< Return to Video

การพัฒนาแบบอไจล์ สำหรับครอบครัวของคุณ

  • 0:01 - 0:05
    ข่าวดีเกี่ยวกับเรื่องครอบครัวก็คือ
  • 0:05 - 0:06
    ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก
  • 0:06 - 0:08
    ในความหมายของครอบครัว ใน 50 ปีที่ผ่านมา
  • 0:08 - 0:11
    เรามีครอบครัวผสม ครอบครัวบุญธรรม
  • 0:11 - 0:14
    เรามีครอบครัวเดี่ยวที่แยกกันอยู่คนละบ้าน
  • 0:14 - 0:16
    และก็มีครอบครัวที่หย่าร้างกันแล้ว
    แต่อยู่รวมกันในบ้านเดียว
  • 0:16 - 0:19
    แต่โดยรวมๆ แล้ว สถาบันครอบครัวเข้มแข็งมากขึ้น
  • 0:19 - 0:21
    คน 8 ใน 10 คนบอกว่า ครอบครัวที่มีในวันนี้
  • 0:21 - 0:25
    มีความเข้มแข็งเท่ากัน หรือมากกว่าครอบครัวที่เขาเติบโตมา
  • 0:26 - 0:27
    ทีนี้ก็มาถึงข่าวร้ายบ้าง
  • 0:27 - 0:30
    แทบทุกคนต่างก็เผชิญปัญหามากมาย เกินรับไหว
  • 0:30 - 0:33
    กับความวุ่นวายยุ่งเหยิงในชีวิตครอบครัว
  • 0:33 - 0:35
    ผู้ปกครองทุกคนที่ผมรู้จัก รวมถึงตัวผมเองด้วย
  • 0:35 - 0:37
    รู้สึกว่าเราต้องเล่นเกมรับอยู่ตลอดเวลา
  • 0:37 - 0:40
    พอลูกๆ หมดปัญหาเรื่องฟัน ก็เริ่มมีปัญหาเรื่องเจ้าอารมณ์
  • 0:40 - 0:42
    พอเด็กๆ พอจะช่วยตัวเองได้แล้วเรื่องการอาบน้ำ
  • 0:42 - 0:45
    ก็จะเริ่มต้องการความช่วยเหลือเรื่องการถูกรังแกทางเน็ต
  • 0:45 - 0:47
    และข่าวร้ายที่สุดก็คือ
  • 0:47 - 0:51
    ลูกๆ ของพวกเราก็รับรู้ได้ว่า เราเริ่มคุมเกมไม่อยู่แล้ว
  • 0:51 - 0:54
    เอลเลน กาลินสกี้ แห่งสถาบันครอบครัวและอาชีพ
  • 0:54 - 0:57
    ได้สำรวจเด็กๆ 1,000 คน โดยถามว่า
    "ถ้าหนูมีพรวิเศษ
  • 0:57 - 1:00
    ขอได้หนึ่งอย่างเกี่ยวกับพ่อแม่ หนูจะขออะไร?"
  • 1:00 - 1:02
    พวกผู้ใหญ่ก็คาดเดากันว่า เด็กๆ น่าจะขอ
  • 1:02 - 1:05
    ให้ผู้ใหญ่ใช้เวลากับพวกเขามากขึ้น
  • 1:05 - 1:09
    ผิดครับ ความปรารถนาอันดับแรกของเด็กๆ ก็คือ
  • 1:09 - 1:12
    ขอให้พ่อแม่ของพวกเขา เหนื่อยและเครียดน้อยกว่านี้
  • 1:12 - 1:14
    แล้วเราจะเปลี่ยนสถานการณ์นี้ได้อย่างไร?
  • 1:14 - 1:17
    มีวิธีไหนที่ได้ผลบ้างไหม ที่เราจะลดความเครียด
  • 1:17 - 1:19
    นำพาให้ครอบครัวใกล้ชิดกันมากขึ้น
  • 1:19 - 1:24
    และยังช่วยเตรียมความพร้อมให้ลูกๆ ของเราที่จะเผชิญโลกต่อไป
  • 1:24 - 1:27
    ผมใช้เวลาในช่วงหลายปีที่ผ่านมา พยายามหาคำตอบ
  • 1:27 - 1:31
    เดินทางพบปะหลากหลายครอบครัว
    พูดคุยกับนักวิชาการ
  • 1:31 - 1:33
    ผู้เชี่ยวชาญหลายสาขาตั้งแต่ ผู้แทนเจรจาสันติภาพ
  • 1:33 - 1:35
    ไปจนถึงนักธนาคารของวอเร็น บัฟเฟต
    รวมไปถึงพวกกรีนแบร์เร่
  • 1:35 - 1:41
    ผมพยายามที่จะค้นหาว่า ครอบครัวที่มีความสุข
    ทำกันได้อย่างไร
  • 1:41 - 1:45
    และผมสามารถเรียนรู้อะไรบ้าง
    เพื่อทำให้ครอบครัวมีความสุขมากขึ้น
  • 1:45 - 1:48
    ผมอยากเล่าให้ฟังถึงครอบครัวหนึ่งที่ผมพบ
  • 1:48 - 1:50
    และทำไมผมถึงคิดว่า พวกเขาชี้ทางสว่างให้ได้
  • 1:50 - 1:53
    ในเมืองฮิดเดนสปริงส์ รัฐไอดาโฮ หนึ่งทุ่มวันอาทิตย์
  • 1:53 - 1:57
    สมาชิกทั้งหกคนของครอบครัวสตารร์ นั่งลงพร้อมกัน
  • 1:57 - 1:59
    เข้าสู่ช่วงสำคัญของสัปดาห์ คือการประชุมครอบครัว
  • 1:59 - 2:01
    ครอบครัวสตารร์เป็นครอบครัวอเมริกันธรรมดา
  • 2:01 - 2:03
    และก็มีปัญหาเหมือนๆ กับครอบครัวอเมริกันอื่นๆ
  • 2:03 - 2:06
    เดวิดเป็นวิศวกรซอฟต์แวร์ ส่วนเอเลนอร์ก็ดูแล
  • 2:06 - 2:10
    ลูกๆ ทั้งสี่คน อายุตั้งแต่ 10 ถึง 15 ขวบ
  • 2:10 - 2:13
    เด็กคนหนึ่งต้องกวดวิชาเลข ที่ฝั่งตรงข้ามของเมือง
  • 2:13 - 2:15
    อีกคนหนึ่งต้องซ้อมกีฬาลาครอสที่อีกด้านของเมือง
  • 2:15 - 2:18
    คนหนึ่งมีอาการแอสเพอร์เกอร์ซินโดรม และมีคนหนึ่งเป็นโรคสมาธิสั้น
  • 2:18 - 2:21
    เอเลนอร์บอกว่า "เราเคยมีชีวิตอยู่อย่างวุ่นวายโกลาหล"
  • 2:21 - 2:25
    สิ่งที่ครอบครัวสตาร์ทำต่อจากนั้น เป็นเรื่องน่าแปลกใจ
  • 2:25 - 2:28
