WEBVTT 00:00:01.311 --> 00:00:04.630 ข่าวดีเกี่ยวกับเรื่องครอบครัวก็คือ 00:00:04.630 --> 00:00:06.192 ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก 00:00:06.192 --> 00:00:08.251 ในความหมายของครอบครัว ใน 50 ปีที่ผ่านมา 00:00:08.251 --> 00:00:10.622 เรามีครอบครัวผสม ครอบครัวบุญธรรม 00:00:10.622 --> 00:00:13.650 เรามีครอบครัวเดี่ยวที่แยกกันอยู่คนละบ้าน 00:00:13.650 --> 00:00:16.331 และก็มีครอบครัวที่หย่าร้างกันแล้ว แต่อยู่รวมกันในบ้านเดียว 00:00:16.331 --> 00:00:18.663 แต่โดยรวมๆ แล้ว สถาบันครอบครัวเข้มแข็งมากขึ้น 00:00:18.663 --> 00:00:21.101 คน 8 ใน 10 คนบอกว่า ครอบครัวที่มีในวันนี้ 00:00:21.101 --> 00:00:25.122 มีความเข้มแข็งเท่ากัน หรือมากกว่าครอบครัวที่เขาเติบโตมา 00:00:25.531 --> 00:00:26.986 ทีนี้ก็มาถึงข่าวร้ายบ้าง 00:00:26.986 --> 00:00:29.515 แทบทุกคนต่างก็เผชิญปัญหามากมาย เกินรับไหว 00:00:30.100 --> 00:00:32.883 กับความวุ่นวายยุ่งเหยิงในชีวิตครอบครัว 00:00:32.883 --> 00:00:34.740 ผู้ปกครองทุกคนที่ผมรู้จัก รวมถึงตัวผมเองด้วย 00:00:34.740 --> 00:00:36.968 รู้สึกว่าเราต้องเล่นเกมรับอยู่ตลอดเวลา 00:00:36.968 --> 00:00:40.200 พอลูกๆ หมดปัญหาเรื่องฟัน ก็เริ่มมีปัญหาเรื่องเจ้าอารมณ์ 00:00:40.200 --> 00:00:41.975 พอเด็กๆ พอจะช่วยตัวเองได้แล้วเรื่องการอาบน้ำ 00:00:41.975 --> 00:00:44.839 ก็จะเริ่มต้องการความช่วยเหลือเรื่องการถูกรังแกทางเน็ต 00:00:44.839 --> 00:00:47.434 และข่าวร้ายที่สุดก็คือ 00:00:47.434 --> 00:00:50.691 ลูกๆ ของพวกเราก็รับรู้ได้ว่า เราเริ่มคุมเกมไม่อยู่แล้ว 00:00:50.691 --> 00:00:53.840 เอลเลน กาลินสกี้ แห่งสถาบันครอบครัวและอาชีพ 00:00:53.840 --> 00:00:57.337 ได้สำรวจเด็กๆ 1,000 คน โดยถามว่า "ถ้าหนูมีพรวิเศษ 00:00:57.337 --> 00:00:59.691 ขอได้หนึ่งอย่างเกี่ยวกับพ่อแม่ หนูจะขออะไร?" 00:00:59.691 --> 00:01:02.109 พวกผู้ใหญ่ก็คาดเดากันว่า เด็กๆ น่าจะขอ 00:01:02.109 --> 00:01:05.225 ให้ผู้ใหญ่ใช้เวลากับพวกเขามากขึ้น 00:01:05.225 --> 00:01:08.890 ผิดครับ ความปรารถนาอันดับแรกของเด็กๆ ก็คือ 00:01:08.890 --> 00:01:12.100 ขอให้พ่อแม่ของพวกเขา เหนื่อยและเครียดน้อยกว่านี้ 00:01:12.100 --> 00:01:14.237 แล้วเราจะเปลี่ยนสถานการณ์นี้ได้อย่างไร? 00:01:14.237 --> 00:01:16.986 มีวิธีไหนที่ได้ผลบ้างไหม ที่เราจะลดความเครียด 00:01:16.986 --> 00:01:19.106 นำพาให้ครอบครัวใกล้ชิดกันมากขึ้น 00:01:19.106 --> 00:01:24.377 และยังช่วยเตรียมความพร้อมให้ลูกๆ ของเราที่จะเผชิญโลกต่อไป 00:01:24.377 --> 00:01:27.316 ผมใช้เวลาในช่วงหลายปีที่ผ่านมา พยายามหาคำตอบ 00:01:27.316 --> 00:01:30.654 เดินทางพบปะหลากหลายครอบครัว พูดคุยกับนักวิชาการ 00:01:30.654 --> 00:01:33.427 ผู้เชี่ยวชาญหลายสาขาตั้งแต่ ผู้แทนเจรจาสันติภาพ 00:01:33.427 --> 00:01:35.329 ไปจนถึงนักธนาคารของวอเร็น บัฟเฟต รวมไปถึงพวกกรีนแบร์เร่ NOTE Paragraph 00:01:35.329 --> 00:01:40.863 ผมพยายามที่จะค้นหาว่า ครอบครัวที่มีความสุข ทำกันได้อย่างไร 00:01:40.863 --> 00:01:44.894 และผมสามารถเรียนรู้อะไรบ้าง เพื่อทำให้ครอบครัวมีความสุขมากขึ้น 00:01:44.894 --> 00:01:47.843 ผมอยากเล่าให้ฟังถึงครอบครัวหนึ่งที่ผมพบ 00:01:47.843 --> 00:01:50.358 และทำไมผมถึงคิดว่า พวกเขาชี้ทางสว่างให้ได้ 00:01:50.358 --> 00:01:53.484 ในเมืองฮิดเดนสปริงส์ รัฐไอดาโฮ หนึ่งทุ่มวันอาทิตย์ 00:01:53.484 --> 00:01:56.846 สมาชิกทั้งหกคนของครอบครัวสตารร์ นั่งลงพร้อมกัน 00:01:56.846 --> 00:01:59.421 เข้าสู่ช่วงสำคัญของสัปดาห์ คือการประชุมครอบครัว 00:01:59.421 --> 00:02:01.169 ครอบครัวสตารร์เป็นครอบครัวอเมริกันธรรมดา 00:02:01.169 --> 00:02:03.400 และก็มีปัญหาเหมือนๆ กับครอบครัวอเมริกันอื่นๆ 00:02:03.400 --> 00:02:05.956 เดวิดเป็นวิศวกรซอฟต์แวร์ ส่วนเอเลนอร์ก็ดูแล 00:02:05.956 --> 00:02:09.970 ลูกๆ ทั้งสี่คน อายุตั้งแต่ 10 ถึง 15 ขวบ 00:02:09.970 --> 00:02:12.690 เด็กคนหนึ่งต้องกวดวิชาเลข ที่ฝั่งตรงข้ามของเมือง 00:02:12.690 --> 00:02:14.588 อีกคนหนึ่งต้องซ้อมกีฬาลาครอสที่อีกด้านของเมือง 00:02:14.588 --> 00:02:18.454 คนหนึ่งมีอาการแอสเพอร์เกอร์ซินโดรม