มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด
รายการนี้นำเสนอโดย มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด
เยี่ยมชมเราได้ที่ standford.edu
(เสียงปรบมือ)
ขอบคุณครับ
(สตีฟ จ๊อบ - ประธานบริษัท แอปเปิล และ พิกซ่าร์ แอนิเมชั่น)
จ๊อบ : ผมรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้มาอยู่ที่นี่กับคุณ ในวันรับปริญญา ของมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
(เสียงร้องชื่นชม)
ผมขอบอกความจริงอย่างหนึ่ง ผมไม่เคยเรียนจบวิทยาลัย และงานในวันนี้ เป็นสิ่งที่ใกล้เคียง(การจบวิทยาลัยจริงๆ) ที่สุดแล้วของผม
(เสียงหัวเราะ)
วันนี้ ผมอยากจะเล่าเรื่องราว 3 เรื่องจากชีวิตของผม
มีเท่านี้เอง ไม่มากมาย แค่สามเรื่อง
เรื่องแรกเกี่ยวกับการเชื่อมจุด
ผมเลิกเรียนที่ วิทยาลัยรีด หลังจากเรียนไปแค่หกเดือน
แต่ก็ยังแวะเวียนเข้าไปบ้าง อยู่ประมาณสิบแปดเดือน ก่อนที่จะลาออกอย่างเป็นทางการ
ทำไมผมถึงลาออกหน่ะหรอ?
เรื่องนี้เริ่มมาก่อนที่ผมจะเกิด
แม่แท้ๆ ของผมตอนนั้นยังเป็นวัยรุ่น เป็นนักศึกษา ยังไม่ได้แต่งงาน
ท่านตัดสินใจที่จะยกผมให้คนอื่นไปอุปการะ
ท่านมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าผมควรจะได้เป็นลูกบุญธรรมของคนที่เรียนจบวิทยาลัย
ดังนั้น ชีวิตผมถูกวางแผนไว้ตั้งแต่แรกว่า เมื่อผมเกิด ทนายความและภรรยาจะเป็นผู้รับอุปการะผม
แต่เมื่อผมเกิด พวกเขาเกิดเปลี่ยนใจในนาทีสุดท้าย ว่าจริง ๆ แล้วพวกเขาต้องการเด็กผู้หญิง
ดังนั้น พ่อแม่ของผม (ผู้เลี้ยงดูจ๊อบส์จริงๆ จนเติบใหญ่) ซึ่งอยู่ในรายชื่อลำดับต่อๆ มา (ต่อจากครอบครัวทนาย) ก็ได้รับโทรศัพท์กลางดึก (จากแม่จริงๆ ของจ๊อบส์)
แม่แท้ๆ ผมถามว่า "เราก็มีเด็กทารกคนนึงเป็นผู้ชาย พวกคุณอยากอุปการะเขาไหม?" พวกเขา (พ่อแม่ที่รับเลี้ยงดูจ๊อบส์จริง ๆ) จึงตอบว่า "แน่นอน"
แม่แท้ ๆ ของผมมาทราบภายหลังว่า แม่ที่รับอุปการะผม ไม่ได้จบวิทยาลัย และและพ่อที่รับอุปการะผมก็ไม่ได้จบแม้แต่ชั้นมัธยม
แม่แท้ๆ ของผมจึงปฎิเสธที่จะมอบผมให้พวกเราไปอุปการะ
แต่ในที่สุด แม่แท้ๆ ของผมก็ยอมในไม่กี่เดือนต่อมา เมื่อพ่อแม่ของผมสัญญาว่าจะส่งผมไปเรียนวิทยาลัย และนั่นคือจุดเริ่มต้นของชีวิตผม
และอีก 17 ปี ต่อมา ผมได้ไปวิทยาลัย แต่ด้วยความไร้เดียงสา ผมเลือกวิทยาลัยแพงเกือบจะเท่ากับสแตนฟอร์ด
เงินเก็บทั้งหมดของพ่อแม่ผม ซึ่งเป็นชนชั้นแรงงาน ก็หมดไปกับค่าเล่าเรียน