    แทนที่จะขอคำปรึกษาจากเพื่อนหรือญาติ
  • 2:28 - 2:30
    พวกเขากลับมองไปที่ที่ทำงานของเดวิด
  • 2:30 - 2:34
    แล้วหันไปใช้วิธีการพัฒนาซอฟต์แวร์แบบใหม่ เรียกว่า อไจล์
  • 2:34 - 2:36
    วิธีการนี้เริ่มมาจากกลุ่มผู้ผลิตในญี่ปุ่น
  • 2:36 - 2:39
    แพร่หลายมาสู่เหล่าบริษัทหน้าใหม่ในซิลิคอนวัลเลย์
  • 2:39 - 2:42
    การทำงานแบบอไจล์ สมาชิกจะแบ่งเป็นกลุ่มย่อยๆ
  • 2:42 - 2:44
    และทำกิจกรรมต่างๆ ด้วยเวลาที่สั้นมากๆ
  • 2:44 - 2:47
    ดังนั้นแทนที่จะต้องมีการสั่งการจากผู้บริหารมาเป็นทางการ
  • 2:47 - 2:51
    แต่จะทีมต่างก็บริหารงานกันเอง
  • 2:51 - 2:53
    มีการให้คำติชมกันเป็นประจำ มีการรายงานความคืบหน้าทุกวัน
  • 2:53 - 2:55
    มีการทบทวนประจำสัปดาห์ มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
  • 2:55 - 3:00
    เดวิดเล่าว่า เมื่อนำระบบแบบนี้มาใช้ในบ้าน
  • 3:00 - 3:04
    เกิดการสื่อสารกันมากขึ้น โดยเฉพาะในการประชุมครอบครัว
  • 3:04 - 3:06
    ความเครียดลดลง และทำให้ทุกคน
  • 3:06 - 3:09
    มีความสุขมากขึ้น กับการเป็นส่วนหนึ่งของทีมครอบครัว
  • 3:09 - 3:12
    เมื่อผมและภรรยา เริ่มนำการประชุมครอบครัวและเทคนิคอื่นๆ
  • 3:12 - 3:16
    มาลองใช้กับชีวิตเรา ที่มีลูกสาวฝาแฝดอายุตอนนั้น 5 ขวบ
  • 3:16 - 3:21
    มันเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่ที่สุด นับตั้งแต่ลูกสาวของพวกเราเกิดมา
  • 3:21 - 3:23
    และการประชุมเหล่านั้นก็สร้างผลกระทบเป็นอย่างมาก
  • 3:23 - 3:25
    ทั้งๆ ที่มันใช้เวลาแต่ละครั้งแค่ 20 นาทีเท่านั้น
  • 3:25 - 3:27
    อไจล์คืออะไร แล้วมันจะมาช่วยอะไร
  • 3:27 - 3:29
    กับบางอย่างที่แตกต่างไปอย่างชีวิตครอบครัวได้
  • 3:29 - 3:33
    ในปี 1983 เจฟฟ์ ซัสเตอแลนด์ เป็นนักเทคโนโลยี
  • 3:33 - 3:34
    ในบริษัทการเงินแห่งหนึ่งในนิวอิงแลนด์
  • 3:34 - 3:37
    เขาหงุดหงิดเป็นอย่างมากกับวิธีการออกแบบซอฟต์แวร์
  • 3:37 - 3:41
    ตอนนี้บริษัทต่างใช้วิธีการแบบน้ำตก
  • 3:41 - 3:43
    ซึ่งผู้บริการออกคำสั่งที่จะถูกส่งผ่านลงมาเป็นขั้นๆ
  • 3:43 - 3:45
    ไหลมาอย่างช้าๆ สู่เหล่าโปรแกรมเมอร์ด้านล่าง
  • 3:45 - 3:47
    และไม่เคยมีใครได้ปรึกษาเหล่าโปรแกรมเมอร์เลย
  • 3:47 - 3:50
    โครงการต่างๆ ล้มเหลวถึง 83 เปอร์เซ็นต์
  • 3:50 - 3:52
    ผลลัพธ์ที่ได้เทอะทะ และล้าสมัย
  • 3:52 - 3:54
    ไปในทันทีที่พัฒนาเสร็จ
  • 3:54 - 3:57
    ซัตเตอแลนด์ต้องการสร้างระบบที่
  • 3:57 - 4:01
    ไอเดียต่างๆ ไม่ได้เพียงมาจากเบื้องบน แต่สามารถมาจากด้านล่างได้ด้วย
  • 4:01 - 4:04
    และสามารถปรับเปลี่ยนได้ในทันทีทันใด
  • 4:04 - 4:08
    เขาอ่านบทความต่างๆ ในฮาร์วาร์ดบิสิเนสรีวิวย้อนหลังไป 30 ปี
  • 4:08 - 4:10
    ก่อนจะสะดุดใจเข้ากับบทความหนึ่งในปี 1986
  • 4:10 - 4:12
    ชื่อ "วิธีการใหม่ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่"
  • 4:12 - 4:15
    บทความกล่าวถึงสภาพธุรกิจที่เร่งเร็วขึ้น
  • 4:15 - 4:17
    นั่นเป็นเรื่องที่พูดกันเมื่อปี 1986 --
  • 4:17 - 4:21
    และบริษัทที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด มีความยืดหยุ่นสูง
  • 4:21 - 4:23
    มีการอ้างถึงโตโยต้าและแคนอน
  • 4:23 - 4:26
    และเปรียบลักษณะทีมงานที่คล่องตัวเหมือนกับทีมสกรัมรักบี้
  • 4:26 - 4:30
    ซัสเตอแลนด์บอกผมว่า พอเราเจอบทความนั่น
  • 4:30 - 4:32
    เรารู้ว่า "นี่แหละ ใช่เลย"
  • 4:32 - 4:35
    ในระบบของซัสเตอแลนด์ บริษัทต่างๆ จะไม่ใช้
  • 4:35 - 4:38
    การทำโครงการขนาดใหญ่ ที่ต้องใช้เวลาถึงสองปี
  • 4:38 - 4:40
    พวกเขาทำสิ่งต่างๆ เป็นงานย่อยๆ
  • 4:40 - 4:42
    ไม่มีงานไหนที่ใช้เวลานานกว่าสองสัปดาห์
  • 4:42 - 4:44
    แทนที่จะบอกว่า "เอาละ คุณไปกักตัวซุ่มพัฒนางานมา
  • 4:44 - 4:46
    แล้วกลับมาพร้อมกับโทรศัพท์หรือเครือข่ายสังคมที่เสร็จสมบูรณ์"
  • 4:46 - 4:49
    เรากลับบอกว่า "ไปพัฒนามาแค่ส่วนเดียวก่อน"
  • 4:49 - 4:52
    แล้วเอากลับมาคุยกัน เราจะปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์
  • 4:52 - 4:55
    คุณจะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวอย่างรวดเร็ว
  • 4:55 - 4:58
    มาถึงวันนี้ แนวทางอไจล์ถูกใช้ในกว่าร้อยประเทศ
  • 4:58 - 5:01
    และเริ่มแพร่หลายเข้าไปสู่กลุ่มผู้บริหารระดับสูง
  • 5:01 - 5:04
    ผู้คนต่างก็เริ่มใช้เทคนิคเหล่านี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
  • 5:04 - 5:06
    และนำมาประยุกต์ใช้ในครอบครัว
  • 5:06 - 5:08
    มีการเขียนบล็อก มีการเขียนคู่มือ
  • 5:08 - 5:10
    ครอบครัวซัสเตอแลนด์ถึงกับมีการ
  • 5:10 - 5:12
    จัดเทศกาลขอบคุณพระเจ้าด้วยเทคนิคอไจล์
  • 5:12 - 5:14
    โดยมีกลุ่มหนึ่งรับผิดชอบเรื่องอาหาร
  • 5:14 - 5:17
    กลุ่มหนึ่งจัดโต๊ะ และอีกพวกคอยต้อนรับแขกหน้าบ้าน
  • 5:17 - 5:21
    ซัสเตอแลนด์เล่าว่า มันเป็นวันขอบคุณพระเจ้าที่ดีที่สุด
  • 5:21 - 5:24
    เอาละ ลองมาดูปัญหาหนึ่งที่หลายครอบครัวมักเจอ
  • 5:24 - 5:28
    คือความโกลาหลในยามเช้า และดูซิว่าอไจล์จะช่วยได้อย่างไร
  • 5:28 - 5:30
    พื้นฐานสำคัญคือความรับผิดชอบ
  • 5:30 - 5:32
    แต่ละทีมต่างก็ใช้บอร์ดแสดงข้อมูล
  • 5:32 - 5:34
    บอร์ดใหญ่เหล่านี้แสดงความรับผิดชอบของแต่ละคน
  • 5:34 - 5:37
    ครอบครัวสตารร์ ก็นำเอาแนวคิดนี้มาใช้ในบ้าน
  • 5:37 - 5:39
    โดยการสร้างรายการที่ต้องทำยามเช้า
  • 5:39 - 5:41
    โดยที่เด็กๆ แต่ละคนถูกคาดหมายให้ทำงานบ้านแต่ละอย่าง
  • 5:41 - 5:44
    เช้าวันที่ผมไปแวะไปเยี่ยม เอเลนอร์ลงบันไดมา
  • 5:44 - 5:46
    รินกาแฟให้ตัวเองแก้วหนึ่ง แล้วนั่งบนเก้าอี้โยก
  • 5:46 - 5:49
    ระหว่างที่นั่งอยู่นั่น
  • 5:49 - 5:52
    เธอก็คุยกับเด็กๆ แต่ละคน
  • 5:52 - 5:54
    ตอนที่เด็กๆ พากันลงบันไดมาทีละคน
  • 5:54 - 5:56
    เช็คที่รายการ ทำอาหารเช้าของตัวเอง
  • 5:56 - 5:59
    ติ๊กรายการอีกที เอาจานไปใส่เครื่องล้างจาน
  • 5:59 - 6:02
    ติ๊กรายการ ให้อาหารสัตว์เลี้ยง หรือทำกิจวัตรอื่นๆ ที่ต้องทำ
  • 6:02 - 6:04
    ติ๊กรายการอีกที เก็บข้าวของเตรียมตัว
  • 6:04 - 6:07
    แล้วก็ออกไปขึ้นรถโรงเรียนที่มารับ
  • 6:07 - 6:12
    มันเป็นฉากครอบครัวยามเช้าที่น่าอัศจรรย์ที่สุดที่ผมเคยเห็นมา
  • 6:12 - 6:14
    และเมื่อผมโต้แย้งว่า แบบนี้คงไม่เวิร์คที่บ้านผมแน่
  • 6:14 - 6:17
    ลูกๆ ของพวกเราต้องคอยกำกับดูแลมากกว่านี้มาก
  • 6:17 - 6:18
    เอเลนอร์มองมาที่ผม
  • 6:18 - 6:20
    เธอว่า "นั่นเป็นสิ่งที่ฉันเคยคิดเหมือนกัน"
  • 6:20 - 6:21
    "ฉันบอกเดวิดว่า 'อย่าเอางานของเธอมาในครัวฉัน'
  • 6:21 - 6:23
    แต่ฉันเป็นฝ่ายผิด"
  • 6:23 - 6:25
    ผมเลยหันไปหาเดวิด "ทำไมมันถึงได้ผล?"
  • 6:25 - 6:27
    เขาบอกว่า "อย่าได้ดูถูกพลังของการทำแบบนี้"
  • 6:27 - 6:29
    แล้วเขาก็เขียนเครื่องหมายถูก
  • 6:29 - 6:31
    เขาบอกว่า "ในที่ทำงาน ผู้ใหญ่ต่างก็ชอบติ๊กถูก"
  • 6:31 - 6:33
    กับเด็กๆ มันเป็นสวรรค์เลยละ
  • 6:33 - 6:37
    สัปดาห์ที่เราเอารายการเช็คลิสต์ตอนเช้ามาใช้ที่บ้าน
  • 6:37 - 6:41
    มันลดการกรีดร้องของผู้ใหญ่ลงไปได้ตั้งครึ่งนึง
    (เสียงหัวเราะ)
  • 6:41 - 6:44
    แต่การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง ยังไม่เกิดขึ้น
    จนเมื่อเรามีการประชุมครอบครัว
  • 6:44 - 6:47
    โดยการใช้โมเดลอไจล์ เราถามสามคำถาม
  • 6:47 - 6:49
    อะไรเป็นไปได้ดีในครอบครัวเราสัปดาห์นี้
  • 6:49 - 6:54
    อะไรที่ไปได้ไม่ค่อยสวยนัก และอะไรที่เราตกลงกัน
    ว่าจะปรับปรุงในสัปดาห์หน้า
  • 6:54 - 6:55
    ทุกคนต่างก็ออกคำแนะนำ
  • 6:55 - 6:57
    แล้วเราก็เลือกมาสองข้อเพื่อเน้นความสำคัญ
  • 6:57 - 7:01
    และทันใดนั้น สิ่งวิเศษหลายอย่างก็เริ่มพรั่งพรู
    ออกจากปากลูกสาวเรา
  • 7:01 - 7:03
    อะไรที่เป็นไปได้ดีสัปดาห์นี้?