และมีคนหนึ่งเป็นโรคสมาธิสั้น 00:02:18.454 --> 00:02:21.250 เอเลนอร์บอกว่า "เราเคยมีชีวิตอยู่อย่างวุ่นวายโกลาหล" 00:02:21.250 --> 00:02:24.829 สิ่งที่ครอบครัวสตาร์ทำต่อจากนั้น เป็นเรื่องน่าแปลกใจ 00:02:24.829 --> 00:02:27.906 แทนที่จะขอคำปรึกษาจากเพื่อนหรือญาติ 00:02:27.906 --> 00:02:30.477 พวกเขากลับมองไปที่ที่ทำงานของเดวิด 00:02:30.477 --> 00:02:33.549 แล้วหันไปใช้วิธีการพัฒนาซอฟต์แวร์แบบใหม่ เรียกว่า อไจล์ 00:02:33.549 --> 00:02:35.530 วิธีการนี้เริ่มมาจากกลุ่มผู้ผลิตในญี่ปุ่น 00:02:35.530 --> 00:02:38.529 แพร่หลายมาสู่เหล่าบริษัทหน้าใหม่ในซิลิคอนวัลเลย์ 00:02:38.529 --> 00:02:42.171 การทำงานแบบอไจล์ สมาชิกจะแบ่งเป็นกลุ่มย่อยๆ 00:02:42.171 --> 00:02:44.385 และทำกิจกรรมต่างๆ ด้วยเวลาที่สั้นมากๆ 00:02:44.385 --> 00:02:47.498 ดังนั้นแทนที่จะต้องมีการสั่งการจากผู้บริหารมาเป็นทางการ 00:02:47.498 --> 00:02:50.670 แต่จะทีมต่างก็บริหารงานกันเอง 00:02:50.670 --> 00:02:53.259 มีการให้คำติชมกันเป็นประจำ มีการรายงานความคืบหน้าทุกวัน 00:02:53.259 --> 00:02:54.860 มีการทบทวนประจำสัปดาห์ มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ 00:02:54.860 --> 00:02:59.945 เดวิดเล่าว่า เมื่อนำระบบแบบนี้มาใช้ในบ้าน 00:02:59.945 --> 00:03:03.905 เกิดการสื่อสารกันมากขึ้น โดยเฉพาะในการประชุมครอบครัว 00:03:03.905 --> 00:03:06.278 ความเครียดลดลง และทำให้ทุกคน 00:03:06.278 --> 00:03:09.360 มีความสุขมากขึ้น กับการเป็นส่วนหนึ่งของทีมครอบครัว 00:03:09.360 --> 00:03:12.390 เมื่อผมและภรรยา เริ่มนำการประชุมครอบครัวและเทคนิคอื่นๆ 00:03:12.390 --> 00:03:15.823 มาลองใช้กับชีวิตเรา ที่มีลูกสาวฝาแฝดอายุตอนนั้น 5 ขวบ 00:03:15.823 --> 00:03:20.690 มันเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่ที่สุด นับตั้งแต่ลูกสาวของพวกเราเกิดมา 00:03:20.690 --> 00:03:22.570 และการประชุมเหล่านั้นก็สร้างผลกระทบเป็นอย่างมาก 00:03:22.570 --> 00:03:24.768 ทั้งๆ ที่มันใช้เวลาแต่ละครั้งแค่ 20 นาทีเท่านั้น 00:03:24.768 --> 00:03:27.270 อไจล์คืออะไร แล้วมันจะมาช่วยอะไร 00:03:27.270 --> 00:03:29.483 กับบางอย่างที่แตกต่างไปอย่างชีวิตครอบครัวได้ 00:03:29.483 --> 00:03:32.640 ในปี 1983 เจฟฟ์ ซัสเตอแลนด์ เป็นนักเทคโนโลยี 00:03:32.640 --> 00:03:34.229 ในบริษัทการเงินแห่งหนึ่งในนิวอิงแลนด์ 00:03:34.229 --> 00:03:36.864 เขาหงุดหงิดเป็นอย่างมากกับวิธีการออกแบบซอฟต์แวร์ 00:03:36.864 --> 00:03:40.750 ตอนนี้บริษัทต่างใช้วิธีการแบบน้ำตก 00:03:40.750 --> 00:03:43.207 ซึ่งผู้บริการออกคำสั่งที่จะถูกส่งผ่านลงมาเป็นขั้นๆ 00:03:43.207 --> 00:03:45.155 ไหลมาอย่างช้าๆ สู่เหล่าโปรแกรมเมอร์ด้านล่าง 00:03:45.155 --> 00:03:47.421 และไม่เคยมีใครได้ปรึกษาเหล่าโปรแกรมเมอร์เลย 00:03:47.421 --> 00:03:49.890 โครงการต่างๆ ล้มเหลวถึง 83 เปอร์เซ็นต์ 00:03:49.890 --> 00:03:52.207 ผลลัพธ์ที่ได้เทอะทะ และล้าสมัย 00:03:52.207 --> 00:03:54.220 ไปในทันทีที่พัฒนาเสร็จ 00:03:54.220 --> 00:03:56.578 ซัตเตอแลนด์ต้องการสร้างระบบที่ 00:03:56.578 --> 00:04:01.102 ไอเดียต่างๆ ไม่ได้เพียงมาจากเบื้องบน แต่สามารถมาจากด้านล่างได้ด้วย 00:04:01.102 --> 00:04:03.606 และสามารถปรับเปลี่ยนได้ในทันทีทันใด 00:04:03.606 --> 00:04:07.568 เขาอ่านบทความต่างๆ ในฮาร์วาร์ดบิสิเนสรีวิวย้อนหลังไป 30 ปี 00:04:07.568 --> 00:04:09.862 ก่อนจะสะดุดใจเข้ากับบทความหนึ่งในปี 1986 00:04:09.862 --> 00:04:12.470 ชื่อ "วิธีการใหม่ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่" 00:04:12.470 --> 00:04:15.184 บทความกล่าวถึงสภาพธุรกิจที่เร่งเร็วขึ้น 00:04:15.184 --> 00:04:16.948 นั่นเป็นเรื่องที่พูดกันเมื่อปี 1986 -- 00:04:16.948 --> 00:04:21.405 และบริษัทที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด มีความยืดหยุ่นสูง 00:04:21.405 --> 00:04:23.370 มีการอ้างถึงโตโยต้าและแคนอน 00:04:23.370 --> 00:04:26.105 และเปรียบลักษณะทีมงานที่คล่องตัวเหมือนกับทีมสกรัมรักบี้ 00:04:26.105 --> 00:04:29.731 ซัสเตอแลนด์บอกผมว่า พอเราเจอบทความนั่น 00:04:29.731 --> 00:04:31.787 เรารู้ว่า "นี่แหละ ใช่เลย" 