9:59:59.000,9:59:59.000 [การพัฒนาการคำนวณ] 9:59:59.000,9:59:59.000 [การพัฒนาระบบตัวเลข] 9:59:59.000,9:59:59.000 [การพัฒนาระบบเศษส่วน] 0:00:06.120,0:00:10.928 The Reality of Me 0:00:14.789,0:00:24.120 www.tromsite.com 0:00:34.520,0:00:36.097 คุณได้ยินฉันไหม 0:00:36.713,0:00:37.555 ใช่ 0:00:37.642,0:00:39.139 ฉันคิดว่าฉันได้ยินคุณแล้วนะ 0:00:39.300,0:00:40.707 แต่คุณไม่เห็นฉัน 0:00:41.000,0:00:42.843 นั่นเป็นเพราะว่าคุณมีหู 0:00:43.185,0:00:46.380 ถ้าคุณหลับตาแล้วยื่นหน้ามาที่หน้าจอ 0:00:46.520,0:00:47.892 คุณจะรู้ว่ามันอยู่ตรงนั้น 0:00:47.980,0:00:50.500 คุณรับความรู้สึกผ่านผิว 0:00:50.600,0:00:53.000 ถ้าคุณไม่เคยสัมผัสมันมาก่อน 0:00:53.100,0:00:54.788 อย่างน้อยคุณก็ยังได้กลิ่นมัน 0:00:54.888,0:00:56.957 และหลังจากคุณได้กลิ่นพลาสติกร้อนๆตรงนั้น 0:00:57.100,0:01:00.294 คุณก็จะรู้ว่าหน้าจอคอมพิวเตอร์อยู่ตรงนั้น 0:01:00.500,0:01:02.930 โชคดี ที่คุณมีจมูก 0:01:03.063,0:01:05.743 แต่ถ้าคุณลองชิมมันดู 0:01:06.262,0:01:08.000 ใช่ มันเป็นเรื่องยาก 0:01:08.150,0:01:09.981 แต่สุดท้าย คุณก็จะลองชิมพลาสติก 0:01:10.073,0:01:11.689 เพราะคุณมีลิ้น 0:01:12.934,0:01:14.800 คุณเข้าใจโลกรอบๆตัว 0:01:14.950,0:01:17.369 ฉันหมายถึงรอบๆตัวคุณ 0:01:17.740,0:01:19.064 ผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 0:01:19.412,0:01:20.852 ถ้าคุณมีหู 0:01:20.945,0:01:21.923 คุณก็จะสามารถได้ยิน 0:01:22.046,0:01:23.200 ถ้าคุณมีตา 0:01:23.284,0:01:24.306 คุณก็สามารถมองเห็น 0:01:24.706,0:01:25.914 ผ่านทางผิว 0:01:25.914,0:01:26.920 คุณรู้สึกได้ 0:01:26.920,0:01:28.500 คุณมีลิ้นซึ่งช่วยในการลิ้มรส 0:01:28.700,0:01:31.989 และถ้าคุณมีจมูก คุณก็สามารถดมกลิ่นได้ 0:01:32.512,0:01:37.453 ตา,หู,จมูก,ลิ้น,และผิว ล้วนเป็น "เครื่องมือ" 0:01:37.561,0:01:39.000 ซึ่งคุณได้มาตั้งแต่แรกเกิด 0:01:39.100,0:01:41.568 อุปกรณ์ที่ช่วยให้คุณเข้าใจโลกรอบๆตัวคุณ 0:01:42.737,0:01:44.953 ว่าแต่ คุณรู้ทั้งหมดนี่ได้อย่างไร ? 0:01:46.169,0:01:47.746 นั่นก็เพราะว่าคุณสังเกต 0:01:48.453,0:01:51.693 และ ทำไมเราถึงแบ่งประสาทสัมผัสออกเป็น 5 อย่าง ? 0:02:11.900,0:02:18.071 [วิทยาศาสตร์] 0:02:26.000,0:02:28.048 คำตอบก็คือ"วิทยาศาสตร์ !" 0:02:28.048,0:02:30.500 เพราะโลกนี้มันสุดแสนจะซับซ้อน 0:02:30.750,0:02:33.554 เราใช้วิทยาศาสตร์ในการค้นหาและให้นิยาม 0:02:33.554,0:02:35.455 แล้ววิทยาศาสตร์มันคืออะไรล่ะ ? 