1 99:59:59,999 --> 99:59:59,999 [การพัฒนาการคำนวณ] 2 99:59:59,999 --> 99:59:59,999 [การพัฒนาระบบตัวเลข] 3 99:59:59,999 --> 99:59:59,999 [การพัฒนาระบบเศษส่วน] 4 00:00:06,120 --> 00:00:10,928 The Reality of Me 5 00:00:14,789 --> 00:00:24,120 www.tromsite.com 6 00:00:34,520 --> 00:00:36,097 คุณได้ยินฉันไหม 7 00:00:36,713 --> 00:00:37,555 ใช่ 8 00:00:37,642 --> 00:00:39,139 ฉันคิดว่าฉันได้ยินคุณแล้วนะ 9 00:00:39,300 --> 00:00:40,707 แต่คุณไม่เห็นฉัน 10 00:00:41,000 --> 00:00:42,843 นั่นเป็นเพราะว่าคุณมีหู 11 00:00:43,185 --> 00:00:46,380 ถ้าคุณหลับตาแล้วยื่นหน้ามาที่หน้าจอ 12 00:00:46,520 --> 00:00:47,892 คุณจะรู้ว่ามันอยู่ตรงนั้น 13 00:00:47,980 --> 00:00:50,500 คุณรับความรู้สึกผ่านผิว 14 00:00:50,600 --> 00:00:53,000 ถ้าคุณไม่เคยสัมผัสมันมาก่อน 15 00:00:53,100 --> 00:00:54,788 อย่างน้อยคุณก็ยังได้กลิ่นมัน 16 00:00:54,888 --> 00:00:56,957 และหลังจากคุณได้กลิ่นพลาสติกร้อนๆตรงนั้น 17 00:00:57,100 --> 00:01:00,294 คุณก็จะรู้ว่าหน้าจอคอมพิวเตอร์อยู่ตรงนั้น 18 00:01:00,500 --> 00:01:02,930 โชคดี ที่คุณมีจมูก 19 00:01:03,063 --> 00:01:05,743 แต่ถ้าคุณลองชิมมันดู 20 00:01:06,262 --> 00:01:08,000 ใช่ มันเป็นเรื่องยาก 21 00:01:08,150 --> 00:01:09,981 แต่สุดท้าย คุณก็จะลองชิมพลาสติก 22 00:01:10,073 --> 00:01:11,689 เพราะคุณมีลิ้น 23 00:01:12,934 --> 00:01:14,800 คุณเข้าใจโลกรอบๆตัว 24 00:01:14,950 --> 00:01:17,369 ฉันหมายถึงรอบๆตัวคุณ 25 00:01:17,740 --> 00:01:19,064 ผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 26 00:01:19,412 --> 00:01:20,852 ถ้าคุณมีหู 27 00:01:20,945 --> 00:01:21,923 คุณก็จะสามารถได้ยิน 28 00:01:22,046 --> 00:01:23,200 ถ้าคุณมีตา 29 00:01:23,284 --> 00:01:24,306 คุณก็สามารถมองเห็น 30 00:01:24,706 --> 00:01:25,914 ผ่านทางผิว 31 00:01:25,914 --> 00:01:26,920 คุณรู้สึกได้ 32 00:01:26,920 --> 00:01:28,500 คุณมีลิ้นซึ่งช่วยในการลิ้มรส 33 00:01:28,700 --> 00:01:31,989 และถ้าคุณมีจมูก คุณก็สามารถดมกลิ่นได้ 34 00:01:32,512 --> 00:01:37,453 ตา,หู,จมูก,ลิ้น,และผิว ล้วนเป็น "เครื่องมือ" 35 00:01:37,561 --> 00:01:39,000 ซึ่งคุณได้มาตั้งแต่แรกเกิด 36 00:01:39,100 --> 00:01:41,568 อุปกรณ์ที่ช่วยให้คุณเข้าใจโลกรอบๆตัวคุณ 37 00:01:42,737 --> 00:01:44,953 ว่าแต่ คุณรู้ทั้งหมดนี่ได้อย่างไร ? 38 00:01:46,169 --> 00:01:47,746 นั่นก็เพราะว่าคุณสังเกต 39 00:01:48,453 --> 00:01:51,693 และ ทำไมเราถึงแบ่งประสาทสัมผัสออกเป็น 5 อย่าง ? 40 00:02:11,900 --> 00:02:18,071 [วิทยาศาสตร์] 41 00:02:26,000 --> 00:02:28,048 คำตอบก็คือ"วิทยาศาสตร์ !" 42 00:02:28,048 --> 00:02:30,500 เพราะโลกนี้มันสุดแสนจะซับซ้อน 43 00:02:30,750 --> 00:02:33,554 เราใช้วิทยาศาสตร์ในการค้นหาและให้นิยาม 44 00:02:33,554 --> 00:02:35,455 แล้ววิทยาศาสตร์มันคืออะไรล่ะ ? 