ก่อนรุ่งอรุณแห่งอารยธรรมแถบตะวันตกและภาษาที่ใช้เขียน
วิทยาศาสตร์และจิตวิญญาณไม่ใช่สองสิ่งที่แยกจากกัน
ในคำสอนแห่งวัฒนธรรมโบราณอันยิ่งใหญ่
การแสวงหาความรู้นอกตัวและความแน่นอน
ถูกทำให้สมดุลด้วยความรู้สึกภายในแห่งความไม่แน่นอน
และความเข้าใจตามสัญชาตญานในเรื่องวงก้นหอยแห่งการเปลี่ยนแปลง
เมื่อความคิดเชิงวิทยาศาสตร์มีบทบาทมากขึ้นและข่าวสารเพิ่มมากขึ้น
ความแตกแยกก็เริ่มเกิดขึ้นภายในระบบความรู้ของพวกเรา
การมีผู้เชี่ยวชาญเพิ่มขึ้นหมายถึงมีเพียงไม่กี่คนที่สามารถมองเห็นภาพรวม
ของความรู้สึกและหยั่งรู้ความงามของระบบโดยรวม
ไม่มีใครถามว่า "ความคิดทั้งหมดนี้ดีต่อพวกเราหรือเปล่า ?"
ความรู้โบราณอยู่ที่นี่ในแก่นกลางของเรา ซ่อนอยู่ในทัศนียภาพอันเรียบง่าย
แต่พวกเราถูกครอบงำไว้ก่อนด้วยความคิดตนเองจนเกินจะตระหนักได้
ปัญญาที่ถูกลืมนี้คือหนทางฟื้นฟูสมดุล
ระหว่างภายในและภายนอก
หยินและหยาง
ระหว่างวงก้นหอยแห่งการเปลี่ยนแปลง และความสงบนิ่งที่แก่นกลางของเรา
ในตำนานกรีก แอสคลีพีอัสเป็นบุตรชายของเทพอพลอลโล่ และเป็นเทพแห่งการเยียวยา
ปัญญาและทักษะของเขาในการเยียวยานั้นไม่มีผู้ใดเหนือกว่า
มีคำบอกเล่าว่าเขาได้ค้นพบความลับของชีวิตและความตาย
ในกรีกโบราณ วัดแอสคลีเปียนแห่งการเยียวยา
ได้ยอมรับคุณค่าของพลังแห่งวงก้นหอยต้นกำเนิด
ดังเห็นได้จากสัญลักษณ์คทาของแอสคลีพีอัสที่ถูกสร้างขึ้นที่นั่น
ฮิปพอคราทีส บิดาแห่งการแพทย์
ผู้ซึ่งคำปฏิญาณของเขาถูกใช้เป็นจรรยาบรรณวิชาชีพแพทย์
ว่ากันว่าเขาก็ได้รับการฝึกฝนมาจากวัดแอสคลีเปียนนี้เช่นกัน
จนกระทั่งถึงปัจจุบัน สัญลักษณ์ของพลังงานแห่งวิวัฒนาการของพวกเราอันนี้
ยังคงถูกใช้เป็นตราสัญลักษณ์ของสมาคมการแพทย์แห่งอเมริกา
และองค์กรทางการแพทย์อื่นๆทั่วโลก
ในประติมานวิทยาของอียิปต์ งูและนกเป็นตัวแทนของ
ทวิลักษณ์หรือความมีขั้วของธรรมชาติมนุษย์
งู ในทิศพุ่งลงล่าง คือปรากฏการณ์ของวงก้นหอย
เป็นพลังงานแห่งวิวัฒนาการของโลก
นก คือทิศพุ่งขึ้นบน เป็นกระแสสู่เบื้องบน
ไปยังดวงอาทิตย์ หรือจุดความรู้สึกตัวที่ตื่นแล้วจุดเดียวนั้น
ความว่างเปล่าแห่งอากาสา (อากาศ)
ฟาโรห์และพระเจ้าทั้งหลายถูกวาดภาพโดยมีพลังงานซึ่งตื่นแล้ว
ที่ซึ่งงูกุณฑาลินีเลื้อยขึ้นไปตามกระดูกสันหลัง
และโผล่ออกมาที่ "จักระอาชณา" ซึ่งอยู่ระหว่างดวงตาทั้งสอง
นี่คือสิ่งที่เรียกกันว่า "ดวงตาของฮอรัส"
ในประเพณีฮินดูก็ใช้บินดิ (bindi) เป็นสัญลักษณ์แทนดวงตาที่สาม