00:04:31.787 --> 00:04:34.883 ในระบบของซัสเตอแลนด์ บริษัทต่างๆ จะไม่ใช้ 00:04:34.883 --> 00:04:37.726 การทำโครงการขนาดใหญ่ ที่ต้องใช้เวลาถึงสองปี 00:04:37.726 --> 00:04:39.598 พวกเขาทำสิ่งต่างๆ เป็นงานย่อยๆ 00:04:39.598 --> 00:04:41.566 ไม่มีงานไหนที่ใช้เวลานานกว่าสองสัปดาห์ 00:04:41.566 --> 00:04:43.688 แทนที่จะบอกว่า "เอาละ คุณไปกักตัวซุ่มพัฒนางานมา 00:04:43.688 --> 00:04:46.144 แล้วกลับมาพร้อมกับโทรศัพท์หรือเครือข่ายสังคมที่เสร็จสมบูรณ์" 00:04:46.144 --> 00:04:48.882 เรากลับบอกว่า "ไปพัฒนามาแค่ส่วนเดียวก่อน" 00:04:48.882 --> 00:04:51.727 แล้วเอากลับมาคุยกัน เราจะปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ 00:04:51.727 --> 00:04:54.773 คุณจะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวอย่างรวดเร็ว 00:04:54.773 --> 00:04:58.190 มาถึงวันนี้ แนวทางอไจล์ถูกใช้ในกว่าร้อยประเทศ 00:04:58.190 --> 00:05:00.765 และเริ่มแพร่หลายเข้าไปสู่กลุ่มผู้บริหารระดับสูง 00:05:00.765 --> 00:05:03.706 ผู้คนต่างก็เริ่มใช้เทคนิคเหล่านี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 00:05:03.706 --> 00:05:05.986 และนำมาประยุกต์ใช้ในครอบครัว 00:05:05.986 --> 00:05:07.759 มีการเขียนบล็อก มีการเขียนคู่มือ 00:05:07.759 --> 00:05:09.971 ครอบครัวซัสเตอแลนด์ถึงกับมีการ 00:05:09.971 --> 00:05:12.319 จัดเทศกาลขอบคุณพระเจ้าด้วยเทคนิคอไจล์ 00:05:12.319 --> 00:05:14.252 โดยมีกลุ่มหนึ่งรับผิดชอบเรื่องอาหาร 00:05:14.252 --> 00:05:17.293 กลุ่มหนึ่งจัดโต๊ะ และอีกพวกคอยต้อนรับแขกหน้าบ้าน 00:05:17.293 --> 00:05:21.241 ซัสเตอแลนด์เล่าว่า มันเป็นวันขอบคุณพระเจ้าที่ดีที่สุด 00:05:21.241 --> 00:05:24.394 เอาละ ลองมาดูปัญหาหนึ่งที่หลายครอบครัวมักเจอ 00:05:24.394 --> 00:05:27.660 คือความโกลาหลในยามเช้า และดูซิว่าอไจล์จะช่วยได้อย่างไร 00:05:27.660 --> 00:05:29.614 พื้นฐานสำคัญคือความรับผิดชอบ 00:05:29.614 --> 00:05:31.562 แต่ละทีมต่างก็ใช้บอร์ดแสดงข้อมูล 00:05:31.562 --> 00:05:34.246 บอร์ดใหญ่เหล่านี้แสดงความรับผิดชอบของแต่ละคน 00:05:34.246 --> 00:05:36.705 ครอบครัวสตารร์ ก็นำเอาแนวคิดนี้มาใช้ในบ้าน 00:05:36.705 --> 00:05:38.668 โดยการสร้างรายการที่ต้องทำยามเช้า 00:05:38.668 --> 00:05:41.114 โดยที่เด็กๆ แต่ละคนถูกคาดหมายให้ทำงานบ้านแต่ละอย่าง 00:05:41.114 --> 00:05:44.171 เช้าวันที่ผมไปแวะไปเยี่ยม เอเลนอร์ลงบันไดมา 00:05:44.171 --> 00:05:46.384 รินกาแฟให้ตัวเองแก้วหนึ่ง แล้วนั่งบนเก้าอี้โยก 00:05:46.384 --> 00:05:48.724 ระหว่างที่นั่งอยู่นั่น 00:05:48.724 --> 00:05:51.510 เธอก็คุยกับเด็กๆ แต่ละคน 00:05:51.510 --> 00:05:53.794 ตอนที่เด็กๆ พากันลงบันไดมาทีละคน 00:05:53.794 --> 00:05:56.200 เช็คที่รายการ ทำอาหารเช้าของตัวเอง 00:05:56.200 --> 00:05:58.660 ติ๊กรายการอีกที เอาจานไปใส่เครื่องล้างจาน 00:05:58.660 --> 00:06:02.430 ติ๊กรายการ ให้อาหารสัตว์เลี้ยง หรือทำกิจวัตรอื่นๆ ที่ต้องทำ 00:06:02.430 --> 00:06:04.490 ติ๊กรายการอีกที เก็บข้าวของเตรียมตัว 00:06:04.490 --> 00:06:06.994 แล้วก็ออกไปขึ้นรถโรงเรียนที่มารับ 00:06:06.994 --> 00:06:11.990 มันเป็นฉากครอบครัวยามเช้าที่น่าอัศจรรย์ที่สุดที่ผมเคยเห็นมา 00:06:11.990 --> 00:06:14.168 และเมื่อผมโต้แย้งว่า แบบนี้คงไม่เวิร์คที่บ้านผมแน่ 00:06:14.168 --> 00:06:16.705 ลูกๆ ของพวกเราต้องคอยกำกับดูแลมากกว่านี้มาก 00:06:16.705 --> 00:06:18.117 เอเลนอร์มองมาที่ผม 00:06:18.117 --> 00:06:19.790 เธอว่า "นั่นเป็นสิ่งที่ฉันเคยคิดเหมือนกัน" 00:06:19.790 --> 00:06:21.316 "ฉันบอกเดวิดว่า 'อย่าเอางานของเธอมาในครัวฉัน' 00:06:21.316 --> 00:06:22.927 แต่ฉันเป็นฝ่ายผิด" 00:06:22.927 --> 00:06:24.751 ผมเลยหันไปหาเดวิด "ทำไมมันถึงได้ผล?" 00:06:24.751 --> 00:06:26.811 เขาบอกว่า "อย่าได้ดูถูกพลังของการทำแบบนี้" 00:06:26.811 --> 00:06:29.394 แล้วเขาก็เขียนเครื่องหมายถูก 00:06:29.394 --> 00:06:31.349 เขาบอกว่า "ในที่ทำงาน ผู้ใหญ่ต่างก็ชอบติ๊กถูก" 00:06:31.349 --> 00:06:33.427 กับเด็กๆ มันเป็นสวรรค์เลยละ 00:06:33.427 --> 00:06:36.649 สัปดาห์ที่เราเอารายการเช็คลิสต์ตอนเช้ามาใช้ที่บ้าน 