สำเหนียกเสียงแห่งโลกธรรมชาติ
-
0:02 - 0:08(เสียงธรรมชาติ)
-
0:08 - 0:11เมื่อผมทำการบันทึกพื้นเสียง (soundscape)
จากป่าเป็นครั้งแรก -
0:11 - 0:12เมื่อ 45 ปีก่อน
-
0:12 - 0:15ผมไม่ทราบเลยว่า มด
-
0:15 - 0:18ตัวอ่อนของแมลง ดอกไม้ทะเล และไวรัส
-
0:18 - 0:20สร้างเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ได้
-
0:20 - 0:22แต่พวกมันทำได้
-
0:22 - 0:25และสิ่งมีชีวิตอื่นๆในป่าที่อาศัยอยู่บนโลกนี้ก็ทำได้เช่นกัน
-
0:25 - 0:29ดั่งเช่นเสียงจากป่าฝนแอมะซอนที่คุณได้ยินอยู่ข้างหลังผมนี้
-
0:29 - 0:32ที่จริงแล้ว ป่าฝนในเขตอบอุ่นและเขตร้อน
-
0:32 - 0:35แต่ละชนิดของป่านั้น
ขับประสานเสียงของบรรดาสรรพสัตว์ -
0:35 - 0:39ที่แสดงถึงสถานภาพ ณ เวลาหนึ่ง และการจัดตัว
-
0:39 - 0:43ของแมลง สัตว์เลื้อยคลาน สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ นก
และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม -
0:43 - 0:46และทุกๆพื้นเสียงที่ขับออกมาจากป่านั้น
-
0:46 - 0:50ได้สร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัวของมันเอง
-
0:50 - 0:53ซึ่งประกอบได้ด้วยข้อมูลปริมาณมหาศาล
-
0:53 - 0:57และนี่ก็เป็นข้อมูลบางส่วน
ที่ผมอยากจะนำมาแบ่งปันกับพวกคุณในวันนี้ -
0:57 - 1:00พื้นเสียงนั้นประกอบขึ้นจากสามแหล่งสำคัญ
-
1:00 - 1:03ประการแรกคือ เสียงจากแหล่งกายภาพ (genophony)
-
1:03 - 1:05หรือ เรียกได้ว่าเป็นเสียงจากสิ่งที่ไม่ได้เป็นชีวภาพ
-
1:05 - 1:07ที่เกิดในทุกๆแห่งอาศัย
-
1:07 - 1:10เช่นเสียงลมในต้นไม้ น้ำในลำธาร
-
1:10 - 1:13คลื่น ณ ชายฝั่งของมหาสมุทร การเคลื่อนไหวของโลก
-
1:13 - 1:17แหล่งที่สองคือ เสียงจากแหล่งชีวภาพ (biophony)
-
1:17 - 1:20เสียงจากแหล่งชีวภาพคือทุกๆเสียง
-
1:20 - 1:23ที่สร้างมาจากสิ่งมีชีวิตในที่อยู่อาศัยนั้น
-
1:23 - 1:27ณ เวลาหนึ่ง และ ณ สถานที่หนึ่ง
-
1:27 - 1:31และแหล่งที่สามก็คือ เสียงที่สร้างขึ้นโดยมนุษย์เรา
-
1:31 - 1:33ซึ่งเรียกได้ว่า เสียงจากมนุษย์ (anthrophony)
-
1:33 - 1:36บางเสียงนั้นได้รับการควบคุม เช่นเสียงดนตรี หรือละคร
-
1:36 - 1:40แต่ส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นเสียงความโกลาหล
และเสียงที่ไม่ประสานกัน -
1:40 - 1:44ซึ่งเราบางคนเรียกมันว่า เสียงรบกวน
-
1:44 - 1:47ผมเคยคิดว่า พื้นเสียงจากป่านั้น
-
1:47 - 1:48ปราศจากสิ่งก่อกวนใดๆ
-
1:48 - 1:52พวกมันมีอยู่ตรงนั้นนั่นแหละ แต่พวกมันไม่ได้เด่นชัดอะไร
