WEBVTT 00:00:02.366 --> 00:00:07.820 (เสียงธรรมชาติ) NOTE Paragraph 00:00:07.820 --> 00:00:10.536 เมื่อผมทำการบันทึกพื้นเสียง (soundscape) จากป่าเป็นครั้งแรก 00:00:10.536 --> 00:00:12.467 เมื่อ 45 ปีก่อน 00:00:12.467 --> 00:00:14.889 ผมไม่ทราบเลยว่า มด 00:00:14.889 --> 00:00:18.368 ตัวอ่อนของแมลง ดอกไม้ทะเล และไวรัส 00:00:18.368 --> 00:00:20.496 สร้างเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ได้ 00:00:20.496 --> 00:00:21.939 แต่พวกมันทำได้ 00:00:21.939 --> 00:00:25.352 และสิ่งมีชีวิตอื่นๆในป่าที่อาศัยอยู่บนโลกนี้ก็ทำได้เช่นกัน 00:00:25.352 --> 00:00:28.587 ดั่งเช่นเสียงจากป่าฝนแอมะซอนที่คุณได้ยินอยู่ข้างหลังผมนี้ 00:00:28.587 --> 00:00:32.161 ที่จริงแล้ว ป่าฝนในเขตอบอุ่นและเขตร้อน 00:00:32.161 --> 00:00:35.341 แต่ละชนิดของป่านั้น ขับประสานเสียงของบรรดาสรรพสัตว์ 00:00:35.341 --> 00:00:38.569 ที่แสดงถึงสถานภาพ ณ เวลาหนึ่ง และการจัดตัว 00:00:38.569 --> 00:00:43.377 ของแมลง สัตว์เลื้อยคลาน สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ นก และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม 00:00:43.377 --> 00:00:46.304 และทุกๆพื้นเสียงที่ขับออกมาจากป่านั้น 00:00:46.304 --> 00:00:49.896 ได้สร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัวของมันเอง 00:00:49.896 --> 00:00:52.813 ซึ่งประกอบได้ด้วยข้อมูลปริมาณมหาศาล 00:00:52.813 --> 00:00:57.172 และนี่ก็เป็นข้อมูลบางส่วน ที่ผมอยากจะนำมาแบ่งปันกับพวกคุณในวันนี้ NOTE Paragraph 00:00:57.172 --> 00:01:00.378 พื้นเสียงนั้นประกอบขึ้นจากสามแหล่งสำคัญ 00:01:00.378 --> 00:01:02.917 ประการแรกคือ เสียงจากแหล่งกายภาพ (genophony) 00:01:02.917 --> 00:01:05.283 หรือ เรียกได้ว่าเป็นเสียงจากสิ่งที่ไม่ได้เป็นชีวภาพ 00:01:05.283 --> 00:01:07.260 ที่เกิดในทุกๆแห่งอาศัย 00:01:07.260 --> 00:01:09.852 เช่นเสียงลมในต้นไม้ น้ำในลำธาร 00:01:09.852 --> 00:01:13.446 คลื่น ณ ชายฝั่งของมหาสมุทร การเคลื่อนไหวของโลก 00:01:13.446 --> 00:01:16.724 แหล่งที่สองคือ เสียงจากแหล่งชีวภาพ (biophony) 00:01:16.724 --> 00:01:19.846 เสียงจากแหล่งชีวภาพคือทุกๆเสียง 00:01:19.846 --> 00:01:22.964 ที่สร้างมาจากสิ่งมีชีวิตในที่อยู่อาศัยนั้น 00:01:22.964 --> 00:01:26.584 ณ เวลาหนึ่ง และ ณ สถานที่หนึ่ง 00:01:26.584 --> 00:01:31.118 และแหล่งที่สามก็คือ เสียงที่สร้างขึ้นโดยมนุษย์เรา 00:01:31.118 --> 00:01:32.936 ซึ่งเรียกได้ว่า เสียงจากมนุษย์ (anthrophony) 00:01:32.936 --> 00:01:36.297 บางเสียงนั้นได้รับการควบคุม เช่นเสียงดนตรี หรือละคร 00:01:36.297 --> 00:01:40.214 แต่ส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นเสียงความโกลาหล และเสียงที่ไม่ประสานกัน 00:01:40.214 --> 00:01:43.919 