(h) TROM - 1.1 Science
-
0:06 - 0:11The Reality of Me
-
0:15 - 0:24www.tromsite.com
-
0:35 - 0:36คุณได้ยินฉันไหม
-
0:37 - 0:38ใช่
-
0:38 - 0:39ฉันคิดว่าฉันได้ยินคุณแล้วนะ
-
0:39 - 0:41แต่คุณไม่เห็นฉัน
-
0:41 - 0:43นั่นเป็นเพราะว่าคุณมีหู
-
0:43 - 0:46ถ้าคุณหลับตาแล้วยื่นหน้ามาที่หน้าจอ
-
0:47 - 0:48คุณจะรู้ว่ามันอยู่ตรงนั้น
-
0:48 - 0:50คุณรับความรู้สึกผ่านผิว
-
0:51 - 0:53ถ้าคุณไม่เคยสัมผัสมันมาก่อน
-
0:53 - 0:55อย่างน้อยคุณก็ยังได้กลิ่นมัน
-
0:55 - 0:57และหลังจากคุณได้กลิ่นพลาสติกร้อนๆตรงนั้น
-
0:57 - 1:00คุณก็จะรู้ว่าหน้าจอคอมพิวเตอร์อยู่ตรงนั้น
-
1:00 - 1:03โชคดี ที่คุณมีจมูก
-
1:03 - 1:06แต่ถ้าคุณลองชิมมันดู
-
1:06 - 1:08ใช่ มันเป็นเรื่องยาก
-
1:08 - 1:10แต่สุดท้าย คุณก็จะลองชิมพลาสติก
-
1:10 - 1:12เพราะคุณมีลิ้น
-
1:13 - 1:15คุณเข้าใจโลกรอบๆตัว
-
1:15 - 1:17ฉันหมายถึงรอบๆตัวคุณ
-
1:18 - 1:19ผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5
-
1:19 - 1:21ถ้าคุณมีหู
-
1:21 - 1:22คุณก็จะสามารถได้ยิน
-
1:22 - 1:23ถ้าคุณมีตา
-
1:23 - 1:24คุณก็สามารถมองเห็น
-
1:25 - 1:26ผ่านทางผิว
-
1:26 - 1:27คุณรู้สึกได้
-
1:27 - 1:28คุณมีลิ้นซึ่งช่วยในการลิ้มรส
-
1:29 - 1:32และถ้าคุณมีจมูก คุณก็สามารถดมกลิ่นได้
-
1:33 - 1:37ตา,หู,จมูก,ลิ้น,และผิว ล้วนเป็น "เครื่องมือ"
-
1:38 - 1:39ซึ่งคุณได้มาตั้งแต่แรกเกิด
-
1:39 - 1:42อุปกรณ์ที่ช่วยให้คุณเข้าใจโลกรอบๆตัวคุณ
-
1:43 - 1:45ว่าแต่ คุณรู้ทั้งหมดนี่ได้อย่างไร ?
-
1:46 - 1:48นั่นก็เพราะว่าคุณสังเกต
-
1:48 - 1:52และ ทำไมเราถึงแบ่งประสาทสัมผัสออกเป็น 5 อย่าง ?
-
2:12 - 2:18[วิทยาศาสตร์]
-
2:26 - 2:28คำตอบก็คือ"วิทยาศาสตร์ !"
-
2:28 - 2:30เพราะโลกนี้มันสุดแสนจะซับซ้อน
-
2:31 - 2:34เราใช้วิทยาศาสตร์ในการค้นหาและให้นิยาม
-
2:34 - 2:35แล้ววิทยาศาสตร์มันคืออะไรล่ะ ?
-
2:36 - 2:38การค้นคว้าและการศึกษาธรรมชาติ
-
2:38 - 2:41ด้วยการสังเกตและเหตุผล
-
2:41 - 2:42หรือจากความรู้เดิมทั้งหมดที่มีอยู่
-
2:42 - 2:44ได้มาผ่านการวิจัยค้นคว้า
-
2:44 - 2:48พูดง่ายๆก็คือ ผลรวมของการทดลองทั้งหมด
ทั้งตัวเลขและตัวอักษร -
2:48 - 2:51ซึ่งทั้งหมดสามารถจำกัดความได้
-
2:51 - 2:52อย่างไรล่ะ ?
