คิดว่า เนื้ออะไรคือ เนื้อที่แปลกที่สุดที่คนเราจะไปหามากินได้คะ? บอกเลยว่า เรื่องราวที่กำลังจะเล่าต่อไปนี้ แปลกสุดๆ แน่ๆ ค่ะ สวัสดีค่ะ วิวจากแชนเนล Point of View ค่ะ สำหรับใครที่ดูวิดีโอนี้นะคะ แล้วรู้สึกว่า หน้าตาวิวดูง่วงๆ ดูตาจะปิดแล้ว แต่ว่าดูตื่นเต้นมากๆ เนี่ย ขอบอกเลยว่า มีสาเหตุค่ะ เพราะว่าตอนนี้นะคะ คือเวลาประมาณตีสามค่ะทุกคน แต่ว่า วิวเพิ่งจะไปอ่านเรื่องราวๆ นึงมานะคะ แล้วรู้สึกว่า มันพี้คมาก มันพี้คในทุกแง่มุม แบบไม่รู้จะพี้คในแง่มุมไหนแล้วนะคะ เรียกได้ว่า อ่านแล้วตะลึงอ่ะ ช็อคไปหมดเลยนะคะ ดังนั้นก็เลยรู้สึกว่า ทนไม่ได้แล้ว ต้องเอามาเล่าให้ทุกคนฟังในเวลานี้เลยค่ะ บอกเลยนะคะว่า เรื่องราวนี้พี้คมากๆๆๆ จริงๆ พี้คจนวิวไม่รู้จะโฆษณาเรื่องราวนี้ยังไงเลยอ่ะ ว่าแบบ เฮ้ย มาฟังเถอะ มันน่าสนใจไปในทุกแง่มุมเลยนะคะ ดังนั้นเราไม่ต้องเวิ่นเว้อเกริ่นกันมากค่ะ เดี๋ยวเราไปฟังกันเลยดีกว่า แต่ก่อนอื่นนะคะ สัญญากับวิวก่อนว่า ถ้าสมมติว่า ฟังเรื่องราวนี้ไปแล้วเนี่ย รู้สึกว่า มันพี้คสมกับที่วิวโฆษณาไว้จริงๆ อย่าลืมแชร์ไปให้เพื่อนๆ ฟังกันด้วยนะคะว่า เฮ้ย มันพี้คจริงๆ ทุกคน กรุณามาฟัง เรื่องนี้อยากให้ทุกคนรู้จริงๆ ค่ะ และนอกจากนี้นะคะ ถ้าฟังเรื่องราวนี้แล้ว รู้สึกว่า อยากฟังเรื่องราวสนุกๆ แบบนี้อีก ก็อย่าลืม subscribe ช่อง Point of View กดติดตามแฟนเพจ Point of View หรือว่า จะติดตามวิวในช่องทางอื่นๆ ที่ขึ้นไว้ให้ ก็ได้เช่นกันค่ะ สำหรับตอนนี้ พร้อมจะไปฟังเรื่องราวที่ทั้งสนุก แล้วก็ได้สาระกันหรือยังคะ? ถ้าพร้อมกันแล้วก็ ไปฟังกันเลยค่ะ เรื่องราวพี้คๆ ที่วิวจะเล่าให้ทุกคนฟังในวันนี้นะคะ เป็นเรื่องราวของผู้ชายคนนึงค่ะ ชื่อว่า Dr.William Buckland นะคะ Dr.William Buckland คนนี้ เค้าเป็นหลายอย่างมากๆ เลยค่ะ คืออาชีพของเค้าเนี่ยเป็นทั้งนักธรณีวิทยา นักบรรพชีวินวิทยา หรือว่าคนที่ศึกษาพวกฟอสซิลอะไรต่างๆ อ่ะนะ ที่หมายถึงพวกพืช แล้วก็สัตว์ที่กลายเป็นหินใช่ไหมคะ? เวลาผ่านมาหลายล้านปี นอกจากนี้เค้าก็ยังเป็นอาจารย์ แล้วก็เป็นนักบวชอีกด้วยค่ะ เรียกได้ว่า เค้าทำอาชีพหลากหลายจริงๆ นะ แล้วแต่ละอาชีพ ก็เป็นอาชีพที่ทรงเกียรติมากๆ ค่ะ ทีนี้ถามว่า เค้าเป็นใคร? มาจากไหน? นะคะ กว่าที่เค้าจะมาเป็นทั้งหมดนี้ เค้าเนี่ยเป็นเด็กคนนึงค่ะ ที่เกิดที่เมืองเดวอน ประเทศอังกฤษนะคะ เมื่อปี 1784 ค่ะ ทีนี้ตั้งแต่เด็กนะคะ เค้าก็เริ่มฉายแววแล้วว่า เค้าเป็นเด็กที่เก่งมากๆ ค่ะ ก็สนใจศึกษาหาความรู้ต่างๆ แล้วก็เรียนเก่งมากๆ เลยนะ ที่สำคัญค่ะ บริเวณแถวๆ บ้านเค้าที่เดวอนเนี่ย มันเป็นแหล่งที่มีการค้นพบฟอสซิลอยู่แล้วนะคะ ซึ่งทำให้เค้าเนี่ย สนใจเรื่องราวฟอสซิลตั้งแต่เด็กค่ะ ดังนั้นตั้งแต่เด็กนะคะ งานอดิเรกของเค้าเนี่ยก็คือ การตามพ่อไปเที่ยว road trip ที่ต่างๆ ค่ะ ซึ่งพ่อเค้าก็จะขับรถพาไปเที่ยวนู่นนี่นั่นนะคะ ส่วนตัวเค้าเนี่ยก็จะไปไล่เก็บพวกฟอสซิล หรือว่าอะไรต่างๆ เนี่ยมาเป็นของสะสมค่ะ ก็ฟอสซิล จริงๆ มันก็ไม่จำเป็นต้องเป็นฟอสซิลแบบจริงจังขนาดนั้น ในอังกฤษบางทีมันก็มีพวกเศษซากหอยอะไรอย่างงี้ ที่มันกลายเป็นหินอะไรอย่างงี้นะคะ ที่นี้ ต้องบอกว่า เค้าเนี่ยเรียนเก่งมากๆ นะคะ เพราะว่าในปี 1801 ค่ะ เค้าก็ได้ทุนนะคะ จากมหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ดค่ะ ให้เข้าไปศึกษาอยู่ใน Corpus Christi College นะคะ ใน Oxford ค่ะ และเค้าเนี่ยถือว่าเป็น นักธรณีวิทยาคนแรกของ Oxford เลยทีเดียวนะคะ ทีนี้หลังจากที่เค้าเข้าไปศึกษาได้ประมาณปีสองปีค่ะ เค้าก็เรียนจบนะ แล้วพอเรียนจบออกมาเนี่ย ด้วยความที่เค้าเก่งมากๆ นะคะ เค้าก็เลยได้มีโอกาส เข้าไปเป็นอาจารย์สอนอยู่ใน Oxford นี่แหละค่ะ ซึ่งบอกเลยนะคะว่า เทคนิคการสอนของเค้าเนี่ย มีชื่อเสียงมากๆ แล้วก็โดดเด่นไม่แพ้ใครเลยค่ะ เพราะว่าเค้าเนี่ยเป็นคนที่ชอบตะโกนถามคำถามนักศึกษานะคะ ประมาณว่าแบบ เฮ้ย ตอบมาเดี๋ยวนี้ อันนี้คือกะโหลกของอะไร? แล้วก็เอากะโหลกสัตว์ เช่นแบบ กะโหลกไฮยีน่าเนี่ย ไปแกว่งๆๆ นะคะ ใส่หน้านักศึกษาค่ะ ทำให้เค้าเนี่ย ค่อนข้างจะโดดเด่นมากเลยทีเดียวนะ ซึ่งหลังจากที่เค้าเริ่มอาชีพอาจารย์แล้วเนี่ยนะคะ ก็ต้องบอกเลยว่า ในปีเดียวกัน เค้าก็บวชเป็นนักบวชด้วยนะ เพราะว่าใน Oxford เนี่ย มันก็มีโบสถ์ มีอะไรอยู่ด้วยนะ ในสมัยก่อนมันไม่ค่อยแยกกันระหว่างศาสนจักรกับการศึกษา ก็คล้ายๆ ไทยนี่แหละค่ะ เวลาจะเรียนอะไรก็ต้องไปอยู่ในวัด อยู่ในโบสถ์ ว่าอย่างนั้นเถอะ นอกจากนี้เนี่ยนะคะ ก็ต้องบอกว่า เค้าเนี่ย ไต่เต้าตำแหน่งอาชีพของเค้าขึ้นไปได้เรื่อยๆๆ เลยค่ะ ซึ่งในตอนท้ายๆ เนี่ย เค้าถึงขั้นที่ว่า เค้าได้ไปสอนที่ Christ Church ด้วยนะ จำได้ไหมคะ Christ Church College? เป็น college สำคัญมากๆ ใน Oxford เนอะ เราพูดถึงกันไปหลายคลิปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องพระราชประวัติรัชกาลที่ 6 ในเรื่องตามติ่งแฮรี่ หรือในที่ต่างๆ นะ เท่านั้นยังไม่พอนะคะ ต้องบอกว่า อาชีพสุดท้ายของเค้าเนี่ย เค้าเป็นถึงอธิการบดีนะคะ หรือว่า dean ของ Westminster College ใน Oxford เลยทีเดียวนะ ก็เรียกได้ว่า ตำแหน่งใหญ่มากเลยทีเดียวค่ะ ทีนี้ถามว่า เค้าไปทำอะไรมา ทำไมเค้าถึงได้ตำแหน่งใหญ่ขนาดนี้นะ? ก็ต้องบอกว่า ตั้งแต่เด็กจนโตค่ะ ที่บอกว่า เค้ามีงานอดิเรกในการสะสมซากฟอสซิลต่างๆ เนี่ย เค้าไม่ได้หยุดสะสมแค่นั้นค่ะ คือยิ่งโตขึ้นเนี่ย เค้าก็ยิ่งสะสมซากฟอสซิลมากขึ้นๆ นะคะ จนกระทั่ง มันไม่ใช่แค่ฟอสซิลพืชและสัตว์ทั่วไปแล้วไง เค้าไปสะสมถึงขั้นแบบซากฟอสซิลของไดโนเสาร์เลยนะคะ ซึ่งต้องบอกว่า ในยุคสมัยของเค้าเนี่ย มันยังไม่มีคำว่า ไดโนเสาร์เกิดขึ้นค่ะ ทีนี้ นี่แหละคือ งานที่เด่นที่สุดของเค้านะคะ ในด้านดีๆ เน้นอีกครั้งว่า ในด้านดีๆ ต้องบอกว่า มนุษย์เราเนี่ย มีการค้นพบซากกระดูกไดโนเสาร์เนี่ยนะคะ มาประมาณเป็นพันปีแล้วแหละ ชาวจงชาวจีน ชาวอะไรขุดดินลงไป เค้าก็เจอซากไดโนเสาร์กันทั้งนั้น แต่พอเจอแล้วเนี่ย เค้าไม่รู้ว่า มันคือสัตว์ชนิดไหนค่ะ ดูมาแล้วเนี่ย เอ๊ะ จะเป็นกระดูกช้างก็ไม่ใช่ กระดูกอะไรก็ไม่ใช่ ดังนั้นนะคะ ในแต่ละประเทศก็เลยมีการจินตนาการในรูปแบบของตัวเองค่ะว่า ไอ้เศษซากที่ไปขุดเจอเนี่ย คือเศษซากของอะไร ยกตัวอย่างเช่น ในประเทศจีนนะคะ ก็เอาไปจินตนาการค่ะว่า อ่อ มันเป็นมังกร เป็นมังกรยาวๆ อย่างนี้นะ มีเขาเหมือนกิเลน มีหางเหมือนปลา อะไรอย่างนี้ ส่วนในไทย คิดว่าเป็นอะไร? คิดว่าเป็นงูขนาดใหญ่ค่ะ นั่นก็คือ พญานาค นั่นเอง ส่วนฝั่งยุโรปนี่ก็ชัดเจนนะคะว่า ไปจินตนาการว่าเป็นมังกร แบบมีปีก บินพับๆ แล้วก็พ่นไฟได้ค่ะ ทีนี้ที่ผ่านมา หนึ่งพันปีที่ผ่านมาเนี่ย ค้นพบมันก็จะอยู่ในรูปแบบตำนงตำนานอะไรอย่างนี้ใช่ไหม? แต่ในช่วงเวลาของคุณ Buckland นี่อ่ะค่ะ มันมีการค้นพบซากไดโนเสาร์นะคะ ในประเทศอังกฤษค่ะ เมื่อปี 1822 นะคะ มีนักธรณีวิทยาคนนึงค่ะ เป็นชาวอังกฤษเนอะ ชื่อว่า Gideon Mantell ค่ะ เค้าเนี่ยไปขุดค้นพบกระดูกไดโนเสาร์ขึ้นมานะคะ ทีนี้เค้าก็เริ่มเอาวิทยาศาสตร์เข้ามาจับกับสิ่งนี้แล้วค่ะ เค้าก็จินตนาการว่า เอ๊ ไอ้สิ่งนี้มันน่าจะเป็นอิกัวน่าขนาดยักษ์นะ เพราะตอนนั้นยังไม่มีใครคิดขึ้นมาว่า ในสมัยก่อนที่จะเป็นยุคสมัยของมนุษย์เนี่ย มันจะมีสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ไดโนเสาร์ ขึ้นมาค่ะ ดังนั้นนะคะ เค้าก็จินตนาการขึ้นมาว่า อ่อ นี่มันน่าจะเป็นอิกัวน่ายักษ์แน่ๆ เลย ดังนั้นนะคะ ไดโนเสาร์พันธุ์แรกของโลกที่มีการค้นพบเนี่ย ก็เลยชื่อว่า Iguanodon นั่นเองค่ะ หลังจากนั้น 2 ปีนะคะ ก็มีการค้นพบกระดูกไดโนเสาร์อีกเซ็ตนึงค่ะ ซึ่งในคราวนี้ คุณ Buckland ของเราเนี่ยนะ คนที่เป็นพระเอกของเราเนี่ย เค้าก็ไปร่วมการค้นพบอะไรอย่างนี้ด้วย แล้วเค้าก็เป็นคนแรกในโลกนะคะ ที่ตัดสินใจเขียน article เกี่ยวกับไดโนเสาร์เนี่ย อย่างเป็นทางการในด้านวิทยาศาสตร์ค่ะ ดั้งนั้นกระดูกไดโนเสาร์พันธุ์นั้นนะคะ ก็เลยได้ชื่อว่า Megalosaurus Bucklandii นั่นเองค่ะ ก็เป็นเกียรติให้กับเค้านะคะ ในฐานะคนแรกที่ตีพิมพ์เรื่องราวเกี่ยวไดโนเสาร์ในฐานะบทความทางวิทยาศาสตร์ค่ะ หลังจากยุคของสองคนนี้นะคะ ก็จะมีการขุดค้นพบเศษซากของไดโนเสาร์อีกมากมายนะ จนกระทั่งนำไปสู่การบัญญัติศัพท์ คำว่า dinosaur ซึ่งกลายมาเป็นคำว่า ไดโนเสาร์ ในที่สุดค่ะ แต่อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่เรื่องราวที่เราจะเล่าเนอะ กลับมาที่คุณ Buckland ของเราค่ะ ผลงานครั้งนี้นะคะ ที่เค้าได้ตีพิมพ์เรื่องราวเกี่ยวกับไดโนเสาร์เนี่ย เป็นคนแรกของโลก เค้าก็เลยได้รับเหรียญตรานะคะ ถึง 2 เหรียญด้วยกันค่ะ ก็คือเหรียญรางวัล Copley นะคะ ซึ่งเป็นเหรียญที่แบบมอบให้กับนักวิทยาศาสตร์ชั้นแนวหน้าของอังกฤษนะ รวมไปถึงเหรียญ Wallaston นะคะ ซึ่งก็เป็นเหรียญสำคัญด้านธรณีวิทยาต่างๆ เหมือนกัน แต่วันนี้ค่ะ เราจะไม่ได้มาเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติดีๆ ของเค้านะคะ เพราะว่าทุกคนสามารถหาอ่านได้เองในทำเนียบนักวิทยาศาสตร์ที่โดดเด่นของโลก เรียกได้ว่า เค้าสำคัญขนาดนั้นเลยนะ ก็อยู่ในทำเนียบนั้นด้วย แต่เราจะมาเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวของเค้าค่ะ เพราะว่าชีวิตส่วนตัวของเค้าเนี่ย พี้คกว่าหน้าที่การงานของเค้าไปไกลเลยค่ะ เรียกได้กว่า ฉากหน้าที่ดูเป็นเหมือนคนที่แบบน่านับหน้าถือตาในสังคมเนี่ยนะ ฉากหลัง หนักกว่านั้นเยอะค่ะ เพราะว่าจำได้ไหมเมื่อกี้ที่วิวเล่าว่า เค้าเป็นคนที่ชอบสะสมซากธรณีวิทยาอะไรต่างๆ ก็ต้องบอกว่า เค้าสะสมไว้เยอะมากจริงๆ นะคะ มากขนาดที่ว่า ตอนที่เค้าตายไปแล้วเนี่ย ทุกอย่างที่เค้าสะสม สามารถเอาไปทำเป็นพิพิธภัณฑ์ได้ห้องนึงเลยนะ และห้องนั้นก็ชื่อว่าห้องแบบ William Bucklandy เลยทีเดียวค่ะ อย่างไรก็ตามค่ะ เค้าเนี่ยไม่ได้สะสมแค่ฟอสซิลของสิ่งมีชีวิตที่ตายแล้วนะคะ แต่ว่าในตอนที่เค้ามีชีวิตอยู่เนี่ย