-
ไม่สามารถแจ้งนิโรธ
ไม่สามารถเจริญอริยมรรคได้
-
แต่ตรงที่มันรู้แจ้งแทงตลอดว่า
-
จิตนั้นล่ะคือตัวทุกข์
-
นี่คือขันธ์ตัวสุดท้าย
-
ที่เราจะสามารถเห็นได้ว่ามันคือตัวทุกข์
-
ตัวกายดูง่ายว่าเป็นตัวทุกข์
-
แต่พอถึงตัวจิตจะให้ดูว่า
-
กระทั่งจิตที่ทรงฌานก็คือตัวทุกข์
-
ไม่ใช่ง่าย
-
อันนี้เลยเป็นปัญญาอย่างยิ่ง
-
รู้แจ้งแทงตลอดในกองทุกข์
-
ก็รู้แจ้งแทงตลอดอริยสัจนั่นล่ะ
-
กว่าจะถึงจุดนี้ก็ต้องสู้
-
จุดเริ่มต้นของการสู้
ทำอย่างที่หลวงพ่อบอกนั่นล่ะ
-
ถือศีล 5 ไว้
-
ทุกวันทำในรูปแบบไหว้พระ สวดมนต์
-
นั่งสมาธิเดินจงกรม
-
จิตจะได้มีกำลัง
-
หัวใจของการปฏิบัตินั้นคือ
-
การเจริญสติในชีวิตประจำวัน
-
ถ้าเราทำอย่างนี้ได้มรรคผลไม่ใช่เรื่องไกล
-
ถ้าเก่งเฉพาะตอนนั่งสมาธิยังอีกไกล
-
เพราะอยู่ในชีวิตจริงเราล้มเหลว
-
เพราะฉะนั้นฝึกนะที่หลวงพ่อบอกให้วันนี้
-
เป็นแก่นสารสาระในการฝึกกรรมฐานเลย
-
เหมือนที่หลวงปู่มั่นบอก
-
ทำสมาธิมากเนิ่นช้า คิดพิจารณามากฟุ้งซ่าน
-
หัวใจสำคัญของการปฏิบัติ
คือการมีสติในชีวิตประจำวัน
-
วันนี้เทศน์ให้ฟังเท่านี้
-
ขอเบรกแป๊บหนึ่ง
-
ปีนี้รู้สึกแก่ลงไปเยอะเลย
-
เมื่อก่อนเทศน์สอนใหม่ๆ หลวงพ่อเคยสอน
-
ตอนนั้นยังไม่บวช สอนเพื่อนๆ
-
สอนโต้รุ่งเลย
-
เนสัชชิกกันแล้วก็นั่งกัน
-
มาบวชทีแรกก็สอน 7 วัน สอนทั้งวัน
-
ต่อมาก็ลดลงเหลือสอน 4 วัน สอนครึ่งวัน
-
เดี๋ยวนี้เหลือ 2 วัน
-
แต่ว่าทุกวันคนไปที่วัดเยอะแยะ
-
ก็สอนให้เหมือนกัน
-
บางวันหมดแรงจริงๆ ก็
-
ต้องพักเหมือนกัน แก่แล้ว
-
เอาใครก่อนดี เบอร์ 1 เพ่งอยู่นะ
-
เบอร์ 1: ภาวนาในรูปแบบ
-
โดยเดินจงกรมเช้าเย็น
-
ในชีวิตประจำวันดูร่างกายที่เคลื่อนไหว
-
ไม่ทราบว่าตอนนี้จิตตั้งมั่น
-
พร้อมจะเดินปัญญาได้หรือยังครับ
-
ตอนนี้เราบังคับจิตอยู่รู้สึกไหม
-
มันบังคับอยู่นะขณะนี้
-
ไหนมาเดินให้หลวงพ่อดูซิ
-
นึกว่าตรงนี้เป็นแคทวอร์ค เดิน
-
อย่าเสียชื่ออาจารย์นะ
-
อาจารย์เก่งทางเดินจงกรม
-
ใช้ได้ มานั่งได้แล้ว
-
มันต้องมีสติอย่างนี้ล่ะ
-
ขาดสติมันไม่ได้เรื่องเลย
-
แต่ว่าเกร็งเพราะว่าจะคุยกับหลวงพ่อ
-
จะส่งการบ้านเลยเกร็ง
-