สื่อถึงความเชื่อมโยงอันศักดิ์สิทธิ์สู่จิตวิญญาณ
หน้ากากของพระราชาตุตันคาเมนเป็นตัวอย่างคลาสสิกที่มีลักษณะเด่นของทั้งงูและนก
ประเพณีของชาวมายันและชาวแอสเท็กส์รวมลักษณะเด่นของงูและนกเข้าด้วยกันเป็นพระเจ้าองค์เดียว
เควทซาลโคลท์ หรือ คูคูลคาน
งูที่มีขนนกแสดงถึงความรู้สึกตัวที่วิวัฒนาการจนตื่นแล้ว
หรือ กุณฑาลินีที่ตื่นแล้ว
บุคคลผู้ซึ่งปลุกเควทซาลโคลท์ภายในตนเองจนตื่นแล้ว
คือการแสดงออกที่มีชีวิตของสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ว่ากันว่าเควทซาลโคลท์หรือพลังงู
จะกลับคืนสู่ต้นกำเนิดเมื่อสิ้นสุดเวลา
สัญลักษณ์งูและนกสามารถพบได้ในคริสต์ศาสนาเช่นกัน
ความหมายแท้จริงของมันอาจต้องถอดรหัสอย่างลึกซึ้ง
แต่มันก็เหมือนกับที่มีในวัฒนธรรมโบราณอื่นๆ
ในคริสต์ศาสนา มักพบนกหรือนกพิราบอยู่เบื้องบนศรีษะของพระคริสต์
แสดงถึงจิตวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ หรือกุณฑาลินีศักติ
เมื่อมันขึ้นมาถึงจักระที่หกและเหนือกว่านั้น
ความขลังของคริสต์ศาสนาที่เรียกอีกชื่อว่ากุณฑาลินีหรือจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์
ในคัมภีร์ไบเบิล ยอห์น 3:12 กล่าวว่า "และเมื่อโมเสสยกงูขึ้นไปในที่อันไพศาล
บุตรชายแห่งมนุษย์ก็จำต้องถูกยกขึ้นด้วย"
พระเยซูและโมเสสปลุกพลังกุณฑาลินีของตนเอง ซึ่งนำความรู้สึกตัวที่ตื่นพร้อม
ให้เกิดขึ้นบนความไร้สำนึกแห่งพลังสัตว์เลื้อยคลานซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนแรงปรารถนาในมนุษย์
ว่ากันว่าพระเยซูใช้เวลา 40 วัน 40 คืนในทะเลทราย
ระหว่างที่ท่านถูกทดสอบโดยซาตาน
ในทำนองเดียวกัน พระพุทธเจ้าก็ถูกทดสอบโดยพญามาร
เมื่อท่านนั่งกำลังจะตรัสรู้อยู่ใต้ต้นโพธิ์หรือต้นไม้แห่งปัญญา
ทั้งพระเยซูและพระพุทธเจ้าได้หันหลังให้กับแรงดึงดูดแห่งความรู้สึกพอใจและการยึดมั่นถือมั่นในโลก
ในตำนานแต่ละเรื่อง ปีศาจเป็นบุคลาธิษฐานของความยึดติดส่วนตน
หากเราอ่านตำนานอดัมและอีฟในมุมมองของวัฒนธรรมพระเวทและอียิปต์
เราจะพบว่างูที่เฝ้าต้นไม้แห่งชีวิตคือกุณฑาลินี
ลูกแอปเปิ้ลเป็นตัวแทนของแรงดึงดูดใจและการล่อลวงของประสาทสัมผัสแห่งโลกภายนอก
ซึ่งแยกพวกเราออกจากความรู้แห่งโลกภายใน
ต้นไม้แห่งความรู้ภายใน
ต้นไม้ก็คือโครงข่ายของนาดีสหรือเส้นแวงแห่งพลังงานภายในตัวเรา
ซึ่งตามที่เขียนไว้กล่าวว่ามีโครงสร้างคล้ายต้นไม้แผ่ไปทั่วร่างกาย
