-
มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด
-
รายการนี้นำเสนอโดย มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด
เยี่ยมชมเราได้ที่ standford.edu
-
(เสียงปรบมือ)
-
ขอบคุณครับ
-
(สตีฟ จ๊อบ - ประธานบริษัท แอปเปิล และ พิกซ่าร์ แอนิเมชั่น)
-
จ๊อบ : ผมรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้มาอยู่ที่นี่กับคุณ ในวันรับปริญญา ของมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
-
(เสียงร้องชื่นชม)
-
ผมขอบอกความจริงอย่างหนึ่ง ผมไม่เคยเรียนจบวิทยาลัย และงานในวันนี้ เป็นสิ่งที่ใกล้เคียง(การจบวิทยาลัยจริงๆ) ที่สุดแล้วของผม
-
(เสียงหัวเราะ)
-
วันนี้ ผมอยากจะเล่าเรื่องราว 3 เรื่องจากชีวิตของผม
มีเท่านี้เอง ไม่มากมาย แค่สามเรื่อง
-
เรื่องแรกเกี่ยวกับการเชื่อมจุด
-
ผมเลิกเรียนที่ วิทยาลัยรีด หลังจากเรียนไปแค่หกเดือน
แต่ก็ยังแวะเวียนเข้าไปบ้าง อยู่ประมาณสิบแปดเดือน ก่อนที่จะลาออกอย่างเป็นทางการ
-
ทำไมผมถึงลาออกหน่ะหรอ?
-
เรื่องนี้เริ่มมาก่อนที่ผมจะเกิด
-
แม่แท้ๆ ของผมตอนนั้นยังเป็นวัยรุ่น เป็นนักศึกษา ยังไม่ได้แต่งงาน
ท่านตัดสินใจที่จะยกผมให้คนอื่นไปอุปการะ
-
ท่านมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าผมควรจะได้เป็นลูกบุญธรรมของคนที่เรียนจบวิทยาลัย
-
ดังนั้น ชีวิตผมถูกวางแผนไว้ตั้งแต่แรกว่า เมื่อผมเกิด ทนายความและภรรยาจะเป็นผู้รับอุปการะผม
-
แต่เมื่อผมเกิด พวกเขาเกิดเปลี่ยนใจในนาทีสุดท้าย ว่าจริง ๆ แล้วพวกเขาต้องการเด็กผู้หญิง
-
ดังนั้น พ่อแม่ของผม (ผู้เลี้ยงดูจ๊อบส์จริงๆ จนเติบใหญ่) ซึ่งอยู่ในรายชื่อลำดับต่อๆ มา (ต่อจากครอบครัวทนาย) ก็ได้รับโทรศัพท์กลางดึก (จากแม่จริงๆ ของจ๊อบส์)
-
แม่แท้ๆ ผมถามว่า "เราก็มีเด็กทารกคนนึงเป็นผู้ชาย พวกคุณอยากอุปการะเขาไหม?" พวกเขา (พ่อแม่ที่รับเลี้ยงดูจ๊อบส์จริง ๆ) จึงตอบว่า "แน่นอน"
-
แม่แท้ ๆ ของผมมาทราบภายหลังว่า แม่ที่รับอุปการะผม ไม่ได้จบวิทยาลัย และและพ่อที่รับอุปการะผมก็ไม่ได้จบแม้แต่ชั้นมัธยม
-
แม่แท้ๆ ของผมจึงปฎิเสธที่จะมอบผมให้พวกเราไปอุปการะ
-
