ผมมีคำถามให้คุณ คิดว่าฮัมเพลงจาก Star War ได้หรือไม่ แล้ว James Bond ล่ะ Harry Potter ล่ะ คำถามสุดท้าย : ฮัมเพลงจาก หนังของ Marvel ได้ไหม ผมเป็นแฟนพันธ์ุแท้ Marvel เลยแหละ แต่ผมคิดว่าผม.... ผมคิดไม่ออกสักเพลงเลย ไม่อ่ะ ไม่เหมือนกัน คิดว่าน่าจะรู้นะ แต่ก็ไม่ เวรล่ะ ฉันไม่คิดว่าจะมีนะ Theme Song เนี่ย ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะ เพราะว่าจักรวาล Marvel เป็นแฟรนไชส์ที่ ทำเงินได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ มากกว่า Star Wars มากกว่า James Bond อีก มากกว่า Harry Potter ด้วย แล้วอะไรที่หายไป ปัญหาแรกเลยคือ เพลงส่วนมากปลุกอารมณ์คนดูไม่ได้ มาดูฉากนี้จาก Iron Man ภาคแรก วันที่ 11 การทดลองที่ 37 เวอร์ชั่น 2.0 ไม่มีความเห็นดีกว่านี้ งั้นเตรียมดับไฟหุ่น ถ้าฉันไม่ได้ติดไฟแล้วแกพ่นใส่ฉันนะ จะบริจาคให้วัด เรียบร้อยนะ ช้าๆ นิ่มๆ มันเบามากก ลองฟังอีกที แต่ครั้งนี้มีแค่ดนตรี คุณรู้สึกมีอารมณ์ร่วมไหม แล้วถ้าเราเอาดนตรีออกล่ะ วันที่ 11 การทดลองที่ 37 เวอร์ชั่น 2.0 ไม่มีความเห็นดีกว่านี้ งั้นเตรียมดับไฟหุ่น ถ้าฉันไม่ได้ติดไฟแล้วแกพ่นใส่ฉันนะ จะบริจาคให้วัด เรียบร้อยนะ ช้าๆ นิ่มๆ ฉากนี้ทำได้ดีเลย ไม่ต้องใช้ดนตรีประกอบด้วย นี่แหละทำไมคุณถึงไม่ได้สนได้ดนตรีเลย เหมือนเป็นเครื่องปรับอากาศในพื้นหลัง เมื่อฟังสักพักจะไม่สนใจมันอีกเลย อีกปัญหาหนึ่งก็คือใช้ดนตรีที่คาดเดาได้ ดังนั้นสิ่งที่คุณเห็นคือสิ่งที่ได้ ถ้าคุณเห็นอะไรสนุกๆ คุณจะได้ยินดนตรีสนุกๆ ถ้าคุณเห็นอะไรเศร้าๆ คุณจะได้ยินดนตรีเศร้าๆ มันเป็นวิธีเซฟๆในการทำสกอร์หนัง เพราะมันให้สิ่งที่คนคาดหวังอยู่แล้ว เพลงก็แค่ทำงานตรงไปตรงมาตามภาพ ถ้าคนในฉากดูกลัว คนก็จะได้ยิน : และนี่ ก็คือเหตุผลที่สองที่ทำให้สกอร์ไม่น่าจดจำ มันไม่ท้าทายความคาดหวังของคนดู แต่บางครั้ง หนังของ Marvel ก็มีเพลงที่โดดเด้งขึ้นมา แค่คนทำหนังเขาไม่อยากให้เราได้ยินมัน พวกเขาจะกลบมันด้วยเสียงอย่างนี้ : [เขาถูกปฏิเสธการเป็นทหารเพราะปัญหาสุขภาพ] [Steven Rogers กลับได้รับเลือกเข้าสู่โปรแกรมสำคัญ ในการรบของอเมริกา] [โปรแกรมที่เปลี่ยนเขาให้เป็น ทหารที่เหนือใครคนแรกของโลก] บทบรรยายนี้บอกในสิ่งที่เรารู้อยู่แล้ว และเบี่ยงเบนเราจากอารมณ์ของซีน แล้วถ้าเราจะไม่ทำอย่างนั้นล่ะ? คุณรู้สึกถึงความต่างไหม? เพลงประกอบเป็นเรื่องที่พึ่งรสนิยมส่วนบุคคลอย่างมาก