ซึ่งเราบางคนเรียกมันว่า เสียงรบกวน NOTE Paragraph 00:01:43.919 --> 00:01:46.619 ผมเคยคิดว่า พื้นเสียงจากป่านั้น 00:01:46.619 --> 00:01:48.351 ปราศจากสิ่งก่อกวนใดๆ 00:01:48.351 --> 00:01:52.433 พวกมันมีอยู่ตรงนั้นนั่นแหละ แต่พวกมันไม่ได้เด่นชัดอะไร 00:01:52.433 --> 00:01:55.806 เอาล่ะ ผมผิดไปครับ สิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากการการทำงานนี้ก็คือ 00:01:55.806 --> 00:02:00.582 การฟังอย่างระมัดระวังตั้งใจนั้น ได้มอบเครื่องมืออันมีค่าอัศจรรย์ยิ่งกับเรา 00:02:00.582 --> 00:02:03.166 ในการใช้มันประเมินความอุดมสมบูรณ์ของแหล่งที่อาศัย 00:02:03.166 --> 00:02:06.978 ได้ทั่วทั้งความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต NOTE Paragraph 00:02:06.978 --> 00:02:10.190 เมื่อผมทำการบันทึกในปลายยุค 60 00:02:10.190 --> 00:02:13.466 วิธีการในการบันทึกนั้นถูกจำกัด 00:02:13.466 --> 00:02:17.934 ให้มีลักษณะการแบ่งเป็นส่วนๆ ของแต่ละสายพันธ์ุของสิ่งมีชีวิต 00:02:17.934 --> 00:02:21.030 เช่นส่วนใหญ่ นก ในตอนแรกๆ 00:02:21.030 --> 00:02:26.731 และต่อมาในสัตว์อื่นๆเช่น สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม และสัตว์ครึ่งบอกครึ่งน้ำ 00:02:26.731 --> 00:02:30.243 สำหรับผม นี่มันเหมือนกับการที่เราพยายามจะเข้าใจ 00:02:30.243 --> 00:02:33.308 งานประพันธ์ซิมโฟนี่หมายเลข 5 ของบีโทเฟ่น ที่สุดแสนอลังการ 00:02:33.308 --> 00:02:36.217 โดยดึงเอาเสียงของนักไวโอลินคนเดียว 00:02:36.217 --> 00:02:38.787 ออกมาจากบทประพันธ์ของวงดนตรีทั้งวง 00:02:38.787 --> 00:02:41.890 และฟังมันแต่เพียงท่อนเดียว 00:02:41.890 --> 00:02:44.907 โชคดี มีสถาบันต่างๆมากขึ้น 00:02:44.907 --> 00:02:46.975 จัดตั้งตัวอย่างอุปกรณ์ต่างๆที่สมบูรณ์มากขึ้น 00:02:46.975 --> 00:02:49.338 ที่ผมและผู้ร่วมงานบางท่านได้รับการแนะนำให้รู้จัก 00:02:49.338 --> 00:02:53.211 กับสาขาวิชานิเวศวิทยาเชิงพื้นเสียง (soundscape ecology) NOTE Paragraph 00:02:53.211 --> 00:02:58.279 เมื่อผมทำการบันทึกเสียง กว่าสี่ทศวรรษที่แล้ว 00:02:58.279 --> 00:03:00.688 ผมทำการบันทึกได้เป็น 10 ชั่วโมง 00:03:00.688 --> 00:03:02.923 เพียงเพื่อได้งานเพียงชั่วโมงเดียวที่มีคุณค่า 00:03:02.923 --> 00:03:05.980 ดีพอต่อการนำไปใช้สำหรับเป็นอัลบัม หรือเสียงสำหรับภาพยนต์ 00:03:05.980 --> 00:03:08.699 หรือเป็นสิ่งจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ 00:03:08.699 --> 00:03:11.652 ทีนี้ เพราะว่าปรากฎการณ์โลกร้อน 00:03:11.652 --> 00:03:13.070 การสูญสิ้นไปของทรัพยากร 00:03:13.070 --> 00:03:16.139 และเสียงรบกวนจากมนุษย์ ซึ่งก็เป็นปัจจัยตัวหนึ่ง 00:03:16.139 --> 00:03:18.815 มันทำให้ต้องใช้เวลามากถึง 1,000 ชั่วโมงหรือมากกว่านั้น 00:03:18.815 --> 00:03:21.648 เพื่อเก็บบันทึกในสิ่งเดียวกัน 