แต่ในที่สุด แม่แท้ๆ ของผมก็ยอมในไม่กี่เดือนต่อมา เมื่อพ่อแม่ของผมสัญญาว่าจะส่งผมไปเรียนวิทยาลัย และนั่นคือจุดเริ่มต้นของชีวิตผม
-
และอีก 17 ปี ต่อมา ผมได้ไปวิทยาลัย แต่ด้วยความไร้เดียงสา ผมเลือกวิทยาลัยแพงเกือบจะเท่ากับสแตนฟอร์ด
-
เงินเก็บทั้งหมดของพ่อแม่ผม ซึ่งเป็นชนชั้นแรงงาน ก็หมดไปกับค่าเล่าเรียน
-
หกเดือนผ่านไป ผมไม่เห็นคุณค่าของการเรียนที่นีเลย
-
ผมไม่รู้ว่าควรทำอะไรกับชีวิต ไม่รู้ว่าวิทยาลัยจะช่วยผมให้รู้ได้ยังไง
-
และที่นั่น ผมได้ใช้เงินทั้งหมดที่พ่อแม่ผมเก็บมาทั้งชีวิต
-
ผมเลยตัดสินใจที่จะลาออก และเชื่อว่ามันน่าจะเป็นการตัดสินใจที่ใช้ได้
-
ณ ตอนนั้น ผมก็รู้สึกกลัว แต่เมื่อหันกลับไปมองมัน มันกลับเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดของผม
-
(เสียงหัวเราะ)
-
ณ นาทีที่ผมลาออก ผมก็ไม่ต้องเรียนวิชาบังคับที่ผมไม่สนใจ
-
และสามารถเข้าเรียนวิชาที่น่าสนใจกว่า
-
เรื่องราวมันไม่สวยงามเท่าไรหรอก ผมไม่มีห้องในหอพัก ต้องนอนบนพื้นห้องเพื่อน เอาขวดโค้กไปแลกเงิน 5 เซนต์ เพื่อซื้อข้าวกิน
-
และผมต้องเดิน 7 ไมล์ข้ามฝากเมืองทุกๆ วันอาทิตย์ เพื่อไปกินอาหารดีๆ สักมื้อที่วัด ฮาเร กฤษณะ
-
ผมมีความสุขกับมัน
-
และสิ่งที่ผมบังเอิญได้เจอะเจอส่วนใหญ่ ที่เกิดจากะความสงสัยและสัญชาตญาณ ในภายหลังได้กลับกลายเป็นสิ่งล้ำค่า
-
ผมมีตัวอย่างอยู่เรื่องหนึ่ง
-
ในตอนนั้น รีดคอลเลจเปิดสอนวิชาการออกแบบตัวอักษร ซึ่งอาจจะเป็นหลักสูตรที่ดีที่ของประเทศ
-
ทั่วทั้งเขตมหาวิทยาลัย โปสเตอร์ทุกใบ ป้ายบนลิ้นชักทุกอัน เขียนด้วยลายมืออย่างสวยงาม
-
และเพราะผมได้ลาออก ไม่ต้องเรียนวิชาปกติ ผมจึงตัดสินใจเรียนวิชานี้
-
ผมได้เรียนรู้เกี่ยวกับตัวอักษรแบบ Serif (มีการต่อเส้นที่ปลาย) และ Sans-serif (ไม่ต่อเส้นที่ปลาย) ได้เรียนรู้เกี่ยวกับช่องไฟเมื่อผสมตัวอักษรต่างๆ เข้าด้วยกัน
-
ได้เรียนรู้การทำให้งานพิมพ์ออกมายอดเยี่ยม
-
มันช่วงสวยงาม น่าจดจำ และมีความเป็นศิลปะอย่างชัดเจน ซึ่งไม่สามารถบรรยายในเชิงวิทยาศาสตร์ และผมคิดว่ามันยอดเยี่ยมจริงๆ
-
เรื่องที่เพิ่งเล่าไปนี้ ฟังดูไม่น่าจะเอาไปใช้อะไรได้จริงในชีวิตผม
-