-
2:52 - 2:55คนส่วนใหญ่รู้จักใช้
เครื่องหมายและค่า -
2:55 - 2:58ซึ่งรู้จักกันดีในรูปของตัวอักษรและตัวเลขต่างๆ
-
2:58 - 3:01พวกมันคือสิ่งประดิษฐ์ซึ่งช่วยเรา
-
3:01 - 3:03ในการทำความเข้าใจเกี่ยวกับ
สภาพแวดล้อมรอบๆตัว -
3:04 - 3:05เพื่อความเข้าใจที่ดีขึ้นว่า เครื่องหมายเหล่านี้
-
3:05 - 3:07เข้ามีตัวตนอยู่ได้อย่างไร
-
3:07 - 3:10เรามาดูประวัติโดยย่อเกี่ยวกับคณิตศาสตร์
-
3:14 - 3:16มนุษย์ในยุคเริ่มแรก
-
3:16 - 3:19ได้มองหาวิธีแก้ปัญหาง่ายๆ
-
3:20 - 3:21การสร้างบ้าน ,การวัดระยะห่าง
-
3:21 - 3:24ติดตามฤดู และการนับจำนวนสิ่งของ
-
3:25 - 3:26เมื่อประมาณ 32,000 ปีก่อน
-
3:26 - 3:28มนุษย์ยุค paleolithic
-
3:28 - 3:29ติดตามการเปลี่ยนแปลงของฤดู
-
3:29 - 3:31และการเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศ
เพื่อการเพาะปลูก -
3:32 - 3:34ในการที่จะนำเสนอการผ่านไปของเวลา
-
3:34 - 3:36พวกเขาแกะสลักเป็นเครื่องหมายขีดบนผนังถ้ำ
-
3:36 - 3:39หรือกรีดลงบนซากกระดูก ,ไม้หรือหิน
-
3:39 - 3:42แต่ละ ขีด หมายถึง หนึ่ง
-
3:42 - 3:43แต่ระบบนี้เริ่มไม่สะดวก
-
3:43 - 3:45เมื่อต้องมาเจอกับจำนวนที่มาก
-
3:45 - 3:46จึงทำให้สัญลักษณ์ได้ถูกสร้างขึ้นมา
-
3:47 - 3:48ซึ่งหมายถึงกลุ่มของวัตถุต่างๆ
-
3:48 - 3:51ศิลาหินของชาวสุเมเรียนถูกค้นพบ
-
3:51 - 3:53ซึ่งมีอายุถึง 4 สหัสวรรษ B.C
-
3:53 - 3:56ดินเหนียวก้อนเล็กๆใช้แทนเลข 1
-
3:56 - 3:58ดินเหนียวที่ปั้นเป็นก้อนใช้แทนเลข 10
-
3:58 - 4:00และรูปกรวยแทนเลข 60
-
4:01 - 4:04จากการบันทึกเมื่อประมาณ 3,300 BC แสดงถึง
-
4:04 - 4:06ชาวบาบิโลนจารึกจำนวนต่างๆ
-
4:06 - 4:07ลงบนแผ่นดินเหนียวด้วยต้นกก
-
4:08 - 4:10พวกเขาใช้รูปทรงตะปู แทนเลข 1
-
4:10 - 4:13และ V แทนเลข 10
-
4:13 - 4:15เมื่อนำสัญลักษณ์ทั้งสองนี้มารวมกัน
เพื่อที่จะแสดงเลขอื่นๆ -
4:15 - 4:16ยกตัวอย่างเช่น
-
4:16 - 4:18ชาวบาบิโลนเขียนเลข 19 เป็น
-
4:20 - 4:22ชาวอียิปต์โบราณใช้สิ่งของ
-
4:22 - 4:24ในชีวิตประจำวันเป็นสัญลักษณ์
-
4:24 - 4:27ปมเชือก แทนเลข 1
เกวียนวัวแทนเลข 10 -
4:27 - 4:28เชือกม้วนแทนเลข 100
-
4:28 - 4:31ดอกบัวแทน 1,000 ไปเรื่อยๆ
-
4:31 - 4:35เลข 19 สามารถแสดงได้ด้วย เกวียนวัว 1 อัน
และปมเชือก 9 ปม -