0:02:35.600,0:02:38.150 การค้นคว้าและการศึกษาธรรมชาติ 0:02:38.300,0:02:40.661 ด้วยการสังเกตและเหตุผล 0:02:40.761,0:02:41.850 หรือจากความรู้เดิมทั้งหมดที่มีอยู่ 0:02:42.000,0:02:43.797 ได้มาผ่านการวิจัยค้นคว้า 0:02:43.897,0:02:47.568 พูดง่ายๆก็คือ ผลรวมของการทดลองทั้งหมด[br]ทั้งตัวเลขและตัวอักษร 0:02:47.701,0:02:50.800 ซึ่งทั้งหมดสามารถจำกัดความได้ 0:02:51.200,0:02:52.000 อย่างไรล่ะ ? 0:02:52.500,0:02:55.475 คนส่วนใหญ่รู้จักใช้[br]เครื่องหมายและค่า 0:02:55.475,0:02:58.445 ซึ่งรู้จักกันดีในรูปของตัวอักษรและตัวเลขต่างๆ 0:02:58.445,0:03:00.700 พวกมันคือสิ่งประดิษฐ์ซึ่งช่วยเรา 0:03:00.850,0:03:03.016 ในการทำความเข้าใจเกี่ยวกับ[br]สภาพแวดล้อมรอบๆตัว 0:03:03.517,0:03:05.000 เพื่อความเข้าใจที่ดีขึ้นว่า เครื่องหมายเหล่านี้ 0:03:05.100,0:03:06.920 เข้ามีตัวตนอยู่ได้อย่างไร 0:03:06.920,0:03:10.457 เรามาดูประวัติโดยย่อเกี่ยวกับคณิตศาสตร์ 0:03:14.444,0:03:16.000 มนุษย์ในยุคเริ่มแรก 0:03:16.300,0:03:18.700 ได้มองหาวิธีแก้ปัญหาง่ายๆ 0:03:19.750,0:03:21.155 การสร้างบ้าน ,การวัดระยะห่าง 0:03:21.355,0:03:23.900 ติดตามฤดู และการนับจำนวนสิ่งของ 0:03:25.000,0:03:26.350 เมื่อประมาณ 32,000 ปีก่อน 0:03:26.500,0:03:27.650 มนุษย์ยุค paleolithic 0:03:27.800,0:03:29.476 ติดตามการเปลี่ยนแปลงของฤดู 0:03:29.476,0:03:31.478 และการเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศ[br]เพื่อการเพาะปลูก 0:03:32.200,0:03:33.750 ในการที่จะนำเสนอการผ่านไปของเวลา 0:03:33.800,0:03:36.049 พวกเขาแกะสลักเป็นเครื่องหมายขีดบนผนังถ้ำ 0:03:36.283,0:03:38.986 หรือกรีดลงบนซากกระดูก ,ไม้หรือหิน 0:03:38.986,0:03:41.986 แต่ละ ขีด หมายถึง หนึ่ง 0:03:41.986,0:03:43.100 แต่ระบบนี้เริ่มไม่สะดวก 0:03:43.250,0:03:44.558 เมื่อต้องมาเจอกับจำนวนที่มาก 0:03:44.558,0:03:46.400 จึงทำให้สัญลักษณ์ได้ถูกสร้างขึ้นมา 0:03:46.550,0:03:48.195 ซึ่งหมายถึงกลุ่มของวัตถุต่างๆ 0:03:48.195,0:03:50.550 ศิลาหินของชาวสุเมเรียนถูกค้นพบ 0:03:50.700,0:03:52.700 ซึ่งมีอายุถึง 4 สหัสวรรษ B.C 0:03:53.400,0:03:56.303 ดินเหนียวก้อนเล็กๆใช้แทนเลข 1 0:03:56.303,0:03:58.205 ดินเหนียวที่ปั้นเป็นก้อนใช้แทนเลข 10 0:03:58.205,0:04:00.207 และรูปกรวยแทนเลข 60 0:04:01.000,0:04:04.300 จากการบันทึกเมื่อประมาณ 3,300 BC แสดงถึง 0:04:04.350,0:04:06.000 ชาวบาบิโลนจารึกจำนวนต่างๆ 0:04:06.150,0:04:07.450 ลงบนแผ่นดินเหนียวด้วยต้นกก 0:04:07.500,0:04:09.983 พวกเขาใช้รูปทรงตะปู แทนเลข 1 0:04:09.983,0:04:12.553 และ V แทนเลข 10 0:04:12.553,0:04:14.955 