เออร์เนสโต ซีโรลลิ: หากคุณต้องการช่วยผู้อื่น ก็จงหุบปากแล้วใช้หูฟังซะ!
-
0:01 - 0:05ทุกๆสิ่งที่ผมทำนั้น ทั้งในชีวิตส่วนตัวและหน้าที่การงาน
-
0:05 - 0:09ชีวิตทั้งชีวิตของผม เป็นผลพวงมาจากประสบการณ์
-
0:09 - 0:15ที่ผมได้เรียนรู้จากการทำงานในทวีปแอฟริกาในวัยหนุ่ม
-
0:15 - 0:18ตั้งแต่เมื่อปี ค.ศ. 1971 ถึง 1977 (พ.ศ. 2514 ถึง 2520)
-
0:18 - 0:22ซึ่งตอนนี้ผมอาจดูหนุ่ม แต่ที่จริงผมอายุมากแล้วนะ
(เสียงหัวเราะ) -
0:22 - 0:27ผมเคยทำงานในประเทศแซมเบีย, เคนยา, ไอวอรีโคสต์, แอลจีเรีย และโซมาเลีย
-
0:27 - 0:31ในโครงการความร่วมมือด้านเทคโนโลยีกับประเทศในแอฟริกา
-
0:31 - 0:34โดยตัวผมนั้นสังกัดอยู่กับเอ็นจีโอจากประเทศอิตาลี
-
0:34 - 0:40และโครงการทุกๆโครงการที่เราได้จัดตั้งขึ้นนั้น
-
0:40 - 0:44ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง
-
0:44 - 0:48และนั่นทำให้ผมรู้สึกแย่มาก
-
0:48 - 0:52ความคิดของผมซึ่งอายุ 21 ในขณะนั้น
ผมคิดว่า คนอิตาเลี่ยนเป็นคนดี -
0:52 - 0:56และพวกเรากำลังทำสิ่งดีๆให้กับทวีปแอฟริกา
-
0:56 - 1:03แต่ในความเป็นจริง ทุกอย่างที่เราเข้าไปยุ่งนั้นกลับแย่ลงๆ
-
1:03 - 1:08โครงการแรกของเรา ซึ่งเป็นโครงการที่ผลักดันให้ผมเขียนหนังสือเล่มแรกที่มีชื่อว่า
-
1:08 - 1:11"Ripples from the Zambezi"
(ระลอกคลื่นจากแม่น้ำแซมบีซี) นั้น -
1:11 - 1:13เป็นโครงการที่ชาวอิตาเลี่ยนตั้งขึ้นเพื่อที่จะ
-
1:13 - 1:19สอนการปลูกพืชผักอาหารให้กับชาวแซมเบียน
-
1:19 - 1:23เรานำเมล็ดพืชจากอิตาลี เดินทางไปยังหุบเขาแห่งหนึ่ง
-
1:23 - 1:27ที่ตั้งอยู่แนวแม่น้ำแซมเบซี
-
1:27 - 1:30ทางตอนใต้ของแซมเบีย
-
1:30 - 1:34แล้วเราก็ลงมือสอนชนท้องถิ่นให้ปลูกมะเขือเทศจากอิตาลี
-
1:34 - 1:37ปลูกแตงกวาจากอิตาลี และ... (พืชผักอื่นๆจากอิตาลี)
-
1:37 - 1:39และแน่นอนว่าชนท้องถิ่นไม่สนใจในโครงการของเราเลย
-
1:39 - 1:42ดังนั้นเราจึงต้องให้เงินเพื่อจ้างให้พวกเขามาปลูกพืช
-
1:42 - 1:46ถ้าเราโชคดี พวกเขาก็จะโผล่หน้ามาบ้างเป็นครั้งคราว
(เสียงหัวเราะ) -
1:46 - 1:49ที่นั่นสร้างความประหลาดใจให้กับพวกเราอย่างมาก เพราะคนท้องถิ่น
-
1:49 - 1:52ในหุบเขาที่แสนจะอุดมสมบูรณ์อย่างนี้ กลับไม่ทำการเกษตรเลย
-
1:52 - 1:55แต่แทนที่จะเอ่ยปากถามพวกเขาถึงเหตุผลที่ไม่ปลูกพืชผักอะไรเลย
-
1:55 - 1:59พวกเรากลับพูดว่า "ขอบคุณพระเจ้าที่ส่งพวกเรามาที่แห่งนี้"
(เสียงหัวเราะ) -
1:59 - 2:04"ได้ทันเวลาที่จะช่วยเหลือชาวแซมเบียนจากความอดอยากนี้"
-
2:04 - 2:07และแน่นอนว่าการเกษตรในแอฟริกานั้นให้ผลที่น่าพอใจมาก
-
2:07 - 2:10เราปลูกได้มะเขือเทศชั้นยอดจำนวนมาก
ซึ่งในอิตาลีนั้น มะเขือเทศจะมีขนาด -
2:10 - 2:13ขนาดประมาณนี้ แต่มะเขือที่เราปลูกในแซมเบียนั้น
มีขนาดเท่านี้เลยทีเดียว -
2:13 - 2:16เราดีใจกับผลที่ได้มาก และเราก็บอกชาวแซมเบียนเหล่านั้น
-
2:16 - 2:19ว่า "ดูสิ การเกษตรมันไม่ได้ยากเย็นตรงไหนเลย"
-
2:19 - 2:22จนกระทั่งถึงวันที่มะเขือเทศเหล่านั้นเติบโตจนสุกงอมได้ที่
-
2:22 - 2:25เพียงชั่วข้ามคืน ฝูงฮิปโปกว่า 200 ตัวก็ได้บุกขึ้นมาจากแม่น้ำ
-
2:25 - 2:29แล้วจัดการกินทุกอย่างที่เราปลูกจนราบ
(เสียงหัวเราะ) -
2:29 - 2:34เรากรีดร้องว่า "พระเจ้า! นั่นมันฮิปโปนี่!"