และยังพึ่งพาเทรนด์ของยุคสมัยด้วย ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา รสนิยมต่อเรื่องนี้เปลี่ยนแปลงไป ทุกวันนี้ คนทำหนังส่วนใหญ่คิดว่า เพลงประกอบควรจะเป็นสิ่งที่คนไม่สังเกตถึง [นั่นเป็นคำพูดที่ผมได้ยินบ่อยมากๆ] ["คนไม่ควรสังเกตมันได้"] [ก็อาจจะใช่ แต่ทำไมเราต้องจำมันไม่ได้ล่ะ?] [ผมเติบโตมากับหนัง Hitchcock และผมจำเพลง ที่ Bernard Herrmann ทำได้ทุกโน้ต] [ผมเลยรู้สึกยากที่จะเข้าใจ ว่าทำไมมันถึงเป็นเรื่องที่ทุกคนคิด] [ต่อความสัมพันธ์ของเพลงกับหนัง] มีเรื่องสำคัญเรื่องนึงที่เรายังไม่ได้พูดถึง ทุกวันนี้ การทำสกอร์ในอุตสาหกรรมหนัง เป็นไปตามขั้นตอนแบบนึง และขั้นตอนนั้น เริ่มต้นจากสิ่งที่เราควรจะถกเถียงกัน [Danny ก่อนหน้านี้คุณเคยบ่นเมื่อมีคนพูดถึงสกอร์ไกด์ อะไรคือสิ่งดีและไม่ดีของมัน?] [สำหรับผม สกอร์ไกด์คือสิ่งที่ทำลายตัวตนของผม] [หน้าที่ผมคือ การทำให้ผกก. ลืมทุกสิ่งที่มาจากสกอร์ไกด์ให้ได้] [ผมจะฟังมันแค่รอบเดียว ไม่มีครั้งที่สอง] [ถ้าผกก.ติดหล่มไปกับมันแล้ว คราวนี้ก็เป็นงานยากของผม] ย้อนกลับมาสักนิด : สกอร์ไกด์คือการที่คุณยืมเพลงจากหนังเรื่องอื่นมาใช้ตอนตัด มาวางชั่วคราวก่อน แบบนี้: สกอร์ไกด์ ควรจะต้องถูกแทนที่ด้วยสกอร์จริง ที่คอมโพเซอร์ทำให้หนังเรื่องนั้นๆ แต่หลายครั้ง ผกก.และโปรดิวเซอร์กลับบอกให้ คอมโพเซอร์ ลอกมัน เท่าที่รู้ นี่คือครั้งเดียวที่ผมเห็นสตูดิโอ ยอมรับและขอโทษเป็นทางการ กับการลอกสกอร์คนอื่น สิ่งนี้แพร่ระบาดไปทั่ววงการ หนังฟอร์มยักษ์ทั้งหลาย ต่างลอกสกอร์กันไปมา ซึ่งมันเลยออกมาเหมือนกันไปหมด แค่ทำในแบบที่จะไม่โดนฟ้อง ยิ่งหนัง Marvel ได้รับความนิยม หนังอื่นก็เลยมีสกอร์เหมือนหนัง Marvel ไปหมด ผมอยากจะเน้นว่า เราไม่โทษไปที่คอมโพสเซอร์ ระบบต่างหากที่ทำให้มันเป็นแบบนี้ ก่อนยุคของการใช้สกอร์ไกด์ ผกก.มักจะใช้การอ้างอิงเพลงจากหลายๆแหล่ง เพื่อทำความเข้าใจกับคนทำเพลง แต่สิ่งที่สร้างความเปลี่ยนแปลงคือ การตัดต่อด้วยคอมพิวเตอร์ ซึ่งให้โอกาสผกก.วางเพลงที่ชอบตั้งแต่ช่วงตัดต่อ และผกก.