เมื่อนำสัญลักษณ์ทั้งสองนี้มารวมกัน[br]เพื่อที่จะแสดงเลขอื่นๆ 0:04:14.988,0:04:15.750 ยกตัวอย่างเช่น 0:04:15.850,0:04:18.358 ชาวบาบิโลนเขียนเลข 19 เป็น 0:04:19.826,0:04:21.800 ชาวอียิปต์โบราณใช้สิ่งของ 0:04:21.950,0:04:23.730 ในชีวิตประจำวันเป็นสัญลักษณ์ 0:04:23.730,0:04:26.800 ปมเชือก แทนเลข 1 [br]เกวียนวัวแทนเลข 10 0:04:26.950,0:04:28.000 เชือกม้วนแทนเลข 100 0:04:28.150,0:04:31.004 ดอกบัวแทน 1,000 ไปเรื่อยๆ 0:04:31.400,0:04:34.700 เลข 19 สามารถแสดงได้ด้วย เกวียนวัว 1 อัน[br]และปมเชือก 9 ปม 0:04:36.150,0:04:37.850 ชาวโรมันสมัยก่อนสร้างระบบตัวเลขขึ้นมา 0:04:38.000,0:04:39.680 ซึ่งเราก็เห็นใช้อยู่ทุกวันนี้ 0:04:39.830,0:04:40.850 ตามด้วยอีกสัญลักษณ์ 0:04:41.000,0:04:43.650 พวกมันสามารถเขียนได้เป็น 'X' แทน 10 และ 'I' แทน 1 0:04:44.200,0:04:45.000 เมื่อเข้าสู่ยุคกลาง 0:04:45.100,0:04:47.100 ชาวโรมันใส่ 'I' อยู่ทางด้านขวาของ 'X' 0:04:47.250,0:04:49.756 แทนเลข 11[br]และทางด้านซ้ายแทนเลข 9 0:04:49.756,0:04:52.259 ดั้งนั้นจึงเขียนเลข 19 ได้เป็น XIX 0:04:52.800,0:04:54.450 ระบบตัวเลขต่างๆเหล่านี้ 0:04:54.600,0:04:57.500 ล้วนแสดงถึงกลุ่มของวัตถุ เช่นเดียวกับสิ่งของส่วนบุคคล 0:04:58.600,0:05:00.300 ระบบการนับที่เก่าแก่ที่สุดของมนุษย์ 0:05:00.450,0:05:02.700 ใช้นิ้วมือและนิ้วเท้าเป็นหลัก 0:05:02.850,0:05:05.706 ดังนั้นมันจึงอยู่บนเลขฐาน 1 ,5 ,10 ,และ 20 0:05:06.100,0:05:07.950 คำว่า 6 สำหรับชาวซูลูก็คือ 0:05:08.100,0:05:10.750 ยกนิ้วโป้งข้างขวาหนึ่งนิ้ว 0:05:10.900,0:05:12.450 นั่นหมายความว่านิ้วที่เหลือข้างซ้าย 0:05:12.600,0:05:15.500 จะถูกรวมเข้าไปและเพิ่มน้วโป้งขวาขึ้นมา 0:05:16.149,0:05:18.250 ระบบอื่นๆมีวิวัฒนาการมาจากการค้า 0:05:18.450,0:05:19.500 ชาว Yoruba ในไนจีเรีย 0:05:19.650,0:05:21.889 ใช้เปลือกหอยแทนเงิน 0:05:21.889,0:05:24.858 และพัฒนาเป็นระบบตัวเลขที่น่าอัศจรรย์ 0:05:24.858,0:05:25.950 มันอยู่บนเลขฐาน 20 0:05:26.100,0:05:27.880 และสามารถทำได้ทั้งการคูณ 0:05:28.030,0:05:29.863 การลบและการบวก 0:05:29.989,0:05:30.600 ยกตัวอย่างเช่น 0:05:30.750,0:05:36.300 พวกเขาคิด 45 เป็น 3x20 ลบ 10 ลบ 5 0:05:36.700,0:05:38.720 ปมที่ผูกอยู่บนเส้นเชือกถูกใช้ 0:05:38.870,0:05:41.050 ในการบันทึกจำนวนต่างๆ ของหลายๆวัฒนธรรม 0:05:41.200,0:05:42.709 เช่นชาวเปอร์เซีย 0:05:42.709,0:05:44.150 ชาวอินคามีวิสัยทัศน์ที่ไกลกว่านั้น 0:05:44.300,0:05:45.345 เรียกว่า "quipu" 0:05:45.445,0:05:47.600 สายที่หนาผูกติดกันในแนวตั้ง 