-
คิดว่า เนื้ออะไรคือ เนื้อที่แปลกที่สุดที่คนเราจะไปหามากินได้คะ?
-
บอกเลยว่า เรื่องราวที่กำลังจะเล่าต่อไปนี้ แปลกสุดๆ แน่ๆ ค่ะ
-
สวัสดีค่ะ วิวจากแชนเนล Point of View ค่ะ
-
สำหรับใครที่ดูวิดีโอนี้นะคะ
-
แล้วรู้สึกว่า หน้าตาวิวดูง่วงๆ ดูตาจะปิดแล้ว
-
แต่ว่าดูตื่นเต้นมากๆ เนี่ย
-
ขอบอกเลยว่า มีสาเหตุค่ะ
-
เพราะว่าตอนนี้นะคะ คือเวลาประมาณตีสามค่ะทุกคน
-
แต่ว่า วิวเพิ่งจะไปอ่านเรื่องราวๆ นึงมานะคะ แล้วรู้สึกว่า
-
มันพี้คมาก มันพี้คในทุกแง่มุม
-
แบบไม่รู้จะพี้คในแง่มุมไหนแล้วนะคะ
-
เรียกได้ว่า อ่านแล้วตะลึงอ่ะ ช็อคไปหมดเลยนะคะ
-
ดังนั้นก็เลยรู้สึกว่า ทนไม่ได้แล้ว ต้องเอามาเล่าให้ทุกคนฟังในเวลานี้เลยค่ะ
-
บอกเลยนะคะว่า เรื่องราวนี้พี้คมากๆๆๆ จริงๆ
-
พี้คจนวิวไม่รู้จะโฆษณาเรื่องราวนี้ยังไงเลยอ่ะ
-
ว่าแบบ เฮ้ย มาฟังเถอะ มันน่าสนใจไปในทุกแง่มุมเลยนะคะ
-
ดังนั้นเราไม่ต้องเวิ่นเว้อเกริ่นกันมากค่ะ
-
เดี๋ยวเราไปฟังกันเลยดีกว่า
-
แต่ก่อนอื่นนะคะ สัญญากับวิวก่อนว่า
-
ถ้าสมมติว่า ฟังเรื่องราวนี้ไปแล้วเนี่ย
-
รู้สึกว่า มันพี้คสมกับที่วิวโฆษณาไว้จริงๆ
-
อย่าลืมแชร์ไปให้เพื่อนๆ ฟังกันด้วยนะคะว่า
-
เฮ้ย มันพี้คจริงๆ ทุกคน
-
กรุณามาฟัง เรื่องนี้อยากให้ทุกคนรู้จริงๆ ค่ะ
-
และนอกจากนี้นะคะ
-
ถ้าฟังเรื่องราวนี้แล้ว รู้สึกว่า อยากฟังเรื่องราวสนุกๆ แบบนี้อีก
-
ก็อย่าลืม subscribe ช่อง Point of View
-
กดติดตามแฟนเพจ Point of View
-
หรือว่า จะติดตามวิวในช่องทางอื่นๆ ที่ขึ้นไว้ให้ ก็ได้เช่นกันค่ะ
-
สำหรับตอนนี้ พร้อมจะไปฟังเรื่องราวที่ทั้งสนุก แล้วก็ได้สาระกันหรือยังคะ?
-
ถ้าพร้อมกันแล้วก็ ไปฟังกันเลยค่ะ
-
เรื่องราวพี้คๆ ที่วิวจะเล่าให้ทุกคนฟังในวันนี้นะคะ
-
เป็นเรื่องราวของผู้ชายคนนึงค่ะ
-
ชื่อว่า Dr.William Buckland นะคะ
-
Dr.William Buckland คนนี้ เค้าเป็นหลายอย่างมากๆ เลยค่ะ
-
คืออาชีพของเค้าเนี่ยเป็นทั้งนักธรณีวิทยา
-
นักบรรพชีวินวิทยา
-
หรือว่าคนที่ศึกษาพวกฟอสซิลอะไรต่างๆ อ่ะนะ
-
ที่หมายถึงพวกพืช แล้วก็สัตว์ที่กลายเป็นหินใช่ไหมคะ?
-
เวลาผ่านมาหลายล้านปี
-
นอกจากนี้เค้าก็ยังเป็นอาจารย์ แล้วก็เป็นนักบวชอีกด้วยค่ะ
-
เรียกได้ว่า เค้าทำอาชีพหลากหลายจริงๆ นะ
-
แล้วแต่ละอาชีพ ก็เป็นอาชีพที่ทรงเกียรติมากๆ ค่ะ
-
ทีนี้ถามว่า เค้าเป็นใคร? มาจากไหน? นะคะ
-
กว่าที่เค้าจะมาเป็นทั้งหมดนี้
-
เค้าเนี่ยเป็นเด็กคนนึงค่ะ ที่เกิดที่เมืองเดวอน ประเทศอังกฤษนะคะ
-
เมื่อปี 1784 ค่ะ
-
ทีนี้ตั้งแต่เด็กนะคะ
-
เค้าก็เริ่มฉายแววแล้วว่า เค้าเป็นเด็กที่เก่งมากๆ ค่ะ
-
ก็สนใจศึกษาหาความรู้ต่างๆ
-
แล้วก็เรียนเก่งมากๆ เลยนะ
-
ที่สำคัญค่ะ บริเวณแถวๆ บ้านเค้าที่เดวอนเนี่ย
-
มันเป็นแหล่งที่มีการค้นพบฟอสซิลอยู่แล้วนะคะ
-
ซึ่งทำให้เค้าเนี่ย สนใจเรื่องราวฟอสซิลตั้งแต่เด็กค่ะ
-
ดังนั้นตั้งแต่เด็กนะคะ
-
งานอดิเรกของเค้าเนี่ยก็คือ การตามพ่อไปเที่ยว road trip ที่ต่างๆ ค่ะ
-
ซึ่งพ่อเค้าก็จะขับรถพาไปเที่ยวนู่นนี่นั่นนะคะ
-
ส่วนตัวเค้าเนี่ยก็จะไปไล่เก็บพวกฟอสซิล หรือว่าอะไรต่างๆ เนี่ยมาเป็นของสะสมค่ะ
-
ก็ฟอสซิล จริงๆ มันก็ไม่จำเป็นต้องเป็นฟอสซิลแบบจริงจังขนาดนั้น
-
ในอังกฤษบางทีมันก็มีพวกเศษซากหอยอะไรอย่างงี้
-
ที่มันกลายเป็นหินอะไรอย่างงี้นะคะ
-
ที่นี้ ต้องบอกว่า เค้าเนี่ยเรียนเก่งมากๆ นะคะ
-
เพราะว่าในปี 1801 ค่ะ
-
เค้าก็ได้ทุนนะคะ จากมหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ดค่ะ
-
ให้เข้าไปศึกษาอยู่ใน Corpus Christi College นะคะ
-
ใน Oxford ค่ะ
-
และเค้าเนี่ยถือว่าเป็น นักธรณีวิทยาคนแรกของ Oxford เลยทีเดียวนะคะ
-
ทีนี้หลังจากที่เค้าเข้าไปศึกษาได้ประมาณปีสองปีค่ะ
-
เค้าก็เรียนจบนะ
-
แล้วพอเรียนจบออกมาเนี่ย
-
ด้วยความที่เค้าเก่งมากๆ นะคะ
-
เค้าก็เลยได้มีโอกาส เข้าไปเป็นอาจารย์สอนอยู่ใน Oxford นี่แหละค่ะ
-
ซึ่งบอกเลยนะคะว่า เทคนิคการสอนของเค้าเนี่ย
-
มีชื่อเสียงมากๆ แล้วก็โดดเด่นไม่แพ้ใครเลยค่ะ
-
เพราะว่าเค้าเนี่ยเป็นคนที่ชอบตะโกนถามคำถามนักศึกษานะคะ
-
ประมาณว่าแบบ เฮ้ย ตอบมาเดี๋ยวนี้ อันนี้คือกะโหลกของอะไร?
