-
รู้กันไหมคะว่า ผู้ดีสมัยก่อนอะ เค้าไม่ตื่นมากินอาหารเช้ากันหรอก?
-
สวัสดีค่ะ วิวจากแชนเนล Point of View ค่ะ
-
กลับมาพบกันอีกครั้งนะคะ ในรายการวิววันว่างนั่นเอง
-
รายการที่วิวจะพาทุกคนมาทำนู่นทำนี่ในวันว่างๆ นะคะ
-
ซึ่งมาจนถึงปัจจุบันนี้ก็มีแต่การทำครัวทั้งนั้นเลย
-
เพราะว่าตอนนี้เราก็ยังหากิจกรรมอื่นที่น่าสนใจทำไม่ได้อ่ะนะ
-
อย่างไรก็ตามค่ะ วันนี้สิ่งที่วิวจะมาทำกับทุกคนก็คือ อาหารเช้า นั่นเอง
-
แล้วก็จะเป็นอาหารเช้ามื้อโปรดของวิวนะคะ
-
เวลาที่วิวว่างๆ แล้วรู้สึกว่า อยากกินอะไรง่ายๆ
-
แต่ก็ไม่อยากง่ายถึงขนาดแบบว่า เทซีเรียลใส่นมแล้วก็กินนะ
-
สิ่งที่วิวจะทำในวันนี้ก็คือ French toast หรือว่าขนมปังชุบไข่ นั่นเองค่ะ
-
ซึ่งถึงจุดนี้เนี่ยนะคะ
-
หลายคนที่ติดตามวิวมานาน น่าจะแปลกใจอะไรบางอย่างอยู่ค่ะ
-
เห็นสิ่งนี้ไหม?
-
7 โมงทุกคน
-
เฮ้ย เป็นไปได้เหรอ? วิวตื่นมา 7 โมงเช้า มาทำข้าวเช้ากินนะคะ
-
บอกเลยว่า เป็นไปได้ค่ะ
-
เพราะว่านี่ไม่ใช่ 7 โมงเช้านะคะทุกคน แต่ว่านี่คือ 1 ทุ่มนะคะ
-
เห็นแบบนี่แล้วแปลกใจกันไหม?
-
เฮ้ย ทำไมอยู่ดีๆ จะมาทำอาหารเช้าอะไรตอน 1 ทุ่ม
-
บอกเลยค่ะว่า วิวไม่ได้ทำอะไรผิดนะคะ
-
เพราะว่าวิวไม่ได้จะมาทำอาหารเช้าสักหน่อย
-
จริงๆ แล้ววิวจะมาทำ breakfast ต่างหากค่ะ
-
อยากรู้กันแล้วใช่ไหมว่า
-
ทำไมวิวถึงบอกว่า breakfast กับอาหารเช้าเป็นคนละอย่างกัน
-
อะไรยังไงนะคะ
-
เดี๋ยวเราไปทำ French toast กัน แล้วเดี๋ยววิวเล่าให้ฟังดีกว่าค่ะว่า
-
ทำไมวิวถึงบอกว่า breakfast ทำตอนไหนก็ได้นะคะ
-
ไป พร้อมจะฟังเรื่องราวที่ทั้งสนุก แล้วก็ได้สาระกันหรือยังคะ?
-
ถ้าพร้อมกันแล้วก็ ไปฟังกันเลยค่ะ
-
บอกเลยนะคะว่า วัตถุดิบที่เราจะใช้ในวันนี้มีน้อยมากๆ
-
แล้วก็ง่ายๆ มากๆ ค่ะ สำหรับหลายๆ บ้านนี่สามารถหาได้ในบ้านเลยนะ
-
อย่างแรกที่เราต้องใช้ค่ะในการทำ French toast
-
โทสต์ (Toast) ก็คือขนมปังใช่ไหม?