0:05:47.700,0:05:49.416 ซึ่งผูกกับปมเชือก 0:05:49.883,0:05:51.500 และปมเชือกที่ชาวอินคาใช้แบบนี้ 0:05:51.650,0:05:53.200 รวมกับความยาวและสีของเส้นเชือก 0:05:53.300,0:05:55.756 แสดงถึงเลขฐาน 1 ,10 ,100 0:05:55.800,0:05:57.800 ทุกวันนี้ เกือบทุกวัฒนธรรม 0:05:57.950,0:06:00.100 ต่างใช้เลข 0 ถึง 9 0:06:00.600,0:06:01.900 แต่สัญลักษณ์เหล่านี้ยังไม่ถูกประดิษฐ์ขึ้นมา 0:06:02.050,0:06:04.300 จนกระทั่งถึง ศตวรรษที่ 3 BC ในอินเดีย 0:06:04.665,0:06:06.300 และมันใช้เวลาถึง 800 ปี 0:06:06.450,0:06:09.800 เพื่อแนวคิดของเลข 0 จึงจะถูกสร้างขึ้นมา 0:06:10.150,0:06:10.800 ความคิดที่ยิ่งใหญ่นี้ 0:06:11.050,0:06:13.300 ได้เปลี่ยนแปลงหน้าตาของคณิตศาสตร์ 0:06:14.700,0:06:16.510 มนุษย์เราจะแบ่งปันของให้คนอื่นๆเสมอ 0:06:16.879,0:06:19.279 ในสมัยก่อน จะแบ่งปันอาหารและน้ำ 0:06:19.279,0:06:20.550 หรือต้องการแบ่งแยกเขตแดน 0:06:20.700,0:06:22.400 ในทางที่ยุติธรรมและเท่าๆกัน 0:06:22.649,0:06:24.100 เศษส่วนค่อยๆกำเนิดขึ้นมา 0:06:24.250,0:06:26.550 เป็นสัญลักษณ์ของการแบ่งปันอย่างเท่าเทียม 0:06:27.888,0:06:29.957 ชาวอียิปต์โบราณใช้หน่วยเศษส่วน 0:06:30.224,0:06:32.100 เศษส่วนที่เป็นตัวเศษ คือ 1 0:06:32.250,0:06:34.650 เช่น 1/2 ,1/3 และ 1/5 0:06:34.661,0:06:37.064 และแบ่งเศษส่วนนี้ออกเป็นครึ่งหนึ่ง 0:06:37.064,0:06:39.800 ถ้าพวกเขาต้องการแบ่งขนมปังเท่าๆกัน 0:06:39.950,0:06:41.600 กับทุกๆคนในครอบครัว 0:06:41.700,0:06:43.900 พวกเขาเริ่มจากแบ่งขนมปังชิ้นแรก[br]และชิ้นที่สอง 0:06:44.050,0:06:44.700 ออกเป็น 3 ชิ้น 0:06:46.039,0:06:48.275 แล้วพวกเขาก็แย่งขนมปังชิ้นที่ 3 เป็น 5 ชิ้น 0:06:49.600,0:06:51.450 สุดท้าย พวกเขาก็นำ 1 ใน 3 ของที่เหลือ 0:06:51.600,0:06:54.650 จากขนมปังชิ้นที 2 แบ่งออกเป็น 5 ชิ้น 0:06:56.000,0:07:00.153 สามารถเขียนได้เป็น 1/3 ,1/5 ,1/15 0:07:00.654,0:07:02.150 ทุกวันนี้เราแสดงถึงการแบ่งแบบนี้ 0:07:02.300,0:07:03.650 ด้วยเศษส่วน : 3/5 0:07:04.200,0:07:06.450 3/5 ของขนมปังแต่ละชิ้น[br]สำหรับแต่ละคน 0:07:06.600,0:07:08.900 หรือขนมปัง 3 ชิ้น แบ่งโดย คน 5 คน 0:07:09.530,0:07:11.550 ชาวสุเมเรียนและชาวบาบิโลน 0:07:11.700,0:07:13.250 ประดิษฐ์ระบบเศษส่วน 0:07:13.400,0:07:17.200 บนเลขฐาน 60 และเราก็ยังใช้อยู่ในอีก 4,000 ปีให้หลัง 0:07:17.489,0:07:19.000 วันของเรามี 60 นาที ใน 1 ชั่วโมง 0:07:19.150,0:07:20.400 และ 60 วินาที ใน 1 นาที 0:07:20.550,0:07:23.350 ในวงกลมของเรามี 360 องศา 0:07:25.212,0:07:27.000 คนจีนใช้ลูกคิด 