ในการค้นหาอย่างเห็นแก่ตัวให้ได้มาซึ่งความพอใจภายนอก
เราได้ตัดตนเองออกจากความรู้แห่งโลกภายใน
ความเชื่อมโยงของพวกเราที่มีต่ออากาสาและแหล่งปัญญา
ตำนานอภินิหารในประวัติศาสตร์จำนวนมากของโลกเกี่ยวกับมังกร
สามารถตีความได้ว่าเทียบเท่ากับพลังภายใน
ของวัฒนธรรมทั้งหลายที่พวกมันหยั่งรากลงไป
ในประเทศจีน มังกรยังคงเป็นสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์แทนความสุข
เช่นเดียวกับฟาโรห์แห่งอียิปต์ จักพรรดิ์จีนโบราณ
ผู้ซึ่งได้ปลุกพลังงานแห่งวิวัฒนาการให้ตื่นแล้ว
ถูกแทนด้วยงูมีปีกหรือมังกร
รูปสลักบนเสาประจำราชวงศ์เง็กเซียนฮ่องเต้ หรือจักรพรรดิ์แห่งสรวงสวรรค์
แสดงถึงสมดุลที่คล้ายกับอิดะและปิงคละ
หยินหยางของลัทธิเต๋า, หรือจุดศูนย์กลางต่อมไพเนียลที่ตื่นแล้ว
หรือที่เต๋าเรียกกันว่าจุดตันเถียนบน
ธรรมชาติเต็มไปด้วยการตรวจจับแสงและกลไกการนำเข้าต่างๆกัน
ตัวอย่างเช่น หอยเม่นทะเลมองเห็นได้ด้วยตัวที่เต็มไปด้วยหนามของมัน
ซึ่งทำหน้าที่เสมือนดวงตาขนาดใหญ่ดวงหนึ่ง
หอยเม่นตรวจจับแสงที่ตกกระทบหนามของมัน
และเปรียบเทียบความเข้มของลำแสงเพื่อประเมินสิ่งที่อยู่รอบตัว
อีกัวน่าสีเขียวและสัตว์เลื้อยคลานชนิดอื่นๆมีดวงตาซึ่งมีผนังหุ้ม
หรือต่อมไพเนียลอยู่ส่วนบนสุดของหัว
ต่อมไพเนียลในคนเป็นต่อมไร้ท่อขนาดเล็ก
ซึ่งช่วยวางระเบียบรูปแบบการตื่นและการหลับ
แม้ว่ามันจะถูกฝังลึกลงไปข้างในหัว
แต่ต่อมไพเนียลนี้ไวต่อแสงมาก
นักปรัชญาชื่อ เดการ์ต ยอมรับว่าพื้นที่ตั้งของต่อมไพเนียล
หรือดวงตาที่สามนั้นเป็นส่วนต่อประสานระหว่างความรู้สึกตัวกับวัตถุ
เกือบทุกอย่างในตัวมนุษย์จัดว่ามีความสมมาตร
สองตา สองหู สองรูจมูก แม้แต่สมองยังมีสองซีก
แต่มีอยู่ที่หนึ่งในสมองที่ไม่มีคู่สะท้อน
นั่นก็คือที่ตั้งของต่อมไพเนียลและศูนย์กลางพลังงานซึ่งล้อมรอบมันอยู่
ในระดับกายภาพ โมเลกุลพิเศษได้ถูกสร้างขึ้นตามธรรมชาติ
โดยต่อมไพเนียลนี้ ตัวอย่างเช่น ดีเอ็มที (DMT)
DMT ถูกสร้างขึ้นตามธรรมชาติในขณะที่เกิดและขณะที่ตาย
ตามความหมายแล้วทำหน้าที่เป็นสะพานพิเศษเชื่อมระหว่างโลกแห่งสิ่งชีวิตและสิ่งที่ตายแล้ว
DMT ยังถูกผลิตขึ้นตามธรรมชาติในสภาวะเข้าฌานลึกและเป็นสมาธิ
หรือผ่านพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ
ตัวอย่างเช่น ต้นอายาวัสกา (Ayahuasca) ถูกใช้ในพิธีเข้าทรงในอเมริกาใต้
เพื่อทำลายม่านกั้นระหว่างโลกภายในและโลกภายนอก