แล้วดูออกไหมจิตมันอยู่ข้างนอก
-
จิตไปข้างนอก รู้ไหมตัวนี้เห็นไหม
-
จิตไม่เข้าฐานตัวนี้เห็นไหม
-
ลองหายใจซิ
-
หายใจอย่าไปยุ่งกับจิต หายใจธรรมดา
-
เห็นร่างกายหายใจด้วยใจธรรมดา
-
หลงคิด
-
หายใจไปด้วยใจธรรมดา แล้วจิตหลงคิดรู้ทัน
-
หายใจไปอีก มันยังไม่เข้ามา
-
เริ่มเข้ามาแล้ว รู้สึกไหมไม่เหมือนกัน
-
อ้าวเบอร์ 2
-
จิตต้องทรงสมาธิมันต้องอย่างนี้
-
จิตไปว่างๆ อยู่ข้างนอก
-
นิ่งๆ อยู่ข้างนอก ใช้ไม่ได้
-
มันเพลินๆ ไป
-
เบอร์ 2
-
ภาวนาในรูปแบบเดินจงกรม
-
วันละหนึ่งชั่วโมงครึ่ง
-
ในชีวิตประจำวันดูร่างกายที่เคลื่อนไหว
-
ยังหลงนาน
-
บางครั้งเห็นไหวๆ พุ่งที่กลางอก
-
ใช่การเห็นเกิดดับไหมคะ
-
ใช่ ที่มันไหวๆ เพราะมันไม่เที่ยง
-
แล้วมันไหวได้เอง รู้สึกไหม
-
เราไม่ได้สั่ง ดีแล้วไปทำต่อ
-
เบอร์ 3
-
ภาวนาในรูปแบบ
-
นั่งสมาธิทุกวัน 30 นาที ถึง 1 ชั่วโมง
-
ในชีวิตประจำวันเคลื่อนไหวรู้สึก
-
ดูร่างกายหายใจเข้าออก
-
หายใจเข้าพุทออกโธเป็นวิหารธรรม
-
อยากที่จะพ้นทุกข์ ทำให้รีบภาวนา
-
ความอยากทำให้ลืมทุกอย่าง
-
จนสุดท้ายจิตทนไม่ไหว และรู้ว่าไม่ใช่ทาง
-
จิตวางลงได้ขณะหนึ่ง
-
แต่วางได้สักพักจิตก็หยิบขึ้นมาอีก
-
ขอหลวงพ่อแนะนำการปฏิบัติต่อค่ะ
-
ก็ทำอย่างที่ทำนี่ล่ะ อาจารย์สอนมาดีแล้ว
-
แต่ตรงนี้จิตออกนอก รู้สึกไหม
-
ว่าจิตก็ยังไม่เข้าฐาน รู้สึกไหม
-
ทำอย่างไรมันจะเข้า
-
ทำไม่ได้เพราะจิตเป็นอนัตตา
-
ถ้าเมื่อไรเรารู้ว่าจิตมันไหล
-
มันจะเข้าฐานเอง
-
แล้วในความเป็นจริง
-
ถ้าเรามีสติรู้สภาวะที่กำลังมีกำลังเป็น
-
จิตจะเข้าฐานเอง
-
อย่างโกรธแล้วรู้ว่าโกรธ
-
หลงไปคิดรู้ว่าหลงไปคิด
-
ดูปุ๊บจิตจะเข้าที่เลย
-
เพราะเมื่อไรมีสัมมาสติ
-
รู้เท่าทันกายใจของตัวเอง
-
สัมมาสมาธิจะเกิดร่วมด้วยเสมอ
-
จิตจะตั้งมั่น ตรงนี้ไม่ใช่แล้ว
-
นึกออกไหมมันแน่น
-
ใช้ได้ เก่ง ไม่เสียชื่ออาจารย์
-
เบอร์ 4 เลยกดดันมากเลย
-
ไม่รู้จะเสียชื่ออาจารย์ไหม เลยกดดัน
-
ไม่ต้องกลัว เก่ง ใช้ได้
-
เบอร์ 4: ภาวนาในรูปแบบ
-
สวดมนต์นั่งสมาธิ 15 นาที
-
เดินจงกรม 30-45 นาที
-
ในชีวิตประจำวันรู้กายเคลื่อนไหว
รู้ใจทำงาน
-
บางทีก็ดูร่างกายหายใจกับบริกรรมพุทโธ