0:07:27.100,0:07:30.117 มีฐานอยู่บนเลขฐาน 10 แม้ว่าไม่มีเลข 0 ก็ตาม 0:07:30.751,0:07:32.250 การใช้เศษส่วนด้วยเลขฐาน 10 0:07:32.400,0:07:33.400 นั้นมาจากลูกคิด 0:07:33.500,0:07:34.300 เช่น 0:07:34.400,0:07:37.850 3/5 ก็คือ 6 ใน 10 ของลูกคิด 0:07:38.125,0:07:40.994 คนจีนตั้งชื่อตัวเศษอย่างน่ารักว่า "ลูกชาย" 0:07:40.994,0:07:42.596 และตัวส่วนเรียกว่า "แม่" 0:07:43.700,0:07:45.200 จนกระทั่งถึง ศตวรรษที่ 12 0:07:45.350,0:07:46.350 เศษส่วนที่ใช้กันอยู่ทั่วไป 0:07:46.450,0:07:48.300 ด้วยเครื่องหมายหาร "_" ที่เราใช้ทุกวันนี้ 0:07:48.400,0:07:49.350 ถูกประดิษฐ์ขึ้นมา 0:07:49.500,0:07:51.600 หลังจากนั้น เศษส่วนเหล่านี้ก็ไม่ได้ใช้เป็นที่แพร่หลาย 0:07:51.700,0:07:54.500 จนกระทั่งถึงยุคเรเนสซองส์ เมื่อประมาณ 500 ปีก่อน 0:07:55.600,0:07:57.650 ตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาทั่วโลก 0:07:57.800,0:08:00.200 ได้สร้างหนทางต่างในการคิดคำนวณ 0:08:00.848,0:08:03.450 เพื่อที่จะแก้ปัญหา เช่น 12x15 0:08:03.750,0:08:05.000 ชาวรัสเซียสมัยก่อน 0:08:05.150,0:08:07.150 ใช้ระบบของการทวีคูณและแบ่งครึ่ง 0:08:09.523,0:08:12.192 เมื่อเลขคี่ให้ผลออกมาเป็นเศษส่วน 0:08:13.093,0:08:14.461 พวกเขาปัดค่าลง 0:08:15.900,0:08:16.950 และพวกเขาก็รวมผลคูณ 0:08:17.100,0:08:18.950 ของเลขคี่เข้าด้วยกัน 0:08:24.100,0:08:26.600 ชาวอียิปต์สมัยก่อนใช้กระบวนการเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณ 0:08:26.750,0:08:28.410 จนกระทั่งพวกเขามีกลุ่มมากพอ 0:08:32.500,0:08:34.900 แล้วพวกเขาก็รวมกลุ่มเหล่านี้เข้าด้วยกันเพื่อหาคำตอบ 0:08:40.800,0:08:43.050 ทั่วยุโรปและเอเซีย ในช่วงยุคกลาง 0:08:43.150,0:08:46.050 ลูกคิดแทบกลายเป็นเครื่องคิดเลขพกพา[br]ในสมัยนั้นเลย 0:08:46.150,0:08:48.250 มีเพียงคนไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้วิธีใช้มัน 0:08:48.350,0:08:50.430 โดยปกติแล้วจะเป็นพ่อค้าหรือผู้ให้กู้ยืมเงิน 0:08:51.000,0:08:53.400 ด้วยการขยับลูกคิดซึ่งแต่ละหลักก็จะมีค่าของมัน 0:08:53.500,0:08:55.950 ลูกคิดนับว่ามีประสิทธิภาพมาก และง่ายต่อการคำนวณ 0:08:56.700,0:08:59.200 ต่อมานักคณิตศาสตร์ชาวอาหรับ Al-Khwrizm 0:08:59.340,0:09:02.000 แนะนำให้ใช้ระบบเลขฮินดูอาราบิก ตั้งแต่เลข 0 ถึงเลข 9 0:09:02.150,0:09:03.700 ในอเมริกาเหนือและยุโรป 0:09:03.900,0:09:06.250 และสร้างกระบวนการคิดคำนวณใหม่ 0:09:06.700,0:09:09.349 ขั้นตอนวิธีเหล่านี้สามารถเขียนได้[br]ลงบนแผ่นกระดาษ 0:09:10.150,0:09:12.050 ผ่านการเรียนรู้มานับศตวรรษ 