คำว่า "ไพเนียล" มีรากศัพท์เดียวกับคำว่า "ไพน์ คอร์น (ลูกสน)"
เพราะต่อมไพเนียลแสดงลักษณะของวงก้นหอยที่คล้ายคลึงกับรูปแบบการเรียงใบพืช (phyllotaxis)
รูปแบบนี้ เป็นที่รู้จักในอีกชื่อหนึ่งว่า "ดอกไม้แห่งชีวิต"
ซึ่งเป็นรูปแบบสามัญในงานศิลปะโบราณใช้อธิบายถึงผู้ตรัสรู้แล้วหรือผู้ที่ตื่นแล้ว
เมื่อรูปลูกสนปรากฎในงานศิลปะเพื่อสักการะพระเจ้า
มันแสดงถึงดวงตาที่สามที่ตื่นแล้ว ความรู้สึกตัวในจุดเดียว
นำกระแสของพลังแห่งวิวัฒนาการ
ลูกสนเป็นตัวแทนแห่งการเบ่งบานของจักระส่วนบนทั้งหลาย
ซึ่งจะถูกกระตุ้นเมื่อกระแสในสุษุมนาพุ่งขึ้นสู่จักระอาชณาและเหนือจากนั้น
ในเทพนิยายกรีก ผู้บูชาเทพไดโอนิซัสถือช่อกระจุกแยกแขนง (thyrsus)
หรือไม้เท้ายักษ์ที่มีเถาองุ่นพันเป็นเกลียวบนยอดเป็นลูกสน
อีกครั้ง มันเป็นตัวแทนของพลังแห่งไดโอนิซัสหรือกุณฑาลินีศักติ
ที่เคลื่อนตัวผ่านกระดูกสันหลังขึ้นสู่ส่วนไพเนียลที่จักระที่หก
ที่ใจกลางกรุงวาติกัน เธออาจคาดว่าคงมีรูปปั้นที่ยิ่งใหญ่ของพระเยซูหรือพระแม่มารี
แต่แทนที่จะเป็นอย่างนั้น เรากลับพบอนุสาวรีย์ลูกสนยักษ์
แสดงให้เห็นว่าในประวัติศาสตร์ของชาวคริสเตียน
แต่ไม่ทราบว่าด้วยเหตุผลใด มันถูกเก็บงำเอาไว้จากคนหมู่มาก
คำอธิบายอย่างเป็นทางการของโบสถ์คือ
ลูกสนเป็นสัญลักษณ์ของการฟื้นฟูใหม่และแสดงถึงชีวิตใหม่ในตัวพระคริสต์
นักปรัชญาและจอมขมังเวทย์ในศตวรรษที่ 13 ชื่อ ไมสเตอร์ เอคคาร์ท กล่าวว่า
"ดวงตาที่พระเจ้าเห็นฉัน และดวงตาที่ฉันเห็นพระเจ้า
คือหนึ่งเดียวและเหมือนกัน"
ในคัมภีร์ไบเบิ้ลฉบับคิงส์เจมส์ พระเยซูกล่าวว่า "แสงแห่งกายคือดวงตา
ดังนั้นหากตาเธอเป็นเอก ทั่วกายของเธอย่อมเต็มไปด้วยแสง"
โรงเรียนสอนศาสนาพุทธบางแห่งกล่าวว่า "กายก็คือดวงตา"
ในสภาวะแห่งสมาธิ เราเป็นทั้งผู้ดูและผู้ถูกดู
เราคือจักรวาลที่ตระหนักรู้ตัวมันเอง
เมื่อกุณฑาลินีถูกกระตุ้น มันจะปลุกเร้าจักระที่หกและศูนย์กลางไพเนียล
แล้วพื้นที่บริเวณนั้นจะเริ่มฟื้นคืนสู่หน้าที่บางอย่างที่มันมีเกี่ยวกับวิวัฒนาการ
การเข้าฌานในความมืดถูกใช้มานับเป็นพันๆปีแล้ว
ในฐานะที่เป็นวิธีกระตุ้นจักระที่หกที่อยู่ในบริเวณต่อมไพเนียล
การกระตุ้นศูนย์กลางดังกล่าวทำให้บุคคลสามารถมองเห็นแสงภายในตัวเขาได้
ไม่ว่าจะเป็นโยคีผู้เลื่องชื่อ หรือหมอผีผู้ปลีกวิเวกอยู่ในถ้ำ
หรือนักพรตเต๋า หรือผู้ก่อตั้งเผ่ามายา หรือพระทิเบต
ต่อมไพเนียลคือทางเข้าสู่การรับประสบการณ์แห่งพลังลึกลับของบุคคลโดยตรง