45 00:02:35,600 --> 00:02:38,150 การค้นคว้าและการศึกษาธรรมชาติ 46 00:02:38,300 --> 00:02:40,661 ด้วยการสังเกตและเหตุผล 47 00:02:40,761 --> 00:02:41,850 หรือจากความรู้เดิมทั้งหมดที่มีอยู่ 48 00:02:42,000 --> 00:02:43,797 ได้มาผ่านการวิจัยค้นคว้า 49 00:02:43,897 --> 00:02:47,568 พูดง่ายๆก็คือ ผลรวมของการทดลองทั้งหมด ทั้งตัวเลขและตัวอักษร 50 00:02:47,701 --> 00:02:50,800 ซึ่งทั้งหมดสามารถจำกัดความได้ 51 00:02:51,200 --> 00:02:52,000 อย่างไรล่ะ ? 52 00:02:52,500 --> 00:02:55,475 คนส่วนใหญ่รู้จักใช้ เครื่องหมายและค่า 53 00:02:55,475 --> 00:02:58,445 ซึ่งรู้จักกันดีในรูปของตัวอักษรและตัวเลขต่างๆ 54 00:02:58,445 --> 00:03:00,700 พวกมันคือสิ่งประดิษฐ์ซึ่งช่วยเรา 55 00:03:00,850 --> 00:03:03,016 ในการทำความเข้าใจเกี่ยวกับ สภาพแวดล้อมรอบๆตัว 56 00:03:03,517 --> 00:03:05,000 เพื่อความเข้าใจที่ดีขึ้นว่า เครื่องหมายเหล่านี้ 57 00:03:05,100 --> 00:03:06,920 เข้ามีตัวตนอยู่ได้อย่างไร 58 00:03:06,920 --> 00:03:10,457 เรามาดูประวัติโดยย่อเกี่ยวกับคณิตศาสตร์ 59 00:03:14,444 --> 00:03:16,000 มนุษย์ในยุคเริ่มแรก 60 00:03:16,300 --> 00:03:18,700 ได้มองหาวิธีแก้ปัญหาง่ายๆ 61 00:03:19,750 --> 00:03:21,155 การสร้างบ้าน ,การวัดระยะห่าง 62 00:03:21,355 --> 00:03:23,900 ติดตามฤดู และการนับจำนวนสิ่งของ 63 00:03:25,000 --> 00:03:26,350 เมื่อประมาณ 32,000 ปีก่อน 64 00:03:26,500 --> 00:03:27,650 มนุษย์ยุค paleolithic 65 00:03:27,800 --> 00:03:29,476 ติดตามการเปลี่ยนแปลงของฤดู 66 00:03:29,476 --> 00:03:31,478 และการเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศ เพื่อการเพาะปลูก 67 00:03:32,200 --> 00:03:33,750 ในการที่จะนำเสนอการผ่านไปของเวลา 68 00:03:33,800 --> 00:03:36,049 พวกเขาแกะสลักเป็นเครื่องหมายขีดบนผนังถ้ำ 69 00:03:36,283 --> 00:03:38,986 หรือกรีดลงบนซากกระดูก ,ไม้หรือหิน 70 00:03:38,986 --> 00:03:41,986 แต่ละ ขีด หมายถึง หนึ่ง 71 00:03:41,986 --> 00:03:43,100 แต่ระบบนี้เริ่มไม่สะดวก 72 00:03:43,250 --> 00:03:44,558 เมื่อต้องมาเจอกับจำนวนที่มาก 73 00:03:44,558 --> 00:03:46,400 จึงทำให้สัญลักษณ์ได้ถูกสร้างขึ้นมา 74 00:03:46,550 --> 00:03:48,195 ซึ่งหมายถึงกลุ่มของวัตถุต่างๆ 75 00:03:48,195 --> 00:03:50,550 ศิลาหินของชาวสุเมเรียนถูกค้นพบ 76 00:03:50,700 --> 00:03:52,700 ซึ่งมีอายุถึง 4 สหัสวรรษ B.C 77 00:03:53,400 --> 00:03:56,303 ดินเหนียวก้อนเล็กๆใช้แทนเลข 1 78 00:03:56,303 --> 00:03:58,205 ดินเหนียวที่ปั้นเป็นก้อนใช้แทนเลข 10 79 00:03:58,205 --> 00:04:00,207 และรูปกรวยแทนเลข 60 80 00:04:01,000 --> 00:04:04,300 จากการบันทึกเมื่อประมาณ 3,300 BC แสดงถึง 81 00:04:04,350 --> 00:04:06,000 ชาวบาบิโลนจารึกจำนวนต่างๆ 82 00:04:06,150 --> 00:04:07,450 ลงบนแผ่นดินเหนียวด้วยต้นกก 83 00:04:07,500 --> 00:04:09,983 พวกเขาใช้รูปทรงตะปู แทนเลข 1 84 00:04:09,983 --> 00:04:12,553 และ V แทนเลข 10 85 00:04:12,553 --> 00:04:14,955 