-
2:34 - 2:39แล้วชาวแซมเบียนเหล่านั้นก็ตอบว่า
"ใช่ และนั่นคือเหตุผลที่พวกเราไม่ทำการเกษตรที่นี่"
(เสียงหัวเราะ) -
2:39 - 2:45"แล้วทำไมพวกคุณไม่บอกเรา?"
"ก็พวกคุณไม่เคยถามนี่" -
2:45 - 2:51แล้วผมก็คิดว่ามีแต่พวกเราชาวอิตาเลียน
ที่ทำโครงการผิดพลาดอย่างนี้ในแอฟริกา -
2:51 - 2:53จนกระทั่งผมได้ไปเห็นโครงการของชาวอเมริกัน
-
2:53 - 2:56โครงการของชาวอังกฤษ ของชาวฝรั่งเศส
-
2:56 - 2:59และหลังจากได้เห็นในสิ่งที่พวกเขาทำแล้ว
-
2:59 - 3:02ผมก็เกิดความภาคภูมิใจขึ้นมาในโครงการของเราที่แซมเบีย
-
3:02 - 3:07เพราะอย่างน้อยเราก็ได้เลี้ยงฝูงฮิปโปฝูงนั้น
-
3:07 - 3:11ผมอยากให้คุณได้ไปเห็นกองขยะ...
(เสียงปรบมือ) -
3:11 - 3:14ผมอยากให้คุณได้ไปเห็นกองขยะอันไร้ค่า ที่พวกเรานำไปกอง
-
3:14 - 3:16ทิ้งไว้ให้กับชาวแอฟริกันที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่เหล่านั้น
-
3:16 - 3:17ถ้าคุณต้องการอ่านหนังสือเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้
-
3:17 - 3:22ลองอ่าน "Dead Aid" (การช่วยเหลือที่ไร้ค่า)
เขียนโดยนักเศรษฐศาสตร์หญิง -
3:22 - 3:25ชาวแซมเบียนที่ชื่อ แดมบีซา โมโย (Dambisa Moyo)
-
3:25 - 3:27หนังสือเล่มนี้ถูกตีพิมพ์เมื่อปี 2009 (พ.ศ. 2552)
-
3:27 - 3:32พวกเราประเทศตะวันตก ได้บริจาคเงินให้กับทวีปแอฟริกา
-
3:32 - 3:37ในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา เป็นจำนวนถึง 2 ล้านล้านเหรียญ
-
3:37 - 3:41แต่ผมจะไม่บอกคุณว่าเงินจำนวนนั้น
ได้สร้างความเสียหายขนาดไหนแก่แอฟริกา -
3:41 - 3:43ผมขอให้คุณไปหาหนังสือเล่มนี้มาอ่านเองก็แล้วกัน
-
3:43 - 3:51ไปอ่านสิ่งที่ผู้หญิงชาวแอฟริกันคนหนึ่งเขียน
เกี่ยวกับความเสียหายที่พวกเราได้ก่อไว้กับพวกเขา -
3:51 - 3:57พวกเราชาวตะวันตกนั้น เป็นพวกจักรวรรดินิยม
เป็นพวกล่าอาณานิคม เป็นพวกเผยแพร่ศาสนา -
3:57 - 4:01และเรารู้จักวิธีสร้างสัมพันธ์กับผู้อื่นเพียงแค่สองวิธีเท่านั้น
-
4:01 - 4:05นั่นคือเราใช้ระบบอุปถัมป์ หรือไม่เราก็ใช้ระบบพ่อปกครองลูก
-
4:05 - 4:08ซึ่งชื่อของระบบทั้งสองนี้ มีรากศัพท์มาจากภาษาละติน "pater"
-
4:08 - 4:10คำนี้มีความหมายแปลว่า "พ่อ"
-
4:10 - 4:14แต่ว่าทั้งสองระบบนี้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
-
4:14 - 4:18ระบบพ่อปกครองลูก - ฉันปฏิบัติกับผู้คนต่างวัฒนธรรม
-
4:18 - 4:23เสมือนกับว่าพวกเขาเป็นลูกของฉัน "พ่อรักลูกมาก"
-
