-
ผมมีคำถามให้คุณ
-
คิดว่าฮัมเพลงจาก Star War ได้หรือไม่
-
แล้ว James Bond ล่ะ
-
Harry Potter ล่ะ
-
คำถามสุดท้าย : ฮัมเพลงจาก
หนังของ Marvel ได้ไหม
-
ผมเป็นแฟนพันธ์ุแท้ Marvel เลยแหละ
แต่ผมคิดว่าผม....
-
ผมคิดไม่ออกสักเพลงเลย
-
ไม่อ่ะ
ไม่เหมือนกัน
-
คิดว่าน่าจะรู้นะ แต่ก็ไม่
-
เวรล่ะ
-
ฉันไม่คิดว่าจะมีนะ Theme Song เนี่ย
-
ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะ
-
เพราะว่าจักรวาล Marvel เป็นแฟรนไชส์ที่
ทำเงินได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์
-
มากกว่า Star Wars
มากกว่า James Bond อีก
-
มากกว่า Harry Potter ด้วย
-
แล้วอะไรที่หายไป
-
ปัญหาแรกเลยคือ
เพลงส่วนมากปลุกอารมณ์คนดูไม่ได้
-
มาดูฉากนี้จาก Iron Man ภาคแรก
-
วันที่ 11 การทดลองที่ 37
เวอร์ชั่น 2.0
-
ไม่มีความเห็นดีกว่านี้
งั้นเตรียมดับไฟหุ่น
-
ถ้าฉันไม่ได้ติดไฟแล้วแกพ่นใส่ฉันนะ
จะบริจาคให้วัด
-
เรียบร้อยนะ ช้าๆ นิ่มๆ
-
มันเบามากก
ลองฟังอีกที
-
แต่ครั้งนี้มีแค่ดนตรี
-
คุณรู้สึกมีอารมณ์ร่วมไหม
-
แล้วถ้าเราเอาดนตรีออกล่ะ
-
วันที่ 11 การทดลองที่ 37
เวอร์ชั่น 2.0
-
ไม่มีความเห็นดีกว่านี้
งั้นเตรียมดับไฟหุ่น
-
ถ้าฉันไม่ได้ติดไฟแล้วแกพ่นใส่ฉันนะ
จะบริจาคให้วัด
-
เรียบร้อยนะ ช้าๆ นิ่มๆ
-
ฉากนี้ทำได้ดีเลย
ไม่ต้องใช้ดนตรีประกอบด้วย
-
นี่แหละทำไมคุณถึงไม่ได้สนได้ดนตรีเลย
-
เหมือนเป็นเครื่องปรับอากาศในพื้นหลัง
เมื่อฟังสักพักจะไม่สนใจมันอีกเลย
-
อีกปัญหาหนึ่งก็คือใช้ดนตรีที่คาดเดาได้
-
ดังนั้นสิ่งที่คุณเห็นคือสิ่งที่ได้
-
ถ้าคุณเห็นอะไรสนุกๆ
คุณจะได้ยินดนตรีสนุกๆ
-
ถ้าคุณเห็นอะไรเศร้าๆ
คุณจะได้ยินดนตรีเศร้าๆ
-
มันเป็นวิธีเซฟๆในการทำสกอร์หนัง
เพราะมันให้สิ่งที่คนคาดหวังอยู่แล้ว
-
เพลงก็แค่ทำงานตรงไปตรงมาตามภาพ
-
ถ้าคนในฉากดูกลัว คนก็จะได้ยิน :
-
และนี่ ก็คือเหตุผลที่สองที่ทำให้สกอร์ไม่น่าจดจำ
-
มันไม่ท้าทายความคาดหวังของคนดู
-
แต่บางครั้ง หนังของ Marvel ก็มีเพลงที่โดดเด้งขึ้นมา
-
แค่คนทำหนังเขาไม่อยากให้เราได้ยินมัน
-
พวกเขาจะกลบมันด้วยเสียงอย่างนี้ :
-
[เขาถูกปฏิเสธการเป็นทหารเพราะปัญหาสุขภาพ]
-
[Steven Rogers กลับได้รับเลือกเข้าสู่โปรแกรมสำคัญ
ในการรบของอเมริกา]
-
[โปรแกรมที่เปลี่ยนเขาให้เป็น
ทหารที่เหนือใครคนแรกของโลก]
-
บทบรรยายนี้บอกในสิ่งที่เรารู้อยู่แล้ว
-
และเบี่ยงเบนเราจากอารมณ์ของซีน
-
แล้วถ้าเราจะไม่ทำอย่างนั้นล่ะ?