แต่แล้ว 10 ปีต่อมา เมื่อเรากำลังออกแบบคอมพิวเตอร์แมคอินทอช เครื่องแรก เรื่องนี้ก็วนกลับมาหาผม
-
เราออกแบบมันทั้งหมดเข้าไปในแมค มันจึงกลายเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่มีการแสดงตัวอักษรได้อย่างสวยงาม
-
ถ้าผมไม่ได้เรียนวิชานั้นที่วิทยาลัย
-
เครื่องแมคก็คงจะไม่มีตัวอักษรหลายรูปและไม่มีการวางช่องไฟที่ได้สัดส่วนอย่างเช่นที่มันเป็น
-
และเนื่องจากวินโดว์เลียนแบบแมค เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลก็จะไม่มีระบบตัวอักษรที่สวยงามแบบนี้เช่นกัน
-
(เสียงหัวเราะและปรบมือ)
-
ถ้าผมไม่ได้ลาออก ผมก็จะไม่ได้เรียนวิชานั้น
-
และคอมพิวเตอร์ทั่วโลกก็จะไม่มีระบบแสดงตัวอักษรที่ยอดเยี่ยมอย่างที่เป็นในตอนนี้
-
แต่ก็แน่นอนว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะมองไปข้างหน้าแล้วสามารถคิดเชื่อมต่อจุดต่างๆ ตั้งแต่สมัยยังเรียนวิทยาลัย
-
แต่เมื่อเรามองย้อนกลับไปในอดีตสัก 10 ปีก่อน มันกลับชัดเจนเหลือเกิน
-
ผมจึงอยากจะย้ำว่า คุณไม่สามารถเชื่อมต่อจุดด้วยการมองไปในอนาคต แต่เชื่อมต่อได้โดยการมองย้อนกลับไป
-
และเมื่อคุณรู้เช่นนี้ คุณก็จะความเชื่อมั่นว่า ไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง จุดต่างๆ เหล่้านี้จะสามารถเชื่อมกันได้ในอนาคต
-
คุณต้องเชื่อในอะไรสักอย่าง กึ๋น พรหมลิขิต ชีวิต กรรม อะไรก็ตามที
-
เพราะความเชื่อว่าจุดต่างๆ จะเวียนมาเชื่อมกันได้ จะสร้างความมั่นใจให้คุณกล้าเดินตามจิตใจที่แท้จริงของคุณ
-
แม้ว่ามันจะต้องพาคุณออกนอกเส้นทางที่คุ้นเคย และะสร้างความแตกต่างให้เกิดขึ้น
-
เรื่องที่สองของผมเกี่ยวกับความรักและการสูญเสีย
-
ผมโชคดี ผมค้นพบสิ่งที่ผมรักตั้งแต่อายุยังน้อย
-
วอซ (Steve Wozniak) กับผมเริ่มบริษัทแอ๊ปเปิลในโรงรถของพ่อแม่ผมตอนผมอายุ20
-
เราทำงานหนัก และเมื่อ10 ปีผ่านไป แอ็ปเปิลเติบโตจากคนาสองคนในโรงรถ กลายเป็นธุรกิจ 2 พันล้านเหรีญซึ่งมีพนักงานกว่า 4,000 คน
-
ตอนนั้นเราเพิ่งเสนอผลงานที่เยี่ยมที่สุดของเรา แมคอินทอช แค่หนึ่งปีก่อนหน้า และผมก็เพิ่งจะอายุ 30
-
และแล้ว ผมก็โดนไล่ออก
-
ผมจะโดนไล่ออกจากบริษัทที่ผมก่อตั้งได้อย่างไร?
