-
ก่อนรุ่งอรุณแห่งอารยธรรมแถบตะวันตกและภาษาที่ใช้เขียน
-
วิทยาศาสตร์และจิตวิญญาณไม่ใช่สองสิ่งที่แยกจากกัน
-
ในคำสอนแห่งวัฒนธรรมโบราณอันยิ่งใหญ่
-
การแสวงหาความรู้นอกตัวและความแน่นอน
-
ถูกทำให้สมดุลด้วยความรู้สึกภายในแห่งความไม่แน่นอน
-
และความเข้าใจตามสัญชาตญานในเรื่องวงก้นหอยแห่งการเปลี่ยนแปลง
-
เมื่อความคิดเชิงวิทยาศาสตร์มีบทบาทมากขึ้นและข่าวสารเพิ่มมากขึ้น
-
ความแตกแยกก็เริ่มเกิดขึ้นภายในระบบความรู้ของพวกเรา
-
การมีผู้เชี่ยวชาญเพิ่มขึ้นหมายถึงมีเพียงไม่กี่คนที่สามารถมองเห็นภาพรวม
-
ของความรู้สึกและหยั่งรู้ความงามของระบบโดยรวม
-
ไม่มีใครถามว่า "ความคิดทั้งหมดนี้ดีต่อพวกเราหรือเปล่า ?"
-
ความรู้โบราณอยู่ที่นี่ในแก่นกลางของเรา ซ่อนอยู่ในทัศนียภาพอันเรียบง่าย
-
แต่พวกเราถูกครอบงำไว้ก่อนด้วยความคิดตนเองจนเกินจะตระหนักได้
-
ปัญญาที่ถูกลืมนี้คือหนทางฟื้นฟูสมดุล
-
ระหว่างภายในและภายนอก
-
หยินและหยาง
-
ระหว่างวงก้นหอยแห่งการเปลี่ยนแปลง และความสงบนิ่งที่แก่นกลางของเรา
-
ตอนที่ 3 งูและดอกบัว
-
ในตำนานกรีก แอสคลีพีอัสเป็นบุตรชายของเทพอพลอลโล่ และเป็นเทพแห่งการเยียวยา
-
ปัญญาและทักษะของเขาในการเยียวยานั้นไม่มีผู้ใดเหนือกว่า
-
มีคำบอกเล่าว่าเขาได้ค้นพบความลับของชีวิตและความตาย
-
ในกรีกโบราณ วัดแอสคลีเปียนแห่งการเยียวยา
-
ได้ยอมรับคุณค่าของพลังแห่งวงก้นหอยต้นกำเนิด
-
ดังเห็นได้จากสัญลักษณ์คทาของแอสคลีพีอัสที่ถูกสร้างขึ้นที่นั่น
-
ฮิปพอคราทีส บิดาแห่งการแพทย์
-
ผู้ซึ่งคำปฏิญาณของเขาถูกใช้เป็นจรรยาบรรณวิชาชีพแพทย์
-
ว่ากันว่าเขาก็ได้รับการฝึกฝนมาจากวัดแอสคลีเปียนนี้เช่นกัน
-
จนกระทั่งถึงปัจจุบัน สัญลักษณ์ของพลังงานแห่งวิวัฒนาการของพวกเราอันนี้
-
ยังคงถูกใช้เป็นตราสัญลักษณ์ของสมาคมการแพทย์แห่งอเมริกา
-
และองค์กรทางการแพทย์อื่นๆทั่วโลก
-
ในประติมานวิทยาของอียิปต์ งูและนกเป็นตัวแทนของ
-
ทวิลักษณ์หรือความมีขั้วของธรรมชาติมนุษย์
-
งู ในทิศพุ่งลงล่าง คือปรากฏการณ์ของวงก้นหอย
-
เป็นพลังงานแห่งวิวัฒนาการของโลก
-
นก คือทิศพุ่งขึ้นบน เป็นกระแสสู่เบื้องบน
-
ไปยังดวงอาทิตย์ หรือจุดความรู้สึกตัวที่ตื่นแล้วจุดเดียวนั้น