-
คุณรู้สึกถึงความต่างไหม?
-
เพลงประกอบเป็นเรื่องที่พึ่งรสนิยมส่วนบุคคลอย่างมาก
และยังพึ่งพาเทรนด์ของยุคสมัยด้วย
-
ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา
รสนิยมต่อเรื่องนี้เปลี่ยนแปลงไป
-
ทุกวันนี้ คนทำหนังส่วนใหญ่คิดว่า
เพลงประกอบควรจะเป็นสิ่งที่คนไม่สังเกตถึง
-
[นั่นเป็นคำพูดที่ผมได้ยินบ่อยมากๆ]
-
["คนไม่ควรสังเกตมันได้"]
-
[ก็อาจจะใช่ แต่ทำไมเราต้องจำมันไม่ได้ล่ะ?]
-
[ผมเติบโตมากับหนัง Hitchcock และผมจำเพลง
ที่ Bernard Herrmann ทำได้ทุกโน้ต]
-
[ผมเลยรู้สึกยากที่จะเข้าใจ
ว่าทำไมมันถึงเป็นเรื่องที่ทุกคนคิด]
-
[ต่อความสัมพันธ์ของเพลงกับหนัง]
-
มีเรื่องสำคัญเรื่องนึงที่เรายังไม่ได้พูดถึง
-
ทุกวันนี้ การทำสกอร์ในอุตสาหกรรมหนัง
เป็นไปตามขั้นตอนแบบนึง
-
และขั้นตอนนั้น เริ่มต้นจากสิ่งที่เราควรจะถกเถียงกัน
-
[Danny ก่อนหน้านี้คุณเคยบ่นเมื่อมีคนพูดถึงสกอร์ไกด์
อะไรคือสิ่งดีและไม่ดีของมัน?]
-
[สำหรับผม สกอร์ไกด์คือสิ่งที่ทำลายตัวตนของผม]
-
[หน้าที่ผมคือ การทำให้ผกก.
ลืมทุกสิ่งที่มาจากสกอร์ไกด์ให้ได้]
-
[ผมจะฟังมันแค่รอบเดียว ไม่มีครั้งที่สอง]
-
[ถ้าผกก.ติดหล่มไปกับมันแล้ว
คราวนี้ก็เป็นงานยากของผม]
-
ย้อนกลับมาสักนิด :
-
สกอร์ไกด์คือการที่คุณยืมเพลงจากหนังเรื่องอื่นมาใช้ตอนตัด
มาวางชั่วคราวก่อน แบบนี้:
-
สกอร์ไกด์ ควรจะต้องถูกแทนที่ด้วยสกอร์จริง
ที่คอมโพเซอร์ทำให้หนังเรื่องนั้นๆ
-
แต่หลายครั้ง ผกก.และโปรดิวเซอร์กลับบอกให้
คอมโพเซอร์ ลอกมัน
-
เท่าที่รู้ นี่คือครั้งเดียวที่ผมเห็นสตูดิโอ
ยอมรับและขอโทษเป็นทางการ
-
กับการลอกสกอร์คนอื่น
-
สิ่งนี้แพร่ระบาดไปทั่ววงการ
-
หนังฟอร์มยักษ์ทั้งหลาย ต่างลอกสกอร์กันไปมา
-
ซึ่งมันเลยออกมาเหมือนกันไปหมด
แค่ทำในแบบที่จะไม่โดนฟ้อง
-
ยิ่งหนัง Marvel ได้รับความนิยม
-
หนังอื่นก็เลยมีสกอร์เหมือนหนัง Marvel ไปหมด
-
ผมอยากจะเน้นว่า
เราไม่โทษไปที่คอมโพสเซอร์
-
ระบบต่างหากที่ทำให้มันเป็นแบบนี้
-
ก่อนยุคของการใช้สกอร์ไกด์
-
ผกก.มักจะใช้การอ้างอิงเพลงจากหลายๆแหล่ง
เพื่อทำความเข้าใจกับคนทำเพลง
-
แต่สิ่งที่สร้างความเปลี่ยนแปลงคือ
การตัดต่อด้วยคอมพิวเตอร์
-
ซึ่งให้โอกาสผกก.วางเพลงที่ชอบตั้งแต่ช่วงตัดต่อ
-
และผกก.ก็จะจิ้มไปที่ไกด์และบอกให้
"ทำตามนี้แหละ"
-
มันอาจไม่ใช่ว่าเพลงนั้นดีที่สุด
-
แต่เป็นเพราะพวกเขา คุ้นกับมันที่สุดตะหาก
-
[ในตอนทำโพสท์ มันมีหลายครั้งที่เราทำอะไรวนไปวนมา]
-
[เปลี่ยนไอเดียกันไปมา มีความคิดใหม่ๆ เวอร์ชั่นใหม่ๆ]
-
[แต่สุดท้ายเราก็ต้องใช้เพลงเดิม
เพราะเพลงมันเหมือนติดอยู่กับภาพไปแล้ว]
-
[เขาอาจจะต้องทำงานกันสักปีก่อนคุณจะเข้ามาทำนะ]
-
[ยังไงก็ตาม พอเราลองเอาเพลงพวกนั้นออก
กลายเป็นว่าคัตติ้งหนังมันไม่ดีไปซะงั้น]
-
[เพราะเขาตัดหนังไปกับ...