-
ดังนั้นก็คือ ขนมปังแผ่น นั่นเองนะคะ
-
ซึ่งจะใช้แบบมีขอบหรือไม่มีขอบก็ได้นะคะ แล้วแต่ความชอบของแต่ละคน
-
ส่วนตัววิวก็เป็นคนชอบแบบไม่มีขอบค่ะ
-
แต่ว่าซื้อแบบมีขอบมา ดังนั้นเดี๋ยวจะตัดขอบทิ้งนะคะทุกคน
-
อย่างที่สองก็คือ ไข่ ค่ะ 1 ฟองเท่านั้น
-
สามก็คือ นมสด นะคะ
-
แล้วก็กลิ่นวานิลลาค่ะ
-
อันนี้เป็น optional สามารถใช้หรือไม่ใช้ก็ได้ แล้วแต่ความชอบของแต่ละคนนะ
-
อีกอย่างนึงก็คือ เนย นั่นเองนะคะ
-
เพื่อที่จะใช้ทอด หรือว่าใครจะใช้น้ำมันก็ได้นะ
-
แต่วิวว่ามันไม่เข้าเท่าไหร่หรอก ใช้เนยเถอะทุกคน
-
และสุดท้ายก็คือ น้ำผึ้ง หรือว่าน้ำเชื่อมเมเปิ้ล
-
หรือน้ำเชื่อมอะไรก็ตามที่ทุกคนชอบนะคะ
-
เอาจริงๆ มันก็แทบจะใช้อะไรก็ได้เลยแหละ
-
แล้วแต่ว่าใครชอบอะไร อยากใส่อะไรเพิ่มเติมนะ
-
หรือว่าใครจะอยากไปหาพวกผลไม้อะไรต่างๆ มาตกแต่ง
-
หาน้ำตาลไอซิงอะไรก็ได้เหมือนกันนะคะ
-
หรือถ้าอยากกินแบบฝรั่งซึ่งคนไทยอาจจะไม่ค่อยคุ้นเคยกันเท่าไหร่
-
ก็อาจจะไปหาเบคอน หรือว่าแฮม เอามากินกับ French toast ก็ได้เหมือนกัน
-
แล้วก็ทำไข่ดาวโปะเข้าไปก็ได้เหมือนกันนะ
-
อย่างไรก็ตาม อันนี้จะเป็นแบบเบสิคที่สุด ง่ายที่สุด
-
เพราะว่าวิวขี้เกียจนั่นเองนะคะทุกคน
-
ดังนั้นเรามาเริ่มกันเลยดีกว่าค่ะ
-
ขั้นตอนแรกในการทำนะคะ ก็คือ
-
วิวจะตัดขอบขนมปังทิ้งก่อน เพราะว่าวิวไม่ชอบนั่นเองนะ
-
ซึ่งเป็นการสิ้นเปลืองมาก
-
ดังนั้นแนะนำให้ซื้อมาแบบที่ตัวเองชอบนะคะ
-
ตัดไปๆ
-
ก็จะไม่ค่อยสวยเท่าไหร่
-
เราจะสมมติว่า นี่คือเวลาเช้าทุกคน
-
อยากทำอะไรให้ง่ายที่สุด
-
กินๆ เข้าไปแล้วก็รีบไปทำงานเนอะ
-
เสร็จปุ๊บนะคะ เราก็ตัดขนมปังเป็นไซซ์ที่เราต้องการ
-
ถ้าเป็นที่นิยมกัน เค้าจะตัดแค่อย่างนี้
-
แต่ว่าสำหรับวันนี้ วิวเป็นคนชอบกินชิ้นเล็กๆ นะคะ
-
ดังนั้นวิวก็จะตัด 4 นะคะทุกคน
-
เรียบร้อย
-
ต่อไปนะคะ เราก็จะมาเตรียมไข่ของเรากันค่ะ
-
เริ่มจากการตอกไข่ 1 ฟองนะคะ ใส่ลงไปในภาชนะ
-
เราจะโชว์เทพด้วยการ ตอกไข่ด้วยมือเดียว
-
นี่
-
แล้วมือเราก็เละ แล้วเราก็ต้องล้างมือ
-
หลังจากนั้นนะคะ เราก็จะใส่กลิ่นวานิลลาลงไปนิดนึง เพื่อเพิ่มความหอมเนอะ
-
ตามแต่ความชอบเลย
-
แล้วก็ตามด้วยนมสดนั่นเอง
-
สาเหตุที่วันนี้วิวไม่ตวงอะไรเลยนะคะ
-
เพราะว่าจริงๆ มันไม่จำเป็นต้องตวงขนาดนั้น
-
เราใช้กะๆ เอาหมดเลยนะคะ
-
นี่ เทคนิคการตัดนมกล่องนะทุกคน
-
ถ้าเราตัดแค่ฝั่งนี้ ความดันอะไรต่างๆ เนี่ย
-
มันจะทำให้เวลาเทมันแบบพรึบๆๆ แล้วมันจะหกใช่ไหม?
