-
อยากรู้มั้ยคะว่าเรากินเจกันไปทำไม?
-
สวัสดีค่า วิวจากแชแนล Point of View ค่ะ
-
ช่วงเดือน 9 ตามปฏิทินจีนแบบนี้นะคะ
-
เชื่อว่าหลายๆ คน น่าจะเริ่มเห็นตามร้านอาหารต่างๆ เนี่ย
-
เอาธงสีเหลืองๆ มีตัวหนังสือสีแดงๆ
มาแปะๆๆๆ กันเต็มไปหมดแล้วนะคะ
-
เพราะว่าตอนนี้เป็นเทศกาลกินเจนั่นเองค่ะ
-
ทีนี้อยากรู้กันมั้ยคะว่า คนไทยเชื้อสายจีนกินเจกันทำไม?
-
แล้วทำไมจะต้องมากินช่วงเดือน 9 แบบนี้?
-
วิวก็ไปหาคำตอบมาให้ทุกคนแล้วค่ะ
-
ซึ่งก่อนที่จะไปฟังกันเนี่ยนะคะ วิวขอบอกไว้ก่อนเลยว่า
-
การกินเจเนี่ยเป็นสิ่งที่ขึ้นอยู่กับความเชื่อค่ะ
-
ดังนั้นขึ้นว่าความเชื่อเนี่ย
-
ความเชื่อของแต่ละคน คนแต่ละกลุ่ม แต่ละลัทธิ
-
อาจจะไม่เหมือนกันนะคะ
-
สิ่งที่วิวไปหามาได้ก็อาจเป็นแค่ลัทธิเดียว
-
หรือว่าความเชื่อของคนกลุ่มเดียวค่ะ
-
ซึ่งวิวลงอ้างอิงไว้ให้ด้านล่างแล้ว
-
ใครที่อยากไปอ่านตามความเชื่อที่วิวหามาเนี่ย
-
ก็สามารถตามอ่านได้ข้างล่างนะคะ
-
ส่วนใครที่ไปเจอความเชื่ออื่นมา ที่บ้านเชื่อแบบอื่น
-
อากง อาม่า เหล่าอึ้ม เหล่ากิ๋มอะไร กินอีกแบบนึง
-
ก็สามารถมาคอมเมนต์กันได้ด้านล่าง
เพื่อมาแลกเปลี่ยนกันได้เช่นกันค่ะ
-
แล้วก็ก่อนที่จะไปฟังคำตอบของวิวนะคะว่า
-
ทำไมคนไทยเชื้อสายจีนถึงกินเจ?
-
อย่าลืมกดติดตามวิวให้ครบทุกช่องทางค่ะ
-
จะได้ไม่พลาดคลิปวิดิโอสนุกๆ
แล้วก็ข่าวสารดีๆ จากช่อง Point of View ค่ะ
-
โอเค พร้อมจะไปกันเรื่องราวที่ทั้งสนุก แล้วก็ได้สาระกันรึยังคะ?
-
ถ้าพร้อมกันแล้วก็ไปฟังกันเลยค่ะ
-
พูดถึงว่าเรากินเจกันไปทำไมเนี่ย ก่อนจะไปพูดว่ากินเจทำไม
-
เอานี่ก่อนดีกว่าค่ะ กินเจคืออะไร?
-
อะ! หลายคนเข้าใจผิดเรื่องการกินเจนะคะ
-
เข้าใจว่ากินเจก็คือการกินมังสวิรัติยังไงล่ะ ก็ไม่กินเนื้อสัตว์
-
ขอบอกเลยว่าไม่ใช่เลยค่ะ เพราะว่าคำว่ากินเจ
-
ชื่อเต็มๆ ของมันเนี่ยคือ การถือศีลกินเจ
-
คือกินเจเฉยๆ ไม่ได้นะคะ จะต้องมีการถือศีลประกอบด้วย
-
มีการประพฤติตัวให้อยู่ในศีลธรรม
-
ประพฤติตัวตามทำนองคลองธรรม
-
ทำตัวเองให้สะอาดบริสุทธิ์ที่สุด
-
ดังนั้นหลายๆ คนก็จะใส่ชุดขาว อะไรประมาณอย่างนี้นี่แหละค่ะ
-
นอกจากนี้นะคะ เรื่องอาหารการกินเนี่ย
-
ก็จะไม่เหมือนมังสวิรัติซะทีเดียวค่ะ
-
เพราะว่าก็จะมีการห้ามกินอาหารกลิ่นฉุนด้วย
-
มีเนื้อสัตว์บางชนิดอย่างหอยนางรม ที่ได้รับการยกเว้น
-
อะไรประมาณนี้ค่ะ
-
อย่างไรก็ตามคลิปนี้เราไม่ได้มาพูดถึง
-
เรื่องข้อกำหนดการกินเจกันเนอะ
-
เรามาพูดว่าเรากินเจกันทำไม
-
เออ แล้วเรากินเจกันไปทำไม?