4:23 - 4:28ส่วนระบบอุปถัมป์นั้น - ฉันปฏิบัติกับทุกๆคนที่มีวัฒนธรรมต่างไปจากฉัน
-
4:28 - 4:30เสมือนกับว่าพวกเขาเหล่านั้นเป็นลูกน้อง เป็นทาสรับใช้
-
4:30 - 4:36และนั่นคือเหตุผลที่คนขาวในแอฟริกาถูกเรียกว่า
"bwana" ซึ่งหมายความว่า "เจ้านาย" -
4:36 - 4:40ผมรู้สึกเหมือนถูกตบหน้าหลังจากที่ได้อ่านหนังสือที่ชื่อ
-
4:40 - 4:45"Small is Beautiful" (เล็กนั้นงาม) เขียนโดย
อี เอฟ ชูมาเกอร์ (E.F. Schumacher) ซึ่งได้กล่าวไว้ว่า -
4:45 - 4:48สิ่งสำคัญที่สุดในการพัฒนาทางเศรษฐกิจใดๆก็ตาม
-
4:48 - 4:52หากผู้คนไม่ต้องการความช่วยเหลือ ก็จงอย่าไปยุ่งกับเขาเลย
-
4:52 - 4:55ซึ่งนี่ควรจะเป็นหลักสำคัญข้อแรกในการให้ความช่วยเหลือ กับใครก็ตาม
-
4:55 - 4:59หลักการข้อแรกของการช่วยเหลือ คือ การเคารพอีกฝ่าย
-
4:59 - 5:01เมื่อเช้านี้ สุภาพบุรุษผู้เปิดการสัมมนา
-
5:01 - 5:05ได้ตั้งคำถามขึ้นมาว่า
-
5:05 - 5:10"พวกคุณนึกภาพของเมือง หรือประเทศ
-
5:10 - 5:13ที่ไม่ถูกกดดันทางเศรษฐกิจและการเมือง
จากมหาอำนาจออกไหม?" -
5:13 - 5:18ผมได้ตัดสินใจตั้งแต่ตอนอายุ 27 แล้วว่า
-
5:18 - 5:22ผมจะตอบสนองต่อผู้คนก็ต่อเมื่อพวกเขาร้องขอ
-
5:22 - 5:26และผมก็ได้คิดค้นระบบที่เรียกว่า "การส่งเสริมพัฒนาการของผู้ประกอบการ/บริษัท" (Enterprise Facilitation)
-
5:26 - 5:30ซึ่งคุณจะไม่เป็นผู้ริเริ่มความคิดใดๆ
-
5:30 - 5:34คุณจะไม่พยายามกระตุ้นให้พวกเขาคำตามคุณ
แต่ในทางกลับกันคุณทำตัวเป็นผู้ช่วย -
5:34 - 5:37ที่ตอบสนองต่อความต้องการของท้องถิ่นนั้นๆ
เป็นผู้ช่วยให้กับชนท้องถิ่น -
5:37 - 5:42ที่มีความฝันว่าพวกเขาจะสามารถพัฒนาเป็นคนที่ดียิ่งขึ้น
-
5:42 - 5:46แล้วสิ่งที่คุณทำก็คือ หุบปาก
-
5:46 - 5:50คุณไม่เดินเข้าไปในชุมชนด้วยความคิดบรรเจิดต่างๆนานา
-
5:50 - 5:54แต่ให้คุณเข้าไปนั่ง ไปใช้ชีวิตร่วมกับคนท้องถิ่นเหล่านั้น
-
5:54 - 5:57เราไม่นั่งทำงานและวางแผนภายในห้องในออฟฟิศ
-
5:57 - 6:01เรานัดประชุมกันตามคาเฟ่ เราพบปะกันตามผับ
-
6:01 - 6:04เราไม่มีโครงสร้างหรือรูปแบบใดๆทั้งสิ้น
-
6:04 - 6:07และสิ่งที่เราทำ?
เราเปลี่ยนสถานะไปเป็นเพื่อนกับผู้คนเหล่านั้น -
6:07 - 6:12แล้วเราก็เรียนรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่เพื่อนของเราต้องการ
-
6:12 - 6:14สิ่งที่สำคัญที่สุดคือไฟ คือความปรารถนา
-
6:14 - 6:16คุณสามารถเสนอความคิด ไอเดียของคุณให้ใครก็ได้
-
6:16 - 6:18แต่ถ้าหากคนผู้นั้นไม่ได้คิดจะสานต่อแนวคิดของคุณล่ะ?
-
6:18 - 6:21คุณจะทำอย่างไร?