-
ดังนั้นเวลาเทอะไรก็ตามนะคะ ตัดอีกฝั่งนึงด้วยค่ะ
-
เมื่อเวลาเราเทนมออกมาเนี่ย
-
ก็จะเห็นว่า นมมันออกฝั่งนี้ใช่ไหม? อากาศก็จะดันเข้าฝั่งนี้
-
มันก็ไม่จำเป็นจะต้องดันสวนเข้าฝั่งนี้นะคะ
-
เป็นหลักวิทยาศาสตร์ง่ายๆ ที่เราสามารถใช้ได้ในครัวนะคะทุกคน
-
อ่ะ ก็เทๆ นมเข้าไป
-
ถ้าชอบให้มันเข้มข้นหน่อย ก็ใส่นมน้อยๆ ใส่ไข่เยอะๆ
-
แต่ถ้าเกิดชอบให้มันแบบเจือจางนิดนึง ก็ใส่นมเยอะหน่อย
-
แต่ว่าถ้าใส่เยอะเกินไปเนี่ย มันก็จะไม่ค่อยจับตัวกันเท่าไหร่นะ
-
หลังจากนั้นก็ตีโลด
-
อ่ะ เสร็จแล้วเรียบร้อยนะคะ
-
ก็ไม่ต้องไปตีเยอะนะ เดี๋ยวมันจะออกมาเป็นไข่เจียวนะคะทุกคน
-
หลังจากนั้น เราก็ทำขั้นตอนที่ยากมากนะคะ
-
นั่นก็คือ เอาขนมปังของเราเนี่ย หย่อนมันลงไปค่ะ
-
หย่อนลงไป
-
แล้วก็พยายามให้มันแบบดูดน้ำจากไข่กับนมเนี่ย ขึ้นมาให้ได้มากที่สุดนะ
-
แช่มันไว้ แช่มันลงไป
-
กดมันลงไป
-
ให้มันซึมซับไข่และนมนะคะ
-
หลังจากนั้นก็ทิ้งมันไว้สักพักค่ะทุกคน
-
ให้มันดูดทุกอย่างเข้าไปในตัวของมันนะคะ
-
เห็นไหมตอนนี้? มันก็จะดูดทุกอย่างเข้ามาแบบเข้มข้นแล้วนะ
-
อ่ะ ระหว่างที่เรารอสิ่งนี้นะคะ
-
จำได้ไหม? เมื่อกี้วิวบอกทุกคนว่า
-
เฮ้ย มันไม่แปลกเลยนะที่เราจะกิน breakfast ตอนไหนก็ได้ อะไรอย่างนี้
-
จริงๆ แล้ว โอเค ปัจจุบันนะคะ คำว่า breakfast มันก็แปลว่า อาหารเช้านี่แหละ
-
แต่ในสมัยอดีตนะคะ คำว่า breakfast lunch หรือว่า dinner รวมถึง supper เนี่ย
-
มันมีที่มาที่ไปของมัน ที่ทำให้คำแปลในสมัยก่อนเนี่ย มันแตกต่างจากสมัยปัจจุบันค่ะ
-
และมันทำให้คนที่ถ้าสมมติว่า ไปเรียนที่ต่างประเทศจริงๆ
-
ไปเจอการใช้ศัพท์ของฝรั่งจริงๆ เนี่ย จะงงนะคะ
-