-
1:52 - 1:56เอาล่ะ ผมผิดไปครับ
สิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากการการทำงานนี้ก็คือ -
1:56 - 2:01การฟังอย่างระมัดระวังตั้งใจนั้น
ได้มอบเครื่องมืออันมีค่าอัศจรรย์ยิ่งกับเรา -
2:01 - 2:03ในการใช้มันประเมินความอุดมสมบูรณ์ของแหล่งที่อาศัย
-
2:03 - 2:07ได้ทั่วทั้งความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต
-
2:07 - 2:10เมื่อผมทำการบันทึกในปลายยุค 60
-
2:10 - 2:13วิธีการในการบันทึกนั้นถูกจำกัด
-
2:13 - 2:18ให้มีลักษณะการแบ่งเป็นส่วนๆ
ของแต่ละสายพันธ์ุของสิ่งมีชีวิต -
2:18 - 2:21เช่นส่วนใหญ่ นก ในตอนแรกๆ
-
2:21 - 2:27และต่อมาในสัตว์อื่นๆเช่น
สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม และสัตว์ครึ่งบอกครึ่งน้ำ -
2:27 - 2:30สำหรับผม นี่มันเหมือนกับการที่เราพยายามจะเข้าใจ
-
2:30 - 2:33งานประพันธ์ซิมโฟนี่หมายเลข 5 ของบีโทเฟ่น
ที่สุดแสนอลังการ -
2:33 - 2:36โดยดึงเอาเสียงของนักไวโอลินคนเดียว
-
2:36 - 2:39ออกมาจากบทประพันธ์ของวงดนตรีทั้งวง
-
2:39 - 2:42และฟังมันแต่เพียงท่อนเดียว
-
2:42 - 2:45โชคดี มีสถาบันต่างๆมากขึ้น
-
2:45 - 2:47จัดตั้งตัวอย่างอุปกรณ์ต่างๆที่สมบูรณ์มากขึ้น
-
2:47 - 2:49ที่ผมและผู้ร่วมงานบางท่านได้รับการแนะนำให้รู้จัก
-
2:49 - 2:53กับสาขาวิชานิเวศวิทยาเชิงพื้นเสียง
(soundscape ecology) -
2:53 - 2:58เมื่อผมทำการบันทึกเสียง กว่าสี่ทศวรรษที่แล้ว
-
2:58 - 3:01ผมทำการบันทึกได้เป็น 10 ชั่วโมง
-
3:01 - 3:03เพียงเพื่อได้งานเพียงชั่วโมงเดียวที่มีคุณค่า
-
3:03 - 3:06ดีพอต่อการนำไปใช้สำหรับเป็นอัลบัม
หรือเสียงสำหรับภาพยนต์ -
3:06 - 3:09หรือเป็นสิ่งจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์
-
3:09 - 3:12ทีนี้ เพราะว่าปรากฎการณ์โลกร้อน
-
3:12 - 3:13การสูญสิ้นไปของทรัพยากร
-
3:13 - 3:16และเสียงรบกวนจากมนุษย์ ซึ่งก็เป็นปัจจัยตัวหนึ่ง
-
3:16 - 3:19มันทำให้ต้องใช้เวลามากถึง 1,000 ชั่วโมงหรือมากกว่านั้น
-
3:19 - 3:22เพื่อเก็บบันทึกในสิ่งเดียวกัน
-
3:22 - 3:2550 เปอร์เซ็นต์เต็มของผลงานที่ได้มาของผม
-
3:25 - 3:28มาจากถิ่นอาศัยที่ถูกเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก
-
3:28 - 3:31จนพวกมัน ถ้าไม่เงียบสงัด
-
3:31 - 3:36ก็ไม่ได้มีเสียงในรูปแบบเดิมที่มันเป็น
-
3:36 - 3:38วิธีปกติในการประเมินถิ่นอาศัย
-
3:38 - 3:41ทำได้โดยนับจำนวนสายพันธ์ุต่างๆ
-