00:06:36.649 --> 00:06:41.339 มันลดการกรีดร้องของผู้ใหญ่ลงไปได้ตั้งครึ่งนึง (เสียงหัวเราะ) 00:06:41.339 --> 00:06:44.279 แต่การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง ยังไม่เกิดขึ้น จนเมื่อเรามีการประชุมครอบครัว 00:06:44.279 --> 00:06:47.267 โดยการใช้โมเดลอไจล์ เราถามสามคำถาม 00:06:47.267 --> 00:06:49.422 อะไรเป็นไปได้ดีในครอบครัวเราสัปดาห์นี้ 00:06:49.422 --> 00:06:53.598 อะไรที่ไปได้ไม่ค่อยสวยนัก และอะไรที่เราตกลงกัน ว่าจะปรับปรุงในสัปดาห์หน้า 00:06:53.598 --> 00:06:55.175 ทุกคนต่างก็ออกคำแนะนำ 00:06:55.175 --> 00:06:57.453 แล้วเราก็เลือกมาสองข้อเพื่อเน้นความสำคัญ 00:06:57.453 --> 00:07:01.274 และทันใดนั้น สิ่งวิเศษหลายอย่างก็เริ่มพรั่งพรู ออกจากปากลูกสาวเรา 00:07:01.274 --> 00:07:03.295 อะไรที่เป็นไปได้ดีสัปดาห์นี้? 00:07:03.295 --> 00:07:06.307 เอาชนะความกลัวขี่จักรยาน จัดเตียงของตัวเอง 00:07:06.307 --> 00:07:09.413 อะไรไม่ค่อยดีนัก? การบ้านเลขของพวกเรา 00:07:09.413 --> 00:07:12.926 หรือการต้อนรับแขกหน้าบ้าน 00:07:12.926 --> 00:07:16.361 คงไม่ต่างจากพ่อแม่ทั้งหลาย ลูกๆ ของพวกเรา ก็เหมือนสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา 00:07:16.361 --> 00:07:18.630 คือ ความคิดและไอเดียต่างๆ ไหลเข้าไป แต่ไม่เคยออกมาได้เลย 00:07:18.630 --> 00:07:20.442 ผมหมายถึงอย่างน้อยก็ไม่ค่อยเปิดเผยเท่าไหร่ 00:07:20.442 --> 00:07:22.872 วิธีนี้ช่วยให้เราเข้าถึงความคิดของเด็กๆ ได้อย่างรวดเร็ว 00:07:22.872 --> 00:07:26.274 แต่ช่วงที่น่าประหลาดใจที่สุดคือตอนที่เราถามว่า 00:07:26.274 --> 00:07:28.387 เราจะทำอะไรในสัปดาห์ที่จะถึงนี้ 00:07:28.387 --> 00:07:30.484 แนวคิดหลักของอไจล์ก็คือว่า 00:07:30.484 --> 00:07:32.586 แต่ละทีมต่างก็บริหารจัดการตัวเอง 00:07:32.586 --> 00:07:35.162 มันได้ผลในการทำซอฟต์แวร์ และปรากฎว่า มันก็ได้ผลกับพวกเด็กๆ ด้วยเช่นกัน 00:07:35.162 --> 00:07:37.383 ลูกๆ ของพวกเราชอบกระบวนการนี้ 00:07:37.383 --> 00:07:39.477 พวกเขาต่างออกไอเดียต่างๆ มากมาย 00:07:39.477 --> 00:07:41.465 อย่างเช่น เปิดประตูต้อนรับแขกห้ารายสัปดาห์นี้ 00:07:41.465 --> 00:07:43.967 อ่านหนังสือเพิ่มอีกสิบนาทีก่อนนอน 00:07:43.967 --> 00:07:46.872 เตะใครบางคน งดของหวานทั้งเดือน 00:07:46.872 --> 00:07:49.377 กลายเป็นว่า ลูกๆ ของเราเฉียบขาดอย่างกับสตาลิน 00:07:49.377 --> 00:07:51.870 เราต้องคอยดึงให้เพลาๆ ลงหน่อยอยู่เสมอ 00:07:51.870 --> 00:07:54.293 ทีนะ เป็นเรื่องปกติที่มักจะมีความแตกต่าง 00:07:54.293 --> 00:07:57.220 ระหว่างการแสดงออกในการประชุม กับพฤติกรรมที่เด็กๆ ทำตลอดทั้งสัปดาห์ 00:07:57.220 --> 00:07:59.564 แต่เรื่องนั้นไม่ได้ทำให้เรากังวลใจเลย 00:07:59.564 --> 00:08:02.180 มันให้ความรู้สึกเหมือนกับว่า เรากำลังวางรากฐานที่สำคัญ 00:08:02.180 --> 00:08:05.421 ที่จะยังไม่ได้แสดงออกจนกระทั่งในอีกหลายปีต่อมา 00:08:05.421 --> 00:08:07.679 เวลาผ่านไปสามปี ตอนนี้ลูกของเราเกือบแปดขวบแล้ว 00:08:07.679 --> 00:08:10.170 เรายังจัดประชุมแบบนี้อยู่ 00:08:10.170 --> 00:08:13.767 ภรรยาผมถือว่าการประชุมเหล่านี้เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด ในฐานะแม่ 00:08:13.767 --> 00:08:17.158 แล้วเราได้เรียนรู้อะไรบ้าง? 00:08:17.158 --> 00:08:19.474 คำว่า "อไจล์" บรรจุเข้าพจนานุกรมในปี 2001 00:08:19.474 --> 00:08:21.741 เมื่อเจฟฟ์ ซัสเตอแลนด์และนักออกแบบกลุ่มหนึ่ง 00:08:21.741 --> 00:08:25.998 พบกันในรัฐยูท่าห์ และเขียนแถลงการอไจล์ 12 ข้อ 00:08:25.998 --> 00:08:29.762 ผมคิดว่า ตอนนี้เป็นเวลาที่เหมาะ ที่จะเขียนแถลงการครอบครัวอไจล์ 00:08:29.762 --> 00:08:32.991 ผมรับเอาไอเดียบางอย่างจากสตารร์และครอบครัวอื่นๆ ที่ได้พบ 00:08:32.991 --> 00:08:35.793 ผมขอเสนอแถลงการ 3 ข้อ 00:08:35.793 --> 00:08:39.710 ข้อที่หนึ่ง ปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา 00:08:39.710 --> 00:08:40.778 เมื่อผมกลายเป็นพ่อแม่ ผมได้พบว่า 00:08:40.778 --> 00:08:43.826 เราจะกำหนดกฎเกณฑ์บางอย่างขึ้นมา แล้วก็ยึดอยู่กับมัน 00:08:43.826 --> 00:08:47.577 ซึ่งนั่นสมมติเอาว่า ในฐานะพ่อแม่ เราสามารถ คาดการณ์ปัญหาทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นได้ 00:08:47.577 --> 00:08:51.221 แต่เราคาดการณ์ไม่ได้หรอก ข้อดีอย่างยิ่งสำหรับระบบอไจล์คือ 00:08:51.221 --> 00:08:53.619 คุณจะสร้างระบบที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ 00:08:53.619 --> 00:08:56.000 ดังนั้นคุณจึงสามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ต่างๆ ตอนที่เกิดขึ้นได้ 00:08:56.000 --> 00:08:57.803 เหมือนกับที่ว่ากันไว้ในโลกอินเตอร์เน็ต 00:08:57.803 --> 00:09:00.125 ถ้าคุณทำอะไรบางอย่างวันนี้เหมือนที่เคยทำมาเมื่อหกเดือนที่แล้ว 00:09:00.125 --> 00:09:02.124 คุณกำลังทำอะไรบางอย่างผิดๆ อยู่ 00:09:02.124 --> 00:09:03.854 พ่อแม่ทั้งหลายสามารถเรียนรู้จากสิ่งนี้ได้ 00:09:03.854 --> 00:09:07.979 แต่สำหรับผมแล้ว "ปรับเปลี่ยนตลอดเวลา" มีความหมายมากไปกว่านั้น 00:09:07.979 --> 00:09:10.570 เราต้องปลดปล่อยเหล่าพ่อแม่ออกจากความเชื่อบ้าๆ ที่ว่า 00:09:10.570 --> 00:09:12.682 ไอเดียต่างๆ ที่เราสามารถลองทำได้ที่บ้านนั้น 00:09:12.682 --> 00:09:16.120 จะต้องมีที่มาจากจิตแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญการพัฒนาตัวเอง 00:09:16.120 --> 00:09:18.352 หรือไม่ก็ผู้เชี่ยวชาญด้านครอบครัวเท่านั้น 00:09:18.352 --> 00:09:20.626 ความจริงก็คือ แนวคิดเหล่านั้นล้าสมัยไปเสียแล้ว 00:09:20.626 --> 00:09:23.940 ในแวดวงสังคมอื่นๆ มีความคิดใหม่ๆ ผุดขึ้นมากมาย 00:09:23.940 --> 00:09:26.210 ที่จะทำให้กลุ่มคนและทีมงานทำงานมีประสิทธิภาพ 00:09:26.210 --> 00:09:28.325 ลองดูตัวอย่างเหล่านี้ดู 00:09:28.325 --> 00:09:30.566 ลองดูปัญหาที่ใหญ่ที่สุดดู มื้อค่ำของครอบครัว 00:09:30.566 --> 00:09:32.773 ใครๆ ต่างก็รู้ว่า การทานอาหารค่ำร่วมกันในครอบครัว 00:09:32.773 --> 00:09:35.000 พร้อมกับเด็กๆ เป็นเรื่องที่ดีสำหรับเด็ก 00:09:35.000 --> 00:09:37.406 แต่สำหรับพวกเราหลายคน มันไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่ 00:09:37.406 --> 00:09:40.266 ผมเคยพบกับเชฟชื่อดังในนิวออร์ลีนส์ ผู้ซึ่งบอกว่า 00:09:40.266 --> 00:09:42.910 "ไม่มีปัญหา ผมแค่เปลี่ยนเวลาทานอาหารร่วมกันของครอบครัว 00:09:42.910 --> 00:09:45.128 ผมไม่อยู่บ้าน ไม่สามารถกลับมากินข้าวเย็นพร้อมหน้ากันได้หรือ? 00:09:45.128 --> 00:09:48.620 เราก็กินข้าวเช้าพร้อมกันทั้งครอบครัว หรือไม่ก็นั่งกินของว่างยามดึกก่อนนอนด้วยกัน 00:09:48.620 --> 00:09:50.830 เราแค่ทำให้มื้ออาหารวันอาทิตย์มีความสำคัญมากยิ่งขึ้น" 00:09:50.830 --> 00:09:53.403 และความจริงก็คือ มีผลการวิจัยเร็วๆ นี้สนับสนุนเขา 00:09:53.403 --> 00:09:56.231 กลายเป็นว่า ตลอดช่วงการทานอาหารร่วมกันในครอบครัว 00:09:56.231 --> 00:09:57.688 มีช่วงเวลาเพียงแค่ 10 นาทีเท่านั้นที่มีความหมาย 00:09:57.688 --> 00:10:03.179 ส่วนเวลาที่เหลือหมดไปกับเรื่องอย่างเช่น "เอาศอกลงจากโต๊ะ" หรือ "ส่งซอสมาหน่อย" 00:10:03.179 --> 00:10:05.160 คุณสามารถเอาเวลา 10 นาทีนั้น แล้วย้ายมันไป 00:10:05.160 --> 00:10:07.630 ยังส่วนใดก็ได้ของวัน แล้วยังคงได้รับประโยชน์เหมือนเดิม 00:10:07.630 --> 00:10:11.540 แค่ย้ายเวลาทานข้าวร่วมกันของครอบครัว นั่นคือการปรับเปลี่ยน 00:10:11.540 --> 00:10:13.789 นักจิตวิทยาสิ่งแวดล้อมคนหนึ่ง บอกผมว่า 00:10:13.789 --> 00:10:15.991 "ถ้าคุณนั่งอยู่บนเก้าอี้หลังตรง บนพื้นแข็ง 00:10:15.991 --> 00:10:18.437 คุณจะเข้มงวดมากกว่า 00:10:18.437 --> 00:10:21.829 การที่คุณนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่มีนวม คุณจะเปิดกว้างมากกว่า" 00:10:21.829 --> 00:10:23.647 เธอบอกผมว่า "ถ้าคุณกำลังอบรมวินัยให้กับลูกๆ 00:10:23.647 --> 00:10:26.500 ให้นั่งบนเก้าอี้หลังตรงที่มีเบาะรอง 00:10:26.500 --> 00:10:28.343 จะทำให้การสนทนาราบรื่นกว่า" 00:10:28.343 --> 00:10:32.191 ผมและภรรยาย้ายที่นั่งกัน เมื่อเราต้องพูดคุยเรื่องที่ลำบากใจ 00:10:32.191 --> 00:10:35.960 เพราะว่า ผมนั่งอยู่ในตำแหน่งที่มีอำนาจ 00:10:35.960 --> 00:10:38.670 ดังนั้นย้ายตำแหน่งในการนั่ง นั่นก็เป็นการปรับเปลี่ยนเช่นกัน 00:10:38.670 --> 00:10:41.800 ประเด็นก็คือ แนวคิดใหม่ๆ เหล่านี้เริ่มแพร่หลายมากขึ้น 