4:36 - 4:38ชาวโรมันสมัยก่อนสร้างระบบตัวเลขขึ้นมา
-
4:38 - 4:40ซึ่งเราก็เห็นใช้อยู่ทุกวันนี้
-
4:40 - 4:41ตามด้วยอีกสัญลักษณ์
-
4:41 - 4:44พวกมันสามารถเขียนได้เป็น 'X' แทน 10 และ 'I' แทน 1
-
4:44 - 4:45เมื่อเข้าสู่ยุคกลาง
-
4:45 - 4:47ชาวโรมันใส่ 'I' อยู่ทางด้านขวาของ 'X'
-
4:47 - 4:50แทนเลข 11
และทางด้านซ้ายแทนเลข 9 -
4:50 - 4:52ดั้งนั้นจึงเขียนเลข 19 ได้เป็น XIX
-
4:53 - 4:54ระบบตัวเลขต่างๆเหล่านี้
-
4:55 - 4:58ล้วนแสดงถึงกลุ่มของวัตถุ เช่นเดียวกับสิ่งของส่วนบุคคล
-
4:59 - 5:00ระบบการนับที่เก่าแก่ที่สุดของมนุษย์
-
5:00 - 5:03ใช้นิ้วมือและนิ้วเท้าเป็นหลัก
-
5:03 - 5:06ดังนั้นมันจึงอยู่บนเลขฐาน 1 ,5 ,10 ,และ 20
-
5:06 - 5:08คำว่า 6 สำหรับชาวซูลูก็คือ
-
5:08 - 5:11ยกนิ้วโป้งข้างขวาหนึ่งนิ้ว
-
5:11 - 5:12นั่นหมายความว่านิ้วที่เหลือข้างซ้าย
-
5:13 - 5:16จะถูกรวมเข้าไปและเพิ่มน้วโป้งขวาขึ้นมา
-
5:16 - 5:18ระบบอื่นๆมีวิวัฒนาการมาจากการค้า
-
5:18 - 5:20ชาว Yoruba ในไนจีเรีย
-
5:20 - 5:22ใช้เปลือกหอยแทนเงิน
-
5:22 - 5:25และพัฒนาเป็นระบบตัวเลขที่น่าอัศจรรย์
-
5:25 - 5:26มันอยู่บนเลขฐาน 20
-
5:26 - 5:28และสามารถทำได้ทั้งการคูณ
-
5:28 - 5:30การลบและการบวก
-
5:30 - 5:31ยกตัวอย่างเช่น
-
5:31 - 5:36พวกเขาคิด 45 เป็น 3x20 ลบ 10 ลบ 5
-
5:37 - 5:39ปมที่ผูกอยู่บนเส้นเชือกถูกใช้
-
5:39 - 5:41ในการบันทึกจำนวนต่างๆ ของหลายๆวัฒนธรรม
-
5:41 - 5:43เช่นชาวเปอร์เซีย
-
5:43 - 5:44ชาวอินคามีวิสัยทัศน์ที่ไกลกว่านั้น
-
5:44 - 5:45เรียกว่า "quipu"
-
5:45 - 5:48สายที่หนาผูกติดกันในแนวตั้ง
-
5:48 - 5:49ซึ่งผูกกับปมเชือก
-
5:50 - 5:52และปมเชือกที่ชาวอินคาใช้แบบนี้
-
5:52 - 5:53รวมกับความยาวและสีของเส้นเชือก
-
5:53 - 5:56แสดงถึงเลขฐาน 1 ,10 ,100
-
5:56 - 5:58ทุกวันนี้ เกือบทุกวัฒนธรรม
-
5:58 - 6:00ต่างใช้เลข 0 ถึง 9
-
6:01 - 6:02แต่สัญลักษณ์เหล่านี้ยังไม่ถูกประดิษฐ์ขึ้นมา
-
6:02 - 6:04จนกระทั่งถึง ศตวรรษที่ 3 BC ในอินเดีย
-
6:05 - 6:06และมันใช้เวลาถึง 800 ปี
-
6:06 - 6:10เพื่อแนวคิดของเลข 0 จึงจะถูกสร้างขึ้นมา
-
6:10 - 6:11ความคิดที่ยิ่งใหญ่นี้
-
6:11 - 6:13ได้เปลี่ยนแปลงหน้าตาของคณิตศาสตร์
-
