-
ผมเป็นนักเดินทางมาทั้งชีวิต
-
แม้แต่ตอนเป็นเด็ก
-
อันที่จริง ผมพบว่า
-
การเข้าโรงเรียนประจำในอังกฤษ
-
มันถูกกว่าไปเข้าโรงเรียนที่ดีที่สุด
ที่อยู่ใกล้บ้านพ่อแม่ผมในแคลิฟอร์เนียซะอีก
-
ดังนั้น ตั้งแต่ตอนผมเก้าขวบ
-
ผมก็บินเดี่ยวปีละสองสามครั้ง
-
ข้ามขั้วโลกเหนือ เพื่อไปโรงเรียน
-
และแน่นอน ยิ่งผมบินมากเท่าไร
ผมก็ยิ่งชอบการบินมากเท่านั้น
-
สัปดาห์หนึ่งหลังจากที่ผมเรียนจบมัธยม
-
ผมสมัครและได้งานเช็ดโต๊ะ
-
เพื่อที่ผมจะได้ใช้เวลาทุกฤดู
ในวัย 18 ปีของผม
-
ในทวีปต่างๆ
-
จากนั้น ผมก็กลายมาเป็นนักเขียน
เรื่องท่องเที่ยวอย่างแทบจะหลีกเลี่ยงไม่ได้
-
งานกับความสุขของผมจึงกลายเป็นสิ่งเดียวกัน
-
และผมก็เริ่มรู้สึกว่า
ถ้าคุณโชคดีพอ
-
ที่ได้เดินไปรอบๆ วัดที่เต็มไปด้วยแสงเทียน
ในทิเบต
-
หรือเดินทอดน่องเลียบชายทะเลในฮาวานา
-
โดยมีเสียงดนตรีคลอไปรอบๆ คุณ
-
คุณสามารถนำเสียงเหล่านั้น
และท้องนภาสีฟ้าเข้ม
-
และความสดของทะเลสีคราม
-
กลับมาฝากเพื่อนฝูงที่บ้าน
-
และนำความอัศจรรย์
-
และความกระจ่างมายังชีวิตคุณได้จริงๆ
-
เว้นแต่ว่า อย่างที่คุณทุกคนรู้
-
หนึ่งในสิ่งแรกๆ ที่คุณเรียนรู้เมื่อเดินทาง
-
คือ ไม่มีที่ใดจะอัศจรรย์
เว้นเสียแต่ว่าคุณจะมองมันด้วยตาที่คู่ควร
-
คุณเอาคนขี้โมโหไปหิมาลัย
-
เขาก็จะเริ่มบ่นเรื่องอาหาร
-
และผมพบว่า วิธีที่ดีที่สุด
-
ที่ผมสามารถพัฒนาทัศนะ
ที่ใส่ใจและซาบซึ้งกับสิ่งต่างๆ มากขึ้น
-
แปลกแต่จริง ก็คือ
-
ไม่ต้องไปไหน แค่นั่งนิ่งๆ
-
และแน่ล่ะ การนั่งนิ่งๆ
คือวิธีที่ทำให้เราหลายๆ คน
-
ได้ "พักผ่อน" ซึ่งเป็นสิ่งที่เรากระหาย
และอยากได้มากทึ่สุดในชีวิตเร่งด่วนของเรา
-
แต่มันก็ยังเป็นเพียงหนทางเดียว
-
ที่ผ่านการกรองด้วยฉากประสบการณ์ของผม
-
และเป็นเหตุเป็นผลทั้งสำหรับอนาคตและอดีต
-
และที่เป็นสุดยอดความประหลาดใจของผม
-
ผมพบว่าการไม่ไปไหน
-
อย่างน้อยก็น่าตื่นเต้นพอๆ กับการไปทิเบต
หรือคิวบา
-
และที่เรียกว่าการไม่ไปไหนนี่
ผมหมายถึงอะไรที่แตกต่างไป
-
ไม่ใช่การพักไม่กี่นาทีในทุกๆ วัน
-
หรือพักสองสามวันในทุกฤดู
-