เค้าชอบสะสมสัตว์ที่มีชีวิตด้วยค่ะ ต้องบอกว่า ที่ทำงานของเค้าเนี่ยนะคะ บรรจุไปด้วยสัตว์ที่มีหลากหลายชนิดมากๆๆ เลยทีเดียวค่ะ ถามว่า เค้าเลี้ยงของประหลาดขนาดไหนนะคะ? ก็ที่ทำงานของเค้าเนี่ย ก็เต็มไปด้วยงูพันธุ์ต่างๆ นะคะ นกอินทรีย์ ลิง รวมไปถึงไฮยีนานะคะ ซึ่งไฮยีนานี่เค้าก็ตั้งชื่อให้มันด้วยนะว่า เจ้าบิลลี่ ก็เป็นไฮยีนาของเค้าค่ะ คือนอกจากบ้าเลี้ยงสัตว์แปลกๆ แล้วเนี่ยนะคะ ต้องบอกว่า เค้ามีอีกนิสัยนึงค่ะที่แปลกไม่แพ้กันเลย นั่นก็คือ บ้ากินเนื้อแปลกๆ คำว่า เนื้อแปลกๆ ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงว่าแบบ อ่อ ไปกินเนื้อวัวให้ครบทุกพันธุ์ในโลก เนื้อมัตสึซากะ เนื้อโกเบ เนื่ออะไรต่างๆ ไม่ใช่นะคะ แต่คำว่าเนื้อแปลกๆ ของเค้าเนี่ยหมายถึง เนื้อสัตว์แปลกๆ ที่มนุษย์ทั่วไปเค้าไม่กินกันค่ะ ยกตัวอย่างเช่น เวลามีใครสักคนมาถามว่าแบบ เฮ้ย อาหารจานโปรดของคุณคืออะไรอ่ะ? คุณ Buckland เนี่ยนะคะ เค้าก็จะตอบว่า อ่อ อาหารจานโปรดของผมก็คือ mice on toast mice on toast แปลกันออกไหมทุกคน? mice แปลว่าอะไร? mice แปลว่า หนู toast คืออะไร? toast คือขนมปังปิ้ง ดังนั้นนะคะ อาหารโปรดของคุณ Buckland ก็คือ ขนมปังปิ้งหน้าหนู นั่นเอง ซึ่งก็แบบ คนเรามันจะชอบกินอะไรแบบนี้จริงๆ เหรอ? นะคะ แต่อย่างไรก็ดีค่ะ หนูมันก็อาจจะไม่ได้แปลกขนาดนั้น เพราะว่าประเทศไทยเราก็กินหนูนงหนูนาย่างอะไรใช่ไหม? คิดว่ายังแปลกกันไม่พอใช่ไหมคะ? อ่ะ ยกตัวอย่างเวลาเค้าจัดปาร์ตี้ แล้วเค้าเป็น host ปาร์ตี้เป็นเจ้าภาพ เชิญคนมางานปาร์ตี้ ถามว่าคนได้กินเนื้ออะไรรู้ไหม? สิ่งที่เค้าเอามาเลี้ยงในงานปาร์ตี้นะคะ คือเนื้อของ หนึ่งเลย เนื้อของลูกหมา puppy คือแบบ กินลูกหมาอ่ะทุกคน อ่ะ แต่ถ้าพูดจริงๆ มันก็ยังไม่ได้แปลกขนาดนั้น เพราะว่าบางประเทศในโลกก็ยังกินหมาอยู่นะ เท่านั้นยังไม่พอ เค้ากินอะไรอีก? กินเสือดำ ใช่ค่ะ หลักสูตรเดียวกันเลย อันนี้ก็กินเสือดำเหมือนกันค่ะทุกคน และยังไม่พอนะคะ ก็ยังมีเนื้อ porpoise ค่ะ porpoise ก็คือสัตว์ที่เป็นอยู่ในวงศ์ของปลาวาฬกับปลาโลมา อ่ะ 3 อย่างนี้ถามว่าแปลกไหม? ก็แปลก แต่ยังไม่ได้แปลกขนาดนั้น เพราะว่าญี่ปุ่นก็กินปลาวาฬ บางประเทศก็กินหมา แล้วก็เสือดำ เราก็เห็นไปแล้วอ่ะนะว่า ใครกิน ต้องบอกว่า อาหารที่เค้ากินเนี่ย แปลกไปกว่านั้นอีกค่ะ เพราะว่าเค้าเนี่ยมีความใฝ่ฝันอย่างนึงอยู่ในชีวิตค่ะ นั่นก็คือ เค้าจะกินเนื้อสัตว์ให้ครบทุกชนิดในโลกนะคะ ก็เป็นความใฝ่ฝันที่แปลกดีเหมือนกันนะ ซึ่งถามว่า เค้าทำได้จริงไหม? โอเค มันอาจจะไม่ได้กินทุกอย่างในโลก แต่เค้าเนี่ยกินมากพอนะคะ ถึงขนาดที่จะสามารถตอบคนได้เลยค่ะว่า ในบรรดาเนื้อสัตว์ต่างๆ ที่ฉันกินมานะ สิ่งที่รสชาติแย่ที่สุดเลยคือ หนึ่ง เนื้อของตัวตุ่น แล้วก็สองคือ เนื้อของแมลงวันหัวเขียว พันธุ์ที่เป็นสีฟ้า คือแบบ..... กินแมลงวันหัวเขียว คิดได้ยังไงอ่ะคะทุกคน? เอาเป็นว่า เค้าก็ชิมมาเยอะพอที่เค้าจะตอบคำถามข้อนี้ได้แล้วค่ะ ต้องบอกว่า ไม่ใช่แค่สัตว์แปลกๆ เป็นแบบเนื้อสัตว์ตัวๆ นะคะที่คุณ Buckland กิน แต่ว่าเค้ากินแปลกไปถึงขั้นที่ว่า ครั้งนึงเค้าเคยไปเที่ยวโบสถ์ที่อิตาลีค่ะ แล้วโบสถ์นี้ มันมีตำนานท้องถิ่นเล่าว่า ผนังของโบสถ์นะ รวมไปถึงพื้นเนี่ย ชุ่มโชกไปด้วยเลือดของนักบุญมาจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งคุณ Buckland นะคะ ได้ยินแบบนั้นปุ๊บ เค้าก็บอกว่า ไม่จริงอ่ะ เดี๋ยวฉันจะพิสูจน์ให้ ด้วยความที่ฉันเป็นนักกินมือฉกาจนะ ฉันชิมนิดเดียว ฉันรู้แล้ว ฉันเคยกินทุกอย่างมาบนโลกแล้วนะคะ ดังนั้นค่ะ คุณ Buckland ก็เลย เลียเลยค่ะ เลียไปเลียมานะคะ ไม่รู้ว่าเลียพื้นหรือเลียผนังอ่ะนะ แต่เค้าเนี่ยสรุปออกมาได้ค่ะว่า เฮ้ย ไอ้ที่มันอยู่ที่พื้นกับผนังของโบสถ์อ่ะ มันไม่ใช่เลือดนักบุญแน่นอน ตำนานนี้ผิด สิ่งที่มันอยู่ที่พื้นกับผนังของโบสถ์เนี่ย มันคือ ฉี่ค้างคาว ต่างหาก ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่า เค้ารู้ได้ไง? แปลว่า อย่างน้อย ต้องเคยชิมฉี่ค้างคาวมาก่อนถูกไหม? อย่างไรก็ตามค่ะ เรื่องราวนี้ยังไม่ใช่ของที่แปลกที่สุดที่คุณ Buckland เคยกินนะคะ แต่ว่าเรื่องราวของที่แปลกที่สุดที่เป็นระดับตำนาน ที่คุณ Buckland เคยกินเนี่ย มันยิ่งใหญ่กว่านั้นเยอะเลยค่ะ ถ้าจะต้องเล่านะคะว่า สิ่งที่คุณ Buckland เคยกินแล้วแปลกที่สุดเนี่ย มันแปลกขนาดไหน? มันยิ่งใหญ่ขนาดไหน? ต้องเล่าย้อนไปก่อนเค้าเกิดนานมากเลยค่ะ เพราะว่าเค้าเกิดในช่วงประมาณปี 18 กว่าๆ ใช่ไหม? ช่วงศตวรรษที่ 19 แต่ว่าเรื่องราวนี้นะคะ ต้องเล่าย้อนไปถึงช่วงศตวรรษที่ 13 ค่ะ ในศตวรรษที่ 13 นะคะ ที่ฝรั่งเศสค่ะ มีประเพณีนึงที่ทุกวันนี้ เค้าไม่มีกันแล้วล่ะ นั่นก็คือ ประเพณีการรักษาอวัยวะภายในของกษัตริย์ แล้วก็ราชินีในสมัยนั้นนะคะ โดยเค้าจะเอาพวกเครื่องในต่างๆ แล้วก็หัวใจ อะไรพวกอย่างงี้ ออกมาแล้วก็มาใช้กระบวนการ mummify หรือว่า กระบวนการคล้ายๆ กับการทำให้เป็นมัมมี่ค่ะ ก็คือดูดความชื้นออก ว่าอย่างนั้นเถอะ หลังจากนั้นนะคะ ก็จะมีการเอาไปเก็บรักษาในรูปแบบต่างๆ ค่ะ โดยเฉพาะหัวใจนะคะ ซึ่งเป็นอวัยวะภายในชิ้นสำคัญที่สุดค่ะ ก็จะมีการแยกออกมา เอามาใส่โถบูชาอย่างงดงาม เอาไปร่วมพิธีศพ รวมไปถึงตอนสุดท้าย หลังจากจัดพิธีศพเสร็จแล้วเนี่ย เค้าก็จะเอาแยกกับร่างค่ะ ร่างก็ฝั่งไปที่นึงเนอะ ส่วนหัวใจเนี่ย ก็มักจะเอาไปไว้ที่ที่มีความสำคัญเกี่ยวกับกษัตริย์ หรือว่าพระราชินีองค์นั้นๆ นะคะ และแน่นอนว่า กษัตริย์พระองค์นึง ซึ่งเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่มากๆ ของฝรั่งเศสในยุคนั้นค่ะ ก็ต้องมีกระบวนการนี้ด้วยนะคะ ก็คือ พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 นั่นเอง พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 หรือว่า The Sun เนี่ยนะคะ เป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่มากๆ ของฝรั่งเศส หลายๆ คนน่าจะคุ้นกันดีกับวีรกรรมต่างๆ ของท่านเนอะ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างพระราชวังแวร์ซายที่ยิ่งใหญ่มากๆ เพื่อแสดงอำนาจความเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของตัวเอง หรือว่าได้ยินในประวัติศาสตร์ไทยที่ว่า พระยาโกษาธิบดีปานก็ไปเป็นทูตที่ฝรั่งเศส ก็ในยุคของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 นี่แหละค่ะ ก็เข้าเฝ้าพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เนอะ ซึ่งวันนี้นะคะ วิวไม่ได้จะมาเล่าถึงเรื่องราวในประวัติศาสตร์เหล่านั้นค่ะ แต่วิวจะมาเล่าถึงหัวใจของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เนี่ยแหละ แน่นอนนะคะว่า หลังจากที่สิ้นพระชนม์เนี่ย หัวใจของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ก็ต้องผ่านกระบวนการการเก็บรักษาแบบนี้เหมือนกันนะคะ แล้วก็โดนเอาไปไว้ที่โบสถ์แห่งนึงค่ะ คู่กับหัวใจของพ่อของเค้าเองนะคะ ซึ่งก็เป็นกษัตริย์เหมือนกันอ่ะนะ ทีนี้หลังจากที่มันอยู่ที่นั่นมาประมาณ 70 ปีค่ะ ปรากฏว่ามีเหตุการณ์สำคัญเหตุการณ์นึงเกิดขึ้นในฝรั่งเศสนะคะ นั่นก็คือ เหตุการณ์ปฏิวัติฝรั่งเศส นั่นเองค่ะ ปรากฏว่า พอมีการปฏิวัติฝรั่งเศสเนอะ คนก็ไม่นับถือกษัตริย์ คนก็แบบไม่โอเคกับราชวงศ์ มีการล้มล้างราชวงศ์ต่างๆ ค่ะ ก็ทีมีการเอาพระราชินีมารี อ็องตัวแน็ตกับพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ไปตัดคอ นั่นแหละค่ะ ทีนี้พอมันเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นนะคะ คนก็เหมือนกับไม่ค่อยได้ใส่ใจระบบกษัตริย์อะไรเท่าไหร่ตอนนั้นค่ะ ทำให้หัวใจของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เนี่ยนะคะ หลุดออกมาค่ะ คือหลุดออกมาจากในโบสถ์ได้ไงไม่รู้นะ แต่ว่ามันโดนขายทอดตลาดไปค่ะ แล้วก็ไปตกอยู่ในมือของจิตรกรคนนึงนะคะ ซึ่งเป็นคนที่มีชื่อเสียงมากๆ เค้าเนี่ยชื่อว่า Alexandre Pau ค่ะ ซึ่งต้องบอกว่า จิตรกรในสมัยนั้นเนี่ย ถามว่า ทำยังไงให้รูปภาพของตัวเองแตกต่าง? แปลกจากรูปภาพของคนอื่น ก็ต้องบอกว่า เค้านิยมใช้สีกันแบบ organic ค่ะ คือใช้สีที่ผลิตขึ้นเอง ทุกคนก็จะพยายามสรรหาสิ่งต่างๆ มาผลิตสีของตัวเองเนอะ บางคนก็มีการไปเอาต้นไม้แปลกๆ มาบด บางคนก็ไปเอาพวกหินสีแปลกๆ มาบด เรียกได้ว่า ใครที่หาสีอะไรที่แปลก ที่ใหม่ได้นะคะ เอามาวาดภาพของตัวเองเนี่ย ก็มักจะมีชื่อเสียง ภาพนั้นก็มักจะแพงไปด้วยค่ะ เพราะว่าถือว่าเป็นคนที่ครอบครองสีนี้แค่คนเดียว คือให้คนอื่นวาด แกก็ไม่ได้สีนี้นะ อะไรแบบนั้น แบบที่สมัยปัจจุบัน เราน่าจะเห็นดราม่งดราม่ากันที่ มีจิตรกรบางคนเค้าผลิตสีบางสีขึ้นมา เพื่อใช้ของตัวเองคนเดียวนะคะ แบบนั้นเลยค่ะ ซึ่ง Alexandre Pau นะคะ ก็เช่นเดียวกันเลยค่ะ เค้ามีชื่อเสียงมากๆ นะคะ เพราะว่าเค้ามีสีน้ำตาลในโทนของตัวเองสีนึงค่ะ ที่คนอื่นเค้าไม่ใช้กันอ่ะนะ สีน้ำตาลสีนี้นะคะชื่อว่า mummy brown ค่ะ ใช่เลยค่ะ สีน้ำตาลสีนี้นะคะ เกิดจากการเอามัมมี่จากอียิปต์เนี่ยนะ มาแล้วก็บดค่ะ บดๆๆ แล้ว แล้วก็เอาผงมัมมี่เนี่ย มาผลิตเป็นสี แล้วก็ใช้วาดรูปค่ะ พอพี่แกได้หัวใจของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 มานะคะ พี่แกก็เลยตัดสินใจ บดเลยค่ะ ก็บดๆๆ นะคะ ตัดแบ่งออกมานะคะ แล้วก็ค่อยๆ บดทีละก้อนๆ ค่ะ ทีนี้ก็เอาไปวาดออกมาเป็นภาพวาดนะคะ เป็นภาพวาดทิวทัศน์ ภาพนี้เลย นี่แหละค่ะ ภาพที่ได้จากการบดหัวใจของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เนอะ ซึ่งบังเอิญโชคดีมากๆ ค่ะ วาดภาพนี้เสร็จแล้วเนี่ย หัวใจของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ยังใช้ไม่หมดค่ะ ก็ยังเหลืออยู่ประมาณก้อนนึง ขนาดเท่าประมาณวอลนัทค่ะ เค้าก็เลยเก็บก้อนนี้เอาไว้นะคะ ทีนี้หลังจากนั้นมันก็มีการส่งต่อค่ะ ซึ่งตามที่มีบันทึกไว้เนี่ยนะคะ ก็ไม่มีใครรู้ค่ะว่า จริงๆ แล้วไปอยู่ที่ไหน แต่ว่ามีอยู่ทั้งหมด 3 เรื่องราวหลักๆ ด้วยกันนะคะที่มีการเล่ากัน