-
แล้วก็เอากะโหลกสัตว์ เช่นแบบ กะโหลกไฮยีน่าเนี่ย ไปแกว่งๆๆ นะคะ
-
ใส่หน้านักศึกษาค่ะ
-
ทำให้เค้าเนี่ย ค่อนข้างจะโดดเด่นมากเลยทีเดียวนะ
-
ซึ่งหลังจากที่เค้าเริ่มอาชีพอาจารย์แล้วเนี่ยนะคะ
-
ก็ต้องบอกเลยว่า ในปีเดียวกัน เค้าก็บวชเป็นนักบวชด้วยนะ
-
เพราะว่าใน Oxford เนี่ย มันก็มีโบสถ์ มีอะไรอยู่ด้วยนะ
-
ในสมัยก่อนมันไม่ค่อยแยกกันระหว่างศาสนจักรกับการศึกษา
-
ก็คล้ายๆ ไทยนี่แหละค่ะ
-
เวลาจะเรียนอะไรก็ต้องไปอยู่ในวัด อยู่ในโบสถ์ ว่าอย่างนั้นเถอะ
-
นอกจากนี้เนี่ยนะคะ ก็ต้องบอกว่า
-
เค้าเนี่ย ไต่เต้าตำแหน่งอาชีพของเค้าขึ้นไปได้เรื่อยๆๆ เลยค่ะ
-
ซึ่งในตอนท้ายๆ เนี่ย เค้าถึงขั้นที่ว่า เค้าได้ไปสอนที่ Christ Church ด้วยนะ
-
จำได้ไหมคะ Christ Church College?
-
เป็น college สำคัญมากๆ ใน Oxford เนอะ
-
เราพูดถึงกันไปหลายคลิปแล้ว
-
ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องพระราชประวัติรัชกาลที่ 6
-
ในเรื่องตามติ่งแฮรี่ หรือในที่ต่างๆ นะ
-
เท่านั้นยังไม่พอนะคะ
-
ต้องบอกว่า อาชีพสุดท้ายของเค้าเนี่ย
-
เค้าเป็นถึงอธิการบดีนะคะ
-
หรือว่า dean ของ Westminster College ใน Oxford เลยทีเดียวนะ
-
ก็เรียกได้ว่า ตำแหน่งใหญ่มากเลยทีเดียวค่ะ
-
ทีนี้ถามว่า เค้าไปทำอะไรมา ทำไมเค้าถึงได้ตำแหน่งใหญ่ขนาดนี้นะ?
-
ก็ต้องบอกว่า ตั้งแต่เด็กจนโตค่ะ
-
ที่บอกว่า เค้ามีงานอดิเรกในการสะสมซากฟอสซิลต่างๆ เนี่ย
-
เค้าไม่ได้หยุดสะสมแค่นั้นค่ะ
-
คือยิ่งโตขึ้นเนี่ย เค้าก็ยิ่งสะสมซากฟอสซิลมากขึ้นๆ นะคะ
-
จนกระทั่ง มันไม่ใช่แค่ฟอสซิลพืชและสัตว์ทั่วไปแล้วไง
-
เค้าไปสะสมถึงขั้นแบบซากฟอสซิลของไดโนเสาร์เลยนะคะ
-
ซึ่งต้องบอกว่า ในยุคสมัยของเค้าเนี่ย
-
มันยังไม่มีคำว่า ไดโนเสาร์เกิดขึ้นค่ะ
-
ทีนี้ นี่แหละคือ งานที่เด่นที่สุดของเค้านะคะ
-
ในด้านดีๆ
-
เน้นอีกครั้งว่า ในด้านดีๆ
-
ต้องบอกว่า มนุษย์เราเนี่ย มีการค้นพบซากกระดูกไดโนเสาร์เนี่ยนะคะ
-
มาประมาณเป็นพันปีแล้วแหละ
-
ชาวจงชาวจีน ชาวอะไรขุดดินลงไป
-
เค้าก็เจอซากไดโนเสาร์กันทั้งนั้น
-
แต่พอเจอแล้วเนี่ย เค้าไม่รู้ว่า มันคือสัตว์ชนิดไหนค่ะ
-
ดูมาแล้วเนี่ย เอ๊ะ จะเป็นกระดูกช้างก็ไม่ใช่
-
กระดูกอะไรก็ไม่ใช่
-
ดังนั้นนะคะ ในแต่ละประเทศก็เลยมีการจินตนาการในรูปแบบของตัวเองค่ะว่า
-
ไอ้เศษซากที่ไปขุดเจอเนี่ย คือเศษซากของอะไร
-
ยกตัวอย่างเช่น ในประเทศจีนนะคะ
-
ก็เอาไปจินตนาการค่ะว่า อ่อ มันเป็นมังกร
-
เป็นมังกรยาวๆ อย่างนี้นะ
-
มีเขาเหมือนกิเลน มีหางเหมือนปลา อะไรอย่างนี้
-
ส่วนในไทย คิดว่าเป็นอะไร?
-
คิดว่าเป็นงูขนาดใหญ่ค่ะ
-
นั่นก็คือ พญานาค นั่นเอง
-
ส่วนฝั่งยุโรปนี่ก็ชัดเจนนะคะว่า ไปจินตนาการว่าเป็นมังกร
-
แบบมีปีก บินพับๆ แล้วก็พ่นไฟได้ค่ะ
-
ทีนี้ที่ผ่านมา หนึ่งพันปีที่ผ่านมาเนี่ย
-
ค้นพบมันก็จะอยู่ในรูปแบบตำนงตำนานอะไรอย่างนี้ใช่ไหม?
-
แต่ในช่วงเวลาของคุณ Buckland นี่อ่ะค่ะ
-
มันมีการค้นพบซากไดโนเสาร์นะคะ ในประเทศอังกฤษค่ะ
-
เมื่อปี 1822 นะคะ มีนักธรณีวิทยาคนนึงค่ะ
-
เป็นชาวอังกฤษเนอะ
-
ชื่อว่า Gideon Mantell ค่ะ
-
เค้าเนี่ยไปขุดค้นพบกระดูกไดโนเสาร์ขึ้นมานะคะ
-
ทีนี้เค้าก็เริ่มเอาวิทยาศาสตร์เข้ามาจับกับสิ่งนี้แล้วค่ะ
-
เค้าก็จินตนาการว่า เอ๊ ไอ้สิ่งนี้มันน่าจะเป็นอิกัวน่าขนาดยักษ์นะ
-
เพราะตอนนั้นยังไม่มีใครคิดขึ้นมาว่า
-
ในสมัยก่อนที่จะเป็นยุคสมัยของมนุษย์เนี่ย
-
มันจะมีสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ไดโนเสาร์ ขึ้นมาค่ะ
-
ดังนั้นนะคะ เค้าก็จินตนาการขึ้นมาว่า
-
อ่อ นี่มันน่าจะเป็นอิกัวน่ายักษ์แน่ๆ เลย
-
ดังนั้นนะคะ ไดโนเสาร์พันธุ์แรกของโลกที่มีการค้นพบเนี่ย
-
ก็เลยชื่อว่า Iguanodon นั่นเองค่ะ
-
หลังจากนั้น 2 ปีนะคะ ก็มีการค้นพบกระดูกไดโนเสาร์อีกเซ็ตนึงค่ะ
-
ซึ่งในคราวนี้ คุณ Buckland ของเราเนี่ยนะ
-
คนที่เป็นพระเอกของเราเนี่ย
-
เค้าก็ไปร่วมการค้นพบอะไรอย่างนี้ด้วย
-
แล้วเค้าก็เป็นคนแรกในโลกนะคะ
-
ที่ตัดสินใจเขียน article เกี่ยวกับไดโนเสาร์เนี่ย
-
อย่างเป็นทางการในด้านวิทยาศาสตร์ค่ะ
-
ดั้งนั้นกระดูกไดโนเสาร์พันธุ์นั้นนะคะ
-
ก็เลยได้ชื่อว่า Megalosaurus Bucklandii นั่นเองค่ะ
-
ก็เป็นเกียรติให้กับเค้านะคะ
-
ในฐานะคนแรกที่ตีพิมพ์เรื่องราวเกี่ยวไดโนเสาร์ในฐานะบทความทางวิทยาศาสตร์ค่ะ
-
หลังจากยุคของสองคนนี้นะคะ
-
ก็จะมีการขุดค้นพบเศษซากของไดโนเสาร์อีกมากมายนะ
-
จนกระทั่งนำไปสู่การบัญญัติศัพท์ คำว่า dinosaur
-
ซึ่งกลายมาเป็นคำว่า ไดโนเสาร์ ในที่สุดค่ะ
-
แต่อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่เรื่องราวที่เราจะเล่าเนอะ
-
กลับมาที่คุณ Buckland ของเราค่ะ
-
ผลงานครั้งนี้นะคะ ที่เค้าได้ตีพิมพ์เรื่องราวเกี่ยวกับไดโนเสาร์เนี่ย
-
เป็นคนแรกของโลก
-
เค้าก็เลยได้รับเหรียญตรานะคะ
-
ถึง 2 เหรียญด้วยกันค่ะ
-
ก็คือเหรียญรางวัล Copley นะคะ
-
ซึ่งเป็นเหรียญที่แบบมอบให้กับนักวิทยาศาสตร์ชั้นแนวหน้าของอังกฤษนะ
-
รวมไปถึงเหรียญ Wallaston นะคะ
-
ซึ่งก็เป็นเหรียญสำคัญด้านธรณีวิทยาต่างๆ เหมือนกัน
-
แต่วันนี้ค่ะ เราจะไม่ได้มาเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติดีๆ ของเค้านะคะ
-
เพราะว่าทุกคนสามารถหาอ่านได้เองในทำเนียบนักวิทยาศาสตร์ที่โดดเด่นของโลก
-
เรียกได้ว่า เค้าสำคัญขนาดนั้นเลยนะ
-
ก็อยู่ในทำเนียบนั้นด้วย
-
แต่เราจะมาเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวของเค้าค่ะ
-
เพราะว่าชีวิตส่วนตัวของเค้าเนี่ย
-
พี้คกว่าหน้าที่การงานของเค้าไปไกลเลยค่ะ
-
เรียกได้กว่า ฉากหน้าที่ดูเป็นเหมือนคนที่แบบน่านับหน้าถือตาในสังคมเนี่ยนะ
-
ฉากหลัง หนักกว่านั้นเยอะค่ะ
-
เพราะว่าจำได้ไหมเมื่อกี้ที่วิวเล่าว่า
-
เค้าเป็นคนที่ชอบสะสมซากธรณีวิทยาอะไรต่างๆ
-
ก็ต้องบอกว่า เค้าสะสมไว้เยอะมากจริงๆ นะคะ
-
มากขนาดที่ว่า ตอนที่เค้าตายไปแล้วเนี่ย
-
ทุกอย่างที่เค้าสะสม สามารถเอาไปทำเป็นพิพิธภัณฑ์ได้ห้องนึงเลยนะ
-
และห้องนั้นก็ชื่อว่าห้องแบบ William Bucklandy เลยทีเดียวค่ะ
-
อย่างไรก็ตามค่ะ เค้าเนี่ยไม่ได้สะสมแค่ฟอสซิลของสิ่งมีชีวิตที่ตายแล้วนะคะ
-
แต่ว่าในตอนที่เค้ามีชีวิตอยู่เนี่ย
-
เค้าชอบสะสมสัตว์ที่มีชีวิตด้วยค่ะ
-
ต้องบอกว่า ที่ทำงานของเค้าเนี่ยนะคะ
-
บรรจุไปด้วยสัตว์ที่มีหลากหลายชนิดมากๆๆ เลยทีเดียวค่ะ
-
ถามว่า เค้าเลี้ยงของประหลาดขนาดไหนนะคะ?