6:15 - 6:17มนุษย์เราจะแบ่งปันของให้คนอื่นๆเสมอ
-
6:17 - 6:19ในสมัยก่อน จะแบ่งปันอาหารและน้ำ
-
6:19 - 6:21หรือต้องการแบ่งแยกเขตแดน
-
6:21 - 6:22ในทางที่ยุติธรรมและเท่าๆกัน
-
6:23 - 6:24เศษส่วนค่อยๆกำเนิดขึ้นมา
-
6:24 - 6:27เป็นสัญลักษณ์ของการแบ่งปันอย่างเท่าเทียม
-
6:28 - 6:30ชาวอียิปต์โบราณใช้หน่วยเศษส่วน
-
6:30 - 6:32เศษส่วนที่เป็นตัวเศษ คือ 1
-
6:32 - 6:35เช่น 1/2 ,1/3 และ 1/5
-
6:35 - 6:37และแบ่งเศษส่วนนี้ออกเป็นครึ่งหนึ่ง
-
6:37 - 6:40ถ้าพวกเขาต้องการแบ่งขนมปังเท่าๆกัน
-
6:40 - 6:42กับทุกๆคนในครอบครัว
-
6:42 - 6:44พวกเขาเริ่มจากแบ่งขนมปังชิ้นแรก
และชิ้นที่สอง -
6:44 - 6:45ออกเป็น 3 ชิ้น
-
6:46 - 6:48แล้วพวกเขาก็แย่งขนมปังชิ้นที่ 3 เป็น 5 ชิ้น
-
6:50 - 6:51สุดท้าย พวกเขาก็นำ 1 ใน 3 ของที่เหลือ
-
6:52 - 6:55จากขนมปังชิ้นที 2 แบ่งออกเป็น 5 ชิ้น
-
6:56 - 7:00สามารถเขียนได้เป็น 1/3 ,1/5 ,1/15
-
7:01 - 7:02ทุกวันนี้เราแสดงถึงการแบ่งแบบนี้
-
7:02 - 7:04ด้วยเศษส่วน : 3/5
-
7:04 - 7:063/5 ของขนมปังแต่ละชิ้น
สำหรับแต่ละคน -
7:07 - 7:09หรือขนมปัง 3 ชิ้น แบ่งโดย คน 5 คน
-
7:10 - 7:12ชาวสุเมเรียนและชาวบาบิโลน
-
7:12 - 7:13ประดิษฐ์ระบบเศษส่วน
-
7:13 - 7:17บนเลขฐาน 60 และเราก็ยังใช้อยู่ในอีก 4,000 ปีให้หลัง
-
7:17 - 7:19วันของเรามี 60 นาที ใน 1 ชั่วโมง
-
7:19 - 7:20และ 60 วินาที ใน 1 นาที
-
7:21 - 7:23ในวงกลมของเรามี 360 องศา
-
7:25 - 7:27คนจีนใช้ลูกคิด
-
7:27 - 7:30มีฐานอยู่บนเลขฐาน 10 แม้ว่าไม่มีเลข 0 ก็ตาม
-
7:31 - 7:32การใช้เศษส่วนด้วยเลขฐาน 10
-
7:32 - 7:33นั้นมาจากลูกคิด
-
7:34 - 7:34เช่น
-
7:34 - 7:383/5 ก็คือ 6 ใน 10 ของลูกคิด
-
7:38 - 7:41คนจีนตั้งชื่อตัวเศษอย่างน่ารักว่า "ลูกชาย"
-
7:41 - 7:43และตัวส่วนเรียกว่า "แม่"
-
7:44 - 7:45จนกระทั่งถึง ศตวรรษที่ 12
-
7:45 - 7:46เศษส่วนที่ใช้กันอยู่ทั่วไป
-
7:46 - 7:48ด้วยเครื่องหมายหาร "_" ที่เราใช้ทุกวันนี้
-
7:48 - 7:49ถูกประดิษฐ์ขึ้นมา
-
7:50 - 7:52หลังจากนั้น เศษส่วนเหล่านี้ก็ไม่ได้ใช้เป็นที่แพร่หลาย
-
7:52 - 7:54จนกระทั่งถึงยุคเรเนสซองส์ เมื่อประมาณ 500 ปีก่อน
-
7:56 - 7:58ตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาทั่วโลก
-
7:58 - 8:00ได้สร้างหนทางต่างในการคิดคำนวณ
-
8:01 - 8:03เพื่อที่จะแก้ปัญหา เช่น 12x15
-
8:04 - 8:05ชาวรัสเซียสมัยก่อน
-
8:05 - 8:07ใช้ระบบของการทวีคูณและแบ่งครึ่ง
-
8:10 - 8:12เมื่อเลขคี่ให้ผลออกมาเป็นเศษส่วน
-
8:13 - 8:14พวกเขาปัดค่าลง
-
8:16 - 8:17และพวกเขาก็รวมผลคูณ
-
8:17 - 8:19ของเลขคี่เข้าด้วยกัน
-
8:24 - 8:27ชาวอียิปต์สมัยก่อนใช้กระบวนการเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณ
-
8:27 - 8:28จนกระทั่งพวกเขามีกลุ่มมากพอ
-
8:32 - 8:35แล้วพวกเขาก็รวมกลุ่มเหล่านี้เข้าด้วยกันเพื่อหาคำตอบ
-
8:41 - 8:43ทั่วยุโรปและเอเซีย ในช่วงยุคกลาง
-
8:43 - 8:46ลูกคิดแทบกลายเป็นเครื่องคิดเลขพกพา
ในสมัยนั้นเลย -
8:46 - 8:48มีเพียงคนไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้วิธีใช้มัน
-
8:48 - 8:50โดยปกติแล้วจะเป็นพ่อค้าหรือผู้ให้กู้ยืมเงิน
-
8:51 - 8:53ด้วยการขยับลูกคิดซึ่งแต่ละหลักก็จะมีค่าของมัน
-
8:54 - 8:56ลูกคิดนับว่ามีประสิทธิภาพมาก และง่ายต่อการคำนวณ
-
8:57 - 8:59ต่อมานักคณิตศาสตร์ชาวอาหรับ Al-Khwrizm
-
8:59 - 9:02แนะนำให้ใช้ระบบเลขฮินดูอาราบิก ตั้งแต่เลข 0 ถึงเลข 9
-
9:02 - 9:04ในอเมริกาเหนือและยุโรป
-
9:04 - 9:06และสร้างกระบวนการคิดคำนวณใหม่
-
9:07 - 9:09ขั้นตอนวิธีเหล่านี้สามารถเขียนได้
ลงบนแผ่นกระดาษ -
9:10 - 9:12ผ่านการเรียนรู้มานับศตวรรษ
-
9:12 - 9:14จนกลายเป็นเครื่องหมายทางการศึกษา
-
9:14 - 9:15เมื่อนักเรียนถูกสอนให้คิดคำนวณ
-
9:15 - 9:17เป็นขั้นตอนยาวหลายคอลัมน์
-
9:17 - 9:18ในการยืมและถือ
-
9:18 - 9:21และทำหารยาวอย่างมีประสิทธิภาพและน่าเชื่อถือ
-
9:22 - 9:23ตอนนี้พวกเขาสามารถเก็บบันทึกขั้นตอนเหล่านี้ไว้
-
9:23 - 9:25และตรวจคำตอบ
-
9:26 - 9:28ทุกวันนี้ การคิดคำนวณที่ซับซ้อน
-
9:28 - 9:30จะกระทำโดยเครื่องคิดเลข
-
9:30 - 9:31นั่นหมายความว่านักเรียนต้องมีความสามารถ
-
9:31 - 9:33ในการตรวจสอบคำตอบ
-
9:33 - 9:35และมีองค์ประกอบ
-
9:35 - 9:37และเทคนิคทางคณิตศาสตร์เพื่อจะทำมันออกมา
-
9:38 - 9:40การคิดคำนวนแบบง่ายๆ เช่น 12x15
-
9:41 - 9:43สามารถคิดได้ ด้วยการใช้เทคนิคต่างๆ
-
9:54 - 9:55หลังจากที่เราผ่าน
-
9:55 - 9:57ประวัติศาสตร์ทางคณิตศาสตร์
ที่มากและมีชีวิตชีวา -
9:57 - 9:59เราเห็นทั้งแนวคิดและการสร้าง