-
หลวงพ่อสอนให้ใช้พุทโธเป็นเครื่องอยู่
-
ในชีวิตประจำวันยังหลงนาน
-
ยังคงปฏิบัติในรูปแบบทุกวัน
-
ทำอย่างไรการภาวนาในชีวิตประจำวัน
-
จึงจะต่อเนื่องเข้มแข็งกว่านี้ค่ะ
-
ถ้าไม่ชอบพุทโธก็ใช้กรรมฐานอื่นก็ได้
-
อันไหนก็ได้ที่เราถนัด
-
หลวงพ่อเรียนมาจากครูบาอาจารย์ท่านสอนพุทโธ
-
เวลาพูดก็เลยพุทโธอยู่เรื่อยๆ
-
จริงๆ ใช้อะไรก็ได้
-
ถ้าจิตอยู่ในอารมณ์อันเดียว
-
อย่างต่อเนื่องโดยที่เราไม่ได้บังคับ
-
สมาธิก็เกิด
-
ทีนี้อารมณ์อะไรที่จิตจะอยู่
อย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องบังคับได้
-
อารมณ์ที่อยู่แล้วมีความสุข
-
ของหนูภาวนาดีนะ
-
ดีมากๆ เลย ใช้ได้เลย
-
นี่สงสัยเป็นตัวเก่ง
อาจารย์เลยซ่อนไว้เบอร์ 4
-
เบอร์ 1 ก็เก่งนะเสียแต่ว่าเพ่งมากไป
-
เราจงใจปฏิบัติ เราอยากดี
-
อยากรู้ อยากเห็น อยากเป็น
อยากได้ อยากดีนี่
-
ตัวนี้ถ่วงเรา
-
มันทำให้จิตใจเราไม่เป็นธรรมชาติ
-
เบอร์ 5
-
แป๊บหนึ่ง เบอร์ 7
ไม่ต้องตั้งท่ามาก ดีอยู่แล้ว
-
ไม่ต้องจะตายขึ้นมานะหายใจ ไม่ได้
-
ดีแล้วอยู่แล้วไม่ต้องกลัว
-
ดีทั้งหมดล่ะ
-
ทั้ง 4 คนที่เหลือใช้ได้ทั้งนั้น
-
ไม่ต้องกังวล
-
เบอร์ 5
-
ภาวนาในรูปแบบเดินจงกรมและนั่งสมาธิ
-
วันละ 1-2 ชั่วโมง
-
เช้าและก่อนนอน
-
ใช้กายเป็นเครื่องอยู่
-
ในชีวิตประจำวันดูกายและจิตที่เปลี่ยนแปลง
-
ยังชอบบังคับแทรกแซง
-
เห็นว่าโลกไม่มีอะไรให้ยึด
-
แต่ก็หนีไปไม่ได้
-
ขอหลวงปู่ชี้แนะแนวทางครับ
-
ที่ฝึกอยู่ใช้ได้ ดีแล้วล่ะ ทำอีก
-
ส่วนที่เห็นว่าโลกไม่มีอะไรไม่น่ายึด
-
อันนั้นยังไม่จริง
-
มันก็ยังแอบยึดอยู่เรื่อยๆ แอบอยากอยู่
-
เรียนรู้ไป
-
จนกระทั่งมันเห็นทุกข์ถ่องแท้แล้ว
-
มันก็ไม่เอาแล้ว
-
โลกไม่มีอะไรจริงๆ
-
โลกก็เอาไว้หลอกคนหลงเท่านั้น
-
เก่ง แต่ตอนนี้จิตออกนอก
-
เบอร์ 6
-
ภาวนาในรูปแบบนั่งสมาธิวันละ 1 ชั่วโมง
-
โดยใจอยู่กับลมหายใจเข้าออก
-
ในชีวิตประจำวันอยู่กับลมหายใจเข้าออก
-
มีสติเวลานั่งยืนเดิน
-
สังเกตตัวเองได้ว่าชอบความสงบ
-
หลังๆ เวลาเข้าสมาธิ
-
ใจไม่อยากออกจากความสงบ
-
มีราคะ มีเมตตา มีจิตฟุ้งซ่าน
-
มาเจือปนตลอดเวลา แต่บังคับไม่ได้
-