-
6:21 - 6:26ความปรารถนา ของผู้หญิงคนหนึ่ง
ที่ต้องการจะเติบโตก้าวหน้านั้น -
6:26 - 6:28เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดต่างหาก
-
6:28 - 6:32ความปรารถนา ของผู้ชายอีกคนหนึ่ง
ต่อความสำเร็จของตัวเขาเอง -
6:32 - 6:34ต่างหากที่สำคัญที่สุด
-
6:34 - 6:37แล้วเราก็ช่วยนำพาคนเหล่านั้นไปสู่ภูมิความรู้
-
6:37 - 6:42เพราะว่าไม่มีใครในโลกหรอก
ที่จะสามารถประสบความเร็จได้ด้วยตัวคนเดียว -
6:42 - 6:45คนคนหนึ่งที่มีแนวคิดดีๆ
อาจจะขาดความรู้สำคัญที่จะใช้สานต่อแนวคิดนั้นๆก็ได้ -
6:45 - 6:47แต่ความรู้เหล่านั้น นั้นมีอยู่และรอการถูกนำไปใช้
-
6:47 - 6:51ดังนั้นเมื่อหลายปีก่อน ผมได้เกิดความคิดที่ว่า
-
6:51 - 6:55ทำไมเราไม่ลองดูสักครั้ง? ว่าเวลาที่เราจะเดินเข้าไปสู่ชุมชน
-
6:55 - 7:00แทนที่จะไปบอกให้พวกเขาทำสิ่งต่างๆนั้น ขอให้ลองดูสักครั้ง
-
7:00 - 7:05ที่จะเข้าไปฟังสิ่งที่พวกเขาต้องการบอก
แต่ไม่ใช่ในรูปแบบของการประชุมระดับชุมชนหรือหมู่บ้าน -
7:05 - 7:10ขอให้ผมได้บอกความลับให้คุณฟัง
-
7:10 - 7:14การะประชุมระดับชุมชนนั้นมีปัญหาใหญ่อยู่ข้อหนึ่ง
-
7:14 - 7:18เหล่าผู้ประกอบการนั้นไม่เคยโผล่หน้ามาหรอก
-
7:18 - 7:21และต่อให้มา พวกเขาก็จะไม่บอกพวกคุณในที่สาธารณะหรอก
-
7:21 - 7:25ว่าพวกเขาวางแผนที่จะลงทุนกันอย่างไร
-
7:25 - 7:28หรือพวกเขาเล็งเห็นโอกาสอะไรบ้างในชุมชนนั้นๆ
-
7:28 - 7:33ดังนั้นการประชุมวางแผนรูปแบบนี้มีช่องโหว่
-
7:33 - 7:38มีคนฉลาดในชุมชนของคุณจำนวนมาก แต่คุณไม่เคยรู้
-
7:38 - 7:45เพราะพวกเขาไม่เข้าร่วมการประชุมใดๆที่พวกคุณจัดขึ้นเลย
-
7:45 - 7:49สิ่งที่เราทำ เราทำงานร่วมกับพวกเขาแบบหนึ่งต่อหนึ่ง
-
7:49 - 7:51และในการที่จะร่วมงานกันแบบตัวต่อตัวได้นั้น
คุณจะต้องสร้าง -
7:51 - 7:54โครงสร้างทางสังคมแบบใหม่ขึ้นมา
-
7:54 - 7:56คุณจะต้องสร้างอาชีพใหม่ขึ้นมา
-
7:56 - 8:02ซึ่งอาชีพใหม่นี้จะทำหน้าที่เหมือนกับแพทย์ประจำองค์กร
-
8:02 - 8:05เป็นแพทย์ประจำภาคธุรกิจ ซึ่งนั่งคุยกับคุณ
-
8:05 - 8:09ไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน ในครัว หรือแม้แต่ในคาเฟ่
-
8:09 - 8:13และช่วยเหลือคุณในการหาทรัพยากรต่างๆ
ที่จะช่วยเปลี่ยนความปรารถนาของคุณ -
8:13 - 8:15ให้เป็นหนทางในการหาเลี้ยงชีพ
-
8:15 - 8:20ผมได้เริ่มทดลองระบบนี้ในเมืองเอสเปรานซ์
ทางตะวันตกของทวีปออสเตรเลีย -
8:20 - 8:23ขณะนั้นผมซึ่งศึกษาอยู่ในระดับปริญญาเอก
-
8:23 - 8:27พยายามที่จะหลีกหนีจากความไร้สาระของระบบอุปถัมป์
-
8:27 - 8:31ซึ่งเราบุกเข้าไปในชุมชนของคุณ และสั่งคุณว่าจะต้องทำอะไร
-
8:31 - 8:35ดังนั้นสิ่งที่ผมทำที่เอสเปรานซ์ในช่วงปีแรก
-
8:35 - 8:40ก็คือการลงไปเดินตามถนน
และเพียงแค่สามวันหลังจากที่ผมเริ่มทำเช่นนั้น -
8:40 - 8:43ผมก็ได้ลูกค้า (ผู้รับความช่วยเหลือ) รายแรก
ที่ผมได้ลงมือช่วยเหลือ -
8:43 - 8:47เขาเป็นชาวเมารี ที่มีอาชีพผลิตปลารมควันจากในโรงจอดรถ
-
8:47 - 8:51ผมได้ช่วยเขาหาช่องทางในการส่งปลารมควันของเขา
ให้กับร้านอาหารในเมืองเพิร์ธ -
8:51 - 8:54ช่วยให้เขาวางระบบการทำงานให้ดีขึ้น
หลังจากนั้นมีชาวประมงกลุ่มหนึ่ง มาหาผมแล้วกล่าวว่า -
8:54 - 8:57"คุณคือคนที่ช่วยชายเมารีคนนั้นใช่ไหม?