-
ก่อนจะมาพูดว่าคนสมัยปัจจุบันกินเจกันทำไมเนี่ย
-
เราย้อนกลับไปในสมัยอดีตกาล
-
โบราณ น๊านแสนนานมาแล้วดีกว่าค่ะ
-
ว่าคนสมัยโบราณเขากินเจกันทำไม
-
คือในสมัยโบราณเนี่ยนะคะ
-
เรายังไม่ไปพูดถึงการกินเจในช่วงเดือน 9
-
หรือในช่วงเทศกาลกินเจอะไรนะ เอาแค่กินเจก่อน
-
คนสมัยโบราณเนี่ยเราน่าจะรู้นะคะ
-
ว่าค่อนข้างเกี่ยวพันกับเทพเจ้าค่อนข้างเยอะ
-
โดยเฉพาะคนจีนใช่มะ
-
ทีนี้คนจีนสมัยโบราณค่ะ มีความเชื่อว่า
เทพเจ้าไม่ได้คุยกับทุกคนนะคะ
-
คือเทพเจ้าจะคุยกับเฉพาะคนที่เหมาะสมเท่านั้น
-
ซึ่งคนที่เหมาะสมประกอบไปด้วยอะไรบ้าง?
-
1. อาจจะเป็นโอรสสวรรค์
-
แบบพวกกษัตริย์ พวกฮ่องเต้อะไรต่างๆ
-
อาจเป็นคนพิเศษที่สวรรค์อยากคุยด้วย
-
และคนที่สะอาดบริสุทธิ์ค่ะ ทั้งกายและใจ
-
ดังนั้นคนที่จะไปคุยไปขอร้องอะไรเทพเจ้า
-
ก็เลยจะต้องอาบน้ำแต่งตัวให้สะอาด
-
ชำระร่างกายให้บริสุทธิ์ ชำระจิตใจให้สะอาด
-
แล้วก็กินเจเนี่ยแหละค่ะ
-
เพราะว่า เออ พอเราไม่กินเนื้อสัตว์อะไรอย่างงี้
-
เขาจะรู้สึกว่าร่างกายเราสะอาดบริสุทธิ์ไปอีกขั้นหนึ่งค่ะ
-
ซึ่งเรื่องพวกนี้นะคะ ได้รับการบันทึกอยู่ในคัมภีร์หลี่จี้นั่นเองค่ะ
-
คือคัมภีร์หลี่จี้เนี่ยนะ อธิบายถึงสมัยราชวงศ์โจวนะคะ
-
ก็ประมาณ 1,000 - 200 ปีก่อนคริสตศักราชนะคะ
-
ในตอนนั้นเนี่ยเขาบันทึกไว้ว่า
-
เวลาฮ่องเต้มีเรื่องสำคัญเกี่ยวกับบ้านเมือง
จะคุยกับสวรรค์เนี่ยนะคะ
-
เช่นแบบว่า ฝนไม่ตก แล้งกันทั้งประเทศแล้ว
-
จะอดตายกันทั้งประเทศแล้ว
-
ฮ่องเต้ก็จะต้องไปคุยกับสวรรค์ใช่มั้ยคะ ในฐานะโอรสสวรรค์
-
ทีนี้ฮ่องเต้ก็ต้องทำตัวเองให้สะอาดบริสุทธิ์
-
แล้วก็กินเจนั่นเองค่ะ
-
ซึ่งในสมัยนั้นเนี่ยนะคะ บอกเลยว่า
-
ถ้าเรื่องไม่สำคัญจริงๆ นะคะ ฮ่องเต้จะไม่กินเจค่ะ
-
เพราะว่าการกินเจเนี่ยยากมาก เนื่องจาก
-
นึกสภาพสมัยจีนโบราณ อาหารการกินก็ไม่ค่อยมี
-
ผักก็ไม่ค่อยมี เพราะว่าเป็นเมืองหนาวใช่มะ
-
การจะไปกินเจเนี่ย อู้ย จะกินอะไรละ? ไม่รู้จะกินอะไรดีเลยนะคะ
-
แต่การกินเจเนี่ยได้รับความนิยมมากขึ้นค่ะ ในสมัยราชวงศ์ฮั่น
-
หลังจากที่เกิดเส้นทางสายไหมอะไรต่างๆ
-
เพราะว่าพวกผักผลไม้อะไรต่างๆ ของประเทศอื่นเนี่ย
-
ก็หลั่งไหลเข้าไปในประเทศจีนนะคะ
-
ดังนั้น choice ในการกินเจเนี่ยก็มีมากขึ้นๆ เรื่อยๆ
-
รวมไปถึงเกิดการติดค้นพวกเต้าหู้
-