3:41 - 3:45และจำนวนสิ่งมีชีวิตแต่ละสายพันธ์ุในบริเวณหนึ่งๆ
จากการมอง -
3:45 - 3:49อย่างไรก็ดี จากการเปรียบเทียบข้อมูลที่เชื่อมโยง
-
3:49 - 3:52ทั้งความหนาแน่นและความหลากหลายจากที่เราได้ยิน
-
3:52 - 3:57ผมสามารถที่จะได้ผลลัพธ์ที่มีความแม่นยำมากกว่า
-
3:57 - 3:59และผมอยากที่จะแสดงให้คุณเห็นตัวอย่างบางส่วน
-
3:59 - 4:02ที่เป็นแบบอย่างความเป็นไปได้ ที่ถูกเผย
-
4:02 - 4:05โดยการกระโจนลงไปยังมิตินี้
-
4:05 - 4:06นี่คือ ทุ่งหญ้า ลินคอน (Lincoln Meadow)
-
4:06 - 4:08มันห่างออกไปประมาณสามชั่วโมงครึ่งโดยทางรถยนต์
-
4:08 - 4:11อยู่ทางตะวันออกของซานฟรานซิสโก
ในภูเขาเซียร์ร่า เนวาดา (Sierra Nevada) -
4:11 - 4:14ที่ความสูง 2,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล
-
4:14 - 4:16และผมได้บันทึก ณ ที่นั่นเป็นเวลาหลายปี
-
4:16 - 4:20ในปี ค.ศ. 1988 บริษัทรับตัดไม้ ได้โน้มน้าวชาวบ้าน
-
4:20 - 4:23ว่ามันจะไม่เกิดผลกระทบใดๆทั้งสิ้นต่อสิ่งแวดล้อม
-
4:23 - 4:25จากวิธีการใหม่ที่พวกเขาใช้
-
4:25 - 4:27ที่เรียกว่า "การตัดไม้แบบเลือก" (selective logging)
-
4:27 - 4:28ที่ตัดต้นไม้เป็นหย่อมๆกระจายกัน
-
4:28 - 4:32แทนที่จะตัดให้โกร๋นไปทั้งพื้นที่
-
4:32 - 4:33จากการได้รับอนุญาตให้ทำการบันทึก
-
4:33 - 4:35ทั้งก่อนและหลังปฎิบัติการนี้
-
4:35 - 4:40ผมติดตั้งอุปกรณ์ของผม
และทำการจับเสียงประสานในช่วงใกล้รุ่งเป็นจำนวนมาก -
4:40 - 4:43ด้วยรูปแบบวิธีที่เข้มงวดและปรับมาตราฐานการบันทึก
-
4:43 - 4:46เพราะว่าผมต้องการตัวฐานอ้างอิงที่ดีจริงๆ
-
4:46 - 4:48นี่เป็นตัวอย่างของแถบคลื่นเสียง (spectrogram)
-
4:48 - 4:50มันเป็นภาพกราฟฟิกของเสียง
-
4:50 - 4:53ที่กำกับด้วยเวลาจากทางซ้ายไปขวา
-
4:53 - 4:56ในกรณีนี้ แสดงความยาว 15 วินาที
-
4:56 - 4:59และความถี่จากด้านล่างถึงด้านบนสุด
-
4:59 - 5:00จากต่ำสุดถึงสูงที่สุด
-
5:00 - 5:03และคุณสามารถเห็นได้ถึงลักษณะเฉพาะของกระแส
-
5:03 - 5:08ที่ได้แสดงที่นี่ใน หนึ่งในสามหรือครึ่งหนึ่งของหน้า
-
5:08 - 5:11ในขณะที่นกที่ครั้งหนึ่งเคยอยู่ในทุ่งหญ้านั้น
-
5:11 - 5:14ถูกแสดงให้เห็นเป็นลักษณะเฉพาะทางด้านบน
-
5:14 - 5:16มีพวกมันอยู่เยอะเลยครับ
-
5:16 - 5:19และนี่เป็นเสียงจากทุ่งหญ้าลินคอน ก่อนที่จะมีการตัดไม้
-
5:19 - 5:34(เสียงธรรมชาติ)
-
5:34 - 5:35เอาล่า อีกปีถัดไป ผมกลับไป
-
5:35 - 5:37และใช้รูปแบบวิธีแดิม
-
5:37 - 5:40และบันทึกในข้อกำหนดเดิม