  • 7:03 - 7:06
    เอาชนะความกลัวขี่จักรยาน จัดเตียงของตัวเอง
  • 7:06 - 7:09
    อะไรไม่ค่อยดีนัก? การบ้านเลขของพวกเรา
  • 7:09 - 7:13
    หรือการต้อนรับแขกหน้าบ้าน
  • 7:13 - 7:16
    คงไม่ต่างจากพ่อแม่ทั้งหลาย ลูกๆ ของพวกเรา
    ก็เหมือนสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา
  • 7:16 - 7:19
    คือ ความคิดและไอเดียต่างๆ ไหลเข้าไป
    แต่ไม่เคยออกมาได้เลย
  • 7:19 - 7:20
    ผมหมายถึงอย่างน้อยก็ไม่ค่อยเปิดเผยเท่าไหร่
  • 7:20 - 7:23
    วิธีนี้ช่วยให้เราเข้าถึงความคิดของเด็กๆ ได้อย่างรวดเร็ว
  • 7:23 - 7:26
    แต่ช่วงที่น่าประหลาดใจที่สุดคือตอนที่เราถามว่า
  • 7:26 - 7:28
    เราจะทำอะไรในสัปดาห์ที่จะถึงนี้
  • 7:28 - 7:30
    แนวคิดหลักของอไจล์ก็คือว่า
  • 7:30 - 7:33
    แต่ละทีมต่างก็บริหารจัดการตัวเอง
  • 7:33 - 7:35
    มันได้ผลในการทำซอฟต์แวร์ และปรากฎว่า
    มันก็ได้ผลกับพวกเด็กๆ ด้วยเช่นกัน
  • 7:35 - 7:37
    ลูกๆ ของพวกเราชอบกระบวนการนี้
  • 7:37 - 7:39
    พวกเขาต่างออกไอเดียต่างๆ มากมาย
  • 7:39 - 7:41
    อย่างเช่น เปิดประตูต้อนรับแขกห้ารายสัปดาห์นี้
  • 7:41 - 7:44
    อ่านหนังสือเพิ่มอีกสิบนาทีก่อนนอน
  • 7:44 - 7:47
    เตะใครบางคน งดของหวานทั้งเดือน
  • 7:47 - 7:49
    กลายเป็นว่า ลูกๆ ของเราเฉียบขาดอย่างกับสตาลิน
  • 7:49 - 7:52
    เราต้องคอยดึงให้เพลาๆ ลงหน่อยอยู่เสมอ
  • 7:52 - 7:54
    ทีนะ เป็นเรื่องปกติที่มักจะมีความแตกต่าง
  • 7:54 - 7:57
    ระหว่างการแสดงออกในการประชุม
    กับพฤติกรรมที่เด็กๆ ทำตลอดทั้งสัปดาห์
  • 7:57 - 8:00
    แต่เรื่องนั้นไม่ได้ทำให้เรากังวลใจเลย
  • 8:00 - 8:02
    มันให้ความรู้สึกเหมือนกับว่า เรากำลังวางรากฐานที่สำคัญ
  • 8:02 - 8:05
    ที่จะยังไม่ได้แสดงออกจนกระทั่งในอีกหลายปีต่อมา
  • 8:05 - 8:08
    เวลาผ่านไปสามปี ตอนนี้ลูกของเราเกือบแปดขวบแล้ว
  • 8:08 - 8:10
    เรายังจัดประชุมแบบนี้อยู่
  • 8:10 - 8:14
    ภรรยาผมถือว่าการประชุมเหล่านี้เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด
    ในฐานะแม่
  • 8:14 - 8:17
    แล้วเราได้เรียนรู้อะไรบ้าง?
  • 8:17 - 8:19
    คำว่า "อไจล์" บรรจุเข้าพจนานุกรมในปี 2001
  • 8:19 - 8:22
    เมื่อเจฟฟ์ ซัสเตอแลนด์และนักออกแบบกลุ่มหนึ่ง
  • 8:22 - 8:26
    พบกันในรัฐยูท่าห์ และเขียนแถลงการอไจล์ 12 ข้อ
  • 8:26 - 8:30
    ผมคิดว่า ตอนนี้เป็นเวลาที่เหมาะ
    ที่จะเขียนแถลงการครอบครัวอไจล์
  • 8:30 - 8:33
    ผมรับเอาไอเดียบางอย่างจากสตารร์และครอบครัวอื่นๆ ที่ได้พบ
  • 8:33 - 8:36
    ผมขอเสนอแถลงการ 3 ข้อ
  • 8:36 - 8:40
    ข้อที่หนึ่ง ปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา
  • 8:40 - 8:41
    เมื่อผมกลายเป็นพ่อแม่ ผมได้พบว่า
  • 8:41 - 8:44
    เราจะกำหนดกฎเกณฑ์บางอย่างขึ้นมา แล้วก็ยึดอยู่กับมัน
  • 8:44 - 8:48
    ซึ่งนั่นสมมติเอาว่า ในฐานะพ่อแม่ เราสามารถ
    คาดการณ์ปัญหาทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นได้
  • 8:48 - 8:51
    แต่เราคาดการณ์ไม่ได้หรอก ข้อดีอย่างยิ่งสำหรับระบบอไจล์คือ
  • 8:51 - 8:54
    คุณจะสร้างระบบที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
  • 8:54 - 8:56
    ดังนั้นคุณจึงสามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ต่างๆ ตอนที่เกิดขึ้นได้
  • 8:56 - 8:58
    เหมือนกับที่ว่ากันไว้ในโลกอินเตอร์เน็ต
  • 8:58 - 9:00
    ถ้าคุณทำอะไรบางอย่างวันนี้เหมือนที่เคยทำมาเมื่อหกเดือนที่แล้ว
  • 9:00 - 9:02
    คุณกำลังทำอะไรบางอย่างผิดๆ อยู่
  • 9:02 - 9:04
    พ่อแม่ทั้งหลายสามารถเรียนรู้จากสิ่งนี้ได้
  • 9:04 - 9:08
    แต่สำหรับผมแล้ว "ปรับเปลี่ยนตลอดเวลา"
    มีความหมายมากไปกว่านั้น
  • 9:08 - 9:11
    เราต้องปลดปล่อยเหล่าพ่อแม่ออกจากความเชื่อบ้าๆ ที่ว่า
  • 9:11 - 9:13
    ไอเดียต่างๆ ที่เราสามารถลองทำได้ที่บ้านนั้น
  • 9:13 - 9:16
    จะต้องมีที่มาจากจิตแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญการพัฒนาตัวเอง
  • 9:16 - 9:18
    หรือไม่ก็ผู้เชี่ยวชาญด้านครอบครัวเท่านั้น