คือในไทยเนี่ย เราก็สอนกันว่า breakfast แปลว่าอาหารเช้า
-
lunch แปลว่า อาหารเที่ยง
-
dinner แปลว่า อาหารเย็น
-
ส่วน supper นี่มีใครใช้หรือเปล่าน้อ จากศัพท์คำว่า the last supper
-
ก็ต้องบอกว่า จริงๆ แล้วเค้าใช้กันนะคะ
-
แล้วบางทีนะคะ เค้าอาจจะใช้แตกต่างจากเราด้วย
-
โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ประเทศอังกฤษนะคะ
-
หลายคนน่าจะจำกันได้ คลิปเมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้ว
-
ที่วิวไปถ่ายกับ Korean English Man ที่อังกฤษนะคะ
-
ที่วิวไปนั่งคุยกับเค้าว่าด้วยเรื่องศัพท์คำว่า breakfast lunch dinner supper อะไร
-
ซึ่งพอต่อให้ฝรั่งอธิบายเนี่ย
-
เค้าก็ยังงงๆ กันอยู่เลยค่ะว่า เอ๊ แล้วสรุปว่ามื้อไหน ใช้ตอนไหน อะไรกันแน่นะคะ?
-
จริงๆ เมื่อหลายวันก่อนเนี่ย วิวก็กำลังทำข้าวเช้าอยู่อ่ะนะ
-
แล้ววิวก็เกิดนึกถึงคำถามนี้ขึ้นมาอีกรอบนึงว่า
-
เอ๊า ทำไม breakfast มันถึงต้องเรียกว่า breakfast?
-
ทำไมมันถึงไม่เรียกว่า morning meal เหมือนกับที่เราเรียกว่า อาหารเช้า
-
หรือแม้แต่ชาวญี่ปุ่นก็เรียกว่าแบบ อะสะโกะฮัง (朝 อะสะ = เช้า, ご飯 โกะฮัง = ข้าว)
-
คือเอาจริงๆ ตามเบสิคแล้ว
-
เรากินตอนเช้า เราก็ควรจะเรียกมันว่า morning meal ไม่ใช่เหรอ?
-
แล้ว breakfast แปลว่า อะไรนะคะ?
-
ดังนั้นค่ะ วิวก็เลยไปค้นหาคำตอบมาให้ทุกคนเรียบร้อยแล้วนะคะ
-
สาเหตุที่แท้จริง ที่ทำให้ทุกอย่างงงค่ะ
-
เพราะว่าคำว่า breakfast เนี่ยเป็นศัพท์ใหม่ค่ะ
-
เพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อประมาณปี 1500 อะไรประมาณนี้เองนะ
-
ถามว่าก่อนหน้านี้ ชาวอังกฤษเค้าเรียกอาหารมื้อเช้าของเค้าว่าอะไร?