ถ้าอย่างนั้น คุณมาช่วยพวกเราหน่อยได้ไหม?" -
8:57 - 9:00แล้วผมก็ลงไปช่วยชาวประมงห้าคนนี้ ให้ทำงานร่วมกัน
-
9:00 - 9:04และนำปลาทูน่าที่พวกเขาจับได้ไปขาย
ซึ่งเราไม่ได้ขายให้กับโรงงานทูน่ากระป๋องในอัลแบนี -
9:04 - 9:08ที่ให้ราคาเพียง 60 เซนต์ต่อกิโล แต่เราพบช่องทาง
-
9:08 - 9:13ที่จะส่งออกทูน่าเหล่านั้นไปยังญี่ปุ่น ซึ่งให้ราคา
ถึง 15 เหรียญต่อกิโลเลยทีเดียว -
9:13 - 9:15หลังจากนั้นก็มีชาวนามาหาผมแล้วถามแบบเดียวกันอีก
-
9:15 - 9:17"คุณช่วยพวกเขาสำเร็จ คุณมาช่วยเราหน่อยได้ไหม?"
-
9:17 - 9:20ภายในปีเดียว ผมมีโครงการถึง 27 โครงการด้วยกัน
-
9:20 - 9:22แล้วรัฐบาลก็ส่งคนมาหาผม เพื่อที่จะถามว่า
-
9:22 - 9:24"คุณทำมันได้อย่างไร?
-
9:24 - 9:28แล้วผมก็ตอบว่า "ผมทำสิ่งที่ยาก ยาก ยากมากๆ"
-
9:28 - 9:33"ผมหุบปาก แล้วก็ฟังพวกเขาพูด"
(เสียงหัวเราะ) -
9:33 - 9:42ซึ่ง... (เสียงปรบมือ)
-
9:42 - 9:46ซึ่งเจ้าหน้าที่รัฐก็ได้บอกผมว่า "คุณทำมันอีกสิ"
(เสียงหัวเราะ) -
9:46 - 9:49เราได้ใช้วิธีดังกล่าวในกว่า 300 ชุมชนทั่วโลก
-
9:49 - 9:53เราได้ช่วยสร้างธุรกิจกว่า 40,000 เจ้า
-
9:53 - 9:55ขณะนี้มีผู้ประกอบการรุ่นใหม่
-
9:55 - 9:57ที่ไม่มีโอกาสเติบโต เพราะถูกมองข้ามไป
-
9:57 - 10:03Peter Drucker, ที่ปรึกษาเรื่องการจัดการที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
ท่านหนึ่งในประวัตืศาสตร์ -
10:03 - 10:08ได้เสียชีวิตเมื่อไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ไปด้วยวัย 96 ปี
-
10:08 - 10:10Peter Drucker เคยเป็นศาสตราจารย์วิชาปรัชญา
-
10:10 - 10:12ก่อนที่จะมีบทบาทสำคัญในด้านธุรกิจ
-
10:12 - 10:15และนี่คือสิ่งที่ท่านเคยกล่าวไว้
-
10:15 - 10:20"การวางแผนนั้น ที่แท้จริงแล้วเข้ากันไม่ได้เลย
-
10:20 - 10:24กับสังคมและเศรษฐกิจแบบผู้ประกอบการ"
-
10:24 - 10:31การวางแผน เปรียบเสมือนจูบแห่งความตาย สำหรับผู้ประกอบการ
-
10:31 - 10:33และตอนนี้พวกคุณก็กำลังบูรณะเมืองไครสต์เชิร์ช
(จากแผ่นดินไหว ในปี พ.ศ. 2554) -
10:33 - 10:37โดยที่คุณไม่ได้เรียนรู้เลยว่าเหล่าผู้คนที่ฉลาด
และมีความสามารถในไครสต์เชิร์ชนั้น -
10:37 - 10:42ต้องการที่จะลงทุนและลงแรงอย่างไรบ้าง
ในการฟื้นฟูเมืองของพวกเขาเลย -
10:42 - 10:45คุณจะต้องเรียนรู้วิธีที่จะทำให้คนเหล่านี้
-
10:45 - 10:48ออกมาแสดงความคิดเห็นและพูดคุยกับคุณ
-
10:48 - 10:53คุณจะต้องให้ความมั่นใจในเรื่องความเป็นส่วนตัว
และการรักษาความลับในข้อมูลหลายๆประเภท -
10:53 - 10:56คุณต้องแสดงให้พวกเขาเห็นถึงความพยายาม
ในการช่วยเหลือของพวกคุณ -
10:56 - 11:00แล้วพวกเขาจะออกมาหาคุณ
และจะออกมาเป็นกองทัพเลยด้วย -
11:00 - 11:03ในชุมชนที่มีประชากร 10,000 คน เรามีลูกค้า 200 ราย
-
11:03 - 11:06คุณจินตนาการออกไหมว่าในชุมชนขนาด 400,000 คน
-
11:06 - 11:08คุณจะพบกับผู้ประกอบการ
ที่มีแนวคิดและมีไฟจำนวนมากขนาดไหน? -
11:08 - 11:12การนำเสนอแบบไหนที่พวกคุณปรบมือชื่นชมดังสนั่นที่สุด
ในการสัมมนาวันนี้ -
11:12 - 11:18คนธรรมดาๆ ที่มีไฟ มีความปรารถนาที่จะพัฒนาขึ้นไป
คนเหล่านั้นแหล่ะคือคนที่คุณชื่นชม -
11:18 - 11:23สิ่งที่ผมอยากจะพูดก็คือ
-