  • 9:18 - 9:21
    ความจริงก็คือ แนวคิดเหล่านั้นล้าสมัยไปเสียแล้ว
  • 9:21 - 9:24
    ในแวดวงสังคมอื่นๆ มีความคิดใหม่ๆ ผุดขึ้นมากมาย
  • 9:24 - 9:26
    ที่จะทำให้กลุ่มคนและทีมงานทำงานมีประสิทธิภาพ
  • 9:26 - 9:28
    ลองดูตัวอย่างเหล่านี้ดู
  • 9:28 - 9:31
    ลองดูปัญหาที่ใหญ่ที่สุดดู มื้อค่ำของครอบครัว
  • 9:31 - 9:33
    ใครๆ ต่างก็รู้ว่า การทานอาหารค่ำร่วมกันในครอบครัว
  • 9:33 - 9:35
    พร้อมกับเด็กๆ เป็นเรื่องที่ดีสำหรับเด็ก
  • 9:35 - 9:37
    แต่สำหรับพวกเราหลายคน มันไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่
  • 9:37 - 9:40
    ผมเคยพบกับเชฟชื่อดังในนิวออร์ลีนส์ ผู้ซึ่งบอกว่า
  • 9:40 - 9:43
    "ไม่มีปัญหา ผมแค่เปลี่ยนเวลาทานอาหารร่วมกันของครอบครัว
  • 9:43 - 9:45
    ผมไม่อยู่บ้าน ไม่สามารถกลับมากินข้าวเย็นพร้อมหน้ากันได้หรือ?
  • 9:45 - 9:49
    เราก็กินข้าวเช้าพร้อมกันทั้งครอบครัว
    หรือไม่ก็นั่งกินของว่างยามดึกก่อนนอนด้วยกัน
  • 9:49 - 9:51
    เราแค่ทำให้มื้ออาหารวันอาทิตย์มีความสำคัญมากยิ่งขึ้น"
  • 9:51 - 9:53
    และความจริงก็คือ มีผลการวิจัยเร็วๆ นี้สนับสนุนเขา
  • 9:53 - 9:56
    กลายเป็นว่า ตลอดช่วงการทานอาหารร่วมกันในครอบครัว
  • 9:56 - 9:58
    มีช่วงเวลาเพียงแค่ 10 นาทีเท่านั้นที่มีความหมาย
  • 9:58 - 10:03
    ส่วนเวลาที่เหลือหมดไปกับเรื่องอย่างเช่น
    "เอาศอกลงจากโต๊ะ" หรือ "ส่งซอสมาหน่อย"
  • 10:03 - 10:05
    คุณสามารถเอาเวลา 10 นาทีนั้น แล้วย้ายมันไป
  • 10:05 - 10:08
    ยังส่วนใดก็ได้ของวัน แล้วยังคงได้รับประโยชน์เหมือนเดิม
  • 10:08 - 10:12
    แค่ย้ายเวลาทานข้าวร่วมกันของครอบครัว นั่นคือการปรับเปลี่ยน
  • 10:12 - 10:14
    นักจิตวิทยาสิ่งแวดล้อมคนหนึ่ง บอกผมว่า
  • 10:14 - 10:16
    "ถ้าคุณนั่งอยู่บนเก้าอี้หลังตรง บนพื้นแข็ง
  • 10:16 - 10:18
    คุณจะเข้มงวดมากกว่า
  • 10:18 - 10:22
    การที่คุณนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่มีนวม คุณจะเปิดกว้างมากกว่า"
  • 10:22 - 10:24
    เธอบอกผมว่า "ถ้าคุณกำลังอบรมวินัยให้กับลูกๆ
  • 10:24 - 10:26
    ให้นั่งบนเก้าอี้หลังตรงที่มีเบาะรอง
  • 10:26 - 10:28
    จะทำให้การสนทนาราบรื่นกว่า"
  • 10:28 - 10:32
    ผมและภรรยาย้ายที่นั่งกัน เมื่อเราต้องพูดคุยเรื่องที่ลำบากใจ
  • 10:32 - 10:36
    เพราะว่า ผมนั่งอยู่ในตำแหน่งที่มีอำนาจ
  • 10:36 - 10:39
    ดังนั้นย้ายตำแหน่งในการนั่ง นั่นก็เป็นการปรับเปลี่ยนเช่นกัน
  • 10:39 - 10:42
    ประเด็นก็คือ แนวคิดใหม่ๆ เหล่านี้เริ่มแพร่หลายมากขึ้น
  • 10:42 - 10:44
    เราจำเป็นต้องให้เหล่าพ่อแม่นำมาใช้บ้าง
  • 10:44 - 10:47
    ดังนั้นข้อแรก ปรับเปลี่ยนตลอดเวลา
  • 10:47 - 10:51
    หยืดหยุ่น เปิดกว้าง แล้วปล่อยให้ความคิดดีๆ
    เข้ามามีบทบาท
  • 10:51 - 10:54
    ประเด็นที่สอง มอบอำนาจให้เด็กๆ ของคุณ
  • 10:54 - 10:58
    สัญชาตญาณพ่อแม่บอกว่า เราต้องสั่งเด็กๆ เท่านั้น
  • 10:58 - 11:00
    มันง่ายกว่า และเอาจริงๆ นะ เราถูกอยู่เสมอแหละ
  • 11:00 - 11:04
    มันมีเหตุผลอยู่นะ ที่มีเพียงไม่กี่ระบบเท่านั้นที่มีลักษณะ
  • 11:04 - 11:05
    เป็นน้ำตกมากไปกว่า สถาบันครอบครัว
  • 11:05 - 11:07
    แต่บทเรียนสำคัญที่สุดที่เราได้เรียนรู้ก็คือ
  • 11:07 - 11:10
    ให้พยายามกลับทิศทางของน้ำตกให้มากที่สุด
  • 11:10 - 11:14
    ให้เด็กๆ มีส่วนร่วมในการอบรมสั่งสอนพวกเขาเอง
  • 11:14 - 11:16
    เมื่อวานนี้เอง เรากำลังมีการประชุมครอบครัวอยู่
  • 11:16 - 11:19
    และเราโหวตกันว่า เราจะแก้ปัญหา
    การแสดงออกที่ "เยอะ" เกินไป
  • 11:19 - 11:22
    เราบอกว่า "เอาละ มากำหนดรางวัล
    และบทลงโทษกันดีกว่า โอเคมั้ย"
  • 11:22 - 11:27
    ลูกสาวเราคนหนึ่งเสนอว่า ให้แต่ละคน
    มีเวลาวีนแตกไม่เกินห้านาทีต่อสัปดาห์
  • 11:27 - 11:28
    เราชอบไอเดียนั้น
  • 11:28 - 11:31
    แล้วลูกสาวอีกคนก็เริ่มลองคิดให้ละเอียดขึ้น
  • 11:31 - 11:33
    เธอถามว่า "หนูจะได้วีนแตกหนึ่งครั้ง นานห้านาที
  • 11:33 - 11:37
    หรือจะเป็นวีนแตกได้สิบครั้ง ครั้งละ 30 วินาที?"