-
5:40 - 5:42ผมบันทึกตัวอย่างจำนวนมาก
-
5:42 - 5:44ของเสียงประสานเดิมตอนใกล้รุ่ง
-
5:44 - 5:46และทีนี้ นี่เป็นสิ่งที่เราได้
-
5:46 - 5:48นี่เป็นตอนหลังจากเกิดการตัดไม้แบบเลือก
-
5:48 - 5:50คุณเห็นได้ว่ากระแสนั้นยังคงแสดงอยู่ให้เห็น
-
5:50 - 5:52ในส่วนล่าง หนึ่งในสามส่วนของหน้า
-
5:52 - 5:56แต่สังเกตดูว่าอะไรหายไปจากสองในสามส่วนทางด้านบน
-
5:56 - 6:02(เสียงธรรมชาติ)
-
6:02 - 6:11ที่กำลังจะมาคือเสียงของนกหัวขวาน
-
6:11 - 6:14เอาล่ะ ผมได้กลับไปยังทุ่งหญ้าลินคอนถึง 15 ครั้ง
-
6:14 - 6:15ในรอบ 25 ปี
-
6:15 - 6:19และผมสามารถบอกคุณได้ว่าเสียงจากแหล่งชีวภาพ
-
6:19 - 6:22ความหนาแน่นและความหลากหลาย
ของเสียงจากแหล่งชีวภาพ -
6:22 - 6:24ยังไม่ได้กลับมาสู่รูปแบบเดิมที่มันเคยเป็น
-
6:24 - 6:27ก่อนที่จะเกิดปฎิบัติการ
-
6:27 - 6:30แต่นี่เป็นภาพของทุ่งหญ้าลินคอน ที่ถ่ายทีหลัง
-
6:30 - 6:33และคุณสามารถเห็นได้ผ่านมุมกล้อง
-
6:33 - 6:34หรือจากทัศนะของมนุษย์
-
6:34 - 6:37ว่าแทบจะไม่มีกิ่งไม้หรือต้นไม้ระเกะระกะเลย
-
6:37 - 6:40ซึ่งยืนยันข้อโต้แย้งของบริษัทที่รับตัดไม้
-
6:40 - 6:42ว่ามันจะไม่เกิดผลกระทบใดๆต่อสิ่งแวดล้อม
-
6:42 - 6:49อย่างไรก็ดี หูของเราบอกเรื่องราวที่ต่างออกไป
-
6:49 - 6:51นักเรียนรุ่นเยาว์ถามผมเสมอๆ
-
6:51 - 6:52ว่าสัตว์เหล่านี้พูดอะไรกัน
-
6:52 - 6:57และอันที่จริง ผมก็ไม่ทราบหรอกครับ
-
6:57 - 7:02แต่ผมสามารถบอกคุณได้ว่า
พวกมันแสดงออกถึงตัวตนของมัน -
7:02 - 7:05ส่วนที่ว่าเราจะเข้าใจหรือไม่นั้น เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
-
7:05 - 7:08ผมเดินเลาะไปตามชายฝั่งในอะลาสก้า
-
7:08 - 7:10และผมได้พบกับแอ่งน้ำริมฝั่งนี้
-
7:10 - 7:13ที่เต็มไปด้วยกลุ่มของดอกไม้ทะเล
-
7:13 - 7:15เจ้าเครื่องจักรนักกินที่แสนวิเศษ
-
7:15 - 7:18ที่เป็นญาติกับปะการังและแมงกะพรุน
-
7:18 - 7:20และพอเกิดความสงสัยว่าพวกมันจะทำเสียงอะไรบ้างไหม
-
7:20 - 7:21ผมก็หย่อนไฮโดรโฟน (hydrophone)
-
7:21 - 7:24ซึ่งมันก็คือไมโครโฟนใต้น้ำที่หุ้มด้วยยาง
-
7:24 - 7:26ลงไปยังส่วนปากของมัน
-
7:26 - 7:27และในทันใดนั้น เจ้าสิ่งมีชีวิตนี้
-
7:27 - 7:30ก็เริ่มที่จะดูดไมโครโฟนเข้าไปในท้องของมัน
-
7:30 - 7:32และหนวดทั้งหลายก็เข้าค้นหาส่วนพื้นผิว
-
7:32 - 7:35เพื่อหาอะไรก็ตามที่มีคุณค่าทางอาหาร
-
7:35 - 7:37เสียงแบบนิ่งๆนั้นเบามากๆ
-
7:37 - 7:39และคุณกำลังที่จะได้ยินครับ