-
9:59 - 10:01เจริญขึ้นมาจากความต้องการของมนุษย์
-
10:01 - 10:04เพื่อที่จะแก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน
-
10:04 - 10:06เวลาผ่านไป การค้นพบทางคณิตศาสตร์
-
10:06 - 10:08ของชายและหญิงทั่วโลก
-
10:08 - 10:10ได้ให้มุมมองที่่น่าสนใจต่างๆ
-
10:10 - 10:12ซึ่งช่วยให้เราใช้คณิตศาสตร์
-
10:12 - 10:14ทำความเข้าใจโลกของเรา
-
10:15 - 10:17วิทยาศาสตร์คือการเก็บรวบรวมข้อเท็จจริง
-
10:17 - 10:20ซึ่งได้มาจากการนิยามจากสิ่งที่เราสังเกต
-
10:21 - 10:23และทำการทดลอง
เพื่อที่จะค้นหา -
10:24 - 10:28คณิตศาสตร์ ,เคมี ,และฟิสิกส์ แสดงถึง
-
10:29 - 10:32ภาษาที่ตายตัว ซึ่งไม่ขึ้นอยู่กับการตีความ
-
10:32 - 10:35ภาษาที่ใช้อธิบายถึง
สิ่งที่เราสังเกตเห็น -
10:36 - 10:39และทดลองสิ่งที่สังเกตได้นั้น
เพื่อทำการพิสูจน์ -
10:39 - 10:41ลองคิดถึง DNA
-
10:41 - 10:44เซลล์ ,กาแลคซี่ต่างๆ
-
10:44 - 10:46ผลไม้
-
10:46 - 10:48คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก
-
10:49 - 10:51เครื่องปรับอากาศ
-
10:51 - 10:54ลองนึกถึง รถยนต์
-
10:54 - 10:57อาหาร
-
10:57 - 10:59บ้าน
-
11:00 - 11:03สัตว์
-
11:03 - 11:06ดอกไม้
-
11:06 - 11:09ลองนึกถึง อะตอม
-
11:09 - 11:11อวัยวะในร่างกาย
-
11:12 - 11:14สภาพอากาศ
-
11:15 - 11:18หรือเสื้อผ้าที่คุณสวมใส่
-
11:20 - 11:23และตระหนักว่าทุกสิ่งทุกอย่างถูกให้นิยาม
-
11:23 - 11:25หรือถูกสร้างขึ้นมา
-
11:25 - 11:27ด้วยวิทยาศาสตร์
-
11:34 - 11:36ในการที่จะเข้าใจถึงแนวคิด
ทั้งหมดของวิทยาศาสตร์ -
11:36 - 11:40คุณควรรู้ว่าทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์คือ
-
11:41 - 11:42ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์
-
11:42 - 11:45ประกอบไปด้วยกลุ่มของแนวคิด
-
11:45 - 11:48ซึ่งรวมถึงนามธรรมของปรากฎการณ์ที่สังเกตได้
-
11:48 - 11:51อธิบายได้ในคุณสมบัติที่ประมาณค่าได้
-
11:51 - 11:54ด้วยกันกับกฎกติกา (ที่เรียกว่ากฎทางวิทยาศาสตร์)
-
11:54 - 11:56ที่อธิบายถึงความสัมพันธ์
-
11:56 - 11:59ระหว่างการสังเกตของทฤษฎีนั้น
-
11:59 - 12:02ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อ
ให้สอดคล้องกับ -
12:02 - 12:05ข้อมูลทางการทดลองที่แน่ชัด