-
เค้าด้วยคำๆ นึงนะคะ ซึ่งเป็นคำศัพท์ old English เนี่ย
-
คำนี้
-
นี่แหละ คือวิวก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า มันออกเสียงว่ายังไงนะ
-
แต่ว่าให้เดาจากศัพท์เนี่ย มันก็น่าจะเรียกว่า มอร์เกนเมท นะคะ
-
ซึ่งคำว่า morgen คำนี้ก็เป็นคำเดียวกับภาษาเยอรมันทุกวันนี้
-
ที่แบบ morgen ที่แปลว่าตอนเช้านั่นเองนะคะ
-
ส่วนคำว่า mete ก็คือคำที่จะวิวัฒนาการมาเป็นคำว่า meat ที่แปลว่า เนื้อ ในปัจจุบันนั่นแหละ
-
แต่ในสมัยก่อนเนี่ย มันหมายถึงอาหารค่ะ
-
ดังนั้นในสมัยโบราณเนี่ยนะคะ
-
ชาวอังกฤษเค้าเรียกอาหารมื้อเช้าของตัวเองว่า morgenmete อะไรสักอย่างเนี่ย
-
ก็แปลว่า อาหารมื้อเช้า นั่นเอง
-
แต่ทีนี้ค่ะ ปัญหาก็คือ ในสมัยก่อนเนี่ย มันมีความเชื่อประมาณว่า
-
เฮ้ย อาหารมื้อเช้าเนี่ยนะ มันเป็นมื้อของกรรมกร
-
มันจะต้องมีแต่กรรมกรเนี่ย ตื่นมาแล้วก็มากินข้าวเช้าอะไรต่างๆ
-
เพื่อให้มีแรง แล้วก็ออกไปทำงาน
-
ในขณะที่พวกผู้ดีเนี่ย เค้าไม่ตื่นมากินข้าวเช้ากัน
-
เค้าก็จะแบบนอนนะคะ
-
แล้วก็ตื่นมาอีกทีก็เที่ยงๆ อะไรอย่างนี้ กินอะไรเบาๆ อะไรประมาณนี้
-
ดังนั้นนะคะ ทำให้พวกผู้ดีสมัยก่อนเนี่ยรู้สึกว่าแบบ ถ้าฉันตื่นมาแล้วฉันหิว
-
ฉันจะต้องกินข้าวเช้าเนี่ย
-
มันรู้สึกว่าเป็นความรู้สึกที่ผิดมาก
-
ประมาณว่า เฮ้ย ไม่โอเค ฉันจะกินข้าวเช้าได้ยังไง?
-
เดี๋ยวมันจะเหมือนแบบว่า ฉันไปเป็นชนชั้นกรรมกรหรือเปล่า?
-
เค้าก็เลยประดิษฐ์คำศัพท์คำนี้ขึ้นมาค่ะ ก็คือคำว่า breakfast นั่นเอง
-
ซึ่งถามว่า breakfast เนี่ยแปลว่าอะไร?
-
breakfast เนี่ยนะคะ มาจาก 2 คำด้วยกันค่ะ
-
คำแรกก็คือคำว่า break บวกกับคำว่า fast นั่นเอง
-
break ก็คือ หยุดใช่ไหม?
-
ส่วน fast หลายคนก็แบบ เร็ว
-
หยุดเร็ว? หยุดเร็วคืออะไร?
-
ไม่ใช่ค่ะ
-
คำว่า fast คำนี้ไม่ได้แปลว่า fast ที่แปลว่า เร็ว นะ
-
แต่คำว่า fast คำนี้ก็คือ fast ที่แปลว่า อดอาหาร นั่นเอง
-
หลายๆ คนน่าจะเคยทำ IF (I-FAST) ใช่ไหม?
-
ที่ปัจจุบันก็คือ การ fasting หรือว่าการอดอาหารเป็นช่วงระยะเวลานึง ใช่ไหมคะ?
-
ทีนี้ fast คำนี้ก็เลยแปลว่า อดอาหาร ค่ะ
-
เมื่อเอาคำว่า break ที่แปลว่า หยุด มารวมกับคำว่า fast ที่แปลว่า อดอาหาร
-
breakfast ก็เลยแปลว่า การหยุดอดอาหาร
-
(หลังจากที่อดอาหารตอนนอนมาทั้งคืนนั่นเองค่ะ)
-
ก็เลยเหมือนกับว่า โอเค งั้นฉันเรียก breakfast แทนละกัน