เมื่อนำสัญลักษณ์ทั้งสองนี้มารวมกัน เพื่อที่จะแสดงเลขอื่นๆ 86 00:04:14,988 --> 00:04:15,750 ยกตัวอย่างเช่น 87 00:04:15,850 --> 00:04:18,358 ชาวบาบิโลนเขียนเลข 19 เป็น 88 00:04:19,826 --> 00:04:21,800 ชาวอียิปต์โบราณใช้สิ่งของ 89 00:04:21,950 --> 00:04:23,730 ในชีวิตประจำวันเป็นสัญลักษณ์ 90 00:04:23,730 --> 00:04:26,800 ปมเชือก แทนเลข 1 เกวียนวัวแทนเลข 10 91 00:04:26,950 --> 00:04:28,000 เชือกม้วนแทนเลข 100 92 00:04:28,150 --> 00:04:31,004 ดอกบัวแทน 1,000 ไปเรื่อยๆ 93 00:04:31,400 --> 00:04:34,700 เลข 19 สามารถแสดงได้ด้วย เกวียนวัว 1 อัน และปมเชือก 9 ปม 94 00:04:36,150 --> 00:04:37,850 ชาวโรมันสมัยก่อนสร้างระบบตัวเลขขึ้นมา 95 00:04:38,000 --> 00:04:39,680 ซึ่งเราก็เห็นใช้อยู่ทุกวันนี้ 96 00:04:39,830 --> 00:04:40,850 ตามด้วยอีกสัญลักษณ์ 97 00:04:41,000 --> 00:04:43,650 พวกมันสามารถเขียนได้เป็น 'X' แทน 10 และ 'I' แทน 1 98 00:04:44,200 --> 00:04:45,000 เมื่อเข้าสู่ยุคกลาง 99 00:04:45,100 --> 00:04:47,100 ชาวโรมันใส่ 'I' อยู่ทางด้านขวาของ 'X' 100 00:04:47,250 --> 00:04:49,756 แทนเลข 11 และทางด้านซ้ายแทนเลข 9 101 00:04:49,756 --> 00:04:52,259 ดั้งนั้นจึงเขียนเลข 19 ได้เป็น XIX 102 00:04:52,800 --> 00:04:54,450 ระบบตัวเลขต่างๆเหล่านี้ 103 00:04:54,600 --> 00:04:57,500 ล้วนแสดงถึงกลุ่มของวัตถุ เช่นเดียวกับสิ่งของส่วนบุคคล 104 00:04:58,600 --> 00:05:00,300 ระบบการนับที่เก่าแก่ที่สุดของมนุษย์ 105 00:05:00,450 --> 00:05:02,700 ใช้นิ้วมือและนิ้วเท้าเป็นหลัก 106 00:05:02,850 --> 00:05:05,706 ดังนั้นมันจึงอยู่บนเลขฐาน 1 ,5 ,10 ,และ 20 107 00:05:06,100 --> 00:05:07,950 คำว่า 6 สำหรับชาวซูลูก็คือ 108 00:05:08,100 --> 00:05:10,750 ยกนิ้วโป้งข้างขวาหนึ่งนิ้ว 109 00:05:10,900 --> 00:05:12,450 นั่นหมายความว่านิ้วที่เหลือข้างซ้าย 110 00:05:12,600 --> 00:05:15,500 จะถูกรวมเข้าไปและเพิ่มน้วโป้งขวาขึ้นมา 111 00:05:16,149 --> 00:05:18,250 ระบบอื่นๆมีวิวัฒนาการมาจากการค้า 112 00:05:18,450 --> 00:05:19,500 ชาว Yoruba ในไนจีเรีย 113 00:05:19,650 --> 00:05:21,889 ใช้เปลือกหอยแทนเงิน 114 00:05:21,889 --> 00:05:24,858 และพัฒนาเป็นระบบตัวเลขที่น่าอัศจรรย์ 115 00:05:24,858 --> 00:05:25,950 มันอยู่บนเลขฐาน 20 116 00:05:26,100 --> 00:05:27,880 และสามารถทำได้ทั้งการคูณ 117 00:05:28,030 --> 00:05:29,863 การลบและการบวก 118 00:05:29,989 --> 00:05:30,600 ยกตัวอย่างเช่น 119 00:05:30,750 --> 00:05:36,300 พวกเขาคิด 45 เป็น 3x20 ลบ 10 ลบ 5 120 00:05:36,700 --> 00:05:38,720 ปมที่ผูกอยู่บนเส้นเชือกถูกใช้ 121 00:05:38,870 --> 00:05:41,050 ในการบันทึกจำนวนต่างๆ ของหลายๆวัฒนธรรม 122 00:05:41,200 --> 00:05:42,709 เช่นชาวเปอร์เซีย 123 00:05:42,709 --> 00:05:44,150 ชาวอินคามีวิสัยทัศน์ที่ไกลกว่านั้น 124 00:05:44,300 --> 00:05:45,345 เรียกว่า "quipu" 125 00:05:45,445 --> 00:05:47,600 สายที่หนาผูกติดกันในแนวตั้ง 126 00:05:47,700 --> 00:05:49,416 ซึ่งผูกกับปมเชือก 127 00:05:49,883 --> 00:05:51,500 และปมเชือกที่ชาวอินคาใช้แบบนี้ 128 00:05:51,650 --> 00:05:53,200 รวมกับความยาวและสีของเส้นเชือก 129 00:05:53,300 --> 00:05:55,756 แสดงถึงเลขฐาน 1 ,10 ,100 130 00:05:55,800 --> 00:05:57,800 ทุกวันนี้ เกือบทุกวัฒนธรรม 131 00:05:57,950 --> 00:06:00,100 ต่างใช้เลข 0 ถึง 9 132 00:06:00,600 --> 00:06:01,900 แต่สัญลักษณ์เหล่านี้ยังไม่ถูกประดิษฐ์ขึ้นมา 133 00:06:02,050 --> 00:06:04,300 จนกระทั่งถึง ศตวรรษที่ 3 BC ในอินเดีย 134 00:06:04,665 --> 00:06:06,300 และมันใช้เวลาถึง 800 ปี 135 00:06:06,450 --> 00:06:09,800 เพื่อแนวคิดของเลข 0 จึงจะถูกสร้างขึ้นมา 136 00:06:10,150 --> 00:06:10,800 ความคิดที่ยิ่งใหญ่นี้ 137 00:06:11,050 --> 00:06:13,300 ได้เปลี่ยนแปลงหน้าตาของคณิตศาสตร์ 138 00:06:14,700 --> 00:06:16,510 มนุษย์เราจะแบ่งปันของให้คนอื่นๆเสมอ 139 00:06:16,879 --> 00:06:19,279 ในสมัยก่อน จะแบ่งปันอาหารและน้ำ 140 00:06:19,279 --> 00:06:20,550 หรือต้องการแบ่งแยกเขตแดน 141 00:06:20,700 --> 00:06:22,400 ในทางที่ยุติธรรมและเท่าๆกัน 142 00:06:22,649 --> 00:06:24,100 เศษส่วนค่อยๆกำเนิดขึ้นมา 143 00:06:24,250 --> 00:06:26,550 เป็นสัญลักษณ์ของการแบ่งปันอย่างเท่าเทียม 144 00:06:27,888 --> 00:06:29,957 ชาวอียิปต์โบราณใช้หน่วยเศษส่วน 145 00:06:30,224 --> 00:06:32,100 เศษส่วนที่เป็นตัวเศษ คือ 1 146 00:06:32,250 --> 00:06:34,650 เช่น 1/2 ,1/3 และ 1/5 147 00:06:34,661 --> 00:06:37,064 และแบ่งเศษส่วนนี้ออกเป็นครึ่งหนึ่ง 148 00:06:37,064 --> 00:06:39,800 ถ้าพวกเขาต้องการแบ่งขนมปังเท่าๆกัน 149 00:06:39,950 --> 00:06:41,600 กับทุกๆคนในครอบครัว 150 00:06:41,700 --> 00:06:43,900 พวกเขาเริ่มจากแบ่งขนมปังชิ้นแรก และชิ้นที่สอง 151 00:06:44,050 --> 00:06:44,700 ออกเป็น 3 ชิ้น 152 00:06:46,039 --> 00:06:48,275 แล้วพวกเขาก็แย่งขนมปังชิ้นที่ 3 เป็น 5 ชิ้น 153 00:06:49,600 --> 00:06:51,450 สุดท้าย พวกเขาก็นำ 1 ใน 3 ของที่เหลือ 154 00:06:51,600 --> 00:06:54,650 จากขนมปังชิ้นที 2 แบ่งออกเป็น 5 ชิ้น 155 00:06:56,000 --> 00:07:00,153 สามารถเขียนได้เป็น 1/3 ,1/5 ,1/15 156 00:07:00,654 --> 00:07:02,150 ทุกวันนี้เราแสดงถึงการแบ่งแบบนี้ 157 00:07:02,300 --> 00:07:03,650 ด้วยเศษส่วน : 3/5 158 00:07:04,200 --> 00:07:06,450 3/5 ของขนมปังแต่ละชิ้น สำหรับแต่ละคน 159 00:07:06,600 --> 00:07:08,900 หรือขนมปัง 3 ชิ้น แบ่งโดย คน 5 คน 160 00:07:09,530 --> 00:07:11,550 ชาวสุเมเรียนและชาวบาบิโลน 161 00:07:11,700 --> 00:07:13,250 ประดิษฐ์ระบบเศษส่วน 162 00:07:13,400 --> 00:07:17,200 บนเลขฐาน 60 และเราก็ยังใช้อยู่ในอีก 4,000 ปีให้หลัง 163 00:07:17,489 --> 00:07:19,000 วันของเรามี 60 นาที ใน 1 ชั่วโมง 164 00:07:19,150 --> 00:07:20,400 และ 60 วินาที ใน 1 นาที 165 00:07:20,550 --> 00:07:23,350 ในวงกลมของเรามี 360 องศา 166 00:07:25,212 --> 00:07:27,000 คนจีนใช้ลูกคิด 