หกเดือนผ่านไป ผมไม่เห็นคุณค่าของการเรียนที่นีเลย
ผมไม่รู้ว่าควรทำอะไรกับชีวิต ไม่รู้ว่าวิทยาลัยจะช่วยผมให้รู้ได้ยังไง
และที่นั่น ผมได้ใช้เงินทั้งหมดที่พ่อแม่ผมเก็บมาทั้งชีวิต
ผมเลยตัดสินใจที่จะลาออก และเชื่อว่ามันน่าจะเป็นการตัดสินใจที่ใช้ได้
ณ ตอนนั้น ผมก็รู้สึกกลัว แต่เมื่อหันกลับไปมองมัน มันกลับเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดของผม
(เสียงหัวเราะ)
ณ นาทีที่ผมลาออก ผมก็ไม่ต้องเรียนวิชาบังคับที่ผมไม่สนใจ
และสามารถเข้าเรียนวิชาที่น่าสนใจกว่า
เรื่องราวมันไม่สวยงามเท่าไรหรอก ผมไม่มีห้องในหอพัก ต้องนอนบนพื้นห้องเพื่อน เอาขวดโค้กไปแลกเงิน 5 เซนต์ เพื่อซื้อข้าวกิน
และผมต้องเดิน 7 ไมล์ข้ามฝากเมืองทุกๆ วันอาทิตย์ เพื่อไปกินอาหารดีๆ สักมื้อที่วัด ฮาเร กฤษณะ
ผมมีความสุขกับมัน
และสิ่งที่ผมบังเอิญได้เจอะเจอส่วนใหญ่ ที่เกิดจากะความสงสัยและสัญชาตญาณ ในภายหลังได้กลับกลายเป็นสิ่งล้ำค่า
ผมมีตัวอย่างอยู่เรื่องหนึ่ง
ในตอนนั้น รีดคอลเลจเปิดสอนวิชาการออกแบบตัวอักษร ซึ่งอาจจะเป็นหลักสูตรที่ดีที่ของประเทศ
ทั่วทั้งเขตมหาวิทยาลัย โปสเตอร์ทุกใบ ป้ายบนลิ้นชักทุกอัน เขียนด้วยลายมืออย่างสวยงาม
และเพราะผมได้ลาออก ไม่ต้องเรียนวิชาปกติ ผมจึงตัดสินใจเรียนวิชานี้
ผมได้เรียนรู้เกี่ยวกับตัวอักษรแบบ Serif (มีการต่อเส้นที่ปลาย) และ Sans-serif (ไม่ต่อเส้นที่ปลาย) ได้เรียนรู้เกี่ยวกับช่องไฟเมื่อผสมตัวอักษรต่างๆ เข้าด้วยกัน
ได้เรียนรู้การทำให้งานพิมพ์ออกมายอดเยี่ยม
มันช่วงสวยงาม น่าจดจำ และมีความเป็นศิลปะอย่างชัดเจน ซึ่งไม่สามารถบรรยายในเชิงวิทยาศาสตร์ และผมคิดว่ามันยอดเยี่ยมจริงๆ
เรื่องที่เพิ่งเล่าไปนี้ ฟังดูไม่น่าจะเอาไปใช้อะไรได้จริงในชีวิตผม
แต่แล้ว 10 ปีต่อมา เมื่อเรากำลังออกแบบคอมพิวเตอร์แมคอินทอช เครื่องแรก เรื่องนี้ก็วนกลับมาหาผม
เราออกแบบมันทั้งหมดเข้าไปในแมค มันจึงกลายเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่มีการแสดงตัวอักษรได้อย่างสวยงาม
ถ้าผมไม่ได้เรียนวิชานั้นที่วิทยาลัย
เครื่องแมคก็คงจะไม่มีตัวอักษรหลายรูปและไม่มีการวางช่องไฟที่ได้สัดส่วนอย่างเช่นที่มันเป็น
และเนื่องจากวินโดว์เลียนแบบแมค เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลก็จะไม่มีระบบตัวอักษรที่สวยงามแบบนี้เช่นกัน
(เสียงหัวเราะและปรบมือ)
ถ้าผมไม่ได้ลาออก ผมก็จะไม่ได้เรียนวิชานั้น