หรือแม้กระทั่ง พักสองสามปี
-
อย่างที่หลายคนทำ
-
เพื่อที่จะนั่งนิ่งๆ ได้นานพอ
-
ที่จะค้นหาว่าอะไรให้แรงผลักดันคุณมากที่สุด
-
เพื่อที่จะระลึกว่า
ความสุขอันจริงแท้ของคุณนั้นอยู่ที่ใด
-
และเพื่อจะจดจำว่าบางครั้ง
-
การหาเลี้ยงชีพ และการสร้างชีวิต
-
มีทิศทางที่แตกต่างกัน
-
และแน่นอน
นั่นเป็นสิ่งที่ปราชญ์จากทุกศตวรรษ
-
จากทุกวัฒนธรรมบอกกับเรา
-
มันเป็นแนวคิดเก่า
-
มากกว่า 2,000 ปีก่อน
สโตอิกได้ย้ำเตือนเรา
-
ว่าสิ่งที่สร้างชีวิตของเรา
ไม่ใช่ประสบการณ์ของเรา
-
แต่เป็นสิ่งที่เราทำลงไปกับชีวิต
-
ลองจินตนาการถึงพายุเฮอริเคน
ที่อยู่ดีๆ ก็พัดผ่านเมืองของคุณ
-
และบดย่อยทุกอย่างเป็นจนเป็นเศษเล็กๆ
-
ชายคนหนึ่งช้ำใจไปตลอดชีวิต
-
แต่อีกคนหนึ่ง อาจเป็นพี่น้องเขาด้วยซ้ำ
กลับรู้สึกเหมือนถูกปลอดปล่อย
-
และตัดสินใจว่านี่เป็นโอกาสดี
ที่จะได้เริ่มชีวิตใหม่
-
มันเป็นเหตุการณ์เดียวกัน
-
แต่การตอบสนองต่างกัน
-
มันไม่มีอะไรดีหรือไม่ดี
อย่างที่เชคสเปียร์บอกเราไว้ใน "แฮมเล็ต"
-
แต่การคิดทำให้มันเป็นแบบนั้น
-
และนี่คือสิ่งที่ประสบการณ์สอนผมมาตลอด
ในฐานะนักเดินทาง
-
ยี่สิบสี่ปีก่อน ผมได้ออกเดินทาง
ในการเดินทางที่น่าทึ่ง
-
ผ่านเกาหลีเหนือ
-
แต่การเดินทางนั้นกินเวลาแค่ไม่กี่วัน
-
สิ่งที่ผมได้ทำกับมัน คือการนั่งนิ่งๆ
มันได้กลับมาในหัวของผม
-
พยายามที่จะเข้าใจมัน
กลับมาทบทวนมันในความคิด
-
มันเป็นเวลา 24 ปีมาแล้ว
-
และอาจจะยาวนานไปชั่วชีวิต
-
การเดินทางนั้น ในอีกนิยามหนึ่ง
ได้ให้ทัศนะที่น่าทึ่งกับผม
-
แต่เพียงการนั่งนิ่งๆ เท่านั้น
-
ที่อนุญาตให้ผมเปลี่ยนสิ่งเหล่านั้น
เป็นความรู้จักตนเองที่ยั่งยืน
-
และบางทีผมคิดว่า
มีอะไรมากมายเหลือเกินในชีวิต
-
ที่เกิดขึ้นในหัวของเรา
-
ในความทรงจำ หรือในจินตนาการ
หรือในการตีความ หรือการใคร่ครวญ
-
และถ้าผมต้องการเปลี่ยนแปลงชีวิต
-
ผมน่าจะเริ่มต้นได้ดีที่สุดโดยเปลี่ยนความคิด
-
อีกครั้ง นี่ไม่ใช่สิ่งใหม่เลย
-
นั่นคือเหตุผลที่เชคสเปียร์และสโตอิก
บอกสิ่งนี้กับเรามาหลายศตวรรษแล้ว
-
แต่เชคสเปียร์ไม่เคยที่จะต้องเผชิญ