-
7:39 - 7:44(เสียงเบาๆ)
-
7:44 - 7:46ครับ แต่เดี๋ยวนะครับ เมื่อมันไม่เจออะไรที่กินได้
-
7:46 - 7:48(เสียงดังปู๊ด)
-
7:48 - 7:50(เสียงหัวเราะ)
-
7:50 - 7:53ผมคิดว่าการแสดงออกนั้นเป็นที่เข้าใจได้
-
7:53 - 7:54ไม่ว่าในภาษาใดๆ
-
7:54 - 7:59(เสียงหัวเราะ)
-
7:59 - 8:01ในช่วงท้ายของวงจรสืบพันธ์ุ
-
8:01 - 8:03คางคกเท้าพลั่ว เกรทเบซิน
(the Great Basin Spadefoot toad) -
8:03 - 8:05ขุดหลุมลึกลงไปประมาณหนึ่งเมตร
-
8:05 - 8:08ใต้ดินทะเลทรายที่แน่นแข็งของอเมริกาตะวันตก
-
8:08 - 8:10ซึ่งมันจะสามารถอยู่ได้หลายฤดู
-
8:10 - 8:14จนกว่าปัจจัยต่างๆจะเหมาะสมต่อปรากฎกายของมันอีกครั้ง
-
8:14 - 8:15และเมื่อมีความชื้นในดินเพียงพอ
-
8:15 - 8:18ในฤดูใบไม้ผลิ บรรดากบจะตะกายออกมาบนพื้นผิว
-
8:18 - 8:23และมาชุมนุมกันรอบแอ่งน้ำขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นในฤดูใบไม้ผลิ
-
8:23 - 8:25เป็นจำนวนมาก
-
8:25 - 8:28และพวกมันขับเสียงร้องประสาน
-
8:28 - 8:31ที่เข้ากันกับตัวอื่นๆได้อย่างลงตัว
-
8:31 - 8:33และพวกมันทำเช่นนั้นด้วยเหตุสองประการ
-
8:33 - 8:36อย่างแรกเพื่อการแข่งขัน เพราะพวกมันกำลังมองหาคู่
-
8:36 - 8:38และประการที่สองเพื่อความร่วมมือ
-
8:38 - 8:40เพราะถ้าพวกมันร้องเสียงออกมาประสานกันแล้ว
-
8:40 - 8:44มันจะเป็นอะไรที่ยากสำหรับนักล่าอย่างหมาป่า
-
8:44 - 8:49หมาจิ้งจอก และนกฮูก ที่จะจับแยกพวกมัน มากินเป็นอาหาร
-
8:49 - 8:52นี่เป็นหน้าตาของแถบคลื่นเสียงจากเสียงประสานของกบ
-
8:52 - 8:54เมื่อมันมีรูปแบบที่สมบูรณ์ดีมากๆ
-
8:54 - 9:04(เสียงกบร้อง)
-
9:04 - 9:08ทะเลสาปโมโน (Mono Lake) อยู่ถัดไปทางตะวันออก
ของอุทยานแห่งชาติโยซาเมติ (Yosemate National Park) -
9:08 - 9:10ในแคลิฟอเนีย
-
9:10 - 9:13และมันเป็นแหล่งอาศัยอันโปรดปรานของคางคก
-
9:13 - 9:16และมันยังเป็นที่นิยมสำหรับนักบินของทัพเรือสหรัฐฯ
-
9:16 - 9:19ผู้ที่ซ้อมขับเครื่องบินรบที่ความเร็ว
-
9:19 - 9:21เกินกว่า 1,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
-
9:21 - 9:24และอยู่ในระดับความสูง เพียงไม่กี่ร้อยเมตร
-
9:24 - 9:27เหนือระดับพื้นดินของอ่างเก็บน้ำโมโน (Mono Basin)
-
9:27 - 9:30เร็วมาก ต่ำมาก และเสียงดังมากๆ
-
9:30 - 9:33แหล่งเสียงจากมนุษย์นี้
-
9:33 - 9:35แม้ว่ามันจะห่างไป หกกิโลเมตรครึ่ง
-
9:35 - 9:38จากบ่อน้ำที่กบอาศัยอยู่ ที่คุณเพิ่งจะได้ยินไปตะกี้
-