-
ความว่างเปล่าแห่งอากาสา (อากาศ)
-
ฟาโรห์และพระเจ้าทั้งหลายถูกวาดภาพโดยมีพลังงานซึ่งตื่นแล้ว
-
ที่ซึ่งงูกุณฑาลินีเลื้อยขึ้นไปตามกระดูกสันหลัง
-
และโผล่ออกมาที่ "จักระอาชณา" ซึ่งอยู่ระหว่างดวงตาทั้งสอง
-
นี่คือสิ่งที่เรียกกันว่า "ดวงตาของฮอรัส"
-
ในประเพณีฮินดูก็ใช้บินดิ (bindi) เป็นสัญลักษณ์แทนดวงตาที่สาม
-
สื่อถึงความเชื่อมโยงอันศักดิ์สิทธิ์สู่จิตวิญญาณ
-
หน้ากากของพระราชาตุตันคาเมนเป็นตัวอย่างคลาสสิกที่มีลักษณะเด่นของทั้งงูและนก
-
ประเพณีของชาวมายันและชาวแอสเท็กส์รวมลักษณะเด่นของงูและนกเข้าด้วยกันเป็นพระเจ้าองค์เดียว
-
เควทซาลโคลท์ หรือ คูคูลคาน
-
งูที่มีขนนกแสดงถึงความรู้สึกตัวที่วิวัฒนาการจนตื่นแล้ว
-
หรือ กุณฑาลินีที่ตื่นแล้ว
-
บุคคลผู้ซึ่งปลุกเควทซาลโคลท์ภายในตนเองจนตื่นแล้ว
-
คือการแสดงออกที่มีชีวิตของสิ่งศักดิ์สิทธิ์
-
ว่ากันว่าเควทซาลโคลท์หรือพลังงู
-
จะกลับคืนสู่ต้นกำเนิดเมื่อสิ้นสุดเวลา
-
สัญลักษณ์งูและนกสามารถพบได้ในคริสต์ศาสนาเช่นกัน
-
ความหมายแท้จริงของมันอาจต้องถอดรหัสอย่างลึกซึ้ง
-
แต่มันก็เหมือนกับที่มีในวัฒนธรรมโบราณอื่นๆ
-
ในคริสต์ศาสนา มักพบนกหรือนกพิราบอยู่เบื้องบนศรีษะของพระคริสต์
-
แสดงถึงจิตวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ หรือกุณฑาลินีศักติ
-
เมื่อมันขึ้นมาถึงจักระที่หกและเหนือกว่านั้น
-
ความขลังของคริสต์ศาสนาที่เรียกอีกชื่อว่ากุณฑาลินีหรือจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์
-
ในคัมภีร์ไบเบิล ยอห์น 3:12 กล่าวว่า "และเมื่อโมเสสยกงูขึ้นไปในที่อันไพศาล
-
บุตรชายแห่งมนุษย์ก็จำต้องถูกยกขึ้นด้วย"
-
พระเยซูและโมเสสปลุกพลังกุณฑาลินีของตนเอง ซึ่งนำความรู้สึกตัวที่ตื่นพร้อม
-
ให้เกิดขึ้นบนความไร้สำนึกแห่งพลังสัตว์เลื้อยคลานซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนแรงปรารถนาในมนุษย์
-
ว่ากันว่าพระเยซูใช้เวลา 40 วัน 40 คืนในทะเลทราย
-
ระหว่างที่ท่านถูกทดสอบโดยซาตาน
-
ในทำนองเดียวกัน พระพุทธเจ้าก็ถูกทดสอบโดยพญามาร
-
เมื่อท่านนั่งกำลังจะตรัสรู้อยู่ใต้ต้นโพธิ์หรือต้นไม้แห่งปัญญา
-