เพียงแต่รับรู้ไป
-
แต่ละตัวที่กล่าวมาดับไปบังคับไม่ได้
-
รู้สึกว่าสมาธิมีคุณภาพ
-
เนื่องจากมันสงบโดยที่ใจไม่ได้บังคับ
-
แบบนี้ถูกหรือไม่ครับ
-
สมาธิดีแล้ว
-
แต่ว่าจะต้องเจริญปัญญา
-
สมาธิเอาไว้เจริญปัญญา
ไม่ได้เอาไว้นอนเล่น
-
ถ้าใจเราชอบ
-
ให้รู้ลงไปตรงๆ เลยว่าใจเราชอบสมาธิอันนี้
-
ดูเข้าไปแล้วเวลาเดินปัญญามัน
ไม่สงบเหมือนตอนทำสมาธิหรอก
-
คือเวลาที่เจริญปัญญาจิตมันจะทำงานขึ้นมา
-
คล้ายๆ ฟุ้งซ่าน
-
เพียงแต่มีสติกำกับอยู่
-
ทีนี้คนที่ติดสมาธิพอใจในความสงบ
-
จะไม่ยอมเดินปัญญา
-
ก็เสียโอกาส คล้ายๆ
-
อยากได้ของดีมากๆ เลย
-
เราไปได้ของระดับรองแล้วเราพอใจแล้ว
-
ทำสมาธิให้หลวงพ่อดูสิ
-
ตรงนี้สังเกตเห็นไหมว่า
-
จิตเราเคลื่อนไปอยู่ที่อารมณ์กรรมฐาน
-
มองออกไหม ให้รู้ทันตัวนี้
-
แล้วเราเดินปัญญาในสมาธิได้
-
ชอบสมาธิก็เดินปัญญาในสมาธินี่ล่ะ
-
ใครจะมาทำไม
-
ทำใหม่ซิ
-
ไม่ต้องตั้งใจแรง ตรงนี้ตั้งใจแรงไป
-
ผ่อนคลายกว่านี้ จงใจแรงไปแล้ว
-
ธรรมดาๆ
-
ถอยออกมา
-
มันไม่ได้อย่างเมื่อกี้ รู้สึกไหม
-
เวลาที่จิตเดินปัญญามันไม่สงบเฉยๆ หรอก
-
เมื่อกี้จิตมัน
-
หลวงพ่อกระตุ้นให้มันเดินปัญญา
-
ที่มันไหลไปที่อารมณ์กรรมฐาน พอเรารู้ทัน
-
จิตก็ตั้งมั่นขึ้นมา
-
คราวนี้มันจะออกไปคอยรู้แล้ว
-
มันก็เลยส่ายไปส่ายมาอยู่ข้างใน
-
ถ้ามันส่ายๆ อย่างนี้
-
กลับมาทำความสงบเหมือนเดิม
-
ให้สงบแน่วแน่ลงไป
-
แล้วคลายออก
-
แล้วดูการทำงานของจิตใจไป
-
เราจะเห็นจิตเราไหลไปอยู่ที่อารมณ์กรรมฐาน
-
ให้รู้ทันเอา
-
ตอนนี้จิตไหลไปอยู่ในความคิด รู้สึกไหม
-
รู้ทันอย่างนี้
-
เพราะฉะนั้นอยู่ในสมาธิเราก็เจริญปัญญาได้
-
ออกมาข้างนอกก็ดูได้
-
เพราะว่าเราสามารถเห็นจิตมันไหลไปคิด
-
นี่เจริญสติในชีวิตประจำวัน
-
ฉะนั้นตอนนั่งสมาธิแล้ว
เราเห็นจิตไหลไปอยู่ที่ลมหายใจ
-
อันนี้เราเดินปัญญาอยู่ภายใน
-
เราเห็นจิตเป็นอนัตตา ไหลไปได้เอง
-
ออกมาข้างนอกเราเห็นจิตมันไหลไปคิดได้เอง
-
เพราะฉะนั้นฝึกให้มันเดินปัญญาต่อให้ได้
-
แต่อย่าให้เสียสมาธิ มีสมาธิดีแล้วล่ะ
-
เบอร์ 7
-
ภาวนาในรูปแบบโดยการดูการเคลื่อนไหว
-
ชอบนั่งสมาธิเพราะเบาสบาย
-