-
ฉันไม่เรียกหรอกว่า ฉันตื่นมากินข้าวเช้า
-
ฉันแค่ได้เวลาฉันหยุดอดอาหารละ
-
จะหยุดตอนสายๆ หรือจะหยุดตอนเที่ยงก็คือ breakfast เหมือนกันนะคะ
-
หลังจากนั้นค่ะ มันก็เลยกลายมาเป็นว่า มันคืออาหารมื้อแรกของวัน
-
และโดนเอามาใช้เป็นคำว่า อาหารเช้า ในที่สุดค่ะ
-
และนี่ก็คือที่มาของการที่ชาวอังกฤษเนี่ย เรียกมื้อแรกของวันของตัวเองว่า breakfast นั่นเองค่ะ
-
ทีนี้เรากลับไปต่อที่ french toast ของเราดีกว่าเนอะว่า มันเป็นอะไรยังไงแล้วนะคะ
-
ตอนนี้ค่ะหลังจากที่เราทิ้งมันไว้สักพักจะเห็นว่า
-
ขนมปังของเราเนี่ย ดูดน้ำที่ผสมจากไข่และนมนะคะ เข้าไปเกือบหมดแล้ว
-
ดังนั้นเดี๋ยวเราจะเอามาทอดกันค่ะ
-
โอเค ได้เวลาที่เราจะมาเริ่มแล้วนะคะ
-
อย่างแรกเลยก็คือ อุ่นกระทะของเราก่อนเนอะ
-
หลังจากนั้นก็เอาเนยเนี่ยค่ะ ใส่ลงไปเลย
-
เพราะว่าเราจะใช้เนยเป็นตัวทอดนะคะ
-
ซึ่งความขี้เกียจของวิวก็คือ ใช้มีดเนี่ยแหละ
-
อย่าให้มันขูดกระทะ กระทะเทฟลอนจะพังนะคะ
-
แล้วเมื่อกี้มันขูดไปแล้วนิดนึง อย่าบอกแม่ ทุกคน
-
หลังจากนั้นนะคะ ก็รอให้กระทะร้อนก่อนนิดนึงนะ
-
พอกระทะเริ่มร้อนนะคะ
-
เราไม่ใช้ไฟแรงค่ะทุกคน
-
เราใช้ไฟปานกลางนะคะ
-
แล้วก็เอาขนมปังของเรา หย่อนลงไปต่อเลย
-
หย่อนลงไป
-
เราก็จะค่อยๆ ทอดมันไปนะคะ จนกว่ามันจะสีสวยนะทุกคน
-
ก็ให้ไข่สุกนั่นแหละค่ะ
-
ต้องอย่าลืมว่า ขนมปังเราหนานิดนึงนะคะ
-
เอาล่ะ ตอนนี้ขนมปังของเราก็เริ่มสุกแล้วนะคะ
-
เริ่มสีสวย เห็นไหม?
-
ใครชอบกรอบหน่อยก็เกรียมหน่อยนะคะ
-
หรือว่าถ้าใครชอบแบบนิ่มๆ ก็ประมาณนี้แหละ กำลังได้เลยนะคะ
-
จัดการปิดไฟโลดนะคะ แล้วก็จัดใส่จานได้เลย
-
ทำยากมากเห็นไหม?
-
French toast
-
ทาด๊า เสร็จแล้วทุกคน
-
นี่นะคะ ก็เป็น French toast ฝืมือของวิวนะคะ
-
ซึ่งหลังจากนี้เราก็สามารถเลือกตกแต่งตามใจชอบได้นะ
-
ใครที่จะแบบมีผลไม้ต่างๆ มาวาง มีน้ำตาลไอซิงมาโรย
-
มีเบคอนมาโปะ หรืออะไรก็แล้วแต่
-
แต่สำหรับวิวเนี่ย ส่วนใหญ่วิวก็แค่ราดน้ำผึ้งนะคะ
-
ราดน้ำผึ้งลงไปนะคะ
-
แล้วก็เรียบร้อยแล้วนะคะ French toast ของวิว
-
นี่แหละค่ะ อาหารมื้อเช้าในวันนี้
-
หลังจากที่ French toast ของวิวเสร็จเรียบร้อยแล้วนะคะ
-
ก่อนที่เราจะไปกินกันเนี่ย
-
วิวยังติดค้างทุกคนอยู่ใช่ไหมคะ?
-
ว่าด้วยเรื่อง lunch dinner แล้วก็ supper ค่ะ
-
ว่าที่มาที่ไปของชื่อทั้ง 3 อันนี้มาจากที่ไหนอะไรยังไงนะคะ?