00:03:21.648 --> 00:03:24.703 50 เปอร์เซ็นต์เต็มของผลงานที่ได้มาของผม 00:03:24.703 --> 00:03:27.899 มาจากถิ่นอาศัยที่ถูกเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก 00:03:27.899 --> 00:03:30.799 จนพวกมัน ถ้าไม่เงียบสงัด 00:03:30.799 --> 00:03:35.520 ก็ไม่ได้มีเสียงในรูปแบบเดิมที่มันเป็น NOTE Paragraph 00:03:35.520 --> 00:03:37.806 วิธีปกติในการประเมินถิ่นอาศัย 00:03:37.806 --> 00:03:41.132 ทำได้โดยนับจำนวนสายพันธ์ุต่างๆ 00:03:41.132 --> 00:03:45.337 และจำนวนสิ่งมีชีวิตแต่ละสายพันธ์ุในบริเวณหนึ่งๆ จากการมอง 00:03:45.337 --> 00:03:48.889 อย่างไรก็ดี จากการเปรียบเทียบข้อมูลที่เชื่อมโยง 00:03:48.889 --> 00:03:51.689 ทั้งความหนาแน่นและความหลากหลายจากที่เราได้ยิน 00:03:51.689 --> 00:03:57.062 ผมสามารถที่จะได้ผลลัพธ์ที่มีความแม่นยำมากกว่า 00:03:57.062 --> 00:03:59.102 และผมอยากที่จะแสดงให้คุณเห็นตัวอย่างบางส่วน 00:03:59.102 --> 00:04:01.892 ที่เป็นแบบอย่างความเป็นไปได้ ที่ถูกเผย 00:04:01.892 --> 00:04:04.914 โดยการกระโจนลงไปยังมิตินี้ NOTE Paragraph 00:04:04.914 --> 00:04:06.306 นี่คือ ทุ่งหญ้า ลินคอน (Lincoln Meadow) 00:04:06.306 --> 00:04:08.190 มันห่างออกไปประมาณสามชั่วโมงครึ่งโดยทางรถยนต์ 00:04:08.190 --> 00:04:11.414 อยู่ทางตะวันออกของซานฟรานซิสโก ในภูเขาเซียร์ร่า เนวาดา (Sierra Nevada) 00:04:11.414 --> 00:04:13.511 ที่ความสูง 2,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล 00:04:13.511 --> 00:04:16.320 และผมได้บันทึก ณ ที่นั่นเป็นเวลาหลายปี 00:04:16.320 --> 00:04:20.240 ในปี ค.ศ. 1988 บริษัทรับตัดไม้ ได้โน้มน้าวชาวบ้าน 00:04:20.240 --> 00:04:23.402 ว่ามันจะไม่เกิดผลกระทบใดๆทั้งสิ้นต่อสิ่งแวดล้อม 00:04:23.402 --> 00:04:24.856 จากวิธีการใหม่ที่พวกเขาใช้ 00:04:24.856 --> 00:04:26.766 ที่เรียกว่า "การตัดไม้แบบเลือก" (selective logging) 00:04:26.766 --> 00:04:28.321 ที่ตัดต้นไม้เป็นหย่อมๆกระจายกัน 00:04:28.321 --> 00:04:31.604 แทนที่จะตัดให้โกร๋นไปทั้งพื้นที่ 00:04:31.604 --> 00:04:33.364 จากการได้รับอนุญาตให้ทำการบันทึก 00:04:33.364 --> 00:04:35.327 ทั้งก่อนและหลังปฎิบัติการนี้ 00:04:35.327 --> 00:04:39.945 ผมติดตั้งอุปกรณ์ของผม และทำการจับเสียงประสานในช่วงใกล้รุ่งเป็นจำนวนมาก 00:04:39.945 --> 00:04:43.478 ด้วยรูปแบบวิธีที่เข้มงวดและปรับมาตราฐานการบันทึก 00:04:43.478 --> 00:04:45.672 เพราะว่าผมต้องการตัวฐานอ้างอิงที่ดีจริงๆ 00:04:45.672 --> 00:04:47.857 นี่เป็นตัวอย่างของแถบคลื่นเสียง (spectrogram) 00:04:47.857 --> 00:04:50.288 มันเป็นภาพกราฟฟิกของเสียง 00:04:50.288 --> 00:04:53.461 ที่กำกับด้วยเวลาจากทางซ้ายไปขวา 00:04:53.461 --> 00:04:55.968 ในกรณีนี้ แสดงความยาว 15 วินาที 00:04:55.968 --> 