กับอีเมล์ 200 ฉบับในวันเดียว
-
(เสียงหัวเราะ)
-
เท่าที่ผมรู้ สโตอิก
ไม่ได้อยู่บนเฟสบุ๊ค
-
เราทุกคนรู้ว่า ในชีวิตสั่งได้ของเรา
-
หนึ่งในสิ่งที่ถูกสั่งมากที่สุด
-
คือตัวเราเอง
-
ไม่ว่าเราอยู่ที่ใด เวลาไหน วันหรือคืน
-
เจ้านายของเรา เมล์ขยะ พ่อแม่ของเรา
สามารถติดต่อเราได้
-
นักสังคมวิทยาได้พบว่าในไม่กี่ปีนี้
-
ชาวอเมริกันใช้เวลาทำงาน
น้อยกว่าเมื่อ 50 ปีก่อน
-
แต่เรารู้สึกราวกับว่าเราทำงานมากขึ้น
-
เรามีอุปกรณ์ช่วยประหยัดเวลามากขึ้น
-
แต่บางที มันเหมือนเวลามีน้อยลง
-
เราติดต่อกับคนอื่นๆ
ที่อยู่ห่างออกไปอีกมุมโลก
-
ได้ง่ายขึ้นมาก
-
แต่บางทีกระบวนการนั้น
-
ทำให้เราสูญเสียการเชื่อมต่อกับตัวเอง
-
และหนึ่งในเรื่องน่าประหลาดใจที่สุดของผม
ในฐานะนักเดินทาง
-
คือการพบว่า
-
คนที่ทำให้เราสามารถไปที่ไหนก็ได้นั่นแหละ
-
คือคนที่ตั้งใจไม่ไปไหนเลย
-
หรือพูดอีกอย่าง ชัดๆ เลยคือ
-
คนที่ได้สร้างเทคโนโลยี
-
ที่ลบล้างข้อจำกัดของสิ่งเก่าๆ
-
คือคนที่ฉลาดที่สุด
เกี่ยวกับความต้องการในข้อจำกัด
-
แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องของเทคโนโลยี
-
ครั้งหนึ่งผมไปที่กูเกิลสาขาใหญ่
-
และเห็นทุกสิ่งที่คุณหลายคนเคยได้ยิน
-
บ้านต้นไม้ในร่ม เตียงผ้าใบ
-
แรงงานที่ตอนนั้นกำลังมีความสุขกับเวลาว่าง
20 เปอร์เซ็นต์ของเวลาจ้าง
-
พวกเขาสามารถปล่อยให้จินตนาการล่องลอย
-
แต่ที่ทำให้ผมประทับใจยิ่งกว่านั้น
-
คือ ตอนที่ผมกำลังรอบัตรประจำตัวดิจิตัล
-
ชาวกูเกิลคนหนึ่งบอกผม
เกี่ยวกับโครงการ
-
ที่เขากำลังจะริเริ่ม
เพื่อที่จะสอนชาวกูเกิลคนอื่น
-
ที่ฝึกโยคะ ให้มาเป็นผู้สอนที่นั่น
-
และชาวกูเกิลอีกคนก็เล่าให้ผมฟัง
เกี่ยวกับหนังสือที่เขากำลังจะเขียน
-
เกี่ยวกับอุปกรณ์ค้นหาตัวตนภายใน
-
ซึ่งหนทางที่วิทยาศาสตร์แสดงให้เห็นประจักษ์
-
ก็คือการนั่งนิ่งๆ การทำสมาธิ
-
ไม่ใช่แค่นำไปสู่สุขภาพที่ดีกว่า
หรือการคิดที่ชัดเจนกว่า
-
แต่ยังมีผลต่อความฉลาดทางอารมณ์ด้วย
-
ผมมีเพื่อนอีกคนในซิลิคอน แวลีย์
-
ผู้ซึ่งเป็นนักพูดเปี่ยมวาทะศิลป์
มากที่สุดคนหนึ่ง
-
เกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่
-
และอันที่จริง เขาเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้ง
นิตยสารไวด์ (Wired) เควิน แคลลี
-
และเควินเขียนหนังสือเล่มสุดท้ายของเขา
เกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่
-
โดยไม่มีสมาร์ทโฟน แล็บท็อป
หรือทีวีอยู่ในบ้านของเขาเลย
-
และเหมือนกับอีกหลายคนในซิลิคอน แวลีย์
-
เขาพยายามอย่างยิ่งที่จะสำรวจ
-
สิ่งที่พวกเขาเรียกว่า
การพักผ่อนจากอินเทอร์เน็ต
-
ซึ่ง เป็นการตัดขาดจากอินเทอร์เน็ต
อย่างสิ้นเชิง
-
เป็นเวลา 24 หรือ 48 ชั่วโมงทุกสัปดาห์
-
เพื่อที่จะรวบรวมสัมผัสถึงทิศทาง
-
และอัตราส่วนที่พวกเขาต้องการ
เมื่อกลับไปต่ออินเทอร์เน็ตอีกครั้ง
-
สิ่งหนึ่งที่บางทีเทคโนโลยี
ไม่ได้ให้กับเราเสมอไป
-
คือความรู้สึกว่า
เราจะใช้เทคโนโลยีอย่างชาญฉลาดได้อย่างไร
-
และเมื่อคุณพูดถึงการพักผ่อน
-
ลองดูบัญญัติสิบประการ
-
มีอยู่คำเดียวที่ถูกขยายด้วย
คำคุณศัพท์ "ศักดิ์สิทธิ์"
-
และคำนั้นคือ "วันพักผ่อน"
-
ผมหยิบเอาหนังสืออันศักดิ์สิทธิ์แห่งโทราห์
ของชาวยิว --
-
บทที่ยาวที่สุดคือบทว่าด้วยวันพักผ่อน
-
และเราทุกคนรู้ว่า
มันเป็นสุดยอดแห่งความหรูหรา
-
พื้นที่ว่างเปล่า
-
ในหลายๆ บทเพลง
มันมีช่วงหยุด ช่วงพัก
-
ที่จะให้ความงามและโครงสร้าง
กับงานดนตรีนั้น
-
และผมรู้ ในฐานะที่เป็นนักเขียน
-
ผมมักจะพยายามเว้นที่ว่างมากมาย
ไว้บนหน้าหนังสือ
-
เพื่อที่ผู้อ่านจะได้ต่อเติมจากความคิด
และประโยคของผม
-
ปล่อยให้จินตนาการมีที่ว่างได้หายใจ
-
ทีนี้ ในโลกของวัตถุ
แน่ล่ะ ใครหลายๆ คน
-
ถ้าพวกเขามีทรัพย์สิน
-
ก็จะพยายามซื้อที่ในต่างจังหวัด
มีบ้านหลังที่สอง
-
ผมไม่เคยริเริ่มอยากมีทรัพย์สินพวกนั้น
-
แต่บางที ผมก็นึกถึงมันได้ไม่ว่าตอนไหน
-
ผมสามารถมีบ้านที่สองได้ในเชิงเวลา
แต่ไม่ใช่เชิงสถานที่
-
แค่พักสักวัน
-
มันไม่ง่ายเลย เพราะทุกครั้งที่ผมหยุดพัก
ผมก็มักใช้เวลาช่วงที่พักส่วนใหญ่
-
กังวลกับสิ่งอื่นๆ ทั้งหลาย
-
ที่จะถล่มใส่ผมในวันถัดไป
-
บางครั้งผมคิดว่าผมยอมอดเนื้อ
หรือเซ็กส์ หรือไวน์
-