และคอมพิวเตอร์ทั่วโลกก็จะไม่มีระบบแสดงตัวอักษรที่ยอดเยี่ยมอย่างที่เป็นในตอนนี้
แต่ก็แน่นอนว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะมองไปข้างหน้าแล้วสามารถคิดเชื่อมต่อจุดต่างๆ ตั้งแต่สมัยยังเรียนวิทยาลัย
แต่เมื่อเรามองย้อนกลับไปในอดีตสัก 10 ปีก่อน มันกลับชัดเจนเหลือเกิน
ผมจึงอยากจะย้ำว่า คุณไม่สามารถเชื่อมต่อจุดด้วยการมองไปในอนาคต แต่เชื่อมต่อได้โดยการมองย้อนกลับไป
และเมื่อคุณรู้เช่นนี้ คุณก็จะความเชื่อมั่นว่า ไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง จุดต่างๆ เหล่้านี้จะสามารถเชื่อมกันได้ในอนาคต
คุณต้องเชื่อในอะไรสักอย่าง กึ๋น พรหมลิขิต ชีวิต กรรม อะไรก็ตามที
เพราะความเชื่อว่าจุดต่างๆ จะเวียนมาเชื่อมกันได้ จะสร้างความมั่นใจให้คุณกล้าเดินตามจิตใจที่แท้จริงของคุณ
แม้ว่ามันจะต้องพาคุณออกนอกเส้นทางที่คุ้นเคย และะสร้างความแตกต่างให้เกิดขึ้น
เรื่องที่สองของผมเกี่ยวกับความรักและการสูญเสีย
ผมโชคดี ผมค้นพบสิ่งที่ผมรักตั้งแต่อายุยังน้อย
วอซ (Steve Wozniak) กับผมเริ่มบริษัทแอ๊ปเปิลในโรงรถของพ่อแม่ผมตอนผมอายุ20
เราทำงานหนัก และเมื่อ10 ปีผ่านไป แอ็ปเปิลเติบโตจากคนาสองคนในโรงรถ กลายเป็นธุรกิจ 2 พันล้านเหรีญซึ่งมีพนักงานกว่า 4,000 คน
ตอนนั้นเราเพิ่งเสนอผลงานที่เยี่ยมที่สุดของเรา แมคอินทอช แค่หนึ่งปีก่อนหน้า และผมก็เพิ่งจะอายุ 30
และแล้ว ผมก็โดนไล่ออก
ผมจะโดนไล่ออกจากบริษัทที่ผมก่อตั้งได้อย่างไร?
ก็นั่นหละ เมื่อแอ็ปเปิลเติบโต พวกเราก็จ้างคนที่เราคิดว่ามีพรสวรรค์ที่จะบริหารบริษัทร่วมกับผม
ซึ่งช่วงปีแรกๆ มันก็เป็นไปด้วยดี
แต่เมื่อวิสัยทัศน์ของเราเริ่มต่างกัน ในที่สุดเราก็แตกแยก
เมื่อผมถูกไล่ออก คณะกรรมการอยู่ข้างเขา (ผู้บริหารที่มาแทนจ๊อบส์)
ผมจึงถูกไล่ออกตอนอายุ 30 แถมเป็นที่รู้กันทั่วไปในสังคมเีสียด้วย
สิ่งที่เป็นความตั้งใจในช่วงชีวิตผู้ใหญ่ของผมจากไปซะแล้ว มันเป็นความเสียหายที่ยิ่งใหญ่
ผมสับสนกับชีวิตอยู่เป็นเดือนๆ
ผมรู้สึกว่าผมทำให้ผู้ร่วมลงทุนในแอ็ปเปิลรุ่นเก่าๆ ผิดหวัง เหมือนผมทิ้งไม้ผลัดเมื่อมันกำลังถูกส่งผ่านมา
ผมพบกับ เดวิด แพคคาร์ด และ บ๊อบ นอยส์ และพยายามที่จะขอโทษที่ผมทำพลาดไม่เป็นท่า
ผมเป็นผู้ล้มเหลวในสายตาสาธารณชน ผมเกือบคิดที่จะหนีไปให้พ้นจาก (ซิลิคอน) วาเลย์
แต่บางอย่างค่อยๆ พาผมกลับขึ้นมา ผมยังรักในสิ่งที่ผมทำ