-
12:05 - 12:09และนำไปใช้เป็นหลักการ
-
12:09 - 12:11ในการอธิบายปรากฎการณ์ต่างๆ
-
12:12 - 12:14ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์แตกต่างอย่างสิ้นเชิง
-
12:14 - 12:15จากทฤษฎีอื่นๆ
-
12:16 - 12:18มันเป็นความน่าจะเป็นไปได้มากที่สุด
-
12:18 - 12:21ที่ได้มาจากการสำรวจ
-
12:33 - 12:36วิทยาศาสตร์เป็นอุปกรณ์ที่ดีสุด
ที่คิดค้นขึ้นมา -
12:37 - 12:39ในการที่จะทำความเข้าใจโลก
-
12:39 - 12:42วิทยาศาสตร์เป็นรูปความรู้หนึ่งของมนุษย์
-
12:42 - 12:45เราจะอยู่บนขอบของรู้ถึงอยู่เสมอ
-
12:45 - 12:47วิทยาศาสตร์เป็นการทำงานร่วมกัน
ของหลายๆองค์กร -
12:48 - 12:50ทอดข้ามไปสู่รุ่นหลัง
-
12:51 - 12:53เราจดจำผู้ที่ปูทางไว้ให้เรา
-
12:54 - 12:57ไม่ลืมพวกเขาไปเช่นกัน
-
12:57 - 12:58ถ้าคุณมีความรู้ทางวิทยาศาสคร์
-
12:59 - 13:00โลกจะดูแตกต่างไปมากสำหรับคุณ
-
13:00 - 13:03และความเข้าใจนั้นเป็นตัวผลักดันคุณ
-
13:09 - 13:12มีบทกวีเกี่ยวกับความจริง
อยู่ในโลกใบนี้ -
13:12 - 13:15วิทยาศาสตร์คือบทกวีแห่งข้อเท็จจริง
-
13:16 - 13:18เราสามารถใช้วิทยาศาสตร์
-
13:19 - 13:21ปรับปรุงชีวิตเราให้ดีขึ้นได้
-
13:21 - 13:24มีบทกวีเกี่ยวกับความจริง
อยู่ในโลกใบนี้ -
13:24 - 13:27วิทยาศาสตร์คือบทกวีแห่งข้อเท็จจริง
-
13:27 - 13:30เรื่องราวของมนุษย์เป็น
เรื่องราวของความคิด -
13:30 - 13:34ที่ฉายแสงในมุมมืด
-
13:40 - 13:44นักวิทยาศาสตร์ชอบปริศนา
พวกเขาชอบในการที่ไม่รู้ -
13:46 - 13:48ผมไม่รู้สึกกลัวในสิ่งที่ไม่รู้
-
13:49 - 13:51ผมเห็นว่ามันน่าสนใจด้วยซ้ำ
-
13:52 - 13:55มีความเป็นจริงในจักรวาล
-
13:55 - 13:58ซึ่งเราทุกๆคนเป็นส่วนหนึ่ง
-
13:58 - 14:00ยิ่งเราหยั่งรู้เกี่ยวกับจักรวาลมากเท่าไหร่
-
14:00 - 14:04การสำรวจที่เราทำก็ยิ่งน่าทึ่งมากเท่านั้น
-
14:04 - 14:06การสืบหาความจริงทั้งภายในและภายนอก
-
14:06 - 14:09เป็นเรื่องราวที่เต็มไปด้วยความเข้าใจอย่างถ่องแท้
-
14:16 - 14:18มีบทกวีเกี่ยวกับความจริง
อยู่ในโลกใบนี้ -
14:19 - 14:22วิทยาศาสตร์คือบทกวีแห่งข้อเท็จจริง
-
14:23 - 14:25เราสามารถใช้วิทยาศาสตร์
-
14:26 - 14:28ปรับปรุงชีวิตเราให้ดีขึ้นได้
-
14:28 - 14:31มีบทกวีเกี่ยวกับความจริง
อยู่ในโลกใบนี้ -