มากกว่าอดเช็คอีเมล์อีกนะ
-
(เสียงหัวเราะ)
-
และทุกฤดูผมพยายาม
ที่จะหยุดพักผ่อนสามวัน
-
แต่ส่วนหนึ่งของผมยังรู้สึกผิด
ที่จะทอดทิ้งภรรยาผู้น่าสงสารของผม
-
และที่จะไม่สนใจ
อีเมล์ที่เหมือนจะเร่งด่วนเหล่านั้น
-
จากเจ้านายของผม
-
และบางที ที่จะพลาดงานวันเกิดของเพื่อน
-
แต่เมื่อใดที่ผมไปยังที่สงบเงียบจริงๆ
-
ผมตระหนักว่า แค่เพียงผมไปที่นั่น
-
ผมจะมีอะไรก็ตามที่สดใหม่ หรือสร้างสรรค์
หรือน่าอภิรมย์ที่จะแบ่งปัน
-
แก่ภรรยาของผม หรือเจ้านาย หรือเพื่อนๆ
-
จริงๆ นะ มิฉะนั้น
-
ผมก็จะยัดเยียดความเหน็ดเหนื่อยของผม
หรือความสับสนของผม ให้แก่พวกเขา
-
ซึ่งมันไม่น่าปลื้มเลยสักนิด
-
และเมื่อผมอายุได้ 29
-
ผมตัดสินใจที่จะสร้างชีวิตขึ้นใหม่
-
โดยการไม่ไปไหน
-
บ่ายวันหนึ่ง ผมกำลังกลับออกมาจากที่ทำงาน
-
มันเลยเที่ยงคืนไปแล้ว ผมอยู่ในแท็กซี่
ที่ขับผ่านไทม์ สแควร์
-
และทันใดนั้นผมก็ตระหนักว่า
ผมวิ่งไปวิ่งมามากเกินไป
-
ผมไม่อาจตามชีวิตของผมทัน
-
ชีวิตของผมตอนนั้น
-
ค่อนข้างเป็นชีวิตแบบที่ผมใฝ่ฝันไว้
เมื่อเป็นเด็กชายตัวเล็กๆ
-
ผมมีเพื่อน และเพื่อนร่วมงานที่น่าสนใจ
-
ผมมีอพาร์ตเม้นท์สวยๆ
บนถนนพาร์ค อเวนิว และ ถนนเลขที่ 20
-
สำหรับผมแล้ว ผมมีงานที่น่าสนใจ
คือการเขียนเกี่ยวกับกิจกรรมต่างๆ บนโลก
-
แต่ผมไม่อาจแยกตัวเองห่างจากมันได้มากพอ
-
เพื่อที่จะได้ยินตัวเองคิด
-
หรือจริงๆ แล้ว เพื่อที่จะเข้าใจ
ว่าผมมีความสุขจริงๆ หรือเปล่า
-
ผมจึงได้ละทิ้งชีวิตในฝันนั้น
-
ไปใช้ชีวิตในห้องพักเดี่ยวบนถนนสายรอง
ในเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น
-
ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีแรงดึงดูดลึกลับ
-
ที่ดึงดูดผมอย่างแรงมาเป็นเวลานาน
-
ตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก
-
ผมจะมองไปยังภาพวาดของเกียวโต
และรู้สึกว่าผมจำมันได้
-
ผมรู้จักมันก่อนที่ผมจะได้เห็นมันเสียอีก
-
แต่อย่างที่คุณทุกคนรู้
-
มันยังเป็นเมืองที่สวยงาม
ที่ถูกล้อมรอบไปด้วยภูเขา
-
เต็มไปด้วยวัดและบูชาสถานกว่า 2,000 แห่ง
-
ที่ซึ่งคนนั่งนิ่งๆ มา 800 ปีหรือมากกว่านั้น