ทั้งพระเยซูและพระพุทธเจ้าได้หันหลังให้กับแรงดึงดูดแห่งความรู้สึกพอใจและการยึดมั่นถือมั่นในโลก
-
ในตำนานแต่ละเรื่อง ปีศาจเป็นบุคลาธิษฐานของความยึดติดส่วนตน
-
หากเราอ่านตำนานอดัมและอีฟในมุมมองของวัฒนธรรมพระเวทและอียิปต์
-
เราจะพบว่างูที่เฝ้าต้นไม้แห่งชีวิตคือกุณฑาลินี
-
ลูกแอปเปิ้ลเป็นตัวแทนของแรงดึงดูดใจและการล่อลวงของประสาทสัมผัสแห่งโลกภายนอก
-
ซึ่งแยกพวกเราออกจากความรู้แห่งโลกภายใน
-
ต้นไม้แห่งความรู้ภายใน
-
ต้นไม้ก็คือโครงข่ายของนาดีสหรือเส้นแวงแห่งพลังงานภายในตัวเรา
-
ซึ่งตามที่เขียนไว้กล่าวว่ามีโครงสร้างคล้ายต้นไม้แผ่ไปทั่วร่างกาย
-
ในการค้นหาอย่างเห็นแก่ตัวให้ได้มาซึ่งความพอใจภายนอก
-
เราได้ตัดตนเองออกจากความรู้แห่งโลกภายใน
-
ความเชื่อมโยงของพวกเราที่มีต่ออากาสาและแหล่งปัญญา
-
ตำนานอภินิหารในประวัติศาสตร์จำนวนมากของโลกเกี่ยวกับมังกร
-
สามารถตีความได้ว่าเทียบเท่ากับพลังภายใน
-
ของวัฒนธรรมทั้งหลายที่พวกมันหยั่งรากลงไป
-
ในประเทศจีน มังกรยังคงเป็นสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์แทนความสุข
-
เช่นเดียวกับฟาโรห์แห่งอียิปต์ จักพรรดิ์จีนโบราณ
-
ผู้ซึ่งได้ปลุกพลังงานแห่งวิวัฒนาการให้ตื่นแล้ว
-
ถูกแทนด้วยงูมีปีกหรือมังกร
-
รูปสลักบนเสาประจำราชวงศ์เง็กเซียนฮ่องเต้ หรือจักรพรรดิ์แห่งสรวงสวรรค์
-
แสดงถึงสมดุลที่คล้ายกับอิดะและปิงคละ
-
หยินหยางของลัทธิเต๋า, หรือจุดศูนย์กลางต่อมไพเนียลที่ตื่นแล้ว
-
หรือที่เต๋าเรียกกันว่าจุดตันเถียนบน
-
ธรรมชาติเต็มไปด้วยการตรวจจับแสงและกลไกการนำเข้าต่างๆกัน
-
ตัวอย่างเช่น หอยเม่นทะเลมองเห็นได้ด้วยตัวที่เต็มไปด้วยหนามของมัน
-
ซึ่งทำหน้าที่เสมือนดวงตาขนาดใหญ่ดวงหนึ่ง
-
หอยเม่นตรวจจับแสงที่ตกกระทบหนามของมัน
-
และเปรียบเทียบความเข้มของลำแสงเพื่อประเมินสิ่งที่อยู่รอบตัว
-
อีกัวน่าสีเขียวและสัตว์เลื้อยคลานชนิดอื่นๆมีดวงตาซึ่งมีผนังหุ้ม
-
หรือต่อมไพเนียลอยู่ส่วนบนสุดของหัว
-
ซึ่งพวกมันใช้สำหรับตรวจจับนักล่าจากด้านบน
-
ต่อมไพเนียลในคนเป็นต่อมไร้ท่อขนาดเล็ก
-
ซึ่งช่วยวางระเบียบรูปแบบการตื่นและการหลับ
-
แม้ว่ามันจะถูกฝังลึกลงไปข้างในหัว
-
แต่ต่อมไพเนียลนี้ไวต่อแสงมาก
-