11:23 - 11:25การมีความเป็นผู้ประกอบการนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็น
-
11:25 - 11:28เรามาถึงช่วงท้ายของการปฏิวัติอุตสาหกรรมเก่า
-
11:28 - 11:32การใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล การผลิตต่างๆนานา
-
11:32 - 11:36แล้วเราก็เพิ่งจะรู้ตัวว่า
ระบบที่เราใช้กันมานานนั้นไม่มีความยั่งยืน -
11:36 - 11:39เครื่องยนต์สันดาปภายใน ที่เราใช้กันอยู่นั้นไม่ยั่งยืน
-
11:39 - 11:42การใช้สารจำพวกฟรีออน (Freon)
ของเรานั้นก่อให้เกิดความไม่ยั่งยืน -
11:42 - 11:45สิ่งที่เราต้องให้ความสนใจในขณะนี้ คือ
วิธีการที่เราจะทำอย่างไรเพื่อให้ -
11:45 - 11:51การใช้ชีวิตในแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหาร เวชภัณฑ์
การศึกษา การขนส่ง การสื่อสาร ฯลฯ -
11:51 - 11:55สำหรับผู้คนจำนวนเจ็ดล้านล้านคนบนโลกนั้น
เป็นไปอย่างยั่งยืน -
11:55 - 11:59ขณะนี้เราไม่มีเทคโนโลยีที่จะทำเช่นนั้นได้
-
11:59 - 12:02ใครที่จะเป็นผู้คิดค้นเทคโนโลยีใหม่ๆ
-
12:02 - 12:09สำหรับการปฏิวัติเขียว? มหาวิทยาลัยหรือ? ลืมมันไปได้เลย!
-
12:09 - 12:11รัฐบาลหรือ? อย่าคาดหวังเลย!
-
12:11 - 12:17ผู้คิดค้นใหม่ๆก็มาจากผู้ประกอบการทั้งหลายนั่นเอง
และพวกเขาก็กำลังดำเนินการทางความคิดใหม่ๆกันแล้ว -
12:17 - 12:20ผมได้อ่านเรื่องราวดีๆเรื่องหนึ่งจากนิตยาสาร Futurist
-
12:20 - 12:21เมื่อหลายปีมาแล้ว
-
12:21 - 12:23มีผู้ชำนาญการกลุ่มหนึ่ง ได้รับคำเชิญ
-
12:23 - 12:28ให้ไปร่วมสนทนาเกี่ยวกับอนาคตของนครนิวยอร์ก
ในปี ค.ศ. 1860 (พ.ศ. 2403) -
12:28 - 12:31และพวกเขาได้มารวมตัวกัน
-
12:31 - 12:34แล้วก็เริ่มคาดการณ์ถึงอนาคตที่จะเกิดขึ้น
-
12:34 - 12:35กับนิวยอร์กในอีก 100 ปีข้างหน้า
-
12:35 - 12:37บทสรุปที่ได้นั้นเป็นเอกฉันท์
-
12:37 - 12:41นครนิวยอร์กนั้นจะไม่มีอยู่อีกแล้วในอีก 100 ปีข้างหน้า
-
12:41 - 12:43ทำไมน่ะหรือ? พวกเขาดูข้อมูลกราฟประชากรแล้วกล่าวว่า
-
12:43 - 12:46ถ้าประชากรยังคงเพิ่มขึ้นด้วยอัตราเช่นนี้แล้วล่ะก็
-
12:46 - 12:50ในการที่ประชาชนจะคมนาคม เดินทางไปมานั้น
-
12:50 - 12:53พวกเขาจะต้องใช้ม้าถึง 6 ล้านตัว
-
12:53 - 12:56และมันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะจัดการกับ
-
12:56 - 12:59ปริมาณมูลสัตว์ที่เกิดจากม้าจำนวน 6 ล้านตัวนั่นเอง
-
12:59 - 13:04พวกเขาคงต้องจมกองอุจจาระม้าตายอย่างแน่นอน
(เสียงหัวเราะ) -
13:04 - 13:09ดังนั้น ในปี 1860 นั่นเอง พวกเขาก็ได้มองเห็นข้อเสีย
ของเทคโนโลยีที่มีอยู่ -
13:09 - 13:14ที่จะส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของชาวนิวยอร์กในระยะยาว
-
13:14 - 13:19แล้วเกิดอะไรขึ้นต่อ? ภายใน 40 ปีหลังจากนั้น
ซึ่งก็คือปี ค.ศ. 1900 (พ.ศ. 2443) -
13:19 - 13:24ในสหรัฐอเมริกา มีบริษัทผลิตรถยนต์
-
13:24 - 13:30รวมกันถึง 1001 รายด้วยกัน
-
13:30 - 13:34แนวความคิดที่จะมองหา หรือคิดค้นเทคโนโลยีใหม่ๆนั้น
-
13:34 - 13:36ได้ถูกผู้ประกอบการนำไปสานต่ออย่างจริงจัง
-
13:36 - 13:41รวมไปถึงเจ้าของโรงงานเล็กๆในเมืองเดียร์บอน รัฐมิชิแกน
-
13:41 - 13:47เฮนรี่ ฟอร์ด
-
13:47 - 13:51อย่างไรก็ตาม ผมมีเคล็ดลับในการร่วมงาน