แต่เหตุการณ์ที่แอ็ปเปิลก็ไม่ได้ทำให้ผมเปลี่ยนไป ถึงผมจะถูกไล่ออก แต่ผมก็ยังรักในสิ่งที่ทำอยู่เช่นเดิม
และผมก็ตัดสินใจที่จะเริ่มต้นใหม่
ตอนนั้นผมมองไม่เห็น แต่มันกลายเป็นว่า การโดนไล่ออกจากแอปเปิลเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นกับผม
ความสำคัญตนที่เกิดจากความสำเร็จในอดีต ถูกทดแทนด้วยความถ่อมตนของการเริ่มต้นใหม่ ที่ไม่มีอะไรแน่นอนสักอย่าง
มันให้อิสระผมในการเข้าสู่ช่วงที่มีความคิดสร้างสรรมากที่สุดช่วงนึงของชีวิต
ช่วง 5 ปีหลังจากนั้น ผมเิริ่มบริษัทใหม่ ชื่อว่า เน็กซ์ (NeXT) และอีกบริษัทชื่อ พิกซ่าร์ (Pixar)
และตกหลุมรักผู้หญิงที่น่าทึ่งคนนึง ซึ่งจะกลายเป็นภรรยาของผม
พิกซ่าร์ได้สร้างภาพยนต์อนิเมชั่นเรื่องแรกของโลกคือ ทอย สเตอรี่ และขณะนี้ได้กลายเป็นเป็นอนิเมชั่นสตูดิโอที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในโลก
(เสียงปรบมือและเชียร์)
และในที่สุด แอ็ปเปิลก็ซื้อเน็กส์ และผมก็ได้กลับมายังแอ็ปเปิล
เทคโนโลยีที่เราพัฒนาขึ้นที่เนกส์ ได้กลายเป็นหัวใจสำคัญของแอ็ปเปิลในยุคใหม่นี้
และลอรีนกับผมก็ได้มีชีวิตครอบครัวที่มีความสุขด้วยกัน
ผมเชื่อว่า สิ่งเหล่านี้คงจะไม่เกิดขึ้น ถ้าผมไม่ถูกไล่ออกจากแอ๊ปเปิล
มันเป็นยาขมรสแย่ แต่ผมคิดว่าคนไข้ต้องการมัน
บางครั้งชีวิตก็ฟาดหัวคุณด้วยก้อนอิฐ
อย่าสิ้นศรัทธา ผมเชื่อมั่นว่าสิ่งทำให้ผมเดินหน้าต่อได้ ก็คือการที่ผมรักในสิ่งที่ทำ
คุณต้องค้นหาว่าคุณรักอะไร ทั้งกับการงานและกับคู่ชีวิตของคุณ
งานที่คุณทำจะกลายเป็นส่วนสำึััคัญของชีวิต ซึ่งหนทางเดียวที่คุณจะพอใจกับงานนั้นได้ คือทำสิ่งทีุ่คุณเชื่อมั่นว่า มันเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่
และหนทางเดียวที่จะสร้างสรรงานที่ยอดเยี่ยมได้ ก็คือรักในสิ่งที่คุณทำ
ถ้าคุณยังไม่เจอมัน ให้ค้นหาไปเรื่อยๆ อย่าล้มเลิก
ไม่ต่างกับเรื่องต่างๆ ที่รับรู้ได้ด้วยใจ คุณจะรู้ตัวเองเมื่อคุณเจอมัน
และ เหมือนกับความสัมพันธ์ที่ยิ่งใหญ่ มันก็จะก้าวหน้ายิ่งขึ้นไปตามกาลเวลา
ดังนั้น จงค้นหามัน อย่าล้มเลิก
(เสียงปรบมือ)
เรื่องที่สามของผมเกี่ยวกับความตาย
ตอนผมอายุ 17 ผมได้อ่านคำกล่าวหนึ่ง
"ถ้าคุณใช้ชีวิตในแต่ละวันเหมือนเป็นวันสุดท้าย สักวันหนึ่งมันก็จะมาถึง"
(เสียงหัวเราะ)
มันเป็นแรงบันดาลใจกับผมตั้งแต่นั้นมา ตลอด 33 ปี ผมมองกระจกทุกเช้าแล้วถามตัวเองว่า
"ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิต ผมยังอยากจะทำสิ่งที่กำลังจะทำในวันนี้หรือเปล่า"