167 00:07:27,100 --> 00:07:30,117 มีฐานอยู่บนเลขฐาน 10 แม้ว่าไม่มีเลข 0 ก็ตาม 168 00:07:30,751 --> 00:07:32,250 การใช้เศษส่วนด้วยเลขฐาน 10 169 00:07:32,400 --> 00:07:33,400 นั้นมาจากลูกคิด 170 00:07:33,500 --> 00:07:34,300 เช่น 171 00:07:34,400 --> 00:07:37,850 3/5 ก็คือ 6 ใน 10 ของลูกคิด 172 00:07:38,125 --> 00:07:40,994 คนจีนตั้งชื่อตัวเศษอย่างน่ารักว่า "ลูกชาย" 173 00:07:40,994 --> 00:07:42,596 และตัวส่วนเรียกว่า "แม่" 174 00:07:43,700 --> 00:07:45,200 จนกระทั่งถึง ศตวรรษที่ 12 175 00:07:45,350 --> 00:07:46,350 เศษส่วนที่ใช้กันอยู่ทั่วไป 176 00:07:46,450 --> 00:07:48,300 ด้วยเครื่องหมายหาร "_" ที่เราใช้ทุกวันนี้ 177 00:07:48,400 --> 00:07:49,350 ถูกประดิษฐ์ขึ้นมา 178 00:07:49,500 --> 00:07:51,600 หลังจากนั้น เศษส่วนเหล่านี้ก็ไม่ได้ใช้เป็นที่แพร่หลาย 179 00:07:51,700 --> 00:07:54,500 จนกระทั่งถึงยุคเรเนสซองส์ เมื่อประมาณ 500 ปีก่อน 180 00:07:55,600 --> 00:07:57,650 ตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาทั่วโลก 181 00:07:57,800 --> 00:08:00,200 ได้สร้างหนทางต่างในการคิดคำนวณ 182 00:08:00,848 --> 00:08:03,450 เพื่อที่จะแก้ปัญหา เช่น 12x15 183 00:08:03,750 --> 00:08:05,000 ชาวรัสเซียสมัยก่อน 184 00:08:05,150 --> 00:08:07,150 ใช้ระบบของการทวีคูณและแบ่งครึ่ง 185 00:08:09,523 --> 00:08:12,192 เมื่อเลขคี่ให้ผลออกมาเป็นเศษส่วน 186 00:08:13,093 --> 00:08:14,461 พวกเขาปัดค่าลง 187 00:08:15,900 --> 00:08:16,950 และพวกเขาก็รวมผลคูณ 188 00:08:17,100 --> 00:08:18,950 ของเลขคี่เข้าด้วยกัน 189 00:08:24,100 --> 00:08:26,600 ชาวอียิปต์สมัยก่อนใช้กระบวนการเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณ 190 00:08:26,750 --> 00:08:28,410 จนกระทั่งพวกเขามีกลุ่มมากพอ 191 00:08:32,500 --> 00:08:34,900 แล้วพวกเขาก็รวมกลุ่มเหล่านี้เข้าด้วยกันเพื่อหาคำตอบ 192 00:08:40,800 --> 00:08:43,050 ทั่วยุโรปและเอเซีย ในช่วงยุคกลาง 193 00:08:43,150 --> 00:08:46,050 ลูกคิดแทบกลายเป็นเครื่องคิดเลขพกพา ในสมัยนั้นเลย 194 00:08:46,150 --> 00:08:48,250 มีเพียงคนไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้วิธีใช้มัน 195 00:08:48,350 --> 00:08:50,430 โดยปกติแล้วจะเป็นพ่อค้าหรือผู้ให้กู้ยืมเงิน 196 00:08:51,000 --> 00:08:53,400 ด้วยการขยับลูกคิดซึ่งแต่ละหลักก็จะมีค่าของมัน 197 00:08:53,500 --> 00:08:55,950 ลูกคิดนับว่ามีประสิทธิภาพมาก และง่ายต่อการคำนวณ 198 00:08:56,700 --> 00:08:59,200 ต่อมานักคณิตศาสตร์ชาวอาหรับ Al-Khwrizm 199 00:08:59,340 --> 00:09:02,000 แนะนำให้ใช้ระบบเลขฮินดูอาราบิก ตั้งแต่เลข 0 ถึงเลข 9 200 00:09:02,150 --> 00:09:03,700 ในอเมริกาเหนือและยุโรป 201 00:09:03,900 --> 00:09:06,250 และสร้างกระบวนการคิดคำนวณใหม่ 202 00:09:06,700 --> 00:09:09,349 ขั้นตอนวิธีเหล่านี้สามารถเขียนได้ ลงบนแผ่นกระดาษ 203 00:09:10,150 --> 00:09:12,050 ผ่านการเรียนรู้มานับศตวรรษ 