นักปรัชญาชื่อ เดการ์ต ยอมรับว่าพื้นที่ตั้งของต่อมไพเนียล
-
หรือดวงตาที่สามนั้นเป็นส่วนต่อประสานระหว่างความรู้สึกตัวกับวัตถุ
-
เกือบทุกอย่างในตัวมนุษย์จัดว่ามีความสมมาตร
-
สองตา สองหู สองรูจมูก แม้แต่สมองยังมีสองซีก
-
แต่มีอยู่ที่หนึ่งในสมองที่ไม่มีคู่สะท้อน
-
นั่นก็คือที่ตั้งของต่อมไพเนียลและศูนย์กลางพลังงานซึ่งล้อมรอบมันอยู่
-
ในระดับกายภาพ โมเลกุลพิเศษได้ถูกสร้างขึ้นตามธรรมชาติ
-
โดยต่อมไพเนียลนี้ ตัวอย่างเช่น ดีเอ็มที (DMT)
-
DMT ถูกสร้างขึ้นตามธรรมชาติในขณะที่เกิดและขณะที่ตาย
-
ตามความหมายแล้วทำหน้าที่เป็นสะพานพิเศษเชื่อมระหว่างโลกแห่งสิ่งชีวิตและสิ่งที่ตายแล้ว
-
DMT ยังถูกผลิตขึ้นตามธรรมชาติในสภาวะเข้าฌานลึกและเป็นสมาธิ
-
หรือผ่านพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ
-
ตัวอย่างเช่น ต้นอายาวัสกา (Ayahuasca) ถูกใช้ในพิธีเข้าทรงในอเมริกาใต้
-
เพื่อทำลายม่านกั้นระหว่างโลกภายในและโลกภายนอก
-
คำว่า "ไพเนียล" มีรากศัพท์เดียวกับคำว่า "ไพน์ คอร์น (ลูกสน)"
-
เพราะต่อมไพเนียลแสดงลักษณะของวงก้นหอยที่คล้ายคลึงกับรูปแบบการเรียงใบพืช (phyllotaxis)
-
รูปแบบนี้ เป็นที่รู้จักในอีกชื่อหนึ่งว่า "ดอกไม้แห่งชีวิต"
-
ซึ่งเป็นรูปแบบสามัญในงานศิลปะโบราณใช้อธิบายถึงผู้ตรัสรู้แล้วหรือผู้ที่ตื่นแล้ว
-
เมื่อรูปลูกสนปรากฎในงานศิลปะเพื่อสักการะพระเจ้า
-
มันแสดงถึงดวงตาที่สามที่ตื่นแล้ว ความรู้สึกตัวในจุดเดียว
-
นำกระแสของพลังแห่งวิวัฒนาการ
-
ลูกสนเป็นตัวแทนแห่งการเบ่งบานของจักระส่วนบนทั้งหลาย
-
ซึ่งจะถูกกระตุ้นเมื่อกระแสในสุษุมนาพุ่งขึ้นสู่จักระอาชณาและเหนือจากนั้น
-
ในเทพนิยายกรีก ผู้บูชาเทพไดโอนิซัสถือช่อกระจุกแยกแขนง (thyrsus)
-
หรือไม้เท้ายักษ์ที่มีเถาองุ่นพันเป็นเกลียวบนยอดเป็นลูกสน
-
อีกครั้ง มันเป็นตัวแทนของพลังแห่งไดโอนิซัสหรือกุณฑาลินีศักติ
-
ที่เคลื่อนตัวผ่านกระดูกสันหลังขึ้นสู่ส่วนไพเนียลที่จักระที่หก
-
ที่ใจกลางกรุงวาติกัน เธออาจคาดว่าคงมีรูปปั้นที่ยิ่งใหญ่ของพระเยซูหรือพระแม่มารี
-
แต่แทนที่จะเป็นอย่างนั้น เรากลับพบอนุสาวรีย์ลูกสนยักษ์
-
แสดงให้เห็นว่าในประวัติศาสตร์ของชาวคริสเตียน
-