เฮ้อ! มันน่าหงุดหงิด]
-
ส่วนนึงของความน่าหงุดหงิด
มาจากการใช้ซ้ำของคนทำงาน
-
ของที่ใช้ไปแล้วกับหนังเรื่องอื่น
ซึ่งมันทำให้งานเราจบลงกับสิ่งที่น่าเบื่อที่สุด
-
จำนี่ได้ไหม?
-
งั้นลองสิ่งที่ต่างออกไปดู
-
ตอนต้นของหนังเรื่องนี้
Thor เกลี้ยกล่อมเพื่อนๆให้ทำสิ่งผิดกฏหมาย
-
แล้วเขาก็ถูกแบน
-
พอช่วงนี้ของหนัง พวกเพื่อนก็ทำสิ่งผิดกฏหมาย
เพื่อตามหาเขา
-
เขาไม่ได้ร้องขอความช่วยเหลือ
แต่พวกนั้นเต็มใจทำเอง
-
ถ้าเรารู้สึกถึงสิ่งนี้ได้จากเพลงล่ะ?
-
ผมไม่ได้บอกว่านี่คือสิ่งที่ถูกที่สุดนะ
แต่ก็น่าลองแล้วกัน
-
เพราะมันทำให้ความรู้สึกของซีนอิ่มขึ้น
-
และทุกสิ่งที่ว่ามา มีให้เห็นในหนัง Marvel :
-
เสียงแบคกราวด์ เพลงตามภาพ ใส่เสียงบรรยาย
แม้แต่สกอร์ไกด์
-
ทั้งหมดเกิดขึ้นจากความต้องการเดียว :
ทำทุกอย่างแบบปลอดภัย
-
เพลงนี้ไม่ได้แย่ตรงไหน แค่มันจืดและไร้รสนิยม
-
และเพราะ Marvel เลือกที่จะแลกความอิ่มของอารมณ์
ไปกับการสร้างเซฟโซน
-
ผลลัพท์จึงเป็นแบบนี้
-
[โอ้ มาร์เวล?]
[เอ่อ ไม่อะ]
-
แล้วอะไรที่ขาดหายไปในเพลงหนัง Marvel
ความเสี่ยงไง
-
ความเสี่ยงที่จะสร้างความลึกทางอารมณ์กับคนดู
ที่จะทำให้เขาจดจำเพลงในหนังได้
-
คนดู จะไม่จำอะไรเซฟๆ
-
คนจะจำเพลงที่แข็งแรงและเป็นตัวของตัวเอง
-
แต่เรายังเจอสิ่งที่ Marvel ทำให้คนดู
เกิดปฏิกิริยาแบบนี้ได้
-
[Spiderman ! Spiderman ! Friendly
neighborhood Spiderman !]
-
[Spins web any size, catch thieves, just like flies.
Look out ! Here comes Spider-man!]
-
[Is he strong?
Listen bud, he's got radioactive blood.]
-
[Can he swing from a thread
Take a look overhead.]
-
[Hey there
There goes the Spiderman.]
-
[In the chill of night
At the scene of a crime]
-
[Like a streak of light
He arrives just in time]
-
[Spiderman, Spiderman, Friendly neighborhood Spiderman,
Wealth and fame, He's ignored, Action is his reward]
-
[To him, life is a great big bang up.
Wherever there's a hang up, You'll find the Spider man]
-
นั่นมันน่าเหลือเชื่อจริงๆ! ขอบคุณมากครับ!