9:38 - 9:41มันกลบเสียงประสานของบรรดาคางคก
-
9:41 - 9:45คุณสามารถเห็นได้จากแถบคลื่นเสียงว่า พลังงานทั้งหมด
-
9:45 - 9:48ที่เคยอยู่ในแถบคลื่นเสียงแรกนั้นหายไป
-
9:48 - 9:49จากส่วนบนของแถบคลื่นเสียง
-
9:49 - 9:52และมันมีช่วงหยุดของเสียงประสาน ตรงวินาทีที่สองครึ่ง
-
9:52 - 9:54สี่ครึ่ง และหกครึ่ง
-
9:54 - 9:57และต่อจากนั้นก็เป็นเสียงของเครื่องบินไอพ่น
ที่เป็นเอกลักษณ์ -
9:57 - 10:00ซึ่งเป็นสีเหลือและอยู่ในบริเวณส่วนล่างของหน้าจอ
-
10:00 - 10:10(เสียงกบร้อง)
-
10:10 - 10:12ทีนี้ ในตอนท้ายที่เครื่องบินผ่านไป
-
10:12 - 10:15มันใช้เวลา 45 นาทีเต็มๆ
-
10:15 - 10:18กว่ากบจะกลับมาร้องประสานเสียงกันอีกครั้ง
-
10:18 - 10:21ภายใต้พระจันทร์เต็มดวง ระหว่างช่วงเวลานั้น
-
10:21 - 10:24เราเฝ้าจับตา หมาป่าสองตัว และนกฮูก (Horned owl)
-
10:24 - 10:27เข้ามาจับกบไปนิดหน่อย
-
10:27 - 10:30ข่าวดีก็คือว่า จากการฟื้นฟูสภาพแหล่งอาศัย
-
10:30 - 10:33และการบินที่น้อยลง ประชากรของกบ
-
10:33 - 10:37ที่ครั้งหนึ่งลดหายไปใจช่วงยุค 1980 และช่วงแรกของยุค 90
-
10:37 - 10:40ได้กลับมาเกือบจะเป็นปกติดังเดิม
-
10:40 - 10:43ผมอยากที่จะจบด้วยเรื่องที่บอกเล่าโดยบีเวอร์
-
10:43 - 10:45มันเป็นเรื่องที่น่าเศร้ามากครับ
-
10:45 - 10:48แต่มันแสดงให้เห็นภาพจริงๆว่า สรรพสัตว์
-
10:48 - 10:50บางครั้ง สามารถแสดงอารมณ์ได้
-
10:50 - 10:55ซึ่งมันเป็น หัวข้อที่เป็นที่ขัดแย้งอย่างมาก
ในบรรดานักชีววิทยารุ่นเก่า -
10:55 - 10:58เพื่อนร่วมงานของผม ตอนนั้นกำลังทำการบันทึก
อยู่ในตอนกลางค่อนไปทางตะวันตกของสหรัฐอเมริกา -
10:58 - 11:01ในระแวกแหล่งน้ำที่เกิดขึ้นมา
-
11:01 - 11:05บางทีอาจจะ 16,000 ปีก่อน
ในช่วงท้ายของยุคน้ำแข็งสุดท้าย -
11:05 - 11:07อีกส่วนหนึ่ง มันเป็นเช่นนี้ได้เพราะเขื่อนของบีเวอร์
-
11:07 - 11:10ที่ด้านหนึ่ง ซึ่งมันยึดเหนี่ยวระบบนิเวศทั้งหมดเอาไว้ด้วยกัน
-
11:10 - 11:13ในสมดุลที่ช่างเปราะบาง
-
11:13 - 11:16ในบ่ายวันหนึ่ง ระหว่างที่เขากำลังทำการบันทึก
-
11:16 - 11:20ทันใดนั้นเอง เจ้าหน้าที่พิทักษ์สัตว์คู่หนึ่ง
-
11:20 - 11:23ก็ปรากฎตัวออกมาจากไหนก็ไม่รู้
-
11:23 - 11:24และไม่รู้ด้วยเหตุผลกลใด
-
11:24 - 11:26พวกเขาเดินไปบนเขื่อนของบีเวอร์
-
11:26 - 11:29ทิ้งแท่งดินระเบิดลงไป ระเบิดมันทิ้ง
-
11:29 - 11:33ฆ่าบีเวอร์ตัวเมียและลูกเล็กๆของมัน
-
11:33 - 11:36ด้วยความกลัว เพื่อนร่วมงานของผมหยุดอยู่ตรงนั้น