-
ก็ขอเริ่มจากคำแรกก่อนเลยค่ะ อย่างรวดเร็ว
-
ก่อนที่ขนมปังของเราจะหายร้อนนะ
-
คำว่า lunch ค่ะ เป็นคำที่มีอายุประมาณแค่ 200 ปีเท่านั้นเองนะ
-
ถือว่าเป็นคำใหม่มากๆ เลย
-
แล้วถามว่า มีที่มาที่ไปจากไหน?
-
มีที่มาที่ไปจากคำว่า luncheon ค่ะ
-
ซึ่งในสมัยก่อนนู่น เมื่อนานแสนนานมาแล้วเนี่ยนะคะ
-
คำๆ นี้มันแปลว่า แท่ง หรือว่าบ้อง หรืออะไรสักอย่างที่มันยาวๆ ค่ะ
-
แล้วรู้ไหมคะว่า มันหมายถึงอะไร?
-
มันหมายถึงว่า คนสมัยก่อนค่ะ หลังจากที่ออกไปทำงานอะไรต่างๆ แล้วเนี่ยนะคะ
-
เค้าก็ต้องกินข้าวเที่ยงกันใช่ไหม?
-
เค้าก็จะกินอะไรที่เป็นแท่งยาวๆ ยกตัวอย่างเช่น ขนมปังกับชีส นั่นเองค่ะ
-
เค้าก็เลยเหมือนกับว่า เฮ้ย ไปกินแท่งนั้นกันเถอะ อะไรอย่างนี้
-
ในที่สุดนะคะ คำว่า luncheon ก็เลยกลายมาเป็นคำว่า อาหารเที่ยง
-
และสุดท้ายก็เรียกสั้นลง กลายมาเป็นคำว่า lunch นั่นเองค่ะ
-
ส่วนคำว่า dinner เนี่ยนะคะ บอกเลยว่า งงกว่าเดิมอีกค่ะ
-
เพราะว่า คำว่า dinner เนี่ย ไม่ได้แปลว่า อาหารเย็นนะคะ
-
แต่ว่ามันแปลว่า อาหารมื้อหลักของวัน ค่ะ
-
และในสมัยก่อนเนี่ย มันหมายถึง มื้อกลางวัน ค่ะทุกคน
-
ถามว่าเพราะอะไร? เพราะว่าคำนี้นะคะ มีที่มาจาก old French คำนี้
-
ซึ่งมีความหมายว่า first meal of the day
-
หรือว่า อาหารมื้อแรกของวันค่ะ
-
ก็ย้อนกลับไปตรงที่วิวเล่าถึง breakfast นิดนึงนะว่า
-
ผู้ดีเค้ากินมื้อแรกกันตอนเที่ยงนะคะ
-
ก็คือกินเป็นมื้อหลักตอนเที่ยงเลย ว่าอย่างนั้นเถอะ
-
ซึ่งจริงๆ แล้วคำนี้มีที่มาจากภาษาละตินอีกทีนึงก็คือ คำนี้นั่นเอง
-
ทีนี้ภาษาละตินคำนี้นะคะ มันก็จะหมายถึง การหยุดอดอาหารมาทั้งวัน อีกทีนึงค่ะ
-
ดังนั้นคำว่า dinner จริงๆ แล้วเนี่ย มีความหมายเกือบจะเหมือนคำว่า breakfast เป๊ะเลยนะคะทุกคน
-
ซึ่งในสมัยปัจจุบันนี้นะคะ
-
ก็จะเห็นว่าที่อังกฤษเนี่ยจะมีหลายๆ คนยังเรียกอาหารมื้อเที่ยงนะคะว่า dinner อยู่
-
คือเค้าจะเรียกใน sense ของการกินอาหารมื้อหลักของวันนั่นเองค่ะ
-
มื้อหลักของวันเนี่ยไปอยู่ตอนเที่ยงก็เรียกว่า dinner
-
หรือว่าไปอยู่ตอนเย็นก็เรียกว่า dinner นั่นเอง
-
แต่ว่าด้วยอะไรต่างๆ ในสมัยปัจจุบัน
-
เหมือนกับว่าคนเราเนี่ยจะกินอาหารมื้อหลักของวันเป็นตอนเย็นมากกว่า
-
dinner ก็เลยค่อนข้างจะไปอยู่ตอนเย็น ประมาณนั้นค่ะ
-
และคำสุดท้าย คำว่า supper นั่นเอง
-
คำว่า supper ที่เราใช้เรียก the last supper เนี่ยนะคะ
-
หรือว่าหลายๆ ครั้งเราจะได้ยินฝรั่งเรียกอาหารเย็นว่า supper เนี่ย
-
มีที่มาจาก middle English นะคะ
-
คำว่า super นั่นเอง
-
ซึ่งคำว่า super ในที่นี้ ก็มีที่มาจาก old French คำนี้ค่ะ
-
ซึ่งถามว่า มันแปลว่าอะไร?