00:10:41.800 --> 00:10:44.430 เราจำเป็นต้องให้เหล่าพ่อแม่นำมาใช้บ้าง 00:10:44.430 --> 00:10:46.516 ดังนั้นข้อแรก ปรับเปลี่ยนตลอดเวลา 00:10:46.516 --> 00:10:50.980 หยืดหยุ่น เปิดกว้าง แล้วปล่อยให้ความคิดดีๆ เข้ามามีบทบาท 00:10:50.980 --> 00:10:54.401 ประเด็นที่สอง มอบอำนาจให้เด็กๆ ของคุณ 00:10:54.401 --> 00:10:57.612 สัญชาตญาณพ่อแม่บอกว่า เราต้องสั่งเด็กๆ เท่านั้น 00:10:57.612 --> 00:10:59.728 มันง่ายกว่า และเอาจริงๆ นะ เราถูกอยู่เสมอแหละ 00:10:59.728 --> 00:11:03.580 มันมีเหตุผลอยู่นะ ที่มีเพียงไม่กี่ระบบเท่านั้นที่มีลักษณะ 00:11:03.580 --> 00:11:05.130 เป็นน้ำตกมากไปกว่า สถาบันครอบครัว 00:11:05.130 --> 00:11:07.379 แต่บทเรียนสำคัญที่สุดที่เราได้เรียนรู้ก็คือ 00:11:07.379 --> 00:11:10.174 ให้พยายามกลับทิศทางของน้ำตกให้มากที่สุด 00:11:10.174 --> 00:11:13.679 ให้เด็กๆ มีส่วนร่วมในการอบรมสั่งสอนพวกเขาเอง 00:11:13.679 --> 00:11:16.197 เมื่อวานนี้เอง เรากำลังมีการประชุมครอบครัวอยู่ 00:11:16.197 --> 00:11:18.961 และเราโหวตกันว่า เราจะแก้ปัญหา การแสดงออกที่ "เยอะ" เกินไป 00:11:18.961 --> 00:11:21.642 เราบอกว่า "เอาละ มากำหนดรางวัล และบทลงโทษกันดีกว่า โอเคมั้ย" 00:11:21.642 --> 00:11:26.664 ลูกสาวเราคนหนึ่งเสนอว่า ให้แต่ละคน มีเวลาวีนแตกไม่เกินห้านาทีต่อสัปดาห์ 00:11:26.664 --> 00:11:28.438 เราชอบไอเดียนั้น 00:11:28.438 --> 00:11:30.502 แล้วลูกสาวอีกคนก็เริ่มลองคิดให้ละเอียดขึ้น 00:11:30.502 --> 00:11:33.274 เธอถามว่า "หนูจะได้วีนแตกหนึ่งครั้ง นานห้านาที 00:11:33.274 --> 00:11:36.864 หรือจะเป็นวีนแตกได้สิบครั้ง ครั้งละ 30 วินาที?" 00:11:36.864 --> 00:11:39.135 ผมชอบมาก ใช้เวลายังไงก็ได้ตามที่เธอต้องการ 00:11:39.135 --> 00:11:41.313 เอาละ เราจะลงโทษกันยังไงดี 00:11:41.313 --> 00:11:46.560 ถ้าเรากำหนดให้ลิมิตอยู่ที่ 15 นาทีของการออกอาการวีนแตก 00:11:46.560 --> 00:11:49.860 ทุกนาทีที่วีนเกิน เราต้องวิดพื้นหนึ่งที 00:11:49.860 --> 00:11:53.129 คุณจะเห็นได้ว่า มันได้ผล ระบบแบบนี้ไม่ได้หย่อนยานนะครับ 00:11:53.129 --> 00:11:55.672 ผู้ปกครองยังคงมีอำนาจในการชี้นำอยู่ 00:11:55.672 --> 00:11:58.630 แต่เราให้โอกาสเด็กๆ ได้ฝึกการดูแลตัวเองเป็นอิสระ 00:11:58.630 --> 00:12:00.809 ซึ่งแน่นอนว่าเป็นเป้าหมายสูงสุดของพวกเรา 00:12:00.809 --> 00:12:03.316 ก่อนที่ผมจะออกมาพูดที่นี่ค่ำนี้เอง 00:12:03.316 --> 00:12:05.202 ลูกสาวของเราคนหนึ่งเริ่มส่งเสียงกรีดร้อง 00:12:05.202 --> 00:12:07.810 อีกคนหนึ่งก็พูดเลยว่า "วีนแตกแล้ว! วีนแตกแล้ว!" 00:12:07.810 --> 00:12:10.819 แล้วเริ่มต้นนับ ภายในแค่ 10 วินาที มันก็หยุดลง 00:12:10.819 --> 00:12:16.770 สำหรับผมแล้ว นี่คือมหัศจรรย์ของอไจย์ที่ผ่านการรับรองแล้ว 00:12:16.770 --> 00:12:17.887 (หัวเราะ) (ปรบมือ) 00:12:17.887 --> 00:12:20.910 แล้วก็นะ มีผลวิจัยรองรับด้วย 00:12:20.910 --> 00:12:24.508 เด็กๆ ที่่มีการวางแผนเป้าหมายของตัวเอง กำหนดตารางสัปดาห์เอง 00:12:24.508 --> 00:12:28.745 ประเมินผลงานของตัวเอง จะมีการพัฒนาสมองส่วนหน้ามากกว่า 00:12:28.745 --> 00:12:32.893 และสามารถควบคุมชีวิตของตัวเองได้ดีกว่า 00:12:32.893 --> 00:12:35.895 ประเด็นก็คือ เราต้องปล่อยให้เด็กๆ ของเรา ประสบความสำเร็จในแบบของเขาเอง 00:12:35.895 --> 00:12:39.257 และใช่ครับ ในบางครั้ง ก็ปล่อยให้ล้มเหลวเองด้วยเช่นกัน 00:12:39.257 --> 00:12:41.198 ผมเคยพูดคุยกับนักธนาคารของวอร์เรน บัฟเฟ็ตต์ 00:12:41.198 --> 00:12:42.753 เขาต่อว่าผม เรื่องที่ไม่ยอมให้ลูกๆ 00:12:42.753 --> 00:12:45.365 ได้ทำอะไรผิดพลาดเสียบ้างกับการใช้จ่ายเงินค่าขนม 00:12:45.365 --> 00:12:47.564 ผมก็บอกว่า "แล้วถ้าพวกเขาทำพลาดแบบดิ่งเหวไปเลยละ?" 