  • 11:37 - 11:39
    ผมชอบมาก ใช้เวลายังไงก็ได้ตามที่เธอต้องการ
  • 11:39 - 11:41
    เอาละ เราจะลงโทษกันยังไงดี
  • 11:41 - 11:47
    ถ้าเรากำหนดให้ลิมิตอยู่ที่ 15 นาทีของการออกอาการวีนแตก
  • 11:47 - 11:50
    ทุกนาทีที่วีนเกิน เราต้องวิดพื้นหนึ่งที
  • 11:50 - 11:53
    คุณจะเห็นได้ว่า มันได้ผล ระบบแบบนี้ไม่ได้หย่อนยานนะครับ
  • 11:53 - 11:56
    ผู้ปกครองยังคงมีอำนาจในการชี้นำอยู่
  • 11:56 - 11:59
    แต่เราให้โอกาสเด็กๆ ได้ฝึกการดูแลตัวเองเป็นอิสระ
  • 11:59 - 12:01
    ซึ่งแน่นอนว่าเป็นเป้าหมายสูงสุดของพวกเรา
  • 12:01 - 12:03
    ก่อนที่ผมจะออกมาพูดที่นี่ค่ำนี้เอง
  • 12:03 - 12:05
    ลูกสาวของเราคนหนึ่งเริ่มส่งเสียงกรีดร้อง
  • 12:05 - 12:08
    อีกคนหนึ่งก็พูดเลยว่า "วีนแตกแล้ว! วีนแตกแล้ว!"
  • 12:08 - 12:11
    แล้วเริ่มต้นนับ ภายในแค่ 10 วินาที มันก็หยุดลง
  • 12:11 - 12:17
    สำหรับผมแล้ว นี่คือมหัศจรรย์ของอไจย์ที่ผ่านการรับรองแล้ว
  • 12:17 - 12:18
    (หัวเราะ) (ปรบมือ)
  • 12:18 - 12:21
    แล้วก็นะ มีผลวิจัยรองรับด้วย
  • 12:21 - 12:25
    เด็กๆ ที่่มีการวางแผนเป้าหมายของตัวเอง
    กำหนดตารางสัปดาห์เอง
  • 12:25 - 12:29
    ประเมินผลงานของตัวเอง จะมีการพัฒนาสมองส่วนหน้ามากกว่า
  • 12:29 - 12:33
    และสามารถควบคุมชีวิตของตัวเองได้ดีกว่า
  • 12:33 - 12:36
    ประเด็นก็คือ เราต้องปล่อยให้เด็กๆ ของเรา
    ประสบความสำเร็จในแบบของเขาเอง
  • 12:36 - 12:39
    และใช่ครับ ในบางครั้ง ก็ปล่อยให้ล้มเหลวเองด้วยเช่นกัน
  • 12:39 - 12:41
    ผมเคยพูดคุยกับนักธนาคารของวอร์เรน บัฟเฟ็ตต์
  • 12:41 - 12:43
    เขาต่อว่าผม เรื่องที่ไม่ยอมให้ลูกๆ
  • 12:43 - 12:45
    ได้ทำอะไรผิดพลาดเสียบ้างกับการใช้จ่ายเงินค่าขนม
  • 12:45 - 12:48
    ผมก็บอกว่า "แล้วถ้าพวกเขาทำพลาดแบบดิ่งเหวไปเลยละ?"
  • 12:48 - 12:49
    เขาว่า "มันดีกว่านะ ที่จะปล่อยให้เขาพลาดกับ
  • 12:49 - 12:53
    เงินเบี้ยเลี้ยง 6 เหรียญ ดีกว่าผิดพลาด
    กับเงินเดือนปีละ 60,000 เหรียญ
  • 12:53 - 12:56
    หรือกับมรดกมูลค่า หกล้าน เหรียญ"
  • 12:56 - 12:59
    ดังนั้น ประเด็นสำคัญคือ การให้อำนาจเด็กๆ ของพวกคุณ
  • 12:59 - 13:03
    ข้อที่สาม เล่าเรื่องราวของคุณ
  • 13:03 - 13:06
    ความหยืดหยุ่นปรับตัวได้เป็นเรื่องดี
    แต่เราก็จำเป็นต้องมีรากฐานที่ดีด้วย
  • 13:06 - 13:09
    จิม คอลลินส์ ผู้แต่งหนังสือ "Good To Great"
  • 13:09 - 13:12
    บอกผมว่า องค์กรของมนุษย์ ไม่ว่าแบบใดก็ตาม ที่ประสบความสำเร็จ
  • 13:12 - 13:13
    มีสองสิ่งที่เหมือนกัน
  • 13:13 - 13:16
    คือพวกเรารักษาแก่นแท้ไว้ และพวกเขากระตุ้นให้เกิดความก้าวหน้า
  • 13:16 - 13:19
    ดังนั้นอไจล์เป็นวิธีการที่ดีที่กระตุ้นให้เกิดความก้าวหน้า
  • 13:19 - 13:22
    แต่ผมมักจะได้ยินอยู่เสมอว่า เราจำเป็นต้องรักษาแก่นแท้เอาไว้
  • 13:22 - 13:24
    แล้วคุณจะทำอย่างนั้นได้อย่างไรละ
  • 13:24 - 13:26
    คอลลินส์แนะนำให้พวกเราทำบางอย่างเหมือนกับ
  • 13:26 - 13:29
    ที่องค์กรธุรกิจทำ นั่นคือการกำหนดพันธกิจ
  • 13:29 - 13:32
    และนิยามแก่นคุณค่าขององค์กร
  • 13:32 - 13:35
    เขาสอนเราถึงกระบวนการสร้างพันธกิจของครอบครัว
  • 13:35 - 13:38
    เราสร้างกระบวนการคล้ายการออกไปสัมนาของบริษัท
  • 13:38 - 13:39
    แต่ในครอบครัว เรามีปาร์ตี้ชุดนอนกัน
  • 13:39 - 13:43
    ผมทำข้าวโพดคั่ว ความจริงแล้ว
    ทำไหม้ไปอันหนึ่ง เลยทำสองอัน
  • 13:43 - 13:45
    ภรรยาผมเอากระดานฟลิปชาร์ทออกมาวาง
  • 13:45 - 13:47
    แล้วเราก็นั่งสนทนากัน ในเรื่องอย่างเช่น
    อะไรเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเรา?