-
ก็นั่นหละ เมื่อแอ็ปเปิลเติบโต พวกเราก็จ้างคนที่เราคิดว่ามีพรสวรรค์ที่จะบริหารบริษัทร่วมกับผม
-
ซึ่งช่วงปีแรกๆ มันก็เป็นไปด้วยดี
-
แต่เมื่อวิสัยทัศน์ของเราเริ่มต่างกัน ในที่สุดเราก็แตกแยก
-
เมื่อผมถูกไล่ออก คณะกรรมการอยู่ข้างเขา (ผู้บริหารที่มาแทนจ๊อบส์)
-
ผมจึงถูกไล่ออกตอนอายุ 30 แถมเป็นที่รู้กันทั่วไปในสังคมเีสียด้วย
-
สิ่งที่เป็นความตั้งใจในช่วงชีวิตผู้ใหญ่ของผมจากไปซะแล้ว มันเป็นความเสียหายที่ยิ่งใหญ่
-
ผมสับสนกับชีวิตอยู่เป็นเดือนๆ
-
ผมรู้สึกว่าผมทำให้ผู้ร่วมลงทุนในแอ็ปเปิลรุ่นเก่าๆ ผิดหวัง เหมือนผมทิ้งไม้ผลัดเมื่อมันกำลังถูกส่งผ่านมา
-
ผมพบกับ เดวิด แพคคาร์ด และ บ๊อบ นอยส์ และพยายามที่จะขอโทษที่ผมทำพลาดไม่เป็นท่า
-
ผมเป็นผู้ล้มเหลวในสายตาสาธารณชน ผมเกือบคิดที่จะหนีไปให้พ้นจาก (ซิลิคอน) วาเลย์
-
แต่บางอย่างค่อยๆ พาผมกลับขึ้นมา ผมยังรักในสิ่งที่ผมทำ
-
แต่เหตุการณ์ที่แอ็ปเปิลก็ไม่ได้ทำให้ผมเปลี่ยนไป ถึงผมจะถูกไล่ออก แต่ผมก็ยังรักในสิ่งที่ทำอยู่เช่นเดิม
-
และผมก็ตัดสินใจที่จะเริ่มต้นใหม่
-
ตอนนั้นผมมองไม่เห็น แต่มันกลายเป็นว่า การโดนไล่ออกจากแอปเปิลเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นกับผม
-
ความสำคัญตนที่เกิดจากความสำเร็จในอดีต ถูกทดแทนด้วยความถ่อมตนของการเริ่มต้นใหม่ ที่ไม่มีอะไรแน่นอนสักอย่าง
-
มันให้อิสระผมในการเข้าสู่ช่วงที่มีความคิดสร้างสรรมากที่สุดช่วงนึงของชีวิต
-
ช่วง 5 ปีหลังจากนั้น ผมเิริ่มบริษัทใหม่ ชื่อว่า เน็กซ์ (NeXT) และอีกบริษัทชื่อ พิกซ่าร์ (Pixar)
-
และตกหลุมรักผู้หญิงที่น่าทึ่งคนนึง ซึ่งจะกลายเป็นภรรยาของผม
-
พิกซ่าร์ได้สร้างภาพยนต์อนิเมชั่นเรื่องแรกของโลกคือ ทอย สเตอรี่ และขณะนี้ได้กลายเป็นเป็นอนิเมชั่นสตูดิโอที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในโลก
-
(เสียงปรบมือและเชียร์)
-
และในที่สุด แอ็ปเปิลก็ซื้อเน็กส์ และผมก็ได้กลับมายังแอ็ปเปิล
-
เทคโนโลยีที่เราพัฒนาขึ้นที่เนกส์ ได้กลายเป็นหัวใจสำคัญของแอ็ปเปิลในยุคใหม่นี้
-
และลอรีนกับผมก็ได้มีชีวิตครอบครัวที่มีความสุขด้วยกัน
-
ผมเชื่อว่า สิ่งเหล่านี้คงจะไม่เกิดขึ้น ถ้าผมไม่ถูกไล่ออกจากแอ๊ปเปิล
-
มันเป็นยาขมรสแย่ แต่ผมคิดว่าคนไข้ต้องการมัน
-
บางครั้งชีวิตก็ฟาดหัวคุณด้วยก้อนอิฐ
-
อย่าสิ้นศรัทธา ผมเชื่อมั่นว่าสิ่งทำให้ผมเดินหน้าต่อได้ ก็คือการที่ผมรักในสิ่งที่ทำ
-
คุณต้องค้นหาว่าคุณรักอะไร ทั้งกับการงานและกับคู่ชีวิตของคุณ