-
ก็ที่ทำงานของเค้าเนี่ย ก็เต็มไปด้วยงูพันธุ์ต่างๆ นะคะ
-
นกอินทรีย์ ลิง
-
รวมไปถึงไฮยีนานะคะ
-
ซึ่งไฮยีนานี่เค้าก็ตั้งชื่อให้มันด้วยนะว่า เจ้าบิลลี่
-
ก็เป็นไฮยีนาของเค้าค่ะ
-
คือนอกจากบ้าเลี้ยงสัตว์แปลกๆ แล้วเนี่ยนะคะ
-
ต้องบอกว่า เค้ามีอีกนิสัยนึงค่ะที่แปลกไม่แพ้กันเลย
-
นั่นก็คือ บ้ากินเนื้อแปลกๆ
-
คำว่า เนื้อแปลกๆ ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงว่าแบบ
-
อ่อ ไปกินเนื้อวัวให้ครบทุกพันธุ์ในโลก
-
เนื้อมัตสึซากะ
-
เนื้อโกเบ
-
เนื่ออะไรต่างๆ
-
ไม่ใช่นะคะ
-
แต่คำว่าเนื้อแปลกๆ ของเค้าเนี่ยหมายถึง
-
เนื้อสัตว์แปลกๆ ที่มนุษย์ทั่วไปเค้าไม่กินกันค่ะ
-
ยกตัวอย่างเช่น เวลามีใครสักคนมาถามว่าแบบ
-
เฮ้ย อาหารจานโปรดของคุณคืออะไรอ่ะ?
-
คุณ Buckland เนี่ยนะคะ เค้าก็จะตอบว่า
-
อ่อ อาหารจานโปรดของผมก็คือ mice on toast
-
mice on toast แปลกันออกไหมทุกคน?
-
mice แปลว่าอะไร?
-
mice แปลว่า หนู
-
toast คืออะไร?
-
toast คือขนมปังปิ้ง
-
ดังนั้นนะคะ อาหารโปรดของคุณ Buckland ก็คือ
-
ขนมปังปิ้งหน้าหนู นั่นเอง
-
ซึ่งก็แบบ คนเรามันจะชอบกินอะไรแบบนี้จริงๆ เหรอ? นะคะ
-
แต่อย่างไรก็ดีค่ะ หนูมันก็อาจจะไม่ได้แปลกขนาดนั้น
-
เพราะว่าประเทศไทยเราก็กินหนูนงหนูนาย่างอะไรใช่ไหม?
-
คิดว่ายังแปลกกันไม่พอใช่ไหมคะ?
-
อ่ะ ยกตัวอย่างเวลาเค้าจัดปาร์ตี้ แล้วเค้าเป็น host ปาร์ตี้เป็นเจ้าภาพ
-
เชิญคนมางานปาร์ตี้ ถามว่าคนได้กินเนื้ออะไรรู้ไหม?
-
สิ่งที่เค้าเอามาเลี้ยงในงานปาร์ตี้นะคะ คือเนื้อของ
-
หนึ่งเลย เนื้อของลูกหมา puppy
-
คือแบบ กินลูกหมาอ่ะทุกคน
-
อ่ะ แต่ถ้าพูดจริงๆ มันก็ยังไม่ได้แปลกขนาดนั้น
-
เพราะว่าบางประเทศในโลกก็ยังกินหมาอยู่นะ
-
เท่านั้นยังไม่พอ เค้ากินอะไรอีก?
-
กินเสือดำ
-
ใช่ค่ะ หลักสูตรเดียวกันเลย
-
อันนี้ก็กินเสือดำเหมือนกันค่ะทุกคน
-
และยังไม่พอนะคะ ก็ยังมีเนื้อ porpoise ค่ะ
-
porpoise ก็คือสัตว์ที่เป็นอยู่ในวงศ์ของปลาวาฬกับปลาโลมา
-
อ่ะ 3 อย่างนี้ถามว่าแปลกไหม?
-
ก็แปลก แต่ยังไม่ได้แปลกขนาดนั้น
-
เพราะว่าญี่ปุ่นก็กินปลาวาฬ
-
บางประเทศก็กินหมา
-
แล้วก็เสือดำ เราก็เห็นไปแล้วอ่ะนะว่า ใครกิน
-
ต้องบอกว่า อาหารที่เค้ากินเนี่ย แปลกไปกว่านั้นอีกค่ะ
-
เพราะว่าเค้าเนี่ยมีความใฝ่ฝันอย่างนึงอยู่ในชีวิตค่ะ
-
นั่นก็คือ เค้าจะกินเนื้อสัตว์ให้ครบทุกชนิดในโลกนะคะ
-
ก็เป็นความใฝ่ฝันที่แปลกดีเหมือนกันนะ
-
ซึ่งถามว่า เค้าทำได้จริงไหม?