204 00:09:12,200 --> 00:09:13,800 จนกลายเป็นเครื่องหมายทางการศึกษา 205 00:09:13,950 --> 00:09:15,150 เมื่อนักเรียนถูกสอนให้คิดคำนวณ 206 00:09:15,300 --> 00:09:16,900 เป็นขั้นตอนยาวหลายคอลัมน์ 207 00:09:17,200 --> 00:09:18,000 ในการยืมและถือ 208 00:09:18,150 --> 00:09:20,900 และทำหารยาวอย่างมีประสิทธิภาพและน่าเชื่อถือ 209 00:09:21,550 --> 00:09:23,050 ตอนนี้พวกเขาสามารถเก็บบันทึกขั้นตอนเหล่านี้ไว้ 210 00:09:23,200 --> 00:09:25,200 และตรวจคำตอบ 211 00:09:26,100 --> 00:09:27,600 ทุกวันนี้ การคิดคำนวณที่ซับซ้อน 212 00:09:27,750 --> 00:09:29,600 จะกระทำโดยเครื่องคิดเลข 213 00:09:29,850 --> 00:09:31,100 นั่นหมายความว่านักเรียนต้องมีความสามารถ 214 00:09:31,250 --> 00:09:33,300 ในการตรวจสอบคำตอบ 215 00:09:33,450 --> 00:09:34,550 และมีองค์ประกอบ 216 00:09:34,700 --> 00:09:36,850 และเทคนิคทางคณิตศาสตร์เพื่อจะทำมันออกมา 217 00:09:37,500 --> 00:09:40,450 การคิดคำนวนแบบง่ายๆ เช่น 12x15 218 00:09:40,600 --> 00:09:43,400 สามารถคิดได้ ด้วยการใช้เทคนิคต่างๆ 219 00:09:54,000 --> 00:09:55,300 หลังจากที่เราผ่าน 220 00:09:55,400 --> 00:09:57,050 ประวัติศาสตร์ทางคณิตศาสตร์ ที่มากและมีชีวิตชีวา 221 00:09:57,200 --> 00:09:59,100 เราเห็นทั้งแนวคิดและการสร้าง 222 00:09:59,250 --> 00:10:00,850 เจริญขึ้นมาจากความต้องการของมนุษย์ 223 00:10:01,000 --> 00:10:03,550 เพื่อที่จะแก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน 224 00:10:03,700 --> 00:10:05,800 เวลาผ่านไป การค้นพบทางคณิตศาสตร์ 225 00:10:05,950 --> 00:10:07,950 ของชายและหญิงทั่วโลก 226 00:10:08,100 --> 00:10:10,100 ได้ให้มุมมองที่่น่าสนใจต่างๆ 227 00:10:10,250 --> 00:10:11,650 ซึ่งช่วยให้เราใช้คณิตศาสตร์ 228 00:10:11,800 --> 00:10:14,050 ทำความเข้าใจโลกของเรา 229 00:10:15,300 --> 00:10:17,250 วิทยาศาสตร์คือการเก็บรวบรวมข้อเท็จจริง 230 00:10:17,400 --> 00:10:20,500 ซึ่งได้มาจากการนิยามจากสิ่งที่เราสังเกต 231 00:10:20,650 --> 00:10:23,200 และทำการทดลอง เพื่อที่จะค้นหา 232 00:10:23,500 --> 00:10:28,400 คณิตศาสตร์ ,เคมี ,และฟิสิกส์ แสดงถึง 233 00:10:28,550 --> 00:10:31,750 ภาษาที่ตายตัว ซึ่งไม่ขึ้นอยู่กับการตีความ 234 00:10:31,900 --> 00:10:35,450 ภาษาที่ใช้อธิบายถึง สิ่งที่เราสังเกตเห็น 235 00:10:35,600 --> 00:10:38,950 และทดลองสิ่งที่สังเกตได้นั้น เพื่อทำการพิสูจน์ 236 00:10:39,200 --> 00:10:41,074 ลองคิดถึง DNA 237 00:10:41,074 --> 00:10:43,710 เซลล์ ,กาแลคซี่ต่างๆ 238 00:10:44,378 --> 00:10:46,146 ผลไม้ 239 00:10:46,246 --> 00:10:48,282 คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก 240 00:10:48,700 --> 00:10:50,551 เครื่องปรับอากาศ 241 00:10:51,118 --> 00:10:53,551 ลองนึกถึง รถยนต์ 242 00:10:54,221 --> 00:10:56,957 อาหาร 243 00:10:57,300 --> 00:10:58,892 บ้าน 244 00:11:00,027 --> 00:11:02,963 สัตว์ 245 00:11:03,096 --> 