-
งานที่คุณทำจะกลายเป็นส่วนสำึััคัญของชีวิต ซึ่งหนทางเดียวที่คุณจะพอใจกับงานนั้นได้ คือทำสิ่งทีุ่คุณเชื่อมั่นว่า มันเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่
-
และหนทางเดียวที่จะสร้างสรรงานที่ยอดเยี่ยมได้ ก็คือรักในสิ่งที่คุณทำ
-
ถ้าคุณยังไม่เจอมัน ให้ค้นหาไปเรื่อยๆ อย่าล้มเลิก
-
ไม่ต่างกับเรื่องต่างๆ ที่รับรู้ได้ด้วยใจ คุณจะรู้ตัวเองเมื่อคุณเจอมัน
-
และ เหมือนกับความสัมพันธ์ที่ยิ่งใหญ่ มันก็จะก้าวหน้ายิ่งขึ้นไปตามกาลเวลา
-
ดังนั้น จงค้นหามัน อย่าล้มเลิก
-
(เสียงปรบมือ)
-
เรื่องที่สามของผมเกี่ยวกับความตาย
-
ตอนผมอายุ 17 ผมได้อ่านคำกล่าวหนึ่ง
-
"ถ้าคุณใช้ชีวิตในแต่ละวันเหมือนเป็นวันสุดท้าย สักวันหนึ่งมันก็จะมาถึง"
-
(เสียงหัวเราะ)
-
มันเป็นแรงบันดาลใจกับผมตั้งแต่นั้นมา ตลอด 33 ปี ผมมองกระจกทุกเช้าแล้วถามตัวเองว่า
-
"ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิต ผมยังอยากจะทำสิ่งที่กำลังจะทำในวันนี้หรือเปล่า"
-
และเมื่อไรที่คำตอบคือ "ไม่" ติดๆกันหลายวัน ผมรู้ว่าผมต้องเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่างสักที
-
การระลึกได้ว่าผมจะต้องตายในเร็ววันนี้ กลายเป็นเครื่องมือที่สำคัญสุดในการช่วยให้ผมเลือกทางเดินที่สำคัญในชีวิต
-
เพราะว่าเกือบทุกสิ่งทุกอย่าง ความคาดหวังจากคนอื่นๆ ความภาคภูมิ ความกลัวต่อความอับอายและความล้มเหลว
-
ทุกสิ่งนั้นจะกลายเป็นเรื่องไ้ร้สาระเมื่อต้องเผชิญกับความตาย เหลือไว้แต่สิ่งที่สำคัญจริงๆ เท่านั้น
-
การระลึกได้ว่าคุณกำลังจะตาย เป็นหนทางที่ดีที่สุดในการหลงคิดว่าคุณมีอะไรที่ต้องเสีย
-
คุณมาตัวเปล่าแล้ว จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ทำตามหัวใจตัวเอง
-
ประมาณปีก่อน ผมได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็ง
-
ผมเข้าเครื่องตรวจตอน 7:30 ตอนเช้า และผมออกมาชัดเจนว่ามีเนื้อร้ายที่ตับอ่อน
-
ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตับอ่อนคืออะไร
-
หมอบอกว่าเนื้อร้ายที่ผมเป็นนี้ ค่อนข้างแน่นอนว่ารักษาไม่ได้ ผมไม่น่าจะอยู่ได้นานกว่าสามถึงหกเดือน
-
หมอแนะนำให้ผมกลับบ้าน ไปจัดการเรื่องส่วนตัวต่างๆซะ ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณว่าให้เตรียมตัวตาย
-
มันแปลว่าคุณควรบอกลูกๆ ทุกอย่างที่คุณคิดว่าจะมีเวลาอีกเป็นสิบปีเพื่อที่จะบอกเขา ในเวลาเพียงไม่กี่เดือน
-