-
โอเค มันอาจจะไม่ได้กินทุกอย่างในโลก
-
แต่เค้าเนี่ยกินมากพอนะคะ
-
ถึงขนาดที่จะสามารถตอบคนได้เลยค่ะว่า
-
ในบรรดาเนื้อสัตว์ต่างๆ ที่ฉันกินมานะ
-
สิ่งที่รสชาติแย่ที่สุดเลยคือ หนึ่ง เนื้อของตัวตุ่น
-
แล้วก็สองคือ เนื้อของแมลงวันหัวเขียว พันธุ์ที่เป็นสีฟ้า
-
คือแบบ.....
-
กินแมลงวันหัวเขียว คิดได้ยังไงอ่ะคะทุกคน?
-
เอาเป็นว่า เค้าก็ชิมมาเยอะพอที่เค้าจะตอบคำถามข้อนี้ได้แล้วค่ะ
-
ต้องบอกว่า ไม่ใช่แค่สัตว์แปลกๆ เป็นแบบเนื้อสัตว์ตัวๆ นะคะที่คุณ Buckland กิน
-
แต่ว่าเค้ากินแปลกไปถึงขั้นที่ว่า
-
ครั้งนึงเค้าเคยไปเที่ยวโบสถ์ที่อิตาลีค่ะ
-
แล้วโบสถ์นี้ มันมีตำนานท้องถิ่นเล่าว่า
-
ผนังของโบสถ์นะ รวมไปถึงพื้นเนี่ย
-
ชุ่มโชกไปด้วยเลือดของนักบุญมาจนถึงทุกวันนี้
-
ซึ่งคุณ Buckland นะคะ ได้ยินแบบนั้นปุ๊บ เค้าก็บอกว่า
-
ไม่จริงอ่ะ เดี๋ยวฉันจะพิสูจน์ให้
-
ด้วยความที่ฉันเป็นนักกินมือฉกาจนะ
-
ฉันชิมนิดเดียว ฉันรู้แล้ว
-
ฉันเคยกินทุกอย่างมาบนโลกแล้วนะคะ
-
ดังนั้นค่ะ คุณ Buckland ก็เลย เลียเลยค่ะ
-
เลียไปเลียมานะคะ ไม่รู้ว่าเลียพื้นหรือเลียผนังอ่ะนะ
-
แต่เค้าเนี่ยสรุปออกมาได้ค่ะว่า
-
เฮ้ย ไอ้ที่มันอยู่ที่พื้นกับผนังของโบสถ์อ่ะ
-
มันไม่ใช่เลือดนักบุญแน่นอน
-
ตำนานนี้ผิด
-
สิ่งที่มันอยู่ที่พื้นกับผนังของโบสถ์เนี่ย
-
มันคือ ฉี่ค้างคาว ต่างหาก
-
ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่า เค้ารู้ได้ไง?
-
แปลว่า อย่างน้อย ต้องเคยชิมฉี่ค้างคาวมาก่อนถูกไหม?
-
อย่างไรก็ตามค่ะ
-
เรื่องราวนี้ยังไม่ใช่ของที่แปลกที่สุดที่คุณ Buckland เคยกินนะคะ
-
แต่ว่าเรื่องราวของที่แปลกที่สุดที่เป็นระดับตำนาน
-
ที่คุณ Buckland เคยกินเนี่ย
-
มันยิ่งใหญ่กว่านั้นเยอะเลยค่ะ
-
ถ้าจะต้องเล่านะคะว่า สิ่งที่คุณ Buckland เคยกินแล้วแปลกที่สุดเนี่ย
-
มันแปลกขนาดไหน? มันยิ่งใหญ่ขนาดไหน?
-
ต้องเล่าย้อนไปก่อนเค้าเกิดนานมากเลยค่ะ
-
เพราะว่าเค้าเกิดในช่วงประมาณปี 18 กว่าๆ ใช่ไหม?
-
ช่วงศตวรรษที่ 19
-
แต่ว่าเรื่องราวนี้นะคะ ต้องเล่าย้อนไปถึงช่วงศตวรรษที่ 13 ค่ะ
-
ในศตวรรษที่ 13 นะคะ
-
ที่ฝรั่งเศสค่ะ มีประเพณีนึงที่ทุกวันนี้ เค้าไม่มีกันแล้วล่ะ
-
นั่นก็คือ ประเพณีการรักษาอวัยวะภายในของกษัตริย์ แล้วก็ราชินีในสมัยนั้นนะคะ
-
โดยเค้าจะเอาพวกเครื่องในต่างๆ แล้วก็หัวใจ อะไรพวกอย่างงี้
-
ออกมาแล้วก็มาใช้กระบวนการ mummify
-
หรือว่า กระบวนการคล้ายๆ กับการทำให้เป็นมัมมี่ค่ะ
-
ก็คือดูดความชื้นออก ว่าอย่างนั้นเถอะ
-
หลังจากนั้นนะคะ ก็จะมีการเอาไปเก็บรักษาในรูปแบบต่างๆ ค่ะ
-
โดยเฉพาะหัวใจนะคะ
-
ซึ่งเป็นอวัยวะภายในชิ้นสำคัญที่สุดค่ะ
-
ก็จะมีการแยกออกมา เอามาใส่โถบูชาอย่างงดงาม
-
เอาไปร่วมพิธีศพ
-
รวมไปถึงตอนสุดท้าย หลังจากจัดพิธีศพเสร็จแล้วเนี่ย
-
เค้าก็จะเอาแยกกับร่างค่ะ
-
ร่างก็ฝั่งไปที่นึงเนอะ
-
ส่วนหัวใจเนี่ย ก็มักจะเอาไปไว้ที่ที่มีความสำคัญเกี่ยวกับกษัตริย์
-
หรือว่าพระราชินีองค์นั้นๆ นะคะ
-
และแน่นอนว่า กษัตริย์พระองค์นึง
-
ซึ่งเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่มากๆ ของฝรั่งเศสในยุคนั้นค่ะ
-
ก็ต้องมีกระบวนการนี้ด้วยนะคะ
-
ก็คือ พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 นั่นเอง
-
พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 หรือว่า The Sun เนี่ยนะคะ
-
เป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่มากๆ ของฝรั่งเศส
-
หลายๆ คนน่าจะคุ้นกันดีกับวีรกรรมต่างๆ ของท่านเนอะ
-
ไม่ว่าจะเป็นการสร้างพระราชวังแวร์ซายที่ยิ่งใหญ่มากๆ
-
เพื่อแสดงอำนาจความเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของตัวเอง
-
หรือว่าได้ยินในประวัติศาสตร์ไทยที่ว่า
-
พระยาโกษาธิบดีปานก็ไปเป็นทูตที่ฝรั่งเศส
-
ก็ในยุคของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 นี่แหละค่ะ
-
ก็เข้าเฝ้าพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เนอะ
-
ซึ่งวันนี้นะคะ วิวไม่ได้จะมาเล่าถึงเรื่องราวในประวัติศาสตร์เหล่านั้นค่ะ
-