00:04:58.823 และความถี่จากด้านล่างถึงด้านบนสุด 00:04:58.823 --> 00:05:00.042 จากต่ำสุดถึงสูงที่สุด 00:05:00.042 --> 00:05:03.176 และคุณสามารถเห็นได้ถึงลักษณะเฉพาะของกระแส 00:05:03.176 --> 00:05:07.981 ที่ได้แสดงที่นี่ใน หนึ่งในสามหรือครึ่งหนึ่งของหน้า 00:05:07.981 --> 00:05:11.424 ในขณะที่นกที่ครั้งหนึ่งเคยอยู่ในทุ่งหญ้านั้น 00:05:11.424 --> 00:05:14.481 ถูกแสดงให้เห็นเป็นลักษณะเฉพาะทางด้านบน 00:05:14.481 --> 00:05:15.636 มีพวกมันอยู่เยอะเลยครับ 00:05:15.636 --> 00:05:18.800 และนี่เป็นเสียงจากทุ่งหญ้าลินคอน ก่อนที่จะมีการตัดไม้ NOTE Paragraph 00:05:18.800 --> 00:05:33.593 (เสียงธรรมชาติ) NOTE Paragraph 00:05:33.593 --> 00:05:35.471 เอาล่า อีกปีถัดไป ผมกลับไป 00:05:35.471 --> 00:05:37.228 และใช้รูปแบบวิธีแดิม 00:05:37.228 --> 00:05:39.943 และบันทึกในข้อกำหนดเดิม 00:05:39.943 --> 00:05:42.171 ผมบันทึกตัวอย่างจำนวนมาก 00:05:42.171 --> 00:05:44.271 ของเสียงประสานเดิมตอนใกล้รุ่ง 00:05:44.271 --> 00:05:46.414 และทีนี้ นี่เป็นสิ่งที่เราได้ 00:05:46.414 --> 00:05:47.694 นี่เป็นตอนหลังจากเกิดการตัดไม้แบบเลือก 00:05:47.694 --> 00:05:49.767 คุณเห็นได้ว่ากระแสนั้นยังคงแสดงอยู่ให้เห็น 00:05:49.767 --> 00:05:51.674 ในส่วนล่าง หนึ่งในสามส่วนของหน้า 00:05:51.674 --> 00:05:56.177 แต่สังเกตดูว่าอะไรหายไปจากสองในสามส่วนทางด้านบน NOTE Paragraph 00:05:56.177 --> 00:06:01.690 (เสียงธรรมชาติ) NOTE Paragraph 00:06:01.690 --> 00:06:11.177 ที่กำลังจะมาคือเสียงของนกหัวขวาน NOTE Paragraph 00:06:11.177 --> 00:06:13.767 เอาล่ะ ผมได้กลับไปยังทุ่งหญ้าลินคอนถึง 15 ครั้ง 00:06:13.767 --> 00:06:15.251 ในรอบ 25 ปี 00:06:15.251 --> 00:06:18.937 และผมสามารถบอกคุณได้ว่าเสียงจากแหล่งชีวภาพ 00:06:18.937 --> 00:06:21.842 ความหนาแน่นและความหลากหลาย ของเสียงจากแหล่งชีวภาพ 00:06:21.842 --> 00:06:24.394 ยังไม่ได้กลับมาสู่รูปแบบเดิมที่มันเคยเป็น 00:06:24.394 --> 00:06:26.592 ก่อนที่จะเกิดปฎิบัติการ 00:06:26.592 --> 00:06:29.690 แต่นี่เป็นภาพของทุ่งหญ้าลินคอน ที่ถ่ายทีหลัง 00:06:29.690 --> 00:06:32.928 และคุณสามารถเห็นได้ผ่านมุมกล้อง 00:06:32.928 --> 00:06:34.039 หรือจากทัศนะของมนุษย์ 00:06:34.039 --> 00:06:36.814 ว่าแทบจะไม่มีกิ่งไม้หรือต้นไม้ระเกะระกะเลย 00:06:36.814 --> 00:06:39.754 ซึ่งยืนยันข้อโต้แย้งของบริษัทที่รับตัดไม้ 00:06:39.754 --> 00:06:42.383 ว่ามันจะไม่เกิดผลกระทบใดๆต่อสิ่งแวดล้อม 00:06:42.383 --> 00:06:48.800 อย่างไรก็ดี หูของเราบอกเรื่องราวที่ต่างออกไป NOTE Paragraph 00:06:48.800 --> 00:06:50.627 นักเรียนรุ่นเยาว์ถามผมเสมอๆ 00:06:50.627 --> 00:06:52.049 ว่าสัตว์เหล่านี้พูดอะไรกัน 00:06:52.049 --> 00:06:56.911 และอันที่จริง ผมก็ไม่ทราบหรอกครับ 