-
และไม่นานหลังจากที่ผมย้ายไปที่นั่น
ผมก็ย้ายมาอยู่ที่ที่ผมตอนนี้
-
กับภรรยาของผม ลูกๆ ของเรา
-
ในอพาร์ตเม้นท์สองห้องไกลปืนเที่ยง
-
ที่ซึ่งผมไม่มีจักรยาน ไม่มีรถยนต์
-
ไม่มีรายการทีวีที่ผมเข้าใจ
-
และผมยังต้องเลี้ยงดูคนที่ผมรัก
-
ในฐานะนักเขียนเชิงท่องเที่ยวและนักข่าว
-
มันชัดเจนว่าสถานการณ์นี้ไม่ดีเลย
ต่อความก้าวหน้าทางการงาน
-
หรือสำหรับความตื่นตัวทางวัฒนธรรม
-
หรือสำหรับความบันเทิงทางสังคม
-
แต่ผมตระหนักว่ามันได้ให้
สิ่งที่ผมให้คุณค่ากับมันมากที่สุด
-
ซึ่งก็คือวัน
-
และชั่วโมง
-
ผมไม่เคยจะต้องใช้โทรศัพท์มือถือสักครั้ง
-
ผมแทบจะไม่ได้ดูเวลา
-
และแม้แต่ในตอนเช้าที่ผมตื่น
-
เช้าวันใหม่ก็คลี่ออกต่อหน้าผม
-
เหมือนกับทุ่งหญ้าโล่งกว้าง
-
และเมื่อชีวิต
พ่นความประหลาดใจอันน่ารังเกียจออกมา
-
อย่างที่เกิดขึ้น หลายครั้งหลายหน
-
เมื่อหมอของผมมาพบผมที่ห้อง
-
ด้วยอารมณ์เคร่งเครียดไม่สดใส
-
หรืออยู่ดีๆ ก็มีรถเกิดอุบัติเหตุ
ต่อหน้าต่อตาผมบนทางหลวง
-
ในส่วนลึกของผม ผมรู้ว่า
-
ช่วงเวลาที่ผมไม่ได้ไปไหนนั่นเอง
-
ที่ช่วยค้ำจุนจิตใจผมได้มาก
-
ยิ่งกว่าเวลามากมายที่ผมวิ่งไปมา
ระหว่างภูฎานหรือเกาะอีสเตอร์
-
ผมเป็นนักเดินทางมาทั้งชีวิต -
-
ชีวิตวัยเด็กของผมขึ้นอยู่กับมัน --
-
แต่หนึ่งในความงามของการเดินทาง
-
คือมันให้โอกาสคุณนำความนิ่งสงบ
-
ไปสู่การเคลื่อนไหวและความวุ่นวายของโลก
-
เมื่อผมขึ้นไปบนเครื่องบิน
ในแฟรงค์เฟิร์ต ประเทศเยอรมัน
-
และสาวเยอรมันเดินมานั่งข้างๆ ผม
-
และเปิดประเด็นสนทนาอย่างเป็นมิตร
-
เป็นเวลา 30 นาที
-
และจากนั้นเธอก็หันหน้าไปทางอื่น
-
และยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น 12 ชั่วโมง
-
เธอไม่ได้เปิดจอวีดีโอ
-
เธอไม่ได้เอาหนังสือออกมาอ่าน
เธอไม่ได้แม้กระทั่งนอน
-
เธอเพียงแต่นั่งเฉยๆ
-
และบางอย่างในความแจ่มชัดและสงบนิ่งของเธอ
มันได้สื่อสารกับผม
-
ผมสังเกตคนมากขึ้นมากขึ้น
ที่การวัดอย่างมีหลักการ
-
เพื่อที่จะพยายามหาช่องว่างให้ชีวิต
-
บางคนไปยังที่พักตากอากาศหลุมดำ
-