แต่วิวจะมาเล่าถึงหัวใจของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เนี่ยแหละ
-
แน่นอนนะคะว่า หลังจากที่สิ้นพระชนม์เนี่ย
-
หัวใจของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ก็ต้องผ่านกระบวนการการเก็บรักษาแบบนี้เหมือนกันนะคะ
-
แล้วก็โดนเอาไปไว้ที่โบสถ์แห่งนึงค่ะ
-
คู่กับหัวใจของพ่อของเค้าเองนะคะ
-
ซึ่งก็เป็นกษัตริย์เหมือนกันอ่ะนะ
-
ทีนี้หลังจากที่มันอยู่ที่นั่นมาประมาณ 70 ปีค่ะ
-
ปรากฏว่ามีเหตุการณ์สำคัญเหตุการณ์นึงเกิดขึ้นในฝรั่งเศสนะคะ
-
นั่นก็คือ เหตุการณ์ปฏิวัติฝรั่งเศส นั่นเองค่ะ
-
ปรากฏว่า พอมีการปฏิวัติฝรั่งเศสเนอะ
-
คนก็ไม่นับถือกษัตริย์
-
คนก็แบบไม่โอเคกับราชวงศ์
-
มีการล้มล้างราชวงศ์ต่างๆ ค่ะ
-
ก็ทีมีการเอาพระราชินีมารี อ็องตัวแน็ตกับพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ไปตัดคอ นั่นแหละค่ะ
-
ทีนี้พอมันเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นนะคะ
-
คนก็เหมือนกับไม่ค่อยได้ใส่ใจระบบกษัตริย์อะไรเท่าไหร่ตอนนั้นค่ะ
-
ทำให้หัวใจของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เนี่ยนะคะ หลุดออกมาค่ะ
-
คือหลุดออกมาจากในโบสถ์ได้ไงไม่รู้นะ
-
แต่ว่ามันโดนขายทอดตลาดไปค่ะ
-
แล้วก็ไปตกอยู่ในมือของจิตรกรคนนึงนะคะ
-
ซึ่งเป็นคนที่มีชื่อเสียงมากๆ
-
เค้าเนี่ยชื่อว่า Alexandre Pau ค่ะ
-
ซึ่งต้องบอกว่า จิตรกรในสมัยนั้นเนี่ย
-
ถามว่า ทำยังไงให้รูปภาพของตัวเองแตกต่าง?
-
แปลกจากรูปภาพของคนอื่น
-
ก็ต้องบอกว่า เค้านิยมใช้สีกันแบบ organic ค่ะ
-
คือใช้สีที่ผลิตขึ้นเอง
-
ทุกคนก็จะพยายามสรรหาสิ่งต่างๆ มาผลิตสีของตัวเองเนอะ
-
บางคนก็มีการไปเอาต้นไม้แปลกๆ มาบด
-
บางคนก็ไปเอาพวกหินสีแปลกๆ มาบด
-
เรียกได้ว่า ใครที่หาสีอะไรที่แปลก ที่ใหม่ได้นะคะ
-
เอามาวาดภาพของตัวเองเนี่ย
-
ก็มักจะมีชื่อเสียง
-
ภาพนั้นก็มักจะแพงไปด้วยค่ะ
-
เพราะว่าถือว่าเป็นคนที่ครอบครองสีนี้แค่คนเดียว
-
คือให้คนอื่นวาด แกก็ไม่ได้สีนี้นะ อะไรแบบนั้น
-
แบบที่สมัยปัจจุบัน เราน่าจะเห็นดราม่งดราม่ากันที่
-
มีจิตรกรบางคนเค้าผลิตสีบางสีขึ้นมา
-
เพื่อใช้ของตัวเองคนเดียวนะคะ แบบนั้นเลยค่ะ
-
ซึ่ง Alexandre Pau นะคะ ก็เช่นเดียวกันเลยค่ะ
-
เค้ามีชื่อเสียงมากๆ นะคะ
-
เพราะว่าเค้ามีสีน้ำตาลในโทนของตัวเองสีนึงค่ะ
-
ที่คนอื่นเค้าไม่ใช้กันอ่ะนะ
-
สีน้ำตาลสีนี้นะคะชื่อว่า mummy brown ค่ะ
-
ใช่เลยค่ะ
-
สีน้ำตาลสีนี้นะคะ เกิดจากการเอามัมมี่จากอียิปต์เนี่ยนะ
-
มาแล้วก็บดค่ะ บดๆๆ แล้ว
-
แล้วก็เอาผงมัมมี่เนี่ย มาผลิตเป็นสี
-
แล้วก็ใช้วาดรูปค่ะ
-
พอพี่แกได้หัวใจของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 มานะคะ
-
พี่แกก็เลยตัดสินใจ บดเลยค่ะ
-
ก็บดๆๆ นะคะ
-
ตัดแบ่งออกมานะคะ แล้วก็ค่อยๆ บดทีละก้อนๆ ค่ะ
-
ทีนี้ก็เอาไปวาดออกมาเป็นภาพวาดนะคะ
-
เป็นภาพวาดทิวทัศน์ ภาพนี้เลย
-
นี่แหละค่ะ ภาพที่ได้จากการบดหัวใจของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เนอะ
-
ซึ่งบังเอิญโชคดีมากๆ ค่ะ
-
วาดภาพนี้เสร็จแล้วเนี่ย
-
หัวใจของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ยังใช้ไม่หมดค่ะ
-
ก็ยังเหลืออยู่ประมาณก้อนนึง
-
ขนาดเท่าประมาณวอลนัทค่ะ
-
เค้าก็เลยเก็บก้อนนี้เอาไว้นะคะ
-
ทีนี้หลังจากนั้นมันก็มีการส่งต่อค่ะ
-
ซึ่งตามที่มีบันทึกไว้เนี่ยนะคะ
-
ก็ไม่มีใครรู้ค่ะว่า จริงๆ แล้วไปอยู่ที่ไหน
-
แต่ว่ามีอยู่ทั้งหมด 3 เรื่องราวหลักๆ ด้วยกันนะคะที่มีการเล่ากัน
-
เรื่องราวแรกเนี่ยนะคะ ก็คือหลังจากที่ปฏิวัติฝรั่งเศสแล้วเนี่ย
-
มันก็มีการฟื้นฟูระบอบกษัตริย์ขึ้นในฝรั่งเศสค่ะ
-
ตอนนั้นพอมีการฟื้นฟูระบอบกษัตริย์ขึ้นเนี่ย
-
เค้าเนี่ยนะคะ ก็เลยตัดสินใจถวายหัวใจของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เนี่ย
-
คืนให้กับราชสำนักค่ะ
-
ดังนั้นราชสำนักก็เลยเอาไปเก็บไว้นะคะ
-
อันนี้คือทฤษฎีแรกเนอะ
-
ส่วนทฤษฎีที่สองค่ะ บอกว่า เอาไปเก็บไว้ในสถานที่นึงในปารีสนะคะ
-
ซึ่งวิวจะไม่กล้าออกเสียงให้ฟังเลย
-
แต่ว่า มันคือสถานที่นี้...