0:09:12.200,0:09:13.800 จนกลายเป็นเครื่องหมายทางการศึกษา 0:09:13.950,0:09:15.150 เมื่อนักเรียนถูกสอนให้คิดคำนวณ 0:09:15.300,0:09:16.900 เป็นขั้นตอนยาวหลายคอลัมน์ 0:09:17.200,0:09:18.000 ในการยืมและถือ 0:09:18.150,0:09:20.900 และทำหารยาวอย่างมีประสิทธิภาพและน่าเชื่อถือ 0:09:21.550,0:09:23.050 ตอนนี้พวกเขาสามารถเก็บบันทึกขั้นตอนเหล่านี้ไว้ 0:09:23.200,0:09:25.200 และตรวจคำตอบ 0:09:26.100,0:09:27.600 ทุกวันนี้ การคิดคำนวณที่ซับซ้อน 0:09:27.750,0:09:29.600 จะกระทำโดยเครื่องคิดเลข 0:09:29.850,0:09:31.100 นั่นหมายความว่านักเรียนต้องมีความสามารถ 0:09:31.250,0:09:33.300 ในการตรวจสอบคำตอบ 0:09:33.450,0:09:34.550 และมีองค์ประกอบ 0:09:34.700,0:09:36.850 และเทคนิคทางคณิตศาสตร์เพื่อจะทำมันออกมา 0:09:37.500,0:09:40.450 การคิดคำนวนแบบง่ายๆ เช่น 12x15 0:09:40.600,0:09:43.400 สามารถคิดได้ ด้วยการใช้เทคนิคต่างๆ 0:09:54.000,0:09:55.300 หลังจากที่เราผ่าน 0:09:55.400,0:09:57.050 ประวัติศาสตร์ทางคณิตศาสตร์[br]ที่มากและมีชีวิตชีวา 0:09:57.200,0:09:59.100 เราเห็นทั้งแนวคิดและการสร้าง 0:09:59.250,0:10:00.850 เจริญขึ้นมาจากความต้องการของมนุษย์ 0:10:01.000,0:10:03.550 เพื่อที่จะแก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน 0:10:03.700,0:10:05.800 เวลาผ่านไป การค้นพบทางคณิตศาสตร์ 0:10:05.950,0:10:07.950 ของชายและหญิงทั่วโลก 0:10:08.100,0:10:10.100 ได้ให้มุมมองที่่น่าสนใจต่างๆ 0:10:10.250,0:10:11.650 ซึ่งช่วยให้เราใช้คณิตศาสตร์ 0:10:11.800,0:10:14.050 ทำความเข้าใจโลกของเรา 0:10:15.300,0:10:17.250 วิทยาศาสตร์คือการเก็บรวบรวมข้อเท็จจริง 0:10:17.400,0:10:20.500 ซึ่งได้มาจากการนิยามจากสิ่งที่เราสังเกต 0:10:20.650,0:10:23.200 และทำการทดลอง[br]เพื่อที่จะค้นหา 0:10:23.500,0:10:28.400 คณิตศาสตร์ ,เคมี ,และฟิสิกส์ แสดงถึง 0:10:28.550,0:10:31.750 ภาษาที่ตายตัว ซึ่งไม่ขึ้นอยู่กับการตีความ 0:10:31.900,0:10:35.450 ภาษาที่ใช้อธิบายถึง[br]สิ่งที่เราสังเกตเห็น 0:10:35.600,0:10:38.950 และทดลองสิ่งที่สังเกตได้นั้น[br]เพื่อทำการพิสูจน์ 0:10:39.200,0:10:41.074 ลองคิดถึง DNA 0:10:41.074,0:10:43.710 เซลล์ ,กาแลคซี่ต่างๆ 0:10:44.378,0:10:46.146 ผลไม้ 0:10:46.246,0:10:48.282 คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก 0:10:48.700,0:10:50.551 เครื่องปรับอากาศ 0:10:51.118,0:10:53.551 ลองนึกถึง รถยนต์ 0:10:54.221,0:10:56.957 อาหาร 0:10:57.300,0:10:58.892 บ้าน 0:11:00.027,0:11:02.963 สัตว์ 0:11:03.096,0:11:05.599 ดอกไม้ 0:11:06.466,0:11:08.635 ลองนึกถึง อะตอม 0:11:08.936,0:11:11.305 อวัยวะในร่างกาย 0:11:11.738,0:11:13.974 สภาพอากาศ 0:11:14.708,0:11:17.845 หรือเสื้อผ้าที่คุณสวมใส่ 0:11:20.200,0:11:22.700 และตระหนักว่าทุกสิ่งทุกอย่างถูกให้นิยาม 0:11:22.850,0:11:24.800 หรือถูกสร้างขึ้นมา 0:11:25.000,0:11:27.200 ด้วยวิทยาศาสตร์ 0:11:33.894,0:11:36.200 ในการที่จะเข้าใจถึงแนวคิด[br]ทั้งหมดของวิทยาศาสตร์ 0:11:36.350,0:11:40.400 คุณควรรู้ว่าทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์คือ 0:11:40.550,0:11:42.050 ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ 0:11:42.200,0:11:44.550 ประกอบไปด้วยกลุ่มของแนวคิด 0:11:44.700,0:11:48.000 ซึ่งรวมถึงนามธรรมของปรากฎการณ์ที่สังเกตได้ 0:11:48.150,0:11:50.750 อธิบายได้ในคุณสมบัติที่ประมาณค่าได้ 0:11:50.900,0:11:54.000 ด้วยกันกับกฎกติกา (ที่เรียกว่ากฎทางวิทยาศาสตร์) 0:11:54.150,0:11:55.750 ที่อธิบายถึงความสัมพันธ์ 0:11:55.900,0:11:58.700 ระหว่างการสังเกตของทฤษฎีนั้น 0:11:58.850,0:12:01.850 ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อ[br]ให้สอดคล้องกับ 0:12:02.000,0:12:05.200 ข้อมูลทางการทดลองที่แน่ชัด 0:12:05.350,0:12:08.800 และนำไปใช้เป็นหลักการ 0:12:08.950,0:12:11.200 ในการอธิบายปรากฎการณ์ต่างๆ 0:12:11.732,0:12:14.100 ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์แตกต่างอย่างสิ้นเชิง 0:12:14.250,0:12:15.300 จากทฤษฎีอื่นๆ 0:12:15.550,0:12:17.750 มันเป็นความน่าจะเป็นไปได้มากที่สุด 0:12:17.900,0:12:21.450 ที่ได้มาจากการสำรวจ 0:12:32.850,0:12:36.100 วิทยาศาสตร์เป็นอุปกรณ์ที่ดีสุด[br]ที่คิดค้นขึ้นมา 0:12:36.800,0:12:38.950 ในการที่จะทำความเข้าใจโลก 0:12:39.100,0:12:42.000 วิทยาศาสตร์เป็นรูปความรู้หนึ่งของมนุษย์ 0:12:42.200,0:12:44.800 เราจะอยู่บนขอบของรู้ถึงอยู่เสมอ 0:12:45.300,0:12:47.450 วิทยาศาสตร์เป็นการทำงานร่วมกัน[br]ของหลายๆองค์กร 0:12:47.600,0:12:49.600 ทอดข้ามไปสู่รุ่นหลัง 0:12:50.700,0:12:53.250 เราจดจำผู้ที่ปูทางไว้ให้เรา 0:12:54.000,0:12:56.550 ไม่ลืมพวกเขาไปเช่นกัน 0:12:56.800,0:12:58.500 ถ้าคุณมีความรู้ทางวิทยาศาสคร์ 0:12:58.650,0:13:00.300 โลกจะดูแตกต่างไปมากสำหรับคุณ 0:13:00.500,0:13:03.300 และความเข้าใจนั้นเป็นตัวผลักดันคุณ 0:13:08.850,0:13:11.700 มีบทกวีเกี่ยวกับความจริง[br]อยู่ในโลกใบนี้ 0:13:12.100,0:13:15.250 วิทยาศาสตร์คือบทกวีแห่งข้อเท็จจริง 0:13:15.700,0:13:18.150 เราสามารถใช้วิทยาศาสตร์ 0:13:18.950,0:13:20.900 