มันแปลว่า คุณควรที่จะมั่นใจว่าทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง เพื่อครอบครัวของคุณจะได้ทำใจ
-
มันแปลว่า คุณควรบอกลา
-
ผมจมอยู่กับผลตรวจนั้นทั้งวัน
-
เย็นวันนั้นผมได้ทำไบออพซี่ ซึ่งคือการหย่อนกล้องลงไปทางลำคอ ผ่านกระเพาะอาหาร ลงไปที่ลำไส้ของผม
-
ใส่เข็มเข้าไปในตับอ่อนของผม และเก็บเซลล์ออกมาจากเนื้องอก
-
ผมรู้สึกอ่อนล้า แต่ภรรยาของผมที่อยู่ตรงนั้นด้วย บอกผมว่า ตอนที่หมอดูเซลล์ผ่านกล้องจุลทรรศน์ หมอก็เริ่มร้องไห้
-
เพราะปรากฎว่ามันเป็นมะเร็งตับอ่อนชนิดหายาก ซึ่งรักษาได้ด้วยการผ่าตัด
-
ผมเข้ารับการผ่าตัด และผมรู้สึกขอบคุณมาก ตอนนี้ผมกลับเป็นปกติแล้ว
-
(ปรบมือ)
-
นี่เป็นประสบการณ์ใกล้เคียงความตายมากที่สุด และ ผมหวังว่ามันคงจะไม่เกิดเรื่องแบบนี้ไปอีกนาน
-
เมื่อได้ผ่านเรื่องราวเหล่านี้มา ผมสามารถบอกคุณได้อย่างมั่นใจว่า ความตายเป็นเรื่องที่มีประโยชน์ มันเป็นแนวคิดที่ล้ำลึกจริงๆ
-
ไม่มีใครอยากตาย แม้แต่คนที่อยากขึ้นสวรรค์ก็ไม่อยาก(รีบ)ตายเพื่อไปสวรรค์
-
แต่กระนั้น ความตายก็เป็นปลายทางที่ทุกคนต้องเผชิญเหมือนๆ กันกัน ไม่มีใครหนีพ้น
-
ความตายจึงเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ดีที่สุดของชีวิตคนเรา
-
มันเปลี่ยนแปลงชีวิต มันพาคนรุ่นเก่าๆ ให้จากไป และสร้างหนทางให้คนรุ่นใหม่
-
ตอนนี้ คนรุ่นใหม่คือพวกคุณ แต่อีกไม่นานจากนั้น คุณก็จะค่อยๆ กลายเป็นคนรุ่นเก่า และจากไปในทีุ่สุด
-
ขออภัยที่มันออกจะฟังเกินจริง แต่มันจริงแท้แน่นอน
-
คุณมีเวลาจำกัด ดังนั้น อย่าใช้มันให้เสียเปล่าด้วยการชีวิตในหนทางของคนอื่น
-
อย่าติดอยู่ในหลักการเดิมๆ ซึ่งหมายถึงการใช้ชีวิตอยู่กับตะกอนความคิดของคนอื่น
-
อย่าให้เสียงของคนอื่นรบกวนเสียงข้างในตัวคุณ
-
และที่สำคัญที่สุด จงมีความกล้าหาญในการทำตาม หัวใจ และ สัญชาติญาณของคุณ
-
ทั้งสองสิ่งนี้ อาจจะรู้อยู่แล้ว ว่าจริงๆ แล้วคุณต้องการอะไร
-
เรื่องอื่นๆ นั้นไม่สำคัญ
-
(ปรบมือ)
-
เมื่อผมยังเด็ก มีนิตยสารฉบับหนึ่งชื่อว่า เดอร์ โฮล เอิร์ท แคตตาล็อก ซึ่งเปรียบเป็นคัมภีร์ไบเิบิ้ลในคนรุ่นผม
-
นิตยสารนี้จัดทำโดยคนคุ้นเคยของเราที่ชื่อ สจ๊วต แบรนด์ เขาอยู่ไม่ไกลจากเมนโลพาร์ค และเขาสร้างสรรนิตยสารนี้ด้วยบทกวี
-
เรื่องนี้เกิดช่วงปลายยุค 60 ก่อนที่จะมีเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล และการเรียงพิมพ์ด้วยคอมพิวเตอร์ ดังนั้นนิตยสารทั้งเล่มสร้างขึ้นมาจากเครื่องพิมพ์ดีด กรรไกร และกล้องโพลารอยด์
-