00:06:56.911 --> 00:07:02.180 แต่ผมสามารถบอกคุณได้ว่า พวกมันแสดงออกถึงตัวตนของมัน 00:07:02.180 --> 00:07:05.258 ส่วนที่ว่าเราจะเข้าใจหรือไม่นั้น เป็นอีกเรื่องหนึ่ง 00:07:05.258 --> 00:07:07.586 ผมเดินเลาะไปตามชายฝั่งในอะลาสก้า 00:07:07.586 --> 00:07:09.930 และผมได้พบกับแอ่งน้ำริมฝั่งนี้ 00:07:09.930 --> 00:07:12.962 ที่เต็มไปด้วยกลุ่มของดอกไม้ทะเล 00:07:12.962 --> 00:07:15.038 เจ้าเครื่องจักรนักกินที่แสนวิเศษ 00:07:15.038 --> 00:07:17.889 ที่เป็นญาติกับปะการังและแมงกะพรุน 00:07:17.889 --> 00:07:20.106 และพอเกิดความสงสัยว่าพวกมันจะทำเสียงอะไรบ้างไหม 00:07:20.106 --> 00:07:21.277 ผมก็หย่อนไฮโดรโฟน (hydrophone) 00:07:21.277 --> 00:07:24.410 ซึ่งมันก็คือไมโครโฟนใต้น้ำที่หุ้มด้วยยาง 00:07:24.410 --> 00:07:25.598 ลงไปยังส่วนปากของมัน 00:07:25.598 --> 00:07:27.359 และในทันใดนั้น เจ้าสิ่งมีชีวิตนี้ 00:07:27.359 --> 00:07:29.568 ก็เริ่มที่จะดูดไมโครโฟนเข้าไปในท้องของมัน 00:07:29.568 --> 00:07:32.262 และหนวดทั้งหลายก็เข้าค้นหาส่วนพื้นผิว 00:07:32.262 --> 00:07:34.673 เพื่อหาอะไรก็ตามที่มีคุณค่าทางอาหาร 00:07:34.673 --> 00:07:37.178 เสียงแบบนิ่งๆนั้นเบามากๆ 00:07:37.178 --> 00:07:39.182 และคุณกำลังที่จะได้ยินครับ 00:07:39.182 --> 00:07:43.584 (เสียงเบาๆ) 00:07:43.584 --> 00:07:46.451 ครับ แต่เดี๋ยวนะครับ เมื่อมันไม่เจออะไรที่กินได้ 00:07:46.451 --> 00:07:47.840 (เสียงดังปู๊ด) 00:07:47.840 --> 00:07:50.500 (เสียงหัวเราะ) 00:07:50.500 --> 00:07:52.997 ผมคิดว่าการแสดงออกนั้นเป็นที่เข้าใจได้ 00:07:52.997 --> 00:07:54.414 ไม่ว่าในภาษาใดๆ 00:07:54.414 --> 00:07:59.280 (เสียงหัวเราะ) NOTE Paragraph 00:07:59.280 --> 00:08:00.880 ในช่วงท้ายของวงจรสืบพันธ์ุ 00:08:00.880 --> 00:08:03.036 คางคกเท้าพลั่ว เกรทเบซิน (the Great Basin Spadefoot toad) 00:08:03.036 --> 00:08:05.111 ขุดหลุมลึกลงไปประมาณหนึ่งเมตร 00:08:05.111 --> 00:08:08.261 ใต้ดินทะเลทรายที่แน่นแข็งของอเมริกาตะวันตก 00:08:08.261 --> 00:08:10.140 ซึ่งมันจะสามารถอยู่ได้หลายฤดู 00:08:10.140 --> 00:08:13.640 จนกว่าปัจจัยต่างๆจะเหมาะสมต่อปรากฎกายของมันอีกครั้ง 00:08:13.640 --> 00:08:15.350 และเมื่อมีความชื้นในดินเพียงพอ 00:08:15.350 --> 00:08:18.145 ในฤดูใบไม้ผลิ บรรดากบจะตะกายออกมาบนพื้นผิว 00:08:18.145 --> 00:08:22.626 และมาชุมนุมกันรอบแอ่งน้ำขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นในฤดูใบไม้ผลิ 00:08:22.626 --> 00:08:24.663 เป็นจำนวนมาก 00:08:24.663 --> 00:08:28.069 และพวกมันขับเสียงร้องประสาน 00:08:28.069 --> 00:08:31.277 ที่เข้ากันกับตัวอื่นๆได้อย่างลงตัว 00:08:31.277 --> 00:08:32.681 และพวกมันทำเช่นนั้นด้วยเหตุสองประการ 00:08:32.681 --> 00:08:36.302 อย่างแรกเพื่อการแข่งขัน