กลัวติดเลยไม่นั่ง
-
ในชีวิตประจำวันดูการเคลื่อนไหว
-
แต่ดูได้ไม่ตลอด
-
รู้สึกว่าสติไม่สามารถต่อเนื่องได้
-
ดูการเคลื่อนไหวที่ทำอยู่ถูกต้องไหมคะ
-
จงใจหายใจรู้ไหม
-
รู้ทันนะ
-
เราดูกายอย่างที่มันเป็น ไม่ต้องจงใจ
-
ที่ฝึกอยู่ดีนะ
-
ไปทำได้แล้ว ทำต่อไป ทำถูกแล้ว
-
อ้าวคนสุดท้าย พักเสียหน่อยดีไหม
-
อ้าวๆ ส่งเลยก็แล้วกัน
-
เบอร์ 8: ภาวนาในรูปแบบ
-
สวดมนต์ครึ่งชั่วโมง
-
นั่งสมาธิครึ่งชั่วโมง
-
ดูร่างกายหายใจ
-
จิตเกิดความสว่าง มีจิตรู้
-
ในชีวิตประจำวันดูร่างกายเคลื่อนไหว
-
จิตโกรธก็รู้ จิตโมโหรู้ หลงรู้
-
มีความอยากก็รู้ บางครั้งก็ลืมตัว
-
จิตเข้าถึงฐานและ
แยกธาตุแยกขันธ์ได้หรือยังคะ
-
ได้ แต่เบอร์ 8
-
ยังชินที่จะบังคับจิตให้นิ่งอยู่
-
ไม่ต้องน้อมให้มันนิ่ง
-
ทำสมาธิก็ทำไป
-
เวลามันจะนิ่งมันก็นิ่งของมันเอง
-
อย่าพยายามทำมันให้นิ่ง
-
ใจมันจะทื่อๆ ไป
-
มันจะแน่นๆ รู้สึกไหมมันจะแน่นๆ
-
ที่แน่นๆ เพราะเราจงใจ
-
ฉะนั้นเรานั่งสมาธิอะไรก็ทำไปเถอะ
-
สงบก็ช่างไม่สงบก็ช่าง ทำไปเถอะ
-
แล้วมันสงบเอง อันนั้นถึงจะดี
-
นี่เริ่มบังคับแล้วรู้สึกไหม ตรงจุดนี้
-
ให้รู้ทันตรงนี้
-
ตัวนี้ที่ทำให้เสียเวลา
-
กลายเป็นว่าเราน้อมจิต
บังคับจิตให้มันไปนิ่งๆ อยู่เฉยๆ
-
ทำสมาธิไป
-
แล้วจิตเป็นอย่างไร แอบไปทำอะไร เรารู้ทัน
-
ตรงนี้สติอ่อนลงไปแล้ว โมหะแทรก
-
ให้รู้ทัน
-
เออ รู้สึกตัวให้แรงขึ้นนิดหนึ่ง
-
รู้ไประดับนี้
-
แล้วคอยดูไปเรื่อยๆ
-
เกิดความเปลี่ยนแปลง
อะไรขึ้นที่จิตก็คอยรู้ทันไป
-
แล้วออกจากสมาธิให้พิจารณาร่างกายไปเลย
-
ผมขนเล็บฟันหนังเนื้อเอ็นกระดูก
-
เป็นปฏิกูล เป็นอสุภ
-
ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
-
ออกจากสมาธิมาพิจารณาตัวนี้เลย
-
วันนี้เอาเท่านี้ก็แล้วกัน 10 โมงพอดี
-
ของท่านอาจารย์ติดสมาธิ
-
ไปน้อมจิตให้มันนิ่งๆ เฉยๆ
-
คลายออกให้มันทำงาน
-
รู้สึกร่างกายไป
-
อาศัยร่างกายเป็นวิหารธรรม
-
ขยับเขยื้อนไป
-
กวาดวัดทำอะไรต่ออะไรไป
-
เห็นร่างกายมันทำงานใจเราเป็นคนดู
-
ดูอย่างนี้เรื่อยๆ
-
ไม่อย่างนั้นมันจะไม่พัฒนา จะเฉยๆ
-
กี่ปีมันก็อยู่อย่างนั้นล่ะ
-
เพราะมันติดสมาธิเฉยๆ