-
นั่นแหละค่ะ เชื่อยังว่าทำไมถึงไม่กล้าออกเสียงให้ฟัง?
-
คือชื่อยากจริงๆ เนอะ
-
และทฤษฎีที่สามค่ะ ซึ่งเป็นทฤษฎีที่มีชื่อเสียงที่สุด
-
แล้วก็เกี่ยวพันกับเรื่องราวที่เรากำลังจะเล่าต่อไปนี้นี่แหละ
-
ก็คือมันตกไปอยู่ที่บ้านหลังนึงนะคะ
-
ของคนที่อยู่ในวงชั้นสูงค่ะ
-
บ้านหลังนี้นะคะ เป็นบ้านของตระกูล Harcourt ค่ะ
-
ซึ่งก็ตกทอดหัวใจของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เนี่ย ต่อมาเรื่อยๆๆๆ ในตระกูลของตัวเองนะคะ
-
ทีนี้เค้าก็ไม่ได้ตกทอดมาเป็นก้อนวอลนัทเฉยๆ ค่ะ
-
แต่ด้วยความที่เค้าคิดว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งที่มีค่ามากๆ นะ
-
ดังนั้นบ้าน Harcourt นะคะ ก็เลยเอาใส่ล็อกเก็ตเงินเนี่ย
-
ใส่ชิ้นหัวใจของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ค่ะ
-
แล้วก็เก็บเอาไว้นะคะ
-
หัวใจของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เนี่ยนะคะ
-
ก็ตกทอดกันอยู่ในบ้าน Harcourt มาเรื่อยๆ ค่ะ
-
จนกระทั่งถึงปี 1848 นะคะ
-
ในตอนนั้นเนี่ย เจ้าของบ้านก็มีการจัดปาร์ตี้ขึ้นค่ะ
-
ซึ่งในปาร์ตี้เนี่ย ก็มีกลุ่มชนชั้นสูงเนี่ยมารวมตัวกันเยอะมากเลยนะคะ
-
ไม่ว่าจะเป็น Archbishop of York นะคะ
-
ซึ่งก็เป็นคนในบ้าน Harcourt นี่แหละ
-
แล้วก็น้องชายของเค้านะคะ
-
ซึ่งน้องชายของเค้าเนี่ย ก็ถือเป็นคนในแวดวงวิทยาศาสตร์ช่วงนั้นแหละ
-
เป็นคนก่อตั้งสมาคมอะไรวิทยาศาสตร์สักอย่างนะคะ
-
แน่นอนว่า จัดงานโดยที่มีคนสมาคมวิทยาศาสตร์อยู่แบบนี้
-
คุณ William Buckland ของเราเนี่ยก็ต้องได้รับเชิญ ใช่ไหมคะ?
-
เพราะว่าถือว่าเป็น big name มากๆ ของนักวิทยาศาสตร์ในยุคนั้นนะ
-
Buckland ก็มาร่วมงานนี้ค่ะ
-
ซึ่งในงานนี้นะคะ นึกภาพเวลาเราไปเที่ยวบ้านเพื่อน
-
แล้วเพื่อนชอบเอาอะไรมาอวดเราอ่ะ
-
แบบ อ่อ บ้านเราเนี่ยนะ มีสิ่งนี้ดี เป็นสมบัติประจำตระกูล เราขออวดให้ท่านเห็นเถอะ
-
แน่นอนค่ะ บ้าน Harcourt ก็ทำแบบเดียวกันนะคะ
-
ก็มีการเอาหัวใจของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เนี่ย
-
ออกมาอวดกันค่ะว่า
-
นี่ บ้านฉันมีสิ่งนี้เป็นมรดกตกทอด
-
คือ หัวของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 นะทุกคน
-
และแน่นอนนะคะว่า ในวงนั้นเต็มไปด้วยนักวิทยาศาสตร์ นักชีววิทยาอะไรต่างๆ ค่ะ
-
ทุกคนก็เลยส่งต่อหัวใจของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 กันไปเรื่อยๆ นะคะ
-
ประมาณว่า ไหน ขอดูหน่อยสิ มันเป็นของจริงหรือเปล่า?