เพราะพวกมันกำลังมองหาคู่ 00:08:36.302 --> 00:08:37.667 และประการที่สองเพื่อความร่วมมือ 00:08:37.667 --> 00:08:40.148 เพราะถ้าพวกมันร้องเสียงออกมาประสานกันแล้ว 00:08:40.148 --> 00:08:44.395 มันจะเป็นอะไรที่ยากสำหรับนักล่าอย่างหมาป่า 00:08:44.395 --> 00:08:48.614 หมาจิ้งจอก และนกฮูก ที่จะจับแยกพวกมัน มากินเป็นอาหาร 00:08:48.614 --> 00:08:51.886 นี่เป็นหน้าตาของแถบคลื่นเสียงจากเสียงประสานของกบ 00:08:51.886 --> 00:08:54.147 เมื่อมันมีรูปแบบที่สมบูรณ์ดีมากๆ NOTE Paragraph 00:08:54.147 --> 00:09:04.163 (เสียงกบร้อง) NOTE Paragraph 00:09:04.163 --> 00:09:08.128 ทะเลสาปโมโน (Mono Lake) อยู่ถัดไปทางตะวันออก ของอุทยานแห่งชาติโยซาเมติ (Yosemate National Park) 00:09:08.128 --> 00:09:09.957 ในแคลิฟอเนีย 00:09:09.957 --> 00:09:12.812 และมันเป็นแหล่งอาศัยอันโปรดปรานของคางคก 00:09:12.812 --> 00:09:15.699 และมันยังเป็นที่นิยมสำหรับนักบินของทัพเรือสหรัฐฯ 00:09:15.699 --> 00:09:18.745 ผู้ที่ซ้อมขับเครื่องบินรบที่ความเร็ว 00:09:18.745 --> 00:09:21.203 เกินกว่า 1,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง 00:09:21.203 --> 00:09:23.984 และอยู่ในระดับความสูง เพียงไม่กี่ร้อยเมตร 00:09:23.984 --> 00:09:26.563 เหนือระดับพื้นดินของอ่างเก็บน้ำโมโน (Mono Basin) 00:09:26.563 --> 00:09:30.237 เร็วมาก ต่ำมาก และเสียงดังมากๆ 00:09:30.237 --> 00:09:33.103 แหล่งเสียงจากมนุษย์นี้ 00:09:33.103 --> 00:09:34.953 แม้ว่ามันจะห่างไป หกกิโลเมตรครึ่ง 00:09:34.953 --> 00:09:37.927 จากบ่อน้ำที่กบอาศัยอยู่ ที่คุณเพิ่งจะได้ยินไปตะกี้ 00:09:37.927 --> 00:09:41.493 มันกลบเสียงประสานของบรรดาคางคก 00:09:41.493 --> 00:09:44.759 คุณสามารถเห็นได้จากแถบคลื่นเสียงว่า พลังงานทั้งหมด 00:09:44.759 --> 00:09:47.506 ที่เคยอยู่ในแถบคลื่นเสียงแรกนั้นหายไป 00:09:47.506 --> 00:09:49.253 จากส่วนบนของแถบคลื่นเสียง 00:09:49.253 --> 00:09:51.766 และมันมีช่วงหยุดของเสียงประสาน ตรงวินาทีที่สองครึ่ง 00:09:51.766 --> 00:09:54.279 สี่ครึ่ง และหกครึ่ง 00:09:54.279 --> 00:09:57.378 และต่อจากนั้นก็เป็นเสียงของเครื่องบินไอพ่น ที่เป็นเอกลักษณ์ 00:09:57.378 --> 00:09:59.937 ซึ่งเป็นสีเหลือและอยู่ในบริเวณส่วนล่างของหน้าจอ NOTE Paragraph 00:09:59.937 --> 00:10:09.582 (เสียงกบร้อง) NOTE Paragraph 00:10:09.582 --> 00:10:11.976 ทีนี้ ในตอนท้ายที่เครื่องบินผ่านไป 00:10:11.976 --> 00:10:15.465 มันใช้เวลา 45 นาทีเต็มๆ 00:10:15.465 --> 00:10:17.869 กว่ากบจะกลับมาร้องประสานเสียงกันอีกครั้ง 00:10:17.869 --> 00:10:20.814 ภายใต้พระจันทร์เต็มดวง ระหว่างช่วงเวลานั้น 00:10:20.814 --> 00:10:23.595 เราเฝ้าจับตา หมาป่าสองตัว และนกฮูก (Horned owl) 00:10:23.595 --> 00:10:26.702 เข้ามาจับกบไปนิดหน่อย 