-
11:36 - 11:38เพื่อจะรวบรวมความคิด
-
11:38 - 11:42และทำการบันทึกอะไรก็ตามแต่ที่เขาทำได้
ทั้งบ่ายวันนั้น -
11:42 - 11:46และในช่วงเย็นวันนั้น เขาได้บันทึกสถานการณ์ที่พิเศษ
-
11:46 - 11:51บีเบอร์ตัวผู้ที่รอดชีวิตเพียงตัวเดียว ว่ายน้ำเป็นวงกลมช้าๆ
-
11:51 - 11:56ครวญเสียงแสนเศร้า ต่อการสูญเสียคู่และลูกๆของมัน
-
11:56 - 11:59บางที นี่อาจเป็นเสียงที่เศร้าที่สุด
-
11:59 - 12:02ที่ผมเคยได้ฟังไม่ว่าจะมาจากสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ไหน
-
12:02 - 12:05ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตอื่น
-
12:07 - 12:22(เสียงบีเวอร์ร้อง)
-
12:22 - 12:24ครับ
-
12:24 - 12:27เรื่องของพื้นเสียงนั้น มันมีหลายแง่มุม
-
12:27 - 12:30หนึ่งในนั้นคือ รูปแบบที่สรรพสัตว์สอนเราให้ร้องรำ
-
12:30 - 12:32ซึ่งผมจะขอเก็บไว้เล่าในคราวอื่น
-
12:32 - 12:35แต่ตอนนี้คุณก็ได้รับฟังแล้วว่า เสียงจากแหล่งชีวภาพ
-
12:35 - 12:39ช่วยให้ความกระจ่างต่อความเข้าใจของเรา
ที่มีต่อโลกธรรมชาติได้อย่างไร -
12:39 - 12:42คุณได้ยินแล้ว ถึงผลกระทบของการดึงทรัพยากรณ์มาใช้
-
12:42 - 12:45เสียงรบกวนจากมนุษย์ และการทำลายแหล่งอาศัย
-
12:45 - 12:47และในขณะที่วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม ตามแบบฉบับแล้ว
-
12:47 - 12:50ได้พยายามทำความเข้าใจโลกของเราผ่านสิ่งที่เราเห็น
-
12:50 - 12:55ความเข้าใจที่สมบูรณ์มากกว่านั้น
สามารถเข้าถึงได้จากสิ่งที่เราได้ยิน -
12:55 - 12:58เสียงจากแหล่งชีวภาพและจากแหล่งกายภาพ
เป็นเสียงของโลกธรรมชาติ -
12:58 - 13:00ที่เป็นเอกลักษณ์ดุจลายเซ็น
-
13:00 - 13:02และในขณะที่เรารับฟังมัน
-
13:02 - 13:04เราได้รับการประสิทธิ์ประสาทถึงสัมผัสของสถานที่
-
13:04 - 13:08เรื่องราวชีวิตแห่งโลกที่เราอาศัย
-
13:08 - 13:10ในชั่ววินาที
-
13:10 - 13:13การบันทึกพื้นเสียงนั้น เปิดเผยข้อมูลมากมายกว่า
-
13:13 - 13:14จากหลากหลายทัศนมิติ
-
13:14 - 13:19จากข้อมูลเชิงปริมาณ จนถึงแรงบันดาลใจต่อวัฒนธรรม
-
13:19 - 13:22การมองเห็นนั้น โดยนัยแล้วจับกรอบภาพ
-
13:22 - 13:26ทัศนวิศัยส่วนหน้าที่จำกัด ของบริบทเชิงภูมิทัศน์
-
13:26 - 13:28ในขณะที่การบันทึกพื้นเสียงทำให้ขอบเขตนั้นกว้างขึ้น
-
13:28 - 13:33จนเต็มระดับ 360 องศา ครอบคลุมเราอย่างสมบูรณ์
-
13:33 - 13:37และในขณะที่ภาพหนึ่งๆ อาจมีค่าเทียบคำเป็นพัน
-
13:37 - 13:41การบันทึกพื้นเสียงนั้น มีค่าเทียบได้กับภาพเป็นพันภาพ