ที่ซึ่งพวกเขาจ่ายเงินคืนละหลายร้อยดอลลาร์
-
เพื่อที่จะให้โทรศัพท์มือถือกับแล๊ปท๊อป
-
ไว้กับโต๊ะประชาสัมพันธ์เมื่อไปถึง
-
คนบางคนที่ผมรู้จัก
ก่อนที่พวกเขาจะนอน
-
แทนที่จะอ่านข้อความผ่านจอ
-
หรือดูวีดีโอจากยูทิวบ์
-
พวกเขาปิดไฟ และฟังเพลง
-
และสังเกตได้ว่าพวกเขาหลับได้ดีกว่า
-
และตื่นขึ้นมาสดชื่นมากกว่า
-
ผมเคยโชคดีพอ
-
ที่จะขับรถเข้าไปในภูเขาที่สูงและมืด
ซึ่งอยู่หลังลอส แองเจลิส
-
ที่ซึ่งกวีและนักร้องผู้ยิ่งใหญ่
-
และลีโอนาร์ด โคเฮน
ผู้เป็นที่รักใคร่ของทุกคน
-
อยู่และเป็นพระเต็มเวลาอยู่หลายปี
-
ใน เมาท์ บาลดี เซ็น เซนเตอร์
(Mount Baldy Zen Center)
-
และผมก็ไม่ตื่นเต้นสักเท่าไร
-
เมื่อเพลงที่เขาปล่อยออกมาตอนอายุ 77 ปี
-
ที่เขาตั้งชื่อที่ไม่น่าดึงดูดเอาเสียเลยว่า
"โอด์ ไอเดีย" (Old ideas)
-
ขึ้นสู่อันดับหนึ่งในชาร์ต
ใน 17 ประเทศทั่วโลก
-
ติดห้าอันดับแรกในอีกเก้าประเทศ
-
ผมว่า บางอย่างในตัวเรากำลังร่ำร้อง
-
หาความใกล้ชิดและความลึกซึ้ง
ที่เราได้จากคนแบบนั้น
-
ที่ใช้เวลาและความทุกข์ในการนั่งเฉยๆ
-
และผมคิดว่าหลายคนมีความรู้สึกต่อสัมผัส
ผมเชื่อย่างนั้นจริงๆ
-
ว่าเรายืนห่างจากจอใหญ่ไปประมาณ สองนิ้ว
-
และมันก็หนวกหู จอแจ
-
และเปลี่ยนไปมาตลอดเวลา
-
จอนั้นคือชีวิตของเรา
-
และมีเพียงการก้าวถอยออกมา
และออกมา
-
และหยุดนิ่งเท่านั้น
-
ที่จะจะได้มามองเห็นความหมายของผืนผ้านั่น
-
และเห็นภาพใหญ่
-
และน้อยคนนักที่ทำอย่างนั้นสำหรับเรา
โดยไม่ไปไหนเลย
-
ฉะนั้น ในยุคแห่งความเร่งด่วน
-
ไม่มีสิ่งใดที่จะน่าสุขใจ
มากไปกว่าการดำเนินไปช้าๆ
-
และในยุคแห่งความไขว้เขว
-
ไม่มีอะไรที่จะหรูหราไปกว่า
การให้ความสนใจ
-
และในยุคของการเคลื่อนไหวไม่หยุดนิ่ง
-
ไม่มีอะไรที่จะเร่งด่วนไปกว่าการนั่งนิ่งๆ
-
ฉะนั้น ในการพักผ่อนครั้งต่อไปของคุณ
-
ในปารีส หรือฮาวายด์ หรือนิว ออลีนส์
-
ผมพนันได้เลยว่าคุณจะมีเวลาแห่งความสุข
-
แต่ถ้าคุณอยากที่จะกลับบ้านอย่างมีชีวิตชีวา
และเต็มไปด้วยความหวังสดใหม่
-
หลงรักโลกใบนี้
-
ผมคิดว่าคุณอาจจะลองไม่ไปไหน
-
ของคุณครับ
-
(เสียงปรบมือ)