00:12:47.564 --> 00:12:49.424 เขาว่า "มันดีกว่านะ ที่จะปล่อยให้เขาพลาดกับ 00:12:49.424 --> 00:12:53.255 เงินเบี้ยเลี้ยง 6 เหรียญ ดีกว่าผิดพลาด กับเงินเดือนปีละ 60,000 เหรียญ 00:12:53.255 --> 00:12:55.632 หรือกับมรดกมูลค่า หกล้าน เหรียญ" 00:12:55.632 --> 00:12:58.988 ดังนั้น ประเด็นสำคัญคือ การให้อำนาจเด็กๆ ของพวกคุณ 00:12:58.988 --> 00:13:03.209 ข้อที่สาม เล่าเรื่องราวของคุณ 00:13:03.209 --> 00:13:06.445 ความหยืดหยุ่นปรับตัวได้เป็นเรื่องดี แต่เราก็จำเป็นต้องมีรากฐานที่ดีด้วย 00:13:06.445 --> 00:13:08.821 จิม คอลลินส์ ผู้แต่งหนังสือ "Good To Great" 00:13:08.821 --> 00:13:11.879 บอกผมว่า องค์กรของมนุษย์ ไม่ว่าแบบใดก็ตาม ที่ประสบความสำเร็จ 00:13:11.879 --> 00:13:13.480 มีสองสิ่งที่เหมือนกัน 00:13:13.480 --> 00:13:16.115 คือพวกเรารักษาแก่นแท้ไว้ และพวกเขากระตุ้นให้เกิดความก้าวหน้า 00:13:16.115 --> 00:13:18.562 ดังนั้นอไจล์เป็นวิธีการที่ดีที่กระตุ้นให้เกิดความก้าวหน้า 00:13:18.562 --> 00:13:21.976 แต่ผมมักจะได้ยินอยู่เสมอว่า เราจำเป็นต้องรักษาแก่นแท้เอาไว้ 00:13:21.976 --> 00:13:23.972 แล้วคุณจะทำอย่างนั้นได้อย่างไรละ 00:13:23.972 --> 00:13:26.326 คอลลินส์แนะนำให้พวกเราทำบางอย่างเหมือนกับ 00:13:26.326 --> 00:13:29.276 ที่องค์กรธุรกิจทำ นั่นคือการกำหนดพันธกิจ 00:13:29.276 --> 00:13:31.691 และนิยามแก่นคุณค่าขององค์กร 00:13:31.691 --> 00:13:35.324 เขาสอนเราถึงกระบวนการสร้างพันธกิจของครอบครัว 00:13:35.324 --> 00:13:37.514 เราสร้างกระบวนการคล้ายการออกไปสัมนาของบริษัท 00:13:37.514 --> 00:13:39.401 แต่ในครอบครัว เรามีปาร์ตี้ชุดนอนกัน 00:13:39.401 --> 00:13:42.620 ผมทำข้าวโพดคั่ว ความจริงแล้ว ทำไหม้ไปอันหนึ่ง เลยทำสองอัน 00:13:42.620 --> 00:13:44.607 ภรรยาผมเอากระดานฟลิปชาร์ทออกมาวาง 00:13:44.607 --> 00:13:46.610 แล้วเราก็นั่งสนทนากัน ในเรื่องอย่างเช่น อะไรเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเรา? 00:13:46.610 --> 00:13:48.969 ค่านิยมอะไร ที่เรายึดถือมากที่สุด? 00:13:48.969 --> 00:13:50.536 ท้ายที่สุด เราสร้างคำแถลงการณ์ 10 ข้อ 00:13:50.536 --> 00:13:52.454 เราเป็นนักเดินทาง ไม่ใช่นักท่องเที่ยว 00:13:52.454 --> 00:13:55.730 เราไม่ชอบภาวะยุ่งยากใจ เราชอบทางแก้ปัญหา 00:13:55.730 --> 00:13:59.296 อีกครั้งที่มีผลวิจัย แสดงว่าพ่อแม่ควรใช้เวลาให้น้อยลง 00:13:59.296 --> 00:14:01.772 ในการมัวกังวลว่าทำอะไรผิดไปบ้าง 00:14:01.772 --> 00:14:05.140 และใช้เวลามากขึ้น ในการเน้นว่า ทำอะไรถูกต้องบ้าง 00:14:05.140 --> 00:14:08.764 วิตกกังวลเกี่ยวกับช่วงเวลาแย่ๆ ให้น้อยลง และสร้างช่วงเวลาดีๆ ให้มากขึ้น 00:14:08.764 --> 00:14:11.383 คำแถลงพันธกิจครอบครัวนี้เป็นวิธีที่ดีเยี่ยมในการ 00:14:11.383 --> 00:14:14.148 ระบุว่า อะไรบ้างที่เราทำได้ถูกต้อง 00:14:14.148 --> 00:14:16.727 ไม่กี่สัปดาห์ต่อมา เราได้รับโทรศัพท์จากโรงเรียน 00:14:16.727 --> 00:14:18.654 ลูกสาวเราคนหนึ่ง มีเรื่องทะเลาะวิวาทในโรงเรียน 00:14:18.654 --> 00:14:20.876 ทันใดนั้นเราก็เริ่มกังวล หรือว่าลูกเรา จะกลายเป็นเด็กเกเรขึ้นมาแล้ว? 00:14:20.876 --> 00:14:23.115 และเราก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี 00:14:23.115 --> 00:14:24.725 เราเลยเรียกลูกสาวเข้าไปผมในห้องทำงานผม 00:14:24.725 --> 00:14:26.199 คำแถลงพันธกิจครอบครัวติดอยู่บนผนัง 00:14:26.199 --> 00:14:28.867 ภรรยาผมพูดว่า "มีอะไรบ้างบนนี้ที่ดูเหมือนจะใช้ได้" 00:14:28.867 --> 00:14:30.466 เธอมองดูรายการ แล้วก็บอกว่า 00:14:30.466 --> 00:14:32.997 "ให้ทุกคนมีส่วนร่วม?" 00:14:32.997 --> 00:14:35.606 ทันใดนั้น เราก็มีหนทางที่จะเริ่มการสนทนาได้ 00:14:35.606 --> 00:14:37.882 วิธียอดเยี่ยมอีกอย่างหนึ่งในการเล่าเรื่อง 00:14:37.882 --> 00:14:41.184 คือการบอกเด็กๆ ว่า พวกเขามาจากที่ไหนบ้าง 00:14:41.184 --> 00:14:43.253 นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยอีมอรี่ ให้เด็กๆ 00:14:43.253 --> 00:14:45.169 ทำการทดสอบง่ายๆ ชื่อ "เธอรู้ไหม" 00:14:45.169 --> 00:14:47.770 รู้หรือไม่ว่าปู่ย่าตายายเกิดที่ไหน? 00:14:47.770 --> 00:14:50.840 รู้หรือไม่ว่าพ่อแม่เรียนมัธยมที่ไหน? 00:14:50.840 --> 00:14:52.163 เธอรู้จักใครในครอบครัวบ้างไหม 00:14:52.163 --> 00:14:55.998 ที่ตกอยู่ในสภาพแย่ เช่นป่วยหนัก แล้วก็สามารถเอาชนะมันมาได้? 