และเมื่อไรที่คำตอบคือ "ไม่" ติดๆกันหลายวัน ผมรู้ว่าผมต้องเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่างสักที
การระลึกได้ว่าผมจะต้องตายในเร็ววันนี้ กลายเป็นเครื่องมือที่สำคัญสุดในการช่วยให้ผมเลือกทางเดินที่สำคัญในชีวิต
เพราะว่าเกือบทุกสิ่งทุกอย่าง ความคาดหวังจากคนอื่นๆ ความภาคภูมิ ความกลัวต่อความอับอายและความล้มเหลว
ทุกสิ่งนั้นจะกลายเป็นเรื่องไ้ร้สาระเมื่อต้องเผชิญกับความตาย เหลือไว้แต่สิ่งที่สำคัญจริงๆ เท่านั้น
การระลึกได้ว่าคุณกำลังจะตาย เป็นหนทางที่ดีที่สุดในการหลงคิดว่าคุณมีอะไรที่ต้องเสีย
คุณมาตัวเปล่าแล้ว จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ทำตามหัวใจตัวเอง
ประมาณปีก่อน ผมได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็ง
ผมเข้าเครื่องตรวจตอน 7:30 ตอนเช้า และผมออกมาชัดเจนว่ามีเนื้อร้ายที่ตับอ่อน
ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตับอ่อนคืออะไร
หมอบอกว่าเนื้อร้ายที่ผมเป็นนี้ ค่อนข้างแน่นอนว่ารักษาไม่ได้ ผมไม่น่าจะอยู่ได้นานกว่าสามถึงหกเดือน
หมอแนะนำให้ผมกลับบ้าน ไปจัดการเรื่องส่วนตัวต่างๆซะ ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณว่าให้เตรียมตัวตาย
มันแปลว่าคุณควรบอกลูกๆ ทุกอย่างที่คุณคิดว่าจะมีเวลาอีกเป็นสิบปีเพื่อที่จะบอกเขา ในเวลาเพียงไม่กี่เดือน
มันแปลว่า คุณควรที่จะมั่นใจว่าทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง เพื่อครอบครัวของคุณจะได้ทำใจ
มันแปลว่า คุณควรบอกลา
ผมจมอยู่กับผลตรวจนั้นทั้งวัน
เย็นวันนั้นผมได้ทำไบออพซี่ ซึ่งคือการหย่อนกล้องลงไปทางลำคอ ผ่านกระเพาะอาหาร ลงไปที่ลำไส้ของผม
ใส่เข็มเข้าไปในตับอ่อนของผม และเก็บเซลล์ออกมาจากเนื้องอก
ผมรู้สึกอ่อนล้า แต่ภรรยาของผมที่อยู่ตรงนั้นด้วย บอกผมว่า ตอนที่หมอดูเซลล์ผ่านกล้องจุลทรรศน์ หมอก็เริ่มร้องไห้
เพราะปรากฎว่ามันเป็นมะเร็งตับอ่อนชนิดหายาก ซึ่งรักษาได้ด้วยการผ่าตัด
ผมเข้ารับการผ่าตัด และผมรู้สึกขอบคุณมาก ตอนนี้ผมกลับเป็นปกติแล้ว
(ปรบมือ)
นี่เป็นประสบการณ์ใกล้เคียงความตายมากที่สุด และ ผมหวังว่ามันคงจะไม่เกิดเรื่องแบบนี้ไปอีกนาน
เมื่อได้ผ่านเรื่องราวเหล่านี้มา ผมสามารถบอกคุณได้อย่างมั่นใจว่า ความตายเป็นเรื่องที่มีประโยชน์ มันเป็นแนวคิดที่ล้ำลึกจริงๆ