เรื่องราวแรกเนี่ยนะคะ ก็คือหลังจากที่ปฏิวัติฝรั่งเศสแล้วเนี่ย มันก็มีการฟื้นฟูระบอบกษัตริย์ขึ้นในฝรั่งเศสค่ะ ตอนนั้นพอมีการฟื้นฟูระบอบกษัตริย์ขึ้นเนี่ย เค้าเนี่ยนะคะ ก็เลยตัดสินใจถวายหัวใจของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เนี่ย คืนให้กับราชสำนักค่ะ ดังนั้นราชสำนักก็เลยเอาไปเก็บไว้นะคะ อันนี้คือทฤษฎีแรกเนอะ ส่วนทฤษฎีที่สองค่ะ บอกว่า เอาไปเก็บไว้ในสถานที่นึงในปารีสนะคะ ซึ่งวิวจะไม่กล้าออกเสียงให้ฟังเลย แต่ว่า มันคือสถานที่นี้... นั่นแหละค่ะ เชื่อยังว่าทำไมถึงไม่กล้าออกเสียงให้ฟัง? คือชื่อยากจริงๆ เนอะ และทฤษฎีที่สามค่ะ ซึ่งเป็นทฤษฎีที่มีชื่อเสียงที่สุด แล้วก็เกี่ยวพันกับเรื่องราวที่เรากำลังจะเล่าต่อไปนี้นี่แหละ ก็คือมันตกไปอยู่ที่บ้านหลังนึงนะคะ ของคนที่อยู่ในวงชั้นสูงค่ะ บ้านหลังนี้นะคะ เป็นบ้านของตระกูล Harcourt ค่ะ ซึ่งก็ตกทอดหัวใจของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เนี่ย ต่อมาเรื่อยๆๆๆ ในตระกูลของตัวเองนะคะ ทีนี้เค้าก็ไม่ได้ตกทอดมาเป็นก้อนวอลนัทเฉยๆ ค่ะ แต่ด้วยความที่เค้าคิดว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งที่มีค่ามากๆ นะ ดังนั้นบ้าน Harcourt นะคะ ก็เลยเอาใส่ล็อกเก็ตเงินเนี่ย ใส่ชิ้นหัวใจของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ค่ะ แล้วก็เก็บเอาไว้นะคะ หัวใจของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เนี่ยนะคะ ก็ตกทอดกันอยู่ในบ้าน Harcourt มาเรื่อยๆ ค่ะ จนกระทั่งถึงปี 1848 นะคะ ในตอนนั้นเนี่ย เจ้าของบ้านก็มีการจัดปาร์ตี้ขึ้นค่ะ ซึ่งในปาร์ตี้เนี่ย ก็มีกลุ่มชนชั้นสูงเนี่ยมารวมตัวกันเยอะมากเลยนะคะ ไม่ว่าจะเป็น Archbishop of York นะคะ ซึ่งก็เป็นคนในบ้าน Harcourt นี่แหละ แล้วก็น้องชายของเค้านะคะ ซึ่งน้องชายของเค้าเนี่ย ก็ถือเป็นคนในแวดวงวิทยาศาสตร์ช่วงนั้นแหละ เป็นคนก่อตั้งสมาคมอะไรวิทยาศาสตร์สักอย่างนะคะ แน่นอนว่า จัดงานโดยที่มีคนสมาคมวิทยาศาสตร์อยู่แบบนี้ คุณ William Buckland ของเราเนี่ยก็ต้องได้รับเชิญ ใช่ไหมคะ? เพราะว่าถือว่าเป็น big name มากๆ ของนักวิทยาศาสตร์ในยุคนั้นนะ Buckland ก็มาร่วมงานนี้ค่ะ ซึ่งในงานนี้นะคะ นึกภาพเวลาเราไปเที่ยวบ้านเพื่อน แล้วเพื่อนชอบเอาอะไรมาอวดเราอ่ะ แบบ อ่อ บ้านเราเนี่ยนะ มีสิ่งนี้ดี เป็นสมบัติประจำตระกูล เราขออวดให้ท่านเห็นเถอะ แน่นอนค่ะ บ้าน Harcourt ก็ทำแบบเดียวกันนะคะ ก็มีการเอาหัวใจของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เนี่ย ออกมาอวดกันค่ะว่า นี่ บ้านฉันมีสิ่งนี้เป็นมรดกตกทอด คือ หัวของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 นะทุกคน และแน่นอนนะคะว่า ในวงนั้นเต็มไปด้วยนักวิทยาศาสตร์ นักชีววิทยาอะไรต่างๆ ค่ะ ทุกคนก็เลยส่งต่อหัวใจของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 กันไปเรื่อยๆ นะคะ ประมาณว่า ไหน ขอดูหน่อยสิ มันเป็นของจริงหรือเปล่า? จากความรู้ทางชีววิทยาของฉัน คิดว่ามันจริง คิดว่ามันไม่จริง อะไรต่างๆ นะคะ จนกระทั่งหัวใจของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เนี่ยนะคะ ไปอยู่ในมือของคุณ William Buckland ค่ะ William Buckland นะคะ พอได้หัวใจของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 