  • 13:47 - 13:49
    ค่านิยมอะไร ที่เรายึดถือมากที่สุด?
  • 13:49 - 13:51
    ท้ายที่สุด เราสร้างคำแถลงการณ์ 10 ข้อ
  • 13:51 - 13:52
    เราเป็นนักเดินทาง ไม่ใช่นักท่องเที่ยว
  • 13:52 - 13:56
    เราไม่ชอบภาวะยุ่งยากใจ เราชอบทางแก้ปัญหา
  • 13:56 - 13:59
    อีกครั้งที่มีผลวิจัย แสดงว่าพ่อแม่ควรใช้เวลาให้น้อยลง
  • 13:59 - 14:02
    ในการมัวกังวลว่าทำอะไรผิดไปบ้าง
  • 14:02 - 14:05
    และใช้เวลามากขึ้น ในการเน้นว่า ทำอะไรถูกต้องบ้าง
  • 14:05 - 14:09
    วิตกกังวลเกี่ยวกับช่วงเวลาแย่ๆ ให้น้อยลง
    และสร้างช่วงเวลาดีๆ ให้มากขึ้น
  • 14:09 - 14:11
    คำแถลงพันธกิจครอบครัวนี้เป็นวิธีที่ดีเยี่ยมในการ
  • 14:11 - 14:14
    ระบุว่า อะไรบ้างที่เราทำได้ถูกต้อง
  • 14:14 - 14:17
    ไม่กี่สัปดาห์ต่อมา เราได้รับโทรศัพท์จากโรงเรียน
  • 14:17 - 14:19
    ลูกสาวเราคนหนึ่ง มีเรื่องทะเลาะวิวาทในโรงเรียน
  • 14:19 - 14:21
    ทันใดนั้นเราก็เริ่มกังวล หรือว่าลูกเรา
    จะกลายเป็นเด็กเกเรขึ้นมาแล้ว?
  • 14:21 - 14:23
    และเราก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
  • 14:23 - 14:25
    เราเลยเรียกลูกสาวเข้าไปผมในห้องทำงานผม
  • 14:25 - 14:26
    คำแถลงพันธกิจครอบครัวติดอยู่บนผนัง
  • 14:26 - 14:29
    ภรรยาผมพูดว่า "มีอะไรบ้างบนนี้ที่ดูเหมือนจะใช้ได้"
  • 14:29 - 14:30
    เธอมองดูรายการ แล้วก็บอกว่า
  • 14:30 - 14:33
    "ให้ทุกคนมีส่วนร่วม?"
  • 14:33 - 14:36
    ทันใดนั้น เราก็มีหนทางที่จะเริ่มการสนทนาได้
  • 14:36 - 14:38
    วิธียอดเยี่ยมอีกอย่างหนึ่งในการเล่าเรื่อง
  • 14:38 - 14:41
    คือการบอกเด็กๆ ว่า พวกเขามาจากที่ไหนบ้าง
  • 14:41 - 14:43
    นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยอีมอรี่ ให้เด็กๆ
  • 14:43 - 14:45
    ทำการทดสอบง่ายๆ ชื่อ "เธอรู้ไหม"
  • 14:45 - 14:48
    รู้หรือไม่ว่าปู่ย่าตายายเกิดที่ไหน?
  • 14:48 - 14:51
    รู้หรือไม่ว่าพ่อแม่เรียนมัธยมที่ไหน?
  • 14:51 - 14:52
    เธอรู้จักใครในครอบครัวบ้างไหม
  • 14:52 - 14:56
    ที่ตกอยู่ในสภาพแย่ เช่นป่วยหนัก
    แล้วก็สามารถเอาชนะมันมาได้?
  • 14:56 - 15:00
    เด็กๆ ที่ได้คะแนนสูงที่สุดในแบบทดสอบ "เธอรู้ไหม" นี้
  • 15:00 - 15:05
    เป็นเด็กที่มีความภูมิใจในตัวเองสูง และตระหนักว่า
    พวกเขาสามารถควบคุมชีวิตตัวเองได้
  • 15:05 - 15:08
    แบบทดสอบ "เธอรู้ไหม" กลายเป็นตัวชี้วัดสำคัญที่สุด
  • 15:08 - 15:11
    ของสุขภาพจิตและความสุขของเด็กๆ
  • 15:11 - 15:12
    ผู้เขียนแบบทดสอบบอกผมว่า
  • 15:12 - 15:16
    เด็กๆ ที่รู้สึกว่า พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องเล่าอันยาวนาน
  • 15:16 - 15:20
    จะมีความเชื่อมั่นในตัวเองสูงกว่าเด็กอื่น
  • 15:20 - 15:22
    ดังนั้นประเด็นสุดท้ายของผมก็คือ เล่าเรื่องของคุณ
  • 15:22 - 15:26
    ใช้เวลาเล่าซ้ำแล้วซ้ำอีก
    เกี่ยวกับช่วงเวลาดีๆ ของครอบครัว
  • 15:26 - 15:29
    และวิธีการที่จะผ่านพ้นปัญหาและอุปสรรคในช่วงเวลาแย่ๆ
  • 15:29 - 15:31
    ถ้าคุณเล่าเรื่องที่มีความสุขให้เด็กๆ ฟัง
  • 15:31 - 15:36
    คุณกำลังให้เครื่องมือที่จะทำให้พวกเขา
    มีความสุขมากยิ่งขึ้น
  • 15:36 - 15:41
    ผมอ่านนิยายเรื่อง "คาเรนิน่า" ครั้งแรก
    เมื่อครั้งยังเป็นวัยรุ่น
  • 15:41 - 15:42
    และประโยคเปิดที่มีชื่อเสียงก็คือ
  • 15:42 - 15:44
    "ครอบครัวแสนสุขทั้งหลายต่างคล้ายคลึงกัน
  • 15:44 - 15:47
    แต่ละครอบครัวทุกข์ยาก ล้วนลำเค็ญในแบบของตัวเอง"
  • 15:47 - 15:51
    ผมอ่านครั้งแรก ผมก็คิดว่า "ประโยคนี้ช่างโง่จริงๆ"
  • 15:51 - 15:54
    แน่นอนอยู่แล้วว่า ครอบครัวทั้งหลาย
    ที่มีความสุข แตกต่างกัน"
  • 15:54 - 15:57
    แต่เมื่อผมเริ่มต้นทำงานในโครงการนี้
  • 15:57 - 15:59
    ผมเริ่มเปลี่ยนความคิดไป
  • 15:59 - 16:02
    ผลงานวิชาการเร็วๆ นี้ ช่วยให้เราสามารถ
  • 16:02 - 16:04
    เข้าใจถึงปัจจัยพื้นฐาน
  • 16:04 - 16:07
    ที่ครอบครัวต่างๆ ที่ประสบความสำเร็จมีร่วมกัน
  • 16:07 - 16:09
    ผมแค่พูดถึงปัจจัยเหล่านั้นแค่สามประเด็นเท่านั้นในวันนี้
  • 16:09 - 16:15
    ปรับเปลี่ยนตลอดเวลา ให้อำนาจแก่เด็กๆ
    และเล่าเรื่องราวของคุณ
  • 16:15 - 16:19
    เป็นไปได้ไหมว่า ในช่วงเวลาที่ผ่านมา
    ทอลสตอยเป็นฝ่ายถูกมาตลอด?