น่าจะมีความรู้เรื่องจักระและกุณฑาลินี
-
แต่ไม่ทราบว่าด้วยเหตุผลใด มันถูกเก็บงำเอาไว้จากคนหมู่มาก
-
คำอธิบายอย่างเป็นทางการของโบสถ์คือ
-
ลูกสนเป็นสัญลักษณ์ของการฟื้นฟูใหม่และแสดงถึงชีวิตใหม่ในตัวพระคริสต์
-
นักปรัชญาและจอมขมังเวทย์ในศตวรรษที่ 13 ชื่อ ไมสเตอร์ เอคคาร์ท กล่าวว่า
-
"ดวงตาที่พระเจ้าเห็นฉัน และดวงตาที่ฉันเห็นพระเจ้า
-
คือหนึ่งเดียวและเหมือนกัน"
-
ในคัมภีร์ไบเบิ้ลฉบับคิงส์เจมส์ พระเยซูกล่าวว่า "แสงแห่งกายคือดวงตา
-
ดังนั้นหากตาเธอเป็นเอก ทั่วกายของเธอย่อมเต็มไปด้วยแสง"
-
โรงเรียนสอนศาสนาพุทธบางแห่งกล่าวว่า "กายก็คือดวงตา"
-
ในสภาวะแห่งสมาธิ เราเป็นทั้งผู้ดูและผู้ถูกดู
-
เราคือจักรวาลที่ตระหนักรู้ตัวมันเอง
-
เมื่อกุณฑาลินีถูกกระตุ้น มันจะปลุกเร้าจักระที่หกและศูนย์กลางไพเนียล
-
แล้วพื้นที่บริเวณนั้นจะเริ่มฟื้นคืนสู่หน้าที่บางอย่างที่มันมีเกี่ยวกับวิวัฒนาการ
-
การเข้าฌานในความมืดถูกใช้มานับเป็นพันๆปีแล้ว
-
ในฐานะที่เป็นวิธีกระตุ้นจักระที่หกที่อยู่ในบริเวณต่อมไพเนียล
-
การกระตุ้นศูนย์กลางดังกล่าวทำให้บุคคลสามารถมองเห็นแสงภายในตัวเขาได้
-
ไม่ว่าจะเป็นโยคีผู้เลื่องชื่อ หรือหมอผีผู้ปลีกวิเวกอยู่ในถ้ำ
-
หรือนักพรตเต๋า หรือผู้ก่อตั้งเผ่ามายา หรือพระทิเบต
-
ในทุกประเพณีปฏิบัติมีช่วงเวลาที่ผู้บำเพ็ญต้องเข้าไปอยู่ในความมืดเพียงลำพัง
-
ต่อมไพเนียลคือทางเข้าสู่การรับประสบการณ์แห่งพลังลึกลับของบุคคลโดยตรง
-
นักปรัชญาชื่อ นิตเช่ กล่าวว่า "หากคุณจ้องเข้าไปในหุบเหวจนนานพอ
-
ในที่สุดคุณจะพบว่าหุบเหวจ้องกลับมาที่คุณ"
-
เพิงหินหรือที่เก็บศพโบราณจัดเป็นสิ่งก่อสร้างเก่าแก่ที่สุดที่ยังคงเหลืออยู่ในโลก
-
ส่วนใหญ่สร้างขึ้นในยุคหินใหม่คือ 3000-4000 ปีก่อนคริสต์ศักราช
-
และมีบางส่วนอยู่ในยุโรปตะวันตกซึ่งมีอายุกว่า 7000 ปี
-
เพิงหินถูกใช้เพื่อเข้าฌานแบบต่อเนื่อง
-
ซึ่งเป็นวิธีหนึ่งสำหรับมนุษย์ที่จะสร้างสะพานเชื่อมระหว่างโลกภายในและโลกภายนอก
-
เมื่อบุคคลเข้าฌานท่ามกลางความมืดสนิทอย่างต่อเนื่อง
-
ในที่สุดเขาก็จะเริ่มสังเกตเห็นพลังภายในหรือแสงเมื่อดวงตาที่สามใช้งานได้
-