ก็จะจิ้มไปที่ไกด์และบอกให้ "ทำตามนี้แหละ" มันอาจไม่ใช่ว่าเพลงนั้นดีที่สุด แต่เป็นเพราะพวกเขา คุ้นกับมันที่สุดตะหาก [ในตอนทำโพสท์ มันมีหลายครั้งที่เราทำอะไรวนไปวนมา] [เปลี่ยนไอเดียกันไปมา มีความคิดใหม่ๆ เวอร์ชั่นใหม่ๆ] [แต่สุดท้ายเราก็ต้องใช้เพลงเดิม เพราะเพลงมันเหมือนติดอยู่กับภาพไปแล้ว] [เขาอาจจะต้องทำงานกันสักปีก่อนคุณจะเข้ามาทำนะ] [ยังไงก็ตาม พอเราลองเอาเพลงพวกนั้นออก กลายเป็นว่าคัตติ้งหนังมันไม่ดีไปซะงั้น] [เพราะเขาตัดหนังไปกับ... เฮ้อ! มันน่าหงุดหงิด] ส่วนนึงของความน่าหงุดหงิด มาจากการใช้ซ้ำของคนทำงาน ของที่ใช้ไปแล้วกับหนังเรื่องอื่น ซึ่งมันทำให้งานเราจบลงกับสิ่งที่น่าเบื่อที่สุด จำนี่ได้ไหม? งั้นลองสิ่งที่ต่างออกไปดู ตอนต้นของหนังเรื่องนี้ Thor เกลี้ยกล่อมเพื่อนๆให้ทำสิ่งผิดกฏหมาย แล้วเขาก็ถูกแบน พอช่วงนี้ของหนัง พวกเพื่อนก็ทำสิ่งผิดกฏหมาย เพื่อตามหาเขา เขาไม่ได้ร้องขอความช่วยเหลือ แต่พวกนั้นเต็มใจทำเอง ถ้าเรารู้สึกถึงสิ่งนี้ได้จากเพลงล่ะ? ผมไม่ได้บอกว่านี่คือสิ่งที่ถูกที่สุดนะ แต่ก็น่าลองแล้วกัน เพราะมันทำให้ความรู้สึกของซีนอิ่มขึ้น และทุกสิ่งที่ว่ามา มีให้เห็นในหนัง Marvel : เสียงแบคกราวด์ เพลงตามภาพ ใส่เสียงบรรยาย แม้แต่สกอร์ไกด์ ทั้งหมดเกิดขึ้นจากความต้องการเดียว : ทำทุกอย่างแบบปลอดภัย เพลงนี้ไม่ได้แย่ตรงไหน แค่มันจืดและไร้รสนิยม และเพราะ Marvel เลือกที่จะแลกความอิ่มของอารมณ์ ไปกับการสร้างเซฟโซน ผลลัพท์จึงเป็นแบบนี้ [โอ้ มาร์เวล?] [เอ่อ ไม่อะ] แล้วอะไรที่ขาดหายไปในเพลงหนัง Marvel ความเสี่ยงไง ความเสี่ยงที่จะสร้างความลึกทางอารมณ์กับคนดู ที่จะทำให้เขาจดจำเพลงในหนังได้ คนดู จะไม่จำอะไรเซฟๆ คนจะจำเพลงที่แข็งแรงและเป็นตัวของตัวเอง แต่เรายังเจอสิ่งที่ Marvel ทำให้คนดู เกิดปฏิกิริยาแบบนี้ได้ [Spiderman ! Spiderman ! Friendly neighborhood Spiderman !] [Spins web any size, catch thieves, just like flies. Look out ! Here comes Spider-man!] [Is he strong? Listen bud, he's got radioactive blood.] [Can he swing from a thread Take a look overhead.] [Hey there There goes the Spiderman.] [In the chill of night At the scene of a crime] [Like a streak of light He arrives just in time] [Spiderman, Spiderman, Friendly neighborhood Spiderman, Wealth and fame, He's ignored, Action is his reward] [To him, life is a great big bang up. Wherever there's a hang up, You'll find the Spider man] นั่นมันน่าเหลือเชื่อจริงๆ! ขอบคุณมากครับ!