  • 16:19 - 16:23
    ผมเชื่อว่า คำตอบคือ ใช่
  • 16:23 - 16:25
    เมื่อลีโอ ทอลสตอยมีอายุห้าขวบ
  • 16:25 - 16:27
    พี่ชายของเขา นิโคเลย์ มาหา
  • 16:27 - 16:30
    แล้วก็บอกว่า เขาได้สลักความลับ
    ของความสุขครอบจักรวาล
  • 16:30 - 16:32
    ลงในแท่งไม้สีเขียวเล็ก ซึ่งเขาเอาไปซ่อนไว้
  • 16:32 - 16:36
    ในหุบเขาแห่งหนึ่งที่เป็นที่ของครอบครัวในรัสเซีย
  • 16:36 - 16:40
    ถ้าแท่งไม้นี้ถูกค้นพบ มนุษยชาติทั้งหมดจะมีความสุข
  • 16:40 - 16:46
    ทอลสตอยหมกหมุ่นอยู่กับไม้แท่งนี้ แต่เขาก็ไม่เคยหามันพบ
  • 16:46 - 16:50
    เขาถึงกับขอให้ฝังร่างของเขาไว้ในหุบเขา
    ที่เขาเชื่อว่าแท่งไม้นี้ถูกซ่อนอยู่
  • 16:50 - 16:55
    ร่างของเขายังอยู่ที่นั่นทุกวันนี้ ปกคลุมด้วยหญ้าเขียว
  • 16:55 - 16:58
    เรื่องนั้นเป็นเรื่องที่เหมาะมากสำหรับผม
  • 16:58 - 17:00
    บทเรียนสุดท้ายที่ผมได้เรียนรู้
  • 17:00 - 17:03
    ความสุขไม่ใช่เป็นอะไรที่เราค้นหา
  • 17:03 - 17:04
    มันเป็นสิ่งที่เราต้องสร้างขึ้น
  • 17:04 - 17:07
    แทบทุกคนที่พิจารณาดูองค์กรที่ทำงานได้ดี
  • 17:07 - 17:11
    ต่างก็ได้ข้อสรุปคล้ายๆ กัน
  • 17:11 - 17:13
    ความยิ่งใหญ่ไม่ได้เกิดขึ้นมาเพราะโชคช่วย
  • 17:13 - 17:16
    แต่มันเป็นเรื่องของการเลือก
  • 17:16 - 17:20
    คุณไม่จำเป็นต้องมีแผนการที่ยิ่งใหญ่
    คุณไม่ต้องมีสายบังคับบัญชา
  • 17:20 - 17:22
    คุณเพียงแค่ต้องก้าวไปทีละก้าวเล็กๆ
  • 17:22 - 17:24
    เก็บสะสมชัยชนะเล็กๆ ไปเรื่อยๆ
  • 17:24 - 17:26
    คอยมองหาแท่งไม้สีเขียวแท่งนั้นไว้
  • 17:26 - 17:29
    ท้ายที่สุดแล้ว นี่อาจจะเป็นบทเรียนสำคัญที่สุดก็ได้
  • 17:29 - 17:35
    อะไรคือความลับสู่ครอบครัวที่มีความสุขน่ะหรือ?
    ความพยายามไง
  • 17:35 - 17:39
    (เสียงปรบมือ)
Title:
การพัฒนาแบบอไจล์ สำหรับครอบครัวของคุณ
Speaker:
บรูซ เฟเลอร์ (Bruce Feiler)
Description:

บรูซ เฟเลอร์มีไอเดียแหวกแนว เพื่อรับมือกับความเครียดในครอบครัวสมัยใหม่ ใช้อไจล์ ได้แรงบันดาลใจจากการพัฒนาซอฟต์แวร์ เฟเลอร์แนะนำเทคนิคในครอบครัวที่ส่งเสริมความยืดหยุ่น เปิดรับไอเดียรอบด้าน และการให้คำติชมและความรับผิดชอบสม่ำเสมอ แถมเซอร์ไพรส์ เด็กๆ เลือกการลงโทษได้เองด้วย

more » « less
Video Language:
English
Team:
closed TED
Project:
TEDTalks
Duration:
18:00
Kelwalin Dhanasarnsombut approved Thai subtitles for Agile programming -- for your family
Kelwalin Dhanasarnsombut commented on Thai subtitles for Agile programming -- for your family
Kelwalin Dhanasarnsombut accepted Thai subtitles for Agile programming -- for your family
Kelwalin Dhanasarnsombut edited Thai subtitles for Agile programming -- for your family
Kelwalin Dhanasarnsombut edited Thai subtitles for Agile programming -- for your family
Kelwalin Dhanasarnsombut edited Thai subtitles for Agile programming -- for your family
Kelwalin Dhanasarnsombut edited Thai subtitles for Agile programming -- for your family
Kelwalin Dhanasarnsombut edited Thai subtitles for Agile programming -- for your family
Show all

Thai subtitles

Revisions

  • Revision 9 Edited (legacy editor)
    Kelwalin Dhanasarnsombut