นักปรัชญาชื่อ นิตเช่ กล่าวว่า "หากคุณจ้องเข้าไปในหุบเหวจนนานพอ
ในที่สุดคุณจะพบว่าหุบเหวจ้องกลับมาที่คุณ"
เพิงหินหรือที่เก็บศพโบราณจัดเป็นสิ่งก่อสร้างเก่าแก่ที่สุดที่ยังคงเหลืออยู่ในโลก
ส่วนใหญ่สร้างขึ้นในยุคหินใหม่คือ 3000-4000 ปีก่อนคริสต์ศักราช
และมีบางส่วนอยู่ในยุโรปตะวันตกซึ่งมีอายุกว่า 7000 ปี
เพิงหินถูกใช้เพื่อเข้าฌานแบบต่อเนื่อง
ซึ่งเป็นวิธีหนึ่งสำหรับมนุษย์ที่จะสร้างสะพานเชื่อมระหว่างโลกภายในและโลกภายนอก
เมื่อบุคคลเข้าฌานท่ามกลางความมืดสนิทอย่างต่อเนื่อง
ในที่สุดเขาก็จะเริ่มสังเกตเห็นพลังภายในหรือแสงเมื่อดวงตาที่สามใช้งานได้
จังหวะวงจรชีวิต (circadian rhythm) ซึ่งถูกควบคุมโดยการโคจรของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์
ไม่ได้ควบคุมการทำงานของร่างกายอีกต่อไป
จักระที่เจ็ด เมื่อหลายพันปีก่อน
ถูกแทนด้วยสัญลักษณ์ "โอม"
ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่ถูกสร้างขึ้นด้วยเครื่องหมายในภาษาสันสกฤตแสดงถึงธาตุองค์ประกอบต่างๆ
เมื่อกุณฑาลินีขึ้นมาจนอยู่เหนือจักระที่หก
มันเริ่มสร้างรัศมีแห่งพลังงาน (energy halo)
รัศมีปรากฎอย่างสม่ำเสมอในงานวาดรูปทางศาสนาของหลายวัฒนธรรมในทุกที่ทั่วโลก
รัศมี หรือการแสดงออกถึงสัญลักษณ์แห่งพลังงานรอบๆผู้ที่ตื่นแล้ว
เป็นสิ่งสามัญที่พบเห็นได้ในทุกศาสนาและทุกส่วนของโลก
กระบวนวิวัฒนาการแห่งการตื่นของจักระทั้งหลาย
ไม่ใช่กรรมสิทธ์ของคนกลุ่มหนึ่งหรือศาสนาหนึ่ง
มันเป็นสิทธิโดยกำเนิดของมนุษยชาติทุกคนบนดาวดวงนี้
จักระกระหม่อมเป็นที่เชื่อมต่อกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ซึ่งอยู่เหนือทวิลักษณ์
เหนือชื่อเรียกและรูปแบบ
อเคนาเทนคือฟาโรห์ ผู้ซึ่งมีพระมเหสีชื่อเนเฟอร์ตีติ
เขาถูกกล่าวถึงในนามของบุตรแห่งดวงอาทิตย์
เขาค้นพบ "อเทน" หรือคำแห่งพระเจ้าภายในตัวเขา
ซึ่งผสานกุณฑาลินีและความรู้สึกตัวเข้าด้วยกัน
ในประติมานวิทยาของอียิปต์
ในประเพณีของชาวฮินดูและโยคีทั้งหลาย รัศมีนี้เรียกว่า
"สหัสราระ", ดอกบัวพันกลีบ
พระพุทธเจ้าถูกเชื่อมโยงเข้ากับสัญลักษณ์แห่งดอกบัว
รูปแบบการเรียงกลีบในสหัสราระ
มันคือรูปแบบของดอกไม้แห่งชีวิต
เมล็ดพันธุ์แห่งชีวิต
มันเป็นรูปแบบพื้นฐานซึ่งนำไปสู่ความลงตัวของทุกรูปแบบ
มันเป็นรูปร่างของอวกาศ หรือคุณสมบัติโดยกำเนิดของอากาสา
มีครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ที่สัญลักษณ์ดอกไม้แห่งชีวิตถูกเผยแพร่ไปทั่วโลก
พบว่าดอกไม้แห่งชีวิตถูกคุ้มครองไว้โดยสิงโตทั้งหลาย
ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เกือบทั้งหมดในประเทศจีนและสถานที่อื่นๆในเอเชีย
เฮกซาแกรม (hexagrams) จำนวน 64 รูปของอี้จิงที่อยู่รอบๆสัญลักษณ์หยินหยาง
ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่แสดงถึงดอกไม้แห่งชีวิต
ภายในดอกไม้แห่งชีวิต ก็คือพื้นฐานทางเรขาคณิต
สำหรับทุกทรงตันเพลโต (platonic solids)
ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วทุกรูปทรงสามารถเกิดขึ้นได้
ดอกไม้แห่งชีวิตโบราณเริ่มด้วยทรงเรขาคณิต
ของดวงดาวแห่งเดวิด หรือรูปสามเหลี่ยมหงายขึ้นและหงายลงประกบกัน
หรือในรูปทรงสามมิติ สิ่งเหล่านี้จัดอยู่ในโครงสร้างแบบเตตระฮีดรอน (ปิรามิดฐานสามเหลี่ยมสี่หน้า)
สัญลักษณ์นี้คือยันตระ ซึ่งเป็นโปรแกรมชนิดหนึ่งที่ดำรงอยู่ในจักรวาล
เป็นเครื่องจักรที่สร้างโลกแห่งแฟร็คทัลของพวกเรา
ยันตระถูกใช้เป็นเครื่องมือสำหรับปลุกความรู้สึกตัวมาได้กว่าพันปีแล้ว
รูปแบบที่เห็นได้ด้วยตาของยันตระคือการแสดงออกภายนอก
ของกระบวนการภายในแห่งการเผยตัวทางจิตวิญญาณ
มันเป็นเพลงซ่อนเร้นแห่งจักรวาลที่ถูกทำให้มองเห็นได้
ประกอบด้วยรูปทรงเรขาคณิตที่ตัดกันและรูปแบบการแทรกซ้อนต่างๆ
แต่ละจักระคือดอกบัว ยันตระ ศูนย์กลางแห่งจิตและกาย
ที่ซึ่งได้รับประสบการณ์ของโลกทั้งโลกผ่านมัน
ยันตระตามประเพณี เช่นแบบที่พบในประเพณีทิเบต
ได้ถูกสวมไว้ด้วยหลากชั้นแห่งความหมายอันอุดม
ซึ่งบางครั้งก็รวมเข้าไว้ในวิสัยทัศน์แห่งจักรวาลและโลกอย่างสมบูรณ์แบบ
ยันตระคือรูปแบบของการพัฒนาอย่างคงที่
ซึ่งทำงานผ่านพลังแห่งการเกิดซ้ำ หรือการทำซ้ำของวัฏจักร
พลังของยันตระคือทุกอย่างแต่มันได้สูญหายไปแล้วในโลกปัจจุบัน
เพราะพวกเราค้นหาความหมายเพียงในรูปแบบภายนอก
และพวกเราก็ไม่ได้เชื่อมต่อกับพลังภายในของเราผ่านเจตนา
มันมีเหตุผลทีเดียวที่นักบวช พระ และโยคี
ตามประเพณีแล้วต้องอยู่เป็นโสด
ทุกวันนี้ก็เป็นอย่างนั้นแต่มีเพียงจำนวนน้อยที่รู้ว่าทำไมพวกเขาต้องฝึกละเว้นการมีเพศสัมพันธ์
เพราะจุดประสงค์ที่แท้จริงได้สูญหายไปแล้ว
อธิบายง่ายๆ หากพลังงานของเธอถูกใช้ไปในการผลิตตัวอสุจิหรือไข่เสียแล้ว
กรณีอย่างนี้ย่อมมีเชื้อเพลิงเหลือไม่มากที่จะส่งกุณฑาลินีให้พุ่งขึ้น
เพื่อไปกระตุ้นจักระต่างๆที่อยู่สูงขึ้นไป