ไม่มีใครอยากตาย แม้แต่คนที่อยากขึ้นสวรรค์ก็ไม่อยาก(รีบ)ตายเพื่อไปสวรรค์
แต่กระนั้น ความตายก็เป็นปลายทางที่ทุกคนต้องเผชิญเหมือนๆ กันกัน ไม่มีใครหนีพ้น
ความตายจึงเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ดีที่สุดของชีวิตคนเรา
มันเปลี่ยนแปลงชีวิต มันพาคนรุ่นเก่าๆ ให้จากไป และสร้างหนทางให้คนรุ่นใหม่
ตอนนี้ คนรุ่นใหม่คือพวกคุณ แต่อีกไม่นานจากนั้น คุณก็จะค่อยๆ กลายเป็นคนรุ่นเก่า และจากไปในทีุ่สุด
ขออภัยที่มันออกจะฟังเกินจริง แต่มันจริงแท้แน่นอน
คุณมีเวลาจำกัด ดังนั้น อย่าใช้มันให้เสียเปล่าด้วยการชีวิตในหนทางของคนอื่น
อย่าติดอยู่ในหลักการเดิมๆ ซึ่งหมายถึงการใช้ชีวิตอยู่กับตะกอนความคิดของคนอื่น
อย่าให้เสียงของคนอื่นรบกวนเสียงข้างในตัวคุณ
และที่สำคัญที่สุด จงมีความกล้าหาญในการทำตาม หัวใจ และ สัญชาติญาณของคุณ
ทั้งสองสิ่งนี้ อาจจะรู้อยู่แล้ว ว่าจริงๆ แล้วคุณต้องการอะไร
เรื่องอื่นๆ นั้นไม่สำคัญ
(ปรบมือ)
เมื่อผมยังเด็ก มีนิตยสารฉบับหนึ่งชื่อว่า เดอร์ โฮล เอิร์ท แคตตาล็อก ซึ่งเปรียบเป็นคัมภีร์ไบเิบิ้ลในคนรุ่นผม
นิตยสารนี้จัดทำโดยคนคุ้นเคยของเราที่ชื่อ สจ๊วต แบรนด์ เขาอยู่ไม่ไกลจากเมนโลพาร์ค และเขาสร้างสรรนิตยสารนี้ด้วยบทกวี
เรื่องนี้เกิดช่วงปลายยุค 60 ก่อนที่จะมีเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล และการเรียงพิมพ์ด้วยคอมพิวเตอร์ ดังนั้นนิตยสารทั้งเล่มสร้างขึ้นมาจากเครื่องพิมพ์ดีด กรรไกร และกล้องโพลารอยด์
มันเหมือนเป็น กูเกิล ในรูปแบบกระดาษ ในยุค 35 ปีก่อนที่จะมีกูเกิล มันสมบูรณ์แบบ ครบคันด้วยเครื่องมือและคำอธิบายที่ยอดเยี่ยม
สจ๊วตและทีมของเขาพิมพ์นิตยสารนี้ออกมาหลายเล่ม
แต่มันก็มาถึงเล่มสุดท้ายในที่นี้
มันคือช่วงกลางยุค 1970 ซึ่งผมอายุพอๆ กับพวกคุณตอนนี้
ณ ปกหลังของนิตยสารฉบับสุดท้ายนี้ คือภาพถ่ายยามเช้าของถนนชนบท คุณสามารถนึกถึงการยืนโบกรถขอร่วมทาง หากคุณสวมวิญญาณเป็นพวกนักผจญภัย
ใต้ภาพนั้นมีคำว่า: "จงหิว จงโง่เขลา" มันเป็นข้อความส่งท้ายการปิดตัวนิตยสาร
จงหิว จงโง่เขลา ผมหวังให้ผมเป็นเช่นนั้นมาตลอด
ตอนนี้ พวกคุณกำลังจบเพื่อไปเริ่มชีวิตใหม่ ผมของอวยพรให้พวกคุณ
จงหิว จงโง่เขลา
ขอบคุณทุกคนมากครับ
(ปรบมือ)
[มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด - www.stanford.edu]
ลิขสิทธิ์ โดย มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด
โปรดเยี่ยมชมเราที่ standord.edu