กับผู้ประกอบการจะมาบอก -
13:51 - 13:55เริ่มแรกนั้น คุณจะต้องให้ความมั่นใจเรื่อง
การเก็บความลับกับพวกเขา -
13:55 - 13:57ไม่เช่นนั้น พวกเขาก็จะไม่แสดงตัวออกมาพูดคุยกับคุณ
-
13:57 - 14:01จากนั้นคุณก็ต้องแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจอันแรงกล้า
-
14:01 - 14:05และความปรารถนาที่จะช่วยเหลืออย่างจริงใจของคุณ
-
14:05 - 14:08หลังจากนั้นคุณจะต้องบอกพวกเขาเกี่ยวกับความจริง
ของการเป็นผู้ประกอบการ -
14:08 - 14:11ไม่ว่าจะเป็นบริษัทเล็ก หรือบริษัทยักษ์ใหญ่ก็ตาม
-
14:11 - 14:15จะต้องมีความสามารถในการปฏิบัติ 3 สิ่งนี้อย่างไม่มีที่ติ
-
14:15 - 14:19หนึ่ง ผลิตภัณฑ์หรือสินค้าของคุณจะต้องมีคุณภาพดีเยี่ยม
-
14:19 - 14:23สอง คุณจะต้องมีการตลาดที่มีประสิทธิภาพ
-
14:23 - 14:26และสาม คุณจะต้องมีการจัดการด้านการเงินที่รัดกุมและ
ได้รับการปฏิบัติอย่างเคร่งครัด -
14:26 - 14:29แล้วคุณเชื่อไหม?
-
14:29 - 14:31เราไม่สามารถหามนุษย์คนใดคนหนึ่งในโลกนี้
-
14:31 - 14:37ที่มีความสามารถในการผลิต ในการตลาด
อีกทั้งยังสามารถดูแลการเงินได้หมดภายในคนคนเดียว -
14:37 - 14:40คนคนนั้นไม่มีอยู่จริง
-
14:40 - 14:42หรือต่อให้มี เขาคนนั้นก็คงยังไม่เกิด
-
14:42 - 14:45เราได้ทำการวิจัย และเราก็ได้สำรวจ
-
14:45 - 14:49องค์กรชั้นนำของโลกเป็นจำนวน 100 แห่ง
-
14:49 - 14:53ไม่ว่าจะเป็นคาร์เนกี, เวสติงเฮาส์, เอดิสัน, ฟอร์ด
-
14:53 - 14:56หรือแม้แต่องค์กรชั้นนำยุคใหม่อย่างกูเกิ้ล หรือยาฮู
-
14:56 - 14:59มีอยู่ปัจจัยเดียวที่องค์กรที่ประสบความสำเร็จทั้งหลายเหล่านี้
-
14:59 - 15:02ทุกองค์กรมีเหมือนกัน ร่วมกันเพียงแค่ปัจจัยเดียว
-
15:02 - 15:07นั่นก็คือ พวกมันไม่ได้ถูกสร้างมาด้วยคนคนเดียว
-
15:07 - 15:11เราได้สอนเรื่องความเป็นผู้ประกอบการให้กับเด็กอายุ 16 ปี
(เทียบเท่ามัธยม 4) -
15:11 - 15:15ในนอร์ทธัมเบอร์แลนด์ และเราเริ่มต้นวิชาดังกล่าว
-
15:15 - 15:19โดยการให้พวกเขาอ่านสองหน้าแรกของอัตชีวประวัติของ
ริชาร์ด แบรนสัน (Richard Branson ผู้ก่อตั้งบริษัทเวอร์จิ้น) -
15:19 - 15:23และมอบหมายให้เด็กเหล่านั้นขีดเส้นใต้
-
15:23 - 15:27บนสองหน้าแรกของอัตชีวประวัติที่อ่านไปดูว่า
-
15:27 - 15:30ริชาร์ดใช้คำว่า "ฉัน" เป็นจำนวนกี่หน
-
15:30 - 15:32และมีจำนวนกี่หนที่เขาใช้คำว่า "เรา"
-
15:32 - 15:37ผลคือ ไม่มีการใช้คำว่า "ฉัน" เลยแม่แต่หนเดียว
และเขาใช้คำว่า "เรา" ถึง 32 หนด้วยกัน -
15:37 - 15:40เพราะเขาไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวตอนที่ริเริ่มก่อตั้งบริษัทขึ้นมา
-
15:40 - 15:45ไม่มีใครในโลกที่ก่อตั้งบริษัท
หรือองค์กรขึ้นมาได้ด้วยตัวคนเดียว -
15:45 - 15:49เราสามารถที่จะสร้างชุมชน
-
15:49 - 15:52ที่จะมีผู้ช่วยเหลือประสานงานที่มีประสบการณ์
มาจากภาคธุรกิจ -
15:52 - 15:59ซึ่งคุณสามารถหาพวกเขาได้ตามคาเฟ่ ตามบาร์
และพวกเขาจะเป็นเพื่อนใหม่ของคุณ -
15:59 - 16:03ผู้ซึ่งจะมาช่วยเหลือคุณ อย่างที่พวกเขาได้ช่วยเหลือ
-
16:03 - 16:06สุภาพบุรุษท่านนี้ที่ได้มาเล่าถึงประสบการณ์ของเขา
-
16:06 - 16:09ผู้ซึ่งจะถามคุณว่า "คุณต้องการให้ช่วยอะไร?"