จังหวะวงจรชีวิต (circadian rhythm) ซึ่งถูกควบคุมโดยการโคจรของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์
-
ไม่ได้ควบคุมการทำงานของร่างกายอีกต่อไป
-
และจังหวะใหม่ได้ถูกสร้างขึ้นแล้ว
-
จักระที่เจ็ด เมื่อหลายพันปีก่อน
-
ถูกแทนด้วยสัญลักษณ์ "โอม"
-
ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่ถูกสร้างขึ้นด้วยเครื่องหมายในภาษาสันสกฤตแสดงถึงธาตุองค์ประกอบต่างๆ
-
เมื่อกุณฑาลินีขึ้นมาจนอยู่เหนือจักระที่หก
-
มันเริ่มสร้างรัศมีแห่งพลังงาน (energy halo)
-
รัศมีปรากฎอย่างสม่ำเสมอในงานวาดรูปทางศาสนาของหลายวัฒนธรรมในทุกที่ทั่วโลก
-
รัศมี หรือการแสดงออกถึงสัญลักษณ์แห่งพลังงานรอบๆผู้ที่ตื่นแล้ว
-
เป็นสิ่งสามัญที่พบเห็นได้ในทุกศาสนาและทุกส่วนของโลก
-
กระบวนวิวัฒนาการแห่งการตื่นของจักระทั้งหลาย
-
ไม่ใช่กรรมสิทธ์ของคนกลุ่มหนึ่งหรือศาสนาหนึ่ง
-
มันเป็นสิทธิโดยกำเนิดของมนุษยชาติทุกคนบนดาวดวงนี้
-
จักระกระหม่อมเป็นที่เชื่อมต่อกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์
-
ซึ่งอยู่เหนือทวิลักษณ์
-
เหนือชื่อเรียกและรูปแบบ
-
อเคนาเทนคือฟาโรห์ ผู้ซึ่งมีพระมเหสีชื่อเนเฟอร์ตีติ
-
เขาถูกกล่าวถึงในนามของบุตรแห่งดวงอาทิตย์
-
เขาค้นพบ "อเทน" หรือคำแห่งพระเจ้าภายในตัวเขา
-
ซึ่งผสานกุณฑาลินีและความรู้สึกตัวเข้าด้วยกัน
-
ในประติมานวิทยาของอียิปต์
-
อีกครั้งหนึ่ง ที่ความรู้สึกตัวอันถูกปลุกจนตื่นแล้วถูกแสดงด้วยดวงอาทิตย์
-
ที่เห็นบนศรีษะของพระเจ้าหรือผู้ที่ตื่นรู้แล้ว
-
ในประเพณีของชาวฮินดูและโยคีทั้งหลาย รัศมีนี้เรียกว่า
-
"สหัสราระ", ดอกบัวพันกลีบ
-
พระพุทธเจ้าถูกเชื่อมโยงเข้ากับสัญลักษณ์แห่งดอกบัว
-
รูปแบบการเรียงกลีบในสหัสราระ
-
เป็นรูปแบบเดียวกับที่พบในดอกบัวบาน
-
มันคือรูปแบบของดอกไม้แห่งชีวิต
-
เมล็ดพันธุ์แห่งชีวิต
-
มันเป็นรูปแบบพื้นฐานซึ่งนำไปสู่ความลงตัวของทุกรูปแบบ
-
มันเป็นรูปร่างของอวกาศ หรือคุณสมบัติโดยกำเนิดของอากาสา
-
มีครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ที่สัญลักษณ์ดอกไม้แห่งชีวิตถูกเผยแพร่ไปทั่วโลก
-
พบว่าดอกไม้แห่งชีวิตถูกคุ้มครองไว้โดยสิงโตทั้งหลาย
-
ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เกือบทั้งหมดในประเทศจีนและสถานที่อื่นๆในเอเชีย
-
เฮกซาแกรม (hexagrams) จำนวน 64 รูปของอี้จิงที่อยู่รอบๆสัญลักษณ์หยินหยาง
-
ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่แสดงถึงดอกไม้แห่งชีวิต
-
ภายในดอกไม้แห่งชีวิต ก็คือพื้นฐานทางเรขาคณิต
-
สำหรับทุกทรงตันเพลโต (platonic solids)
-
ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วทุกรูปทรงสามารถเกิดขึ้นได้
-
ดอกไม้แห่งชีวิตโบราณเริ่มด้วยทรงเรขาคณิต
-
ของดวงดาวแห่งเดวิด หรือรูปสามเหลี่ยมหงายขึ้นและหงายลงประกบกัน
-
หรือในรูปทรงสามมิติ สิ่งเหล่านี้จัดอยู่ในโครงสร้างแบบเตตระฮีดรอน (ปิรามิดฐานสามเหลี่ยมสี่หน้า)
-
สัญลักษณ์นี้คือยันตระ ซึ่งเป็นโปรแกรมชนิดหนึ่งที่ดำรงอยู่ในจักรวาล
-
เป็นเครื่องจักรที่สร้างโลกแห่งแฟร็คทัลของพวกเรา
-
ยันตระถูกใช้เป็นเครื่องมือสำหรับปลุกความรู้สึกตัวมาได้กว่าพันปีแล้ว
-
รูปแบบที่เห็นได้ด้วยตาของยันตระคือการแสดงออกภายนอก
-
ของกระบวนการภายในแห่งการเผยตัวทางจิตวิญญาณ
-
มันเป็นเพลงซ่อนเร้นแห่งจักรวาลที่ถูกทำให้มองเห็นได้
-
ประกอบด้วยรูปทรงเรขาคณิตที่ตัดกันและรูปแบบการแทรกซ้อนต่างๆ
-
แต่ละจักระคือดอกบัว ยันตระ ศูนย์กลางแห่งจิตและกาย
-
ที่ซึ่งได้รับประสบการณ์ของโลกทั้งโลกผ่านมัน
-
ยันตระตามประเพณี เช่นแบบที่พบในประเพณีทิเบต
-
ได้ถูกสวมไว้ด้วยหลากชั้นแห่งความหมายอันอุดม
-
ซึ่งบางครั้งก็รวมเข้าไว้ในวิสัยทัศน์แห่งจักรวาลและโลกอย่างสมบูรณ์แบบ
-
ยันตระคือรูปแบบของการพัฒนาอย่างคงที่
-
ซึ่งทำงานผ่านพลังแห่งการเกิดซ้ำ หรือการทำซ้ำของวัฏจักร
-
พลังของยันตระคือทุกอย่างแต่มันได้สูญหายไปแล้วในโลกปัจจุบัน
-
เพราะพวกเราค้นหาความหมายเพียงในรูปแบบภายนอก
-
และพวกเราก็ไม่ได้เชื่อมต่อกับพลังภายในของเราผ่านเจตนา
-
มันมีเหตุผลทีเดียวที่นักบวช พระ และโยคี
-
ตามประเพณีแล้วต้องอยู่เป็นโสด
-
ทุกวันนี้ก็เป็นอย่างนั้นแต่มีเพียงจำนวนน้อยที่รู้ว่าทำไมพวกเขาต้องฝึกละเว้นการมีเพศสัมพันธ์
-
เพราะจุดประสงค์ที่แท้จริงได้สูญหายไปแล้ว
-
อธิบายง่ายๆ หากพลังงานของเธอถูกใช้ไปในการผลิตตัวอสุจิหรือไข่เสียแล้ว
-