00:14:55.998 --> 00:14:59.746 เด็กๆ ที่ได้คะแนนสูงที่สุดในแบบทดสอบ "เธอรู้ไหม" นี้ 00:14:59.746 --> 00:15:04.559 เป็นเด็กที่มีความภูมิใจในตัวเองสูง และตระหนักว่า พวกเขาสามารถควบคุมชีวิตตัวเองได้ 00:15:04.559 --> 00:15:07.511 แบบทดสอบ "เธอรู้ไหม" กลายเป็นตัวชี้วัดสำคัญที่สุด 00:15:07.511 --> 00:15:10.688 ของสุขภาพจิตและความสุขของเด็กๆ 00:15:10.688 --> 00:15:12.173 ผู้เขียนแบบทดสอบบอกผมว่า 00:15:12.173 --> 00:15:16.170 เด็กๆ ที่รู้สึกว่า พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องเล่าอันยาวนาน 00:15:16.170 --> 00:15:19.582 จะมีความเชื่อมั่นในตัวเองสูงกว่าเด็กอื่น 00:15:19.582 --> 00:15:22.300 ดังนั้นประเด็นสุดท้ายของผมก็คือ เล่าเรื่องของคุณ 00:15:22.300 --> 00:15:25.947 ใช้เวลาเล่าซ้ำแล้วซ้ำอีก เกี่ยวกับช่วงเวลาดีๆ ของครอบครัว 00:15:25.947 --> 00:15:29.227 และวิธีการที่จะผ่านพ้นปัญหาและอุปสรรคในช่วงเวลาแย่ๆ 00:15:29.227 --> 00:15:31.453 ถ้าคุณเล่าเรื่องที่มีความสุขให้เด็กๆ ฟัง 00:15:31.453 --> 00:15:35.507 คุณกำลังให้เครื่องมือที่จะทำให้พวกเขา มีความสุขมากยิ่งขึ้น 00:15:35.507 --> 00:15:41.265 ผมอ่านนิยายเรื่อง "คาเรนิน่า" ครั้งแรก เมื่อครั้งยังเป็นวัยรุ่น 00:15:41.265 --> 00:15:42.245 และประโยคเปิดที่มีชื่อเสียงก็คือ 00:15:42.245 --> 00:15:44.256 "ครอบครัวแสนสุขทั้งหลายต่างคล้ายคลึงกัน 00:15:44.256 --> 00:15:47.380 แต่ละครอบครัวทุกข์ยาก ล้วนลำเค็ญในแบบของตัวเอง" 00:15:47.380 --> 00:15:50.783 ผมอ่านครั้งแรก ผมก็คิดว่า "ประโยคนี้ช่างโง่จริงๆ" 00:15:50.783 --> 00:15:54.383 แน่นอนอยู่แล้วว่า ครอบครัวทั้งหลาย ที่มีความสุข แตกต่างกัน" 00:15:54.383 --> 00:15:56.865 แต่เมื่อผมเริ่มต้นทำงานในโครงการนี้ 00:15:56.865 --> 00:15:59.356 ผมเริ่มเปลี่ยนความคิดไป 00:15:59.356 --> 00:16:01.763 ผลงานวิชาการเร็วๆ นี้ ช่วยให้เราสามารถ 00:16:01.763 --> 00:16:04.376 เข้าใจถึงปัจจัยพื้นฐาน 00:16:04.376 --> 00:16:07.123 ที่ครอบครัวต่างๆ ที่ประสบความสำเร็จมีร่วมกัน 00:16:07.123 --> 00:16:09.452 ผมแค่พูดถึงปัจจัยเหล่านั้นแค่สามประเด็นเท่านั้นในวันนี้ 00:16:09.452 --> 00:16:14.685 ปรับเปลี่ยนตลอดเวลา ให้อำนาจแก่เด็กๆ และเล่าเรื่องราวของคุณ 00:16:14.685 --> 00:16:19.269 เป็นไปได้ไหมว่า ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ทอลสตอยเป็นฝ่ายถูกมาตลอด? 00:16:19.269 --> 00:16:22.754 ผมเชื่อว่า คำตอบคือ ใช่ 00:16:22.754 --> 00:16:25.118 เมื่อลีโอ ทอลสตอยมีอายุห้าขวบ 00:16:25.118 --> 00:16:26.618 พี่ชายของเขา นิโคเลย์ มาหา 00:16:26.618 --> 00:16:29.662 แล้วก็บอกว่า เขาได้สลักความลับ ของความสุขครอบจักรวาล 00:16:29.662 --> 00:16:32.311 ลงในแท่งไม้สีเขียวเล็ก ซึ่งเขาเอาไปซ่อนไว้ 00:16:32.311 --> 00:16:35.709 ในหุบเขาแห่งหนึ่งที่เป็นที่ของครอบครัวในรัสเซีย 00:16:35.709 --> 00:16:39.709 ถ้าแท่งไม้นี้ถูกค้นพบ มนุษยชาติทั้งหมดจะมีความสุข 00:16:39.709 --> 00:16:45.561 ทอลสตอยหมกหมุ่นอยู่กับไม้แท่งนี้ แต่เขาก็ไม่เคยหามันพบ 00:16:45.561 --> 00:16:49.728 เขาถึงกับขอให้ฝังร่างของเขาไว้ในหุบเขา ที่เขาเชื่อว่าแท่งไม้นี้ถูกซ่อนอยู่ 00:16:49.728 --> 00:16:54.970 ร่างของเขายังอยู่ที่นั่นทุกวันนี้ ปกคลุมด้วยหญ้าเขียว 00:16:54.970 --> 00:16:57.860 เรื่องนั้นเป็นเรื่องที่เหมาะมากสำหรับผม 00:16:57.860 --> 00:16:59.731 บทเรียนสุดท้ายที่ผมได้เรียนรู้ 00:16:59.731 --> 00:17:02.780 ความสุขไม่ใช่เป็นอะไรที่เราค้นหา 00:17:02.780 --> 00:17:04.398 มันเป็นสิ่งที่เราต้องสร้างขึ้น 00:17:04.398 --> 00:17:06.986 แทบทุกคนที่พิจารณาดูองค์กรที่ทำงานได้ดี 00:17:06.986 --> 00:17:10.900 ต่างก็ได้ข้อสรุปคล้ายๆ กัน 00:17:10.900 --> 00:17:13.314 ความยิ่งใหญ่ไม่ได้เกิดขึ้นมาเพราะโชคช่วย 00:17:13.314 --> 00:17:15.663 แต่มันเป็นเรื่องของการเลือก 00:17:15.663 --> 00:17:19.916 คุณไม่จำเป็นต้องมีแผนการที่ยิ่งใหญ่ คุณไม่ต้องมีสายบังคับบัญชา 00:17:19.916 --> 00:17:21.957 คุณเพียงแค่ต้องก้าวไปทีละก้าวเล็กๆ 00:17:21.957 --> 00:17:24.400 เก็บสะสมชัยชนะเล็กๆ ไปเรื่อยๆ 00:17:24.400 --> 00:17:26.339 คอยมองหาแท่งไม้สีเขียวแท่งนั้นไว้ 00:17:26.339 --> 00:17:29.256 ท้ายที่สุดแล้ว นี่อาจจะเป็นบทเรียนสำคัญที่สุดก็ได้ 00:17:29.256 --> 00:17:34.768 อะไรคือความลับสู่ครอบครัวที่มีความสุขน่ะหรือ? ความพยายามไง 00:17:34.768 --> 00:17:38.768 (เสียงปรบมือ)