00:11:05,599 ดอกไม้ 246 00:11:06,466 --> 00:11:08,635 ลองนึกถึง อะตอม 247 00:11:08,936 --> 00:11:11,305 อวัยวะในร่างกาย 248 00:11:11,738 --> 00:11:13,974 สภาพอากาศ 249 00:11:14,708 --> 00:11:17,845 หรือเสื้อผ้าที่คุณสวมใส่ 250 00:11:20,200 --> 00:11:22,700 และตระหนักว่าทุกสิ่งทุกอย่างถูกให้นิยาม 251 00:11:22,850 --> 00:11:24,800 หรือถูกสร้างขึ้นมา 252 00:11:25,000 --> 00:11:27,200 ด้วยวิทยาศาสตร์ 253 00:11:33,894 --> 00:11:36,200 ในการที่จะเข้าใจถึงแนวคิด ทั้งหมดของวิทยาศาสตร์ 254 00:11:36,350 --> 00:11:40,400 คุณควรรู้ว่าทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์คือ 255 00:11:40,550 --> 00:11:42,050 ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ 256 00:11:42,200 --> 00:11:44,550 ประกอบไปด้วยกลุ่มของแนวคิด 257 00:11:44,700 --> 00:11:48,000 ซึ่งรวมถึงนามธรรมของปรากฎการณ์ที่สังเกตได้ 258 00:11:48,150 --> 00:11:50,750 อธิบายได้ในคุณสมบัติที่ประมาณค่าได้ 259 00:11:50,900 --> 00:11:54,000 ด้วยกันกับกฎกติกา (ที่เรียกว่ากฎทางวิทยาศาสตร์) 260 00:11:54,150 --> 00:11:55,750 ที่อธิบายถึงความสัมพันธ์ 261 00:11:55,900 --> 00:11:58,700 ระหว่างการสังเกตของทฤษฎีนั้น 262 00:11:58,850 --> 00:12:01,850 ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อ ให้สอดคล้องกับ 263 00:12:02,000 --> 00:12:05,200 ข้อมูลทางการทดลองที่แน่ชัด 264 00:12:05,350 --> 00:12:08,800 และนำไปใช้เป็นหลักการ 265 00:12:08,950 --> 00:12:11,200 ในการอธิบายปรากฎการณ์ต่างๆ 266 00:12:11,732 --> 00:12:14,100 ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์แตกต่างอย่างสิ้นเชิง 267 00:12:14,250 --> 00:12:15,300 จากทฤษฎีอื่นๆ 268 00:12:15,550 --> 00:12:17,750 มันเป็นความน่าจะเป็นไปได้มากที่สุด 269 00:12:17,900 --> 00:12:21,450 ที่ได้มาจากการสำรวจ 270 00:12:32,850 --> 00:12:36,100 วิทยาศาสตร์เป็นอุปกรณ์ที่ดีสุด ที่คิดค้นขึ้นมา 271 00:12:36,800 --> 00:12:38,950 ในการที่จะทำความเข้าใจโลก 272 00:12:39,100 --> 00:12:42,000 วิทยาศาสตร์เป็นรูปความรู้หนึ่งของมนุษย์ 273 00:12:42,200 --> 00:12:44,800 เราจะอยู่บนขอบของรู้ถึงอยู่เสมอ 274 00:12:45,300 --> 00:12:47,450 วิทยาศาสตร์เป็นการทำงานร่วมกัน ของหลายๆองค์กร 275 00:12:47,600 --> 00:12:49,600 ทอดข้ามไปสู่รุ่นหลัง 276 00:12:50,700 --> 00:12:53,250 เราจดจำผู้ที่ปูทางไว้ให้เรา 277 00:12:54,000 --> 00:12:56,550 ไม่ลืมพวกเขาไปเช่นกัน 278 00:12:56,800 --> 00:12:58,500 ถ้าคุณมีความรู้ทางวิทยาศาสคร์ 279 00:12:58,650 --> 00:13:00,300 โลกจะดูแตกต่างไปมากสำหรับคุณ 280 00:13:00,500 --> 00:13:03,300 และความเข้าใจนั้นเป็นตัวผลักดันคุณ 281 00:13:08,850 --> 00:13:11,700 มีบทกวีเกี่ยวกับความจริง อยู่ในโลกใบนี้ 282 00:13:12,100 --> 00:13:15,250 วิทยาศาสตร์คือบทกวีแห่งข้อเท็จจริง 283 00:13:15,700 --> 00:13:18,150 เราสามารถใช้วิทยาศาสตร์ 284 00:13:18,950 --> 00:13:20,900 