กรณีอย่างนี้ย่อมมีเชื้อเพลิงเหลือไม่มากที่จะส่งกุณฑาลินีให้พุ่งขึ้น
-
เพื่อไปกระตุ้นจักระต่างๆที่อยู่สูงขึ้นไป
-
กุณฑาลินีคือพลังชีวิต ซึ่งก็คือพลังทางเพศด้วย
-
เมื่อความตระหนักรู้มุ่งไปที่แรงเร้าแห่งสัตว์น้อยลง
-
และถูกวางไว้ในวัตถุที่สะท้อนถึงจักระต่างๆที่อยู่สูงกว่า
-
พลังจะไหลผ่านกระดูกสันหลังขึ้นไปสู่จักระทั้งหลายเหล่านั้น
-
แบบฝึกหัดตันตระจำนวนมากสอนวิธีควบคุมพลังเพศ
-
ดังนั้นมันจึงสามารถใช้เพื่อวิวัฒนาการทางจิตวิญญาณในระดับสูงกว่า
-
สภาวะแห่งการรู้สึกตัวของเธอสร้างเงื่อนไขที่เหมาะสม
-
สำหรับพลังงานของเธอให้มีความสามารถในการเติบโต
-
การเข้าสู่ภาวะแห่งการรู้สึกตัวใช้เวลาไม่นาน
-
อย่างที่ เอกฮาร์ต โทลเล่ กล่าวว่า "ความตระหนักรู้และการดำรงอยู่เกิดขึ้นในปัจจุบันขณะเสมอ"
-
หากเธอกำลังพยายามกระทำบางสิ่งให้เกิดขึ้น
-
นั่นคือเธอกำลังสร้างแรงต้านทานสิ่งที่กำลังเป็นอยู่
-
มันคือการกำจัดแรงต้านทั้งหมด
-
ที่ยอมให้พลังแห่งวิวัฒนาการเผยตัวออกมา
-
ในวัฒนธรรมโยคะโบราณ ท่าร่างต่างๆของโยคะถูกใช้
-
เพื่อเตรียมร่างกายให้พร้อมสำหรับเข้าฌาน
-
หฐโยคะไม่ได้เจตนาให้เป็นการออกกำลังกายเสียทั้งหมด
-
แต่เป็นวิธีเชื่อมโลกภายในและโลกภายนอกของบุคคล
-
คำสันสกฤตว่า "หฐ" หมายถึงดวงอาทิตย์ "ห" และดวงจันทร์ "ฐ"
-
ในโยคะดั้งเดิมพระสูตรของปตัญชลี
-
มีองค์แปดแห่งโยคะ
-
ซึ่งมีผู้นำมาเทียบเคียงกับมรรคแปดแห่งพระพุทธเจ้า
-
ในแง่ของความเป็นอิสระจากความทุกข์ทรมาน
-
เมื่อขั้วทั้งสองของโลกแห่งทวิลักษณ์อยู่ในสมดุล
-
สิ่งที่สามได้ถือกำเนิดขึ้น
-
เราพบกุญแจทองอันลึกลับที่ไข
-
พลังแห่งวิวัฒนาการของธรรมชาติ
-
การสังเคราะห์กันของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เช่นนี้ คือพลังแห่งวิวัฒนาการของพวกเรา
-
เพราะมนุษย์ในปัจจุบันถูกนิยามอย่างผูกขาด
-
ด้วยความคิดของพวกเขาและโลกภายนอก
-
น้อยนักที่บุคคลจะเข้าถึงสมดุลของแรงภายในและภายนอก
-
ซึ่งจะยอมให้กุณฑาลินีตื่นขึ้นเองตามธรรมชาติ
-
สำหรับผู้ซึ่งให้นิยามโดยใช้เฉพาะสิ่งลวงตา
-
กุณฑาลินีย่อมเป็นเพียงการอุปมา
-
ความคิดเห็น
-
มากกว่าที่จะเป็นประสบการณ์ตรงแห่งพลังงานและความรู้สึกตัวของบุคคล