-
จากความรู้ทางชีววิทยาของฉัน คิดว่ามันจริง คิดว่ามันไม่จริง อะไรต่างๆ นะคะ
-
จนกระทั่งหัวใจของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เนี่ยนะคะ
-
ไปอยู่ในมือของคุณ William Buckland ค่ะ
-
William Buckland นะคะ พอได้หัวใจของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 มาในมือ ปุ๊บ
-
ก็เลยลุกขึ้นยืนเลยค่ะ
-
ลุกขึ้นมาก็บอกว่า
-
ฮึม ฮึม ทุกคน จงฟังข้าพเจ้า
-
ชีวิตนี้เนี่ยนะ ฉันกินอะไรแปลกๆ มาเยอะแยะมากมายแล้วแหละ
-
แต่อย่างนึงนะที่ฉันไม่เคยกินเลยก็คือ หัวใจของกษัตริย์ นั่นเอง
-
ว่าแล้วนะคะ พี่แกก็เปิดล็อกเก็ตเงินค่ะ
-
จกหัวใจของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14
-
ซึ่งขนาดแค่ลูกวอลนัท
-
ยัดเข้าปากตัวเอง แล้วก็กลืนลงไปเลย
-
ซะอย่างนั้น
-
ก็เล่นเอาทุกคนในวง ก็แบบตะลึงกันไปหมดเลย
-
ประมาณว่า อ้าว สมบัติประจำตระกูลฉัน?
-
อ้าว แกกินหัวใจพระเจ้าหลุยส์ที่ 14?
-
แกบ้าไปแล้วเหรอ?
-
นี่หลักฐานทางประวัติศาสตร์เลยนะ
-
หรือว่าอะไรต่างๆ ค่ะ
-
แต่ว่า คนบางกลุ่มในนั้น ก็ไม่ได้ตกใจขนาดนั้น
-
เพราะว่าก็น่าจะชินแล้วแหละ กับการที่คุณ Buckland นี่กินของประหลาดไปทั่วนะคะ
-
และนี่แหละค่ะ ก็คือวีรกรรมที่โดดเด่นที่สุดในชีวิตของคุณ Buckland นะคะ
-
การกินหัวใจของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ลงไป นั่นเอง
-
อย่างไรก็ตามค่ะ คุณ Buckland เนี่ย ก็ใช้ชีวิตต่อมาเรื่อยๆ นะคะ
-
เรียกได้ว่า ก็อายุยืนพอสมควรเลย
-
ก็ไปทำประโยชน์ให้กับโลกใบนี้มากมาย
-
แบบที่เล่าไปนี่แหละ
-
ไปเป็นอธิการบดี ไปเป็นอาจารย์
-
ไปเป็นอะไรต่างๆ
-
จนกระทั่งเค้าอายุได้ 72 ปีค่ะ
-
เค้าถึงตายนะคะ
-
ส่วนสาเหตุที่ตายเนี่ย
-
ไม่ต้องห่วง เค้าไม่ได้ท้องเสียตาย หรืออาหารเป็นพิษตายนะคะ
-
คือกินมาขนาดนี้ คงไม่ตายเพราะเรื่องกินแล้วแหละ
-
แต่ว่าสิ่งที่ทำให้เค้าตายเนี่ย
-
นักวิทยาศาสตร์สมัยปัจจุบัน
-
คาดเดาว่า เค้าน่าจะตายจากวัณโรคที่มันขึ้นไปที่สมองของเค้าค่ะ
-
คิดว่า เรื่องนี้มันจบความพี้คแล้วใช่ไหม?
-
แต่บอกเลยว่า มันยังไม่จบค่ะ
-
เพราะว่ายังเหลืออีกเรื่องนึงนะ
-
ก็คือ แม้แต่ตอนที่เค้าตายไปแล้วนะคะ
-
ป้ายหลุมศพของเค้าเนี่ย
-
ว่ากันว่า มันก็โดนตัดมาจากหินที่เป็นฟอสซิลของไดโนเสาร์เหมือนกัน
-
แต่ว่า เป็นฟอสซิลที่แบบโดนตัดมาทำป้ายหลุมศพก่อน
-
ก่อนที่พวกนักธรณีวิทยาเนี่ย จะไปสำรวจแล้วเจอว่า มันเป็นฟอสซิลนะคะ
-
ดังนั้นนี่ก็เป็น เกร็ดอย่างสุดท้ายของคุณ Buckland ที่น่าสนใจค่ะ
-
เป็นไงบ้างทุกคน? ฟังเรื่องนี้ไป ตื่นเต้นกันไหมคะ?
-
แปลกใจกันไหม? แล้วก็ช็อคกันไหมนะคะ?
-
ถ้ารู้สึกว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่พี้คสมกับที่วิวสัญญาไว้
-
จำสัญญาเมื่อตอนต้นคลิปกันได้ใช่ไหมคะ?
-
อย่าลืมกดแชร์คลิปนี้สักครั้งนึง
-
ไปฝากให้เพื่อนๆ ได้มาช็อคกับพวกเรานะคะ
-
อย่างไรก็ตามค่ะ
-
ถ้าใครมีเรื่องราวสนุกๆ อะไร อยากให้วิวเล่าอีก
-
ก็คอมเมนต์มาด้านล่างได้นะคะ
-
หรือกดไลก์เป็นกำลังใจให้วิวก็ได้ค่ะ
-
สำหรับวันนี้ลาไปก่อนละกันนะคะทุกคน
-
คลิปยาวพอสมควรแล้วค่ะ
-
บ๊าย บาย สวัสดีค่ะ
-
เป็นไงคะทุกคน?
-
เข้าใจความแบบอยากเล่าเรื่องนี้ตอนตีสามของวิวหรือยัง?
-
ว่าแบบว่า มันสุดขนาดไหน?
-
มันพี้คขนาดไหนนะคะ?
-
สำหรับใครที่เห็นชื่อคลิปนี้ หรือว่าเห็นปกคลิปนี้
-
บอกเลยว่า ปกคลิปหรือชื่อคลิปที่วิวยังไม่ได้ทำตอนนี้
-
แต่ว่าทุกคนเห็นแล้วเนี่ย
-
เป็นเรื่องที่วิวเครียดมาก แล้วไม่รู้จะทำยังไงดีเลยนะคะ
-
เพราะว่ามันเต็มไปด้วยเรื่องราวที่แบบ
-
ฉันจะเอาเรื่องไหนขึ้นปกดีทุกคน?
-
มันพี้คในทุกเรื่องเลยนะคะ
-
ดังนั้นก็ นั่นแหละค่ะ
-
สิ่งที่ทุกคนเห็นก็คือ ความพยายามของข้าพเจ้านั่นเองนะจ๊ะ
-
วันนี้ลาไปก่อนละกันค่ะ
-
บ๊าย บาย
-
สวัสดีค่ะ