ปรับปรุงชีวิตเราให้ดีขึ้นได้ 285 00:13:21,200 --> 00:13:23,950 มีบทกวีเกี่ยวกับความจริง อยู่ในโลกใบนี้ 286 00:13:24,200 --> 00:13:27,100 วิทยาศาสตร์คือบทกวีแห่งข้อเท็จจริง 287 00:13:27,350 --> 00:13:30,100 เรื่องราวของมนุษย์เป็น เรื่องราวของความคิด 288 00:13:30,350 --> 00:13:33,550 ที่ฉายแสงในมุมมืด 289 00:13:39,900 --> 00:13:44,500 นักวิทยาศาสตร์ชอบปริศนา พวกเขาชอบในการที่ไม่รู้ 290 00:13:45,500 --> 00:13:48,350 ผมไม่รู้สึกกลัวในสิ่งที่ไม่รู้ 291 00:13:48,700 --> 00:13:51,460 ผมเห็นว่ามันน่าสนใจด้วยซ้ำ 292 00:13:52,050 --> 00:13:54,600 มีความเป็นจริงในจักรวาล 293 00:13:54,750 --> 00:13:57,500 ซึ่งเราทุกๆคนเป็นส่วนหนึ่ง 294 00:13:57,650 --> 00:14:00,350 ยิ่งเราหยั่งรู้เกี่ยวกับจักรวาลมากเท่าไหร่ 295 00:14:00,423 --> 00:14:03,550 การสำรวจที่เราทำก็ยิ่งน่าทึ่งมากเท่านั้น 296 00:14:03,700 --> 00:14:06,250 การสืบหาความจริงทั้งภายในและภายนอก 297 00:14:06,350 --> 00:14:09,350 เป็นเรื่องราวที่เต็มไปด้วยความเข้าใจอย่างถ่องแท้ 298 00:14:15,800 --> 00:14:18,500 มีบทกวีเกี่ยวกับความจริง อยู่ในโลกใบนี้ 299 00:14:18,950 --> 00:14:22,250 วิทยาศาสตร์คือบทกวีแห่งข้อเท็จจริง 300 00:14:22,600 --> 00:14:25,050 เราสามารถใช้วิทยาศาสตร์ 301 00:14:25,650 --> 00:14:27,600 ปรับปรุงชีวิตเราให้ดีขึ้นได้ 302 00:14:27,950 --> 00:14:30,600 มีบทกวีเกี่ยวกับความจริง อยู่ในโลกใบนี้ 303 00:14:30,800 --> 00:14:34,000 วิทยาศาสตร์คือบทกวีแห่งข้อเท็จจริง 304 00:14:34,150 --> 00:14:37,350 เรื่องราวของมนุษย์เป็น เรื่องราวของความคิด 305 00:14:37,500 --> 00:14:39,950 ที่ฉายแสงในมุมมืด 306 00:14:40,050 --> 00:14:43,000 จากจุดที่โดดเดี่ยวในอวกาศ 307 00:14:43,300 --> 00:14:45,850 เรามีพลังแห่งความคิด 308 00:14:46,100 --> 00:14:48,850 เราสามารถย้อนกลับไปในช่วงเวลา 309 00:14:49,550 --> 00:14:51,700 ที่เป็นจุดเริ่มต้นของจักรวาล 310 00:14:51,850 --> 00:14:53,200 ผมคิดว่าวิทยาศาสตร์นั้น 311 00:14:53,350 --> 00:14:55,300 ได้เปลี่ยนแปลงการทำงาน ทางจิตใจของเรา 312 00:14:55,450 --> 00:14:58,150 ให้คิดในสิ่งต่างๆลึกขึ้น 313 00:14:58,500 --> 00:15:01,550 วิทยาศาสตร์แทนที่ความมีอคติส่วนบุคคล 314 00:15:01,700 --> 00:15:04,150 ด้วยหลักฐานที่สามารถพิสูจน์ได้ 315 00:15:04,350 --> 00:15:07,300 มีบทกวีเกี่ยวกับความจริง อยู่ในโลกใบนี้ 316 00:15:07,600 --> 00:15:10,950 วิทยาศาสตร์คือบทกวีแห่งข้อเท็จจริง 317 00:15:11,350 --> 00:15:14,400 เราสามารถใช้วิทยาศาสตร์ 318 00:15:14,550 --> 00:15:16,300 ปรับปรุงชีวิตเราให้ดีขึ้นได้ 319 00:15:16,500 --> 00:15:19,350 [วิทยาศาสตร์เป็นอุปกรณ์ที่ดีในการทำความเข้าใจ 320 00:15:19,500 --> 00:15:21,600 โลกรอบๆตัวเรา] 321 00:15:21,750 --> 00:15:24,150 [คิดซะว่าเหมือนแว่นขยาย 322 00:15:24,300 --> 00:15:26,250 ที่มองผ่านสิ่งที่คุณเห็น 323 00:15:26,400 --> 00:15:30,000 และโลกความเป็นจริงรอบๆตัวของคุณ]