ปรับปรุงชีวิตเราให้ดีขึ้นได้ 0:13:21.200,0:13:23.950 มีบทกวีเกี่ยวกับความจริง[br]อยู่ในโลกใบนี้ 0:13:24.200,0:13:27.100 วิทยาศาสตร์คือบทกวีแห่งข้อเท็จจริง 0:13:27.350,0:13:30.100 เรื่องราวของมนุษย์เป็น[br]เรื่องราวของความคิด 0:13:30.350,0:13:33.550 ที่ฉายแสงในมุมมืด 0:13:39.900,0:13:44.500 นักวิทยาศาสตร์ชอบปริศนา[br]พวกเขาชอบในการที่ไม่รู้ 0:13:45.500,0:13:48.350 ผมไม่รู้สึกกลัวในสิ่งที่ไม่รู้ 0:13:48.700,0:13:51.460 ผมเห็นว่ามันน่าสนใจด้วยซ้ำ 0:13:52.050,0:13:54.600 มีความเป็นจริงในจักรวาล 0:13:54.750,0:13:57.500 ซึ่งเราทุกๆคนเป็นส่วนหนึ่ง 0:13:57.650,0:14:00.350 ยิ่งเราหยั่งรู้เกี่ยวกับจักรวาลมากเท่าไหร่ 0:14:00.423,0:14:03.550 การสำรวจที่เราทำก็ยิ่งน่าทึ่งมากเท่านั้น 0:14:03.700,0:14:06.250 การสืบหาความจริงทั้งภายในและภายนอก 0:14:06.350,0:14:09.350 เป็นเรื่องราวที่เต็มไปด้วยความเข้าใจอย่างถ่องแท้ 0:14:15.800,0:14:18.500 มีบทกวีเกี่ยวกับความจริง[br]อยู่ในโลกใบนี้ 0:14:18.950,0:14:22.250 วิทยาศาสตร์คือบทกวีแห่งข้อเท็จจริง 0:14:22.600,0:14:25.050 เราสามารถใช้วิทยาศาสตร์ 0:14:25.650,0:14:27.600 ปรับปรุงชีวิตเราให้ดีขึ้นได้ 0:14:27.950,0:14:30.600 มีบทกวีเกี่ยวกับความจริง[br]อยู่ในโลกใบนี้ 0:14:30.800,0:14:34.000 วิทยาศาสตร์คือบทกวีแห่งข้อเท็จจริง 0:14:34.150,0:14:37.350 เรื่องราวของมนุษย์เป็น[br]เรื่องราวของความคิด 0:14:37.500,0:14:39.950 ที่ฉายแสงในมุมมืด 0:14:40.050,0:14:43.000 จากจุดที่โดดเดี่ยวในอวกาศ 0:14:43.300,0:14:45.850 เรามีพลังแห่งความคิด 0:14:46.100,0:14:48.850 เราสามารถย้อนกลับไปในช่วงเวลา 0:14:49.550,0:14:51.700 ที่เป็นจุดเริ่มต้นของจักรวาล 0:14:51.850,0:14:53.200 ผมคิดว่าวิทยาศาสตร์นั้น 0:14:53.350,0:14:55.300 ได้เปลี่ยนแปลงการทำงาน[br]ทางจิตใจของเรา 0:14:55.450,0:14:58.150 ให้คิดในสิ่งต่างๆลึกขึ้น 0:14:58.500,0:15:01.550 วิทยาศาสตร์แทนที่ความมีอคติส่วนบุคคล 0:15:01.700,0:15:04.150 ด้วยหลักฐานที่สามารถพิสูจน์ได้ 0:15:04.350,0:15:07.300 มีบทกวีเกี่ยวกับความจริง[br]อยู่ในโลกใบนี้ 0:15:07.600,0:15:10.950 วิทยาศาสตร์คือบทกวีแห่งข้อเท็จจริง 0:15:11.350,0:15:14.400 เราสามารถใช้วิทยาศาสตร์ 0:15:14.550,0:15:16.300 ปรับปรุงชีวิตเราให้ดีขึ้นได้ 0:15:16.500,0:15:19.350 [วิทยาศาสตร์เป็นอุปกรณ์ที่ดีในการทำความเข้าใจ 0:15:19.500,0:15:21.600 โลกรอบๆตัวเรา] 0:15:21.750,0:15:24.150 [คิดซะว่าเหมือนแว่นขยาย 0:15:24.300,0:15:26.250 ที่มองผ่านสิ่งที่คุณเห็น 0:15:26.400,0:15:30.000 และโลกความเป็นจริงรอบๆตัวของคุณ]