กุณฑาลินีคือพลังชีวิต ซึ่งก็คือพลังทางเพศด้วย
เมื่อความตระหนักรู้มุ่งไปที่แรงเร้าแห่งสัตว์น้อยลง
และถูกวางไว้ในวัตถุที่สะท้อนถึงจักระต่างๆที่อยู่สูงกว่า
พลังจะไหลผ่านกระดูกสันหลังขึ้นไปสู่จักระทั้งหลายเหล่านั้น
แบบฝึกหัดตันตระจำนวนมากสอนวิธีควบคุมพลังเพศ
ดังนั้นมันจึงสามารถใช้เพื่อวิวัฒนาการทางจิตวิญญาณในระดับสูงกว่า
สภาวะแห่งการรู้สึกตัวของเธอสร้างเงื่อนไขที่เหมาะสม
สำหรับพลังงานของเธอให้มีความสามารถในการเติบโต
การเข้าสู่ภาวะแห่งการรู้สึกตัวใช้เวลาไม่นาน
อย่างที่ เอกฮาร์ต โทลเล่ กล่าวว่า "ความตระหนักรู้และการดำรงอยู่เกิดขึ้นในปัจจุบันขณะเสมอ"
หากเธอกำลังพยายามกระทำบางสิ่งให้เกิดขึ้น
นั่นคือเธอกำลังสร้างแรงต้านทานสิ่งที่กำลังเป็นอยู่
มันคือการกำจัดแรงต้านทั้งหมด
ที่ยอมให้พลังแห่งวิวัฒนาการเผยตัวออกมา
ในวัฒนธรรมโยคะโบราณ ท่าร่างต่างๆของโยคะถูกใช้
เพื่อเตรียมร่างกายให้พร้อมสำหรับเข้าฌาน
หฐโยคะไม่ได้เจตนาให้เป็นการออกกำลังกายเสียทั้งหมด
แต่เป็นวิธีเชื่อมโลกภายในและโลกภายนอกของบุคคล
คำสันสกฤตว่า "หฐ" หมายถึงดวงอาทิตย์ "ห" และดวงจันทร์ "ฐ"
ในโยคะดั้งเดิมพระสูตรของปตัญชลี
มีองค์แปดแห่งโยคะ
ซึ่งมีผู้นำมาเทียบเคียงกับมรรคแปดแห่งพระพุทธเจ้า
ในแง่ของความเป็นอิสระจากความทุกข์ทรมาน
เมื่อขั้วทั้งสองของโลกแห่งทวิลักษณ์อยู่ในสมดุล
สิ่งที่สามได้ถือกำเนิดขึ้น
เราพบกุญแจทองอันลึกลับที่ไข
พลังแห่งวิวัฒนาการของธรรมชาติ
การสังเคราะห์กันของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เช่นนี้ คือพลังแห่งวิวัฒนาการของพวกเรา
เพราะมนุษย์ในปัจจุบันถูกนิยามอย่างผูกขาด
ด้วยความคิดของพวกเขาและโลกภายนอก
น้อยนักที่บุคคลจะเข้าถึงสมดุลของแรงภายในและภายนอก
ซึ่งจะยอมให้กุณฑาลินีตื่นขึ้นเองตามธรรมชาติ
สำหรับผู้ซึ่งให้นิยามโดยใช้เฉพาะสิ่งลวงตา
กุณฑาลินีย่อมเป็นเพียงการอุปมา
ความคิดเห็น
มากกว่าที่จะเป็นประสบการณ์ตรงแห่งพลังงานและความรู้สึกตัวของบุคคล
ตอนที่ 3 งูและดอกบัว
น่าจะมีความรู้เรื่องจักระและกุณฑาลินี
ในทุกประเพณีปฏิบัติมีช่วงเวลาที่ผู้บำเพ็ญต้องเข้าไปอยู่ในความมืดเพียงลำพัง
ที่เห็นบนศรีษะของพระเจ้าหรือผู้ที่ตื่นรู้แล้ว
อีกครั้งหนึ่ง ที่ความรู้สึกตัวอันถูกปลุกจนตื่นแล้วถูกแสดงด้วยดวงอาทิตย์
เป็นรูปแบบเดียวกับที่พบในดอกบัวบาน
ซึ่งพวกมันใช้สำหรับตรวจจับนักล่าจากด้านบน
และจังหวะใหม่ได้ถูกสร้างขึ้นแล้ว