00:10:26.718 --> 00:10:30.244 ข่าวดีก็คือว่า จากการฟื้นฟูสภาพแหล่งอาศัย 00:10:30.244 --> 00:10:32.949 และการบินที่น้อยลง ประชากรของกบ 00:10:32.949 --> 00:10:36.672 ที่ครั้งหนึ่งลดหายไปใจช่วงยุค 1980 และช่วงแรกของยุค 90 00:10:36.672 --> 00:10:40.205 ได้กลับมาเกือบจะเป็นปกติดังเดิม NOTE Paragraph 00:10:40.205 --> 00:10:43.144 ผมอยากที่จะจบด้วยเรื่องที่บอกเล่าโดยบีเวอร์ 00:10:43.144 --> 00:10:44.618 มันเป็นเรื่องที่น่าเศร้ามากครับ 00:10:44.618 --> 00:10:48.496 แต่มันแสดงให้เห็นภาพจริงๆว่า สรรพสัตว์ 00:10:48.496 --> 00:10:50.478 บางครั้ง สามารถแสดงอารมณ์ได้ 00:10:50.478 --> 00:10:55.130 ซึ่งมันเป็น หัวข้อที่เป็นที่ขัดแย้งอย่างมาก ในบรรดานักชีววิทยารุ่นเก่า 00:10:55.130 --> 00:10:58.363 เพื่อนร่วมงานของผม ตอนนั้นกำลังทำการบันทึก อยู่ในตอนกลางค่อนไปทางตะวันตกของสหรัฐอเมริกา 00:10:58.363 --> 00:11:00.905 ในระแวกแหล่งน้ำที่เกิดขึ้นมา 00:11:00.905 --> 00:11:04.804 บางทีอาจจะ 16,000 ปีก่อน ในช่วงท้ายของยุคน้ำแข็งสุดท้าย 00:11:04.804 --> 00:11:06.957 อีกส่วนหนึ่ง มันเป็นเช่นนี้ได้เพราะเขื่อนของบีเวอร์ 00:11:06.957 --> 00:11:09.875 ที่ด้านหนึ่ง ซึ่งมันยึดเหนี่ยวระบบนิเวศทั้งหมดเอาไว้ด้วยกัน 00:11:09.875 --> 00:11:12.627 ในสมดุลที่ช่างเปราะบาง 00:11:12.627 --> 00:11:16.402 ในบ่ายวันหนึ่ง ระหว่างที่เขากำลังทำการบันทึก 00:11:16.402 --> 00:11:20.226 ทันใดนั้นเอง เจ้าหน้าที่พิทักษ์สัตว์คู่หนึ่ง 00:11:20.226 --> 00:11:22.674 ก็ปรากฎตัวออกมาจากไหนก็ไม่รู้ 00:11:22.674 --> 00:11:24.269 และไม่รู้ด้วยเหตุผลกลใด 00:11:24.269 --> 00:11:25.848 พวกเขาเดินไปบนเขื่อนของบีเวอร์ 00:11:25.848 --> 00:11:29.130 ทิ้งแท่งดินระเบิดลงไป ระเบิดมันทิ้ง 00:11:29.130 --> 00:11:33.160 ฆ่าบีเวอร์ตัวเมียและลูกเล็กๆของมัน 00:11:33.160 --> 00:11:35.992 ด้วยความกลัว เพื่อนร่วมงานของผมหยุดอยู่ตรงนั้น 00:11:35.992 --> 00:11:38.033 เพื่อจะรวบรวมความคิด 00:11:38.033 --> 00:11:41.517 และทำการบันทึกอะไรก็ตามแต่ที่เขาทำได้ ทั้งบ่ายวันนั้น 00:11:41.517 --> 00:11:46.410 และในช่วงเย็นวันนั้น เขาได้บันทึกสถานการณ์ที่พิเศษ 00:11:46.410 --> 00:11:50.599 บีเบอร์ตัวผู้ที่รอดชีวิตเพียงตัวเดียว ว่ายน้ำเป็นวงกลมช้าๆ 00:11:50.599 --> 00:11:56.332 ครวญเสียงแสนเศร้า ต่อการสูญเสียคู่และลูกๆของมัน 00:11:56.332 --> 00:11:59.241 บางที นี่อาจเป็นเสียงที่เศร้าที่สุด 00:11:59.241 --> 00:12:02.159 ที่ผมเคยได้ฟังไม่ว่าจะมาจากสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ไหน 00:12:02.159 --> 00:12:04.878 ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตอื่น NOTE Paragraph 00:12:06.517 --> 00:12:22.180 (เสียงบีเวอร์ร้อง) NOTE Paragraph 00:12:22.180 --> 00:12:23.995 ครับ NOTE Paragraph 