-
มันแปลว่า อาหารมื้อเย็น นะคะ
-
คือเหมือนกับว่า เหมือนคนสมัยก่อนเค้ากินมื้อหนักตอนเที่ยงไปแล้วใช่ไหม?
-
ตอนเย็นเค้าก็จะไม่ค่อยได้กินหนักอะไรขนาดนั้นค่ะ
-
และคำๆ นี้ที่เป็นที่มาของคำว่า supper เนี่ยนะคะ
-
คือรากศัพท์ของคำว่า ซุป (soup) นั่นเองค่ะ
-
เพราะว่าสมัยก่อน อาหารมื้อเย็นเค้านิยมจะกินซุปเป็นหลักนั่นเองค่ะ
-
นี่ก็น่าจะทำให้หลายๆ คนเข้าใจมากขึ้นนะคะว่า
-
ทำไมอาหารเช้าถึงเรียกว่า breakfast?
-
ทำไมอาหารกลางวันถึงเรียกว่า lunch?
-
ทำไมอาหารเย็นถึงเรียกว่า dinner และบางคนถึงเรียกว่า supper?
-
แล้วทำไมบางคนถึงสับสน dinner กับ supper?
-
และบางคนถึงกิน breakfast ตอนเที่ยง?
-
ประมาณนี้ค่ะ
-
หรือว่าจะทำให้หลายๆ คนงงมากกว่าเดิม ก็ไม่รู้เหมือนกันนะคะ
-
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้วิวเริ่มหิวแล้วค่ะทุกคน
-
เพราะว่าวิวเนี่ยยัง fast อยู่นึกออกไหม?
-
ยังอดอาหารมาอยู่นะคะ
-
ยังไม่ได้กินมื้อแรกของวันเลย
-
ดังนั้นวิวขออนุญาตหยุดการอดอาหารด้วยการเริ่มมื้อ breakfast ของวิว ณ เวลานี้เลยค่ะ
-
สำหรับตอนนี้ ถ้าใครชื่นชอบคลิปนี้นะคะ
-
อย่าลืมกดไลก์เป็นกำลังใจให้วิว
-
แล้วก็กดแชร์เพื่อชวนเพื่อนๆ มาดูด้วยกันค่ะ
-
แล้วพบกันใหม่โอกาสหน้านะคะ
-
บ้าย บาย สวัสดีค่ะ
-
นี่ทุกคน ดูความ fluffy ของมันสิ
-
ฮื้อ ความ fluffy ของมันนะคะ
-
จริงๆ มันก็ควรจะไม่ไม่อร่อยนะ
-
เพราะว่ามันก็คือขนมปังจิ้มกับน้ำผึ้งแล้วก็ไข่กับนมนะคะ
-
ดังนั้นเต็มไปด้วยสิ่งที่อร่อย
-
และทำง่ายมากๆ
-
มีความสุขมากๆ บอกเลย
-
หิว
-
ยืนพูดอยู่ตั้งนาน ถามว่าหิวไหม?
-
หิวนะคะ
-
พอเถอะ เลิกถ่ายนะคะ
-
วันนี้ลาไปก่อนทุกคน
-
บ้าย บาย สวัสดีค่ะ