-
13:41 - 13:43และหูของเราบอกเราว่า
-
13:43 - 13:47เสียงกระซิบของทุกใบไม้และสรรพสัตว์
-
13:47 - 13:50พูดกับแหล่งกำเนิดทางธรรมชาติของชีวิตเรา
-
13:50 - 13:55ซึ่งแน่นอนมันอาจกุมความลับแห่งรักต่อสิ่งทั้งผอง
-
13:55 - 13:57โดยเฉพาะความเห็นมนุษย์ของเรา
-
13:57 - 14:03และสุดท้ายนี้เป็นเสียงของจาร์กัวแห่งป่าแอมะซอน
-
14:03 - 14:17(เสียงคำรามในคอ)
-
14:17 - 14:19ขอบคุณที่รับฟังครับ
-
14:19 - 14:25(เสียงปรบมือ)
- Title:
- สำเหนียกเสียงแห่งโลกธรรมชาติ
- Speaker:
- เบอร์นี่ คราอัส (Bernie Krause)
- Description:
-
เบอร์นี่ คราอัส ได้ทำการบันทึกพื้นเสียงจากป่า --ที่ประกอบไปด้วย เสียงลมพัดผ่านต้นไม้ เสียงร้องเซ็งแซ่ของเหล่านก เสียงเบาบางจากตัวอ่อนแมลง-- กว่า 45 ปี ในเวลานั้น เขาได้เห็นสิ่งแวดล้อมมากมายที่ถูกเปลี่ยนไปอย่างสุดขั้วด้วยน้ำมือมนุษย์ บางครั้งแม้กระทั่งกิจกรรมที่คาดคิดว่าปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม
เชิญยลโฉมสิ่งน่าทึ่งที่เราสามารถเรียนรู้ผ่านเสียงประสานแห่งธรรมชาติ จากเสียงร้องครางของดอกไม้ทะเลไปจนถึงเสียงโหยหวนแสนเศร้าจากบีเวอร์ - Video Language:
- English
- Team:
closed TED
- Project:
- TEDTalks
- Duration:
- 14:48
![]() |
Kelwalin Dhanasarnsombut approved Thai subtitles for The voice of the natural world | |
![]() |
Kelwalin Dhanasarnsombut edited Thai subtitles for The voice of the natural world | |
![]() |
Kelwalin Dhanasarnsombut edited Thai subtitles for The voice of the natural world | |
![]() |
Kelwalin Dhanasarnsombut commented on Thai subtitles for The voice of the natural world | |
![]() |
Jennifer accepted Thai subtitles for The voice of the natural world | |
![]() |
Jennifer commented on Thai subtitles for The voice of the natural world | |
![]() |
Kelwalin Dhanasarnsombut edited Thai subtitles for The voice of the natural world | |
![]() |
Kelwalin Dhanasarnsombut edited Thai subtitles for The voice of the natural world |
Jennifer
เรื่องสะกดคำนิดหน่อยค่ะ ^^
3.11 คำว่าทรัพยากร
4.47 คำว่ากราฟิก (graphic)
12.58 คำว่าลายเซ็น
Kelwalin Dhanasarnsombut
ขอบคุณมากค่ะ กดส่งหรือยังคะ ถ้ายังฝากแก้ชื่อ เป็นสำเหนียกได้ไหมคะ ตก ห.หีบ ล่ะค่ะ ><
ถ้าไม่ไ้ดเดี๋ยวแก้ตอบ approve ขอบคุณนะคะ :))))