00:12:23.995 --> 00:12:26.577 เรื่องของพื้นเสียงนั้น มันมีหลายแง่มุม 00:12:26.577 --> 00:12:29.793 หนึ่งในนั้นคือ รูปแบบที่สรรพสัตว์สอนเราให้ร้องรำ 00:12:29.793 --> 00:12:32.418 ซึ่งผมจะขอเก็บไว้เล่าในคราวอื่น 00:12:32.418 --> 00:12:35.436 แต่ตอนนี้คุณก็ได้รับฟังแล้วว่า เสียงจากแหล่งชีวภาพ 00:12:35.436 --> 00:12:39.279 ช่วยให้ความกระจ่างต่อความเข้าใจของเรา ที่มีต่อโลกธรรมชาติได้อย่างไร 00:12:39.279 --> 00:12:41.743 คุณได้ยินแล้ว ถึงผลกระทบของการดึงทรัพยากรณ์มาใช้ 00:12:41.743 --> 00:12:44.807 เสียงรบกวนจากมนุษย์ และการทำลายแหล่งอาศัย 00:12:44.807 --> 00:12:46.785 และในขณะที่วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม ตามแบบฉบับแล้ว 00:12:46.785 --> 00:12:50.127 ได้พยายามทำความเข้าใจโลกของเราผ่านสิ่งที่เราเห็น 00:12:50.127 --> 00:12:54.595 ความเข้าใจที่สมบูรณ์มากกว่านั้น สามารถเข้าถึงได้จากสิ่งที่เราได้ยิน 00:12:54.595 --> 00:12:58.452 เสียงจากแหล่งชีวภาพและจากแหล่งกายภาพ เป็นเสียงของโลกธรรมชาติ 00:12:58.452 --> 00:13:00.443 ที่เป็นเอกลักษณ์ดุจลายเซ็น 00:13:00.443 --> 00:13:01.796 และในขณะที่เรารับฟังมัน 00:13:01.796 --> 00:13:04.468 เราได้รับการประสิทธิ์ประสาทถึงสัมผัสของสถานที่ 00:13:04.468 --> 00:13:07.885 เรื่องราวชีวิตแห่งโลกที่เราอาศัย 00:13:07.885 --> 00:13:09.804 ในชั่ววินาที 00:13:09.804 --> 00:13:12.519 การบันทึกพื้นเสียงนั้น เปิดเผยข้อมูลมากมายกว่า 00:13:12.519 --> 00:13:14.067 จากหลากหลายทัศนมิติ 00:13:14.067 --> 00:13:18.689 จากข้อมูลเชิงปริมาณ จนถึงแรงบันดาลใจต่อวัฒนธรรม 00:13:18.689 --> 00:13:21.590 การมองเห็นนั้น โดยนัยแล้วจับกรอบภาพ 00:13:21.590 --> 00:13:25.586 ทัศนวิศัยส่วนหน้าที่จำกัด ของบริบทเชิงภูมิทัศน์ 00:13:25.586 --> 00:13:27.959 ในขณะที่การบันทึกพื้นเสียงทำให้ขอบเขตนั้นกว้างขึ้น 00:13:27.959 --> 00:13:33.144 จนเต็มระดับ 360 องศา ครอบคลุมเราอย่างสมบูรณ์ 00:13:33.144 --> 00:13:36.916 และในขณะที่ภาพหนึ่งๆ อาจมีค่าเทียบคำเป็นพัน 00:13:36.916 --> 00:13:41.289 การบันทึกพื้นเสียงนั้น มีค่าเทียบได้กับภาพเป็นพันภาพ 00:13:41.289 --> 00:13:43.413 และหูของเราบอกเราว่า 00:13:43.413 --> 00:13:47.008 เสียงกระซิบของทุกใบไม้และสรรพสัตว์ 00:13:47.008 --> 00:13:50.082 พูดกับแหล่งกำเนิดทางธรรมชาติของชีวิตเรา 00:13:50.082 --> 00:13:55.144 ซึ่งแน่นอนมันอาจกุมความลับแห่งรักต่อสิ่งทั้งผอง 00:13:55.144 --> 00:13:57.102 โดยเฉพาะความเห็นมนุษย์ของเรา 00:13:57.102 --> 00:14:03.387 และสุดท้ายนี้เป็นเสียงของจาร์กัวแห่งป่าแอมะซอน NOTE Paragraph 00:14:03.387 --> 00:14:17.135 (เสียงคำรามในคอ) NOTE Paragraph 00:14:17.135 --> 00:14:19.335 ขอบคุณที่รับฟังครับ NOTE Paragraph 00:14:19.335 --> 00:14:25.032 (เสียงปรบมือ)