มาในมือ ปุ๊บ ก็เลยลุกขึ้นยืนเลยค่ะ ลุกขึ้นมาก็บอกว่า ฮึม ฮึม ทุกคน จงฟังข้าพเจ้า ชีวิตนี้เนี่ยนะ ฉันกินอะไรแปลกๆ มาเยอะแยะมากมายแล้วแหละ แต่อย่างนึงนะที่ฉันไม่เคยกินเลยก็คือ หัวใจของกษัตริย์ นั่นเอง ว่าแล้วนะคะ พี่แกก็เปิดล็อกเก็ตเงินค่ะ จกหัวใจของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ซึ่งขนาดแค่ลูกวอลนัท ยัดเข้าปากตัวเอง แล้วก็กลืนลงไปเลย ซะอย่างนั้น ก็เล่นเอาทุกคนในวง ก็แบบตะลึงกันไปหมดเลย ประมาณว่า อ้าว สมบัติประจำตระกูลฉัน? อ้าว แกกินหัวใจพระเจ้าหลุยส์ที่ 14? แกบ้าไปแล้วเหรอ? นี่หลักฐานทางประวัติศาสตร์เลยนะ หรือว่าอะไรต่างๆ ค่ะ แต่ว่า คนบางกลุ่มในนั้น ก็ไม่ได้ตกใจขนาดนั้น เพราะว่าก็น่าจะชินแล้วแหละ กับการที่คุณ Buckland นี่กินของประหลาดไปทั่วนะคะ และนี่แหละค่ะ ก็คือวีรกรรมที่โดดเด่นที่สุดในชีวิตของคุณ Buckland นะคะ การกินหัวใจของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ลงไป นั่นเอง อย่างไรก็ตามค่ะ คุณ Buckland เนี่ย ก็ใช้ชีวิตต่อมาเรื่อยๆ นะคะ เรียกได้ว่า ก็อายุยืนพอสมควรเลย ก็ไปทำประโยชน์ให้กับโลกใบนี้มากมาย แบบที่เล่าไปนี่แหละ ไปเป็นอธิการบดี ไปเป็นอาจารย์ ไปเป็นอะไรต่างๆ จนกระทั่งเค้าอายุได้ 72 ปีค่ะ เค้าถึงตายนะคะ ส่วนสาเหตุที่ตายเนี่ย ไม่ต้องห่วง เค้าไม่ได้ท้องเสียตาย หรืออาหารเป็นพิษตายนะคะ คือกินมาขนาดนี้ คงไม่ตายเพราะเรื่องกินแล้วแหละ แต่ว่าสิ่งที่ทำให้เค้าตายเนี่ย นักวิทยาศาสตร์สมัยปัจจุบัน คาดเดาว่า เค้าน่าจะตายจากวัณโรคที่มันขึ้นไปที่สมองของเค้าค่ะ คิดว่า เรื่องนี้มันจบความพี้คแล้วใช่ไหม? แต่บอกเลยว่า มันยังไม่จบค่ะ เพราะว่ายังเหลืออีกเรื่องนึงนะ ก็คือ แม้แต่ตอนที่เค้าตายไปแล้วนะคะ ป้ายหลุมศพของเค้าเนี่ย ว่ากันว่า มันก็โดนตัดมาจากหินที่เป็นฟอสซิลของไดโนเสาร์เหมือนกัน แต่ว่า เป็นฟอสซิลที่แบบโดนตัดมาทำป้ายหลุมศพก่อน ก่อนที่พวกนักธรณีวิทยาเนี่ย จะไปสำรวจแล้วเจอว่า มันเป็นฟอสซิลนะคะ ดังนั้นนี่ก็เป็น เกร็ดอย่างสุดท้ายของคุณ Buckland ที่น่าสนใจค่ะ เป็นไงบ้างทุกคน? ฟังเรื่องนี้ไป ตื่นเต้นกันไหมคะ? แปลกใจกันไหม? แล้วก็ช็อคกันไหมนะคะ? ถ้ารู้สึกว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่พี้คสมกับที่วิวสัญญาไว้ จำสัญญาเมื่อตอนต้นคลิปกันได้ใช่ไหมคะ? อย่าลืมกดแชร์คลิปนี้สักครั้งนึง ไปฝากให้เพื่อนๆ ได้มาช็อคกับพวกเรานะคะ อย่างไรก็ตามค่ะ ถ้าใครมีเรื่องราวสนุกๆ อะไร อยากให้วิวเล่าอีก ก็คอมเมนต์มาด้านล่างได้นะคะ หรือกดไลก์เป็นกำลังใจให้วิวก็ได้ค่ะ สำหรับวันนี้ลาไปก่อนละกันนะคะทุกคน คลิปยาวพอสมควรแล้วค่ะ บ๊าย บาย สวัสดีค่ะ เป็นไงคะทุกคน? เข้าใจความแบบอยากเล่าเรื่องนี้ตอนตีสามของวิวหรือยัง? ว่าแบบว่า มันสุดขนาดไหน? มันพี้คขนาดไหนนะคะ? สำหรับใครที่เห็นชื่อคลิปนี้ หรือว่าเห็นปกคลิปนี้ บอกเลยว่า ปกคลิปหรือชื่อคลิปที่วิวยังไม่ได้ทำตอนนี้ แต่ว่าทุกคนเห็นแล้วเนี่ย เป็นเรื่องที่วิวเครียดมาก แล้วไม่รู้จะทำยังไงดีเลยนะคะ เพราะว่ามันเต็มไปด้วยเรื่องราวที่แบบ ฉันจะเอาเรื่องไหนขึ้นปกดีทุกคน? มันพี้คในทุกเรื่องเลยนะคะ ดังนั้นก็ นั่นแหละค่ะ สิ่งที่ทุกคนเห็นก็คือ ความพยายามของข้าพเจ้านั่นเองนะจ๊ะ วันนี้ลาไปก่อนละกันค่ะ บ๊าย บาย สวัสดีค่ะ