-
16:09 - 16:11คุณทำอะไรได้บ้างล่ะ? คุณทำอย่างนี้ได้ไหม?
-
16:11 - 16:13คุณมีประสบการณ์ขายไหม? คุณดูแลการเงินของฉันได้ไหม?
-
16:13 - 16:17"โอ้ เราไม่มีประสบการณ์ในด้านนี้"
"คุณต้องการให้เราหาคนที่จะมาช่วยคุณได้ไหมล่ะ?" -
16:17 - 16:19เรากระตุ้นให้ผู้คนในชุมชนเคลื่อนไหวด้วยความตั้งใจ
ของพวกเขาเอง -
16:19 - 16:23เรามีกลุ่มอาสาสมัครที่จะคอยสนับสนุน
เหล่าผู้ส่งเสริมพัฒนาการของผู้ประกอบการ/บริษัท เหล่านี้ -
16:23 - 16:26ในการช่วยคุณเฟ้นหาทรัพยากรและบุคคลากรที่จำเป็น
-
16:26 - 16:29และเราก็ได้ค้นพบความมหัศจรรย์
-
16:29 - 16:31ของปัญญาและแนวคิดที่เกิดขึ้นในชุมชนท้องถิ่น
-
16:31 - 16:35ที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงและพัฒนาวัฒนธรรม
และเศรษฐกิจของแต่ละท้องถิ่น -
16:35 - 16:39ให้ก้าวไปข้างหน้าได้ เพียงแค่คุณจุดไฟให้กับความปรารถนา
-
16:39 - 16:43ให้กับพลังสร้างสรรค์และจิตนาการ
ของคนในชุมชนของคุณเท่านั้นเอง -
16:43 - 16:48ขอบคุณครับ
(เสียงปรบมือ)
- Title:
- เออร์เนสโต ซีโรลลิ: หากคุณต้องการช่วยผู้อื่น ก็จงหุบปากแล้วใช้หูฟังซะ!
- Speaker:
- Ernesto Sirolli
- Description:
-
เออร์เนสโต ซีโรลลิ มองเห็นว่าการที่เจ้าหน้าที่/อาสาสมัครด้านความช่วยเหลือจำนวนมากเลือกที่จะแก้ไขปัญหาโดยการยัดเยียดแนวคิด และแนวทางของพวกเขาเองให้กับผู้อื่นนั้น ช่างเป็นวิธีการที่ไร้เดียงสาและไม่มีประสิทธิภาพเอาเสียเลย
ในการปราศัยที่ฟังสนุกอีกทั้งยังกระตุ้นให้เกิดความกระตือรือร้นนี้ เขาเสนอว่าขั้นตอนแรกสุดของการช่วยเหลือผู้อื่นนั้น คือการรับฟังเรื่องราวจากผู้คนที่คุณต้องการจะช่วยเหลือ จากนั้นจึงกระตุ้นไฟในการริเริ่มของพวกเขาเองให้ลุกโชนขึ้นมา เป็นคำแนะนำที่มีประโยชน์สำหรับผู้ริเริ่ม/ผู้ประกอบการ ทุกคน ทุกระดับ
- Video Language:
- English
- Team:
- closed TED
- Project:
- TEDTalks
- Duration:
- 17:09
Dimitra Papageorgiou approved Thai subtitles for Want to help someone? Shut up and listen! | ||
Sitthichok Khunthaveelab commented on Thai subtitles for Want to help someone? Shut up and listen! | ||
Chatthip Chaichakan accepted Thai subtitles for Want to help someone? Shut up and listen! | ||
Chatthip Chaichakan commented on Thai subtitles for Want to help someone? Shut up and listen! | ||
Chatthip Chaichakan edited Thai subtitles for Want to help someone? Shut up and listen! | ||
Chatthip Chaichakan edited Thai subtitles for Want to help someone? Shut up and listen! | ||
Chatthip Chaichakan edited Thai subtitles for Want to help someone? Shut up and listen! | ||
Chatthip Chaichakan edited Thai subtitles for Want to help someone? Shut up and listen! |