14:31 - 14:34วิทยาศาสตร์คือบทกวีแห่งข้อเท็จจริง
-
14:34 - 14:37เรื่องราวของมนุษย์เป็น
เรื่องราวของความคิด -
14:38 - 14:40ที่ฉายแสงในมุมมืด
-
14:40 - 14:43จากจุดที่โดดเดี่ยวในอวกาศ
-
14:43 - 14:46เรามีพลังแห่งความคิด
-
14:46 - 14:49เราสามารถย้อนกลับไปในช่วงเวลา
-
14:50 - 14:52ที่เป็นจุดเริ่มต้นของจักรวาล
-
14:52 - 14:53ผมคิดว่าวิทยาศาสตร์นั้น
-
14:53 - 14:55ได้เปลี่ยนแปลงการทำงาน
ทางจิตใจของเรา -
14:55 - 14:58ให้คิดในสิ่งต่างๆลึกขึ้น
-
14:58 - 15:02วิทยาศาสตร์แทนที่ความมีอคติส่วนบุคคล
-
15:02 - 15:04ด้วยหลักฐานที่สามารถพิสูจน์ได้
-
15:04 - 15:07มีบทกวีเกี่ยวกับความจริง
อยู่ในโลกใบนี้ -
15:08 - 15:11วิทยาศาสตร์คือบทกวีแห่งข้อเท็จจริง
-
15:11 - 15:14เราสามารถใช้วิทยาศาสตร์
-
15:15 - 15:16ปรับปรุงชีวิตเราให้ดีขึ้นได้
-
15:16 - 15:19[วิทยาศาสตร์เป็นอุปกรณ์ที่ดีในการทำความเข้าใจ
-
15:20 - 15:22โลกรอบๆตัวเรา]
-
15:22 - 15:24[คิดซะว่าเหมือนแว่นขยาย
-
15:24 - 15:26ที่มองผ่านสิ่งที่คุณเห็น
-
15:26 - 15:30และโลกความเป็นจริงรอบๆตัวของคุณ]
-
Not Synced[การพัฒนาการคำนวณ]
-
Not Synced[การพัฒนาระบบตัวเลข]
-
Not Synced[การพัฒนาระบบเศษส่วน]
- Title:
- (h) TROM - 1.1 Science
- Description:
-
http://tromsite.com - Full documentary, very well organized (download, youtube stream, subtitles, credits, share, get involved, and many more)
Documentary´s description :
-------------------------------------------------------------------------
TROM (The Reality of Me) represents the biggest documentary ever created, it is also the only one that tries to analyse everything : from science to the monetary system as well as real solutions to improve everyone's life.A new and ´real´ way to see the world.
"Before the Big-Bang, till present, and beyond."
------------------------------------------------------------------------- - Video Language:
- English
- Duration:
- 15:34
makemek edited Thai subtitles for (h) TROM - 1.1 Science | ||
makemek edited Thai subtitles for (h) TROM - 1.1 Science | ||
makemek added a translation |