มันเหมือนเป็น กูเกิล ในรูปแบบกระดาษ ในยุค 35 ปีก่อนที่จะมีกูเกิล มันสมบูรณ์แบบ ครบคันด้วยเครื่องมือและคำอธิบายที่ยอดเยี่ยม
-
สจ๊วตและทีมของเขาพิมพ์นิตยสารนี้ออกมาหลายเล่ม
-
แต่มันก็มาถึงเล่มสุดท้ายในที่นี้
-
มันคือช่วงกลางยุค 1970 ซึ่งผมอายุพอๆ กับพวกคุณตอนนี้
-
ณ ปกหลังของนิตยสารฉบับสุดท้ายนี้ คือภาพถ่ายยามเช้าของถนนชนบท คุณสามารถนึกถึงการยืนโบกรถขอร่วมทาง หากคุณสวมวิญญาณเป็นพวกนักผจญภัย
-
ใต้ภาพนั้นมีคำว่า: "จงหิว จงโง่เขลา" มันเป็นข้อความส่งท้ายการปิดตัวนิตยสาร
-
จงหิว จงโง่เขลา ผมหวังให้ผมเป็นเช่นนั้นมาตลอด
-
ตอนนี้ พวกคุณกำลังจบเพื่อไปเริ่มชีวิตใหม่ ผมของอวยพรให้พวกคุณ
-
จงหิว จงโง่เขลา
-
ขอบคุณทุกคนมากครับ
-
(ปรบมือ)
-
[มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด - www.stanford.edu]
-
ลิขสิทธิ์ โดย มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด
-
โปรดเยี่ยมชมเราที่ standord.edu
Kelwalin Dhanasarnsombut
ขอบคุณค่ะที่มาช่วยแก้ไขคำแปลให้สมบูรณ์ขึ้น เห็นแก้เยอะเลย บางอันยาวเกินไปหน่อย เกรงว่าคนอ่านจะอ่านไม่ทันค่ะ ช่วยพิจารณาทีนะคะ ที่โน้ตอาจแปลไม่ตรงคำพูดทุกคนเพราะอยากให้อ่านง่ายและรักษาโทนการบรรยายเอาไว้น่ะค่ะ ขอบคุณมากที่สละเวลามาช่วยแก้ไขนะคะ โน้ตเองไม่ได้เป็นมืออาชีพอะไร มีอะไรแนะนำติชมมาได้เลยนะคะ :)
Kelwalin Dhanasarnsombut
ขอบคุณที่มาช่วยแก้ไขนะคะ โน้ตอาจใช้คำไม่ตรงนักเพราะต้องการรักษาโทนของผู้พูดและทำให้ข้อความกระชับให้ผู้อ่านอ่านทันน่ะค่ะ ยังไงช่วยชี้แนะติชมด้วยนะคะ เห็นแก้ให้เยอะเลย ยังไงขอบคุณนะคะที่สละเวลาค่ะ
Kelwalin Dhanasarnsombut
ขอบคุณที่มาช่วยแก้ไขนะคะ โน้ตอาจใช้คำไม่ตรงนักเพราะต้องการรักษาโทนของผู้พูดและทำให้ข้อความกระชับให้ผู้อ่านอ่านทันน่ะค่ะ ยังไงช่วยชี้แนะติชมด้วยนะคะ เห็นแก้ให้เยอะเลย ยังไงขอบคุณนะคะที่สละเวลาค่ะ
Kelwalin Dhanasarnsombut
ขอโทษนะคะ ระบบ Amara ทำให้ข้อความขึ้นซ้ำๆกันค่ะ :(
sakunphat
ขอบคุณมากๆ ครับ เห็นด้วยว่าข้อความบางช่วงยาวเกินไป ซึ่งเกิดจากความต้องการขยายความให้เข้าใจสรรพนามในบางประโยค แต่พอได้อ่านย้อนอีกรอบ ได้เห็นกระบวนความทีต่อเนื่องกันมา ก็คิดว่าผู้อ่านก็น่าจะเข้าใจได้ ดังนั้น ใน Revision 7 ผมจึงได้ตัดทอนเนื้อความออกไปหลายจุด พร้อมทั้งแก้คำผิดของตัวเองในหลายจุดด้วยเช่นกันครับ :)
sakunphat
และในฐานะผู้ชม ขอขอบคุณอย่างสูง สำหรับการริเริ่มแปลคลิปนี้ครับ