แล้วก็ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองต่างๆ ด้วยนะคะ
-
ซึ่งอันนี้ถ้าใครอยากฟังละเอียดก็กดไปตรงนี้ได้เลย
-
เพราะว่าวิวเคยเล่าไว้แล้วว่าทำไมซีอิ้วขาวถึงเป็นสีดำนะคะ
-
อันนั้นก็จะไปพูดถึงเรื่องผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง
-
อย่างละเอียดกว่าตอนนี้นะคะ
-
อย่างไรก็ตามค่ะ เมื่อมีผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง
-
มื่อมีผักผลไม้จากต่างประเทศเข้ามา
-
ก็ทำให้การกินเจเนี่ย เข้าถึงได้ง่ายขึ้น
-
เออ มี choice หลากหลายมากขึ้น
-
การกินเจก็เลยฮิตขึ้นๆๆ ในประเทศจีนนั่นเองค่ะ
-
แต่เราก็ยังไม่ได้ตอบคำถามนะคะว่า
-
เออ แล้วทำไมการกินเจต้องกินที่เดือน 9?
-
การจะตอบว่าทำไมเราต้องมากินเจในช่วงนี้อะ
-
ต้องไปดูที่อีกหนึ่งราชวงศ์ค่ะ
-
ก็คือราชวงศ์เหนือใต้นั่นเองนะคะ ในสมัยนั้นนะคะ
-
พุทธศาสนาเริ่มหลั่งไหลเข้ามาในประเทศจีนค่ะ
-
อิทธิพลของศาสนาพุทธเนี่ยแผ่กระจายไปทั่วเลยนะคะ
-
ซึ่งทำให้เกิดการผสมผสานกันระหว่างความเชื่อพุทธ
-
กับความเชื่อดั้งเดิมเรื่องการกินเจนั่นเองค่ะ
-
คือเราก็รู้กันใช่มั้ยคะว่า
ศาสนาพุทธเนี่ยมีหลากหลายนิกายเนอะ
-
ซึ่งในประเทศจีนเนี่ยนิกายก็จะแตกต่างจาก
-
นิกายเถรวาทแบบลังกาวงศ์ที่ชาวไทยนับถือนะคะ
-
ดังนั้นกฏข้อบังคับอะไรต่างๆ มันก็เลยจะต่างกันไป
-
ซึ่งอนุญาตให้พระแบบ ทำอาหารกินเองได้บ้างอะไรบ้างนะคะ
-
แต่เอาจริงๆ คอนเซ็ทป์หลักๆ ก็ยังค่อนข้างจะเหมือนกันค่ะ
-
ก็คือไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ไม่อะไรแบบนี้ใช่มะ
-
ทีนี้ถามว่า เราไปดูที่ประเทศจีนกัน
-
ประเทศจีนเนี่ย ในช่วงฤดูหนาว ถามว่าหนาวมั้ย? หนาว
-
แล้วหนาวขนาดไหน? หนาวมากนะคะ
-
หนาวขนาดที่ว่าในบางพื้นที่เนี่ย
-
พระไม่สามารถออกไปบิณฑบาตรได้ ถูกมั้ย?
-
พอไม่สามารถออกไปบิณฑบาตรได้ก็ต้องทำอะไร?
-
มีการเก็บตุนอาหารอะไรเอาไว้
-
แล้วก็ต้องมีการทำกับข้าวเองด้วย
-
รวมไปถึงช่วงไหนที่ประเทศจีนยากจนข้นแค้นจริงๆ นะคะ
-
เกิดวิกฤตเศรษฐกิจอะไรต่างๆ
-
ชาวบ้านก็คงไม่มาแบบ ตักบาตรพระหรอก
-
พระก็จะต้องทำอาหารกินเองค่ะ
-
ทีนี้ถามว่าพระทำอาหารกินเอง สามารถฆ่าสัตว์ได้มั้ย?
-
แบบทุบปลากิน อย่างนี้ได้มั้ย?
-
ก็ไม่ได้ค่ะ ดังนั้นนะคะ ก็เลยเกิดการมิกซ์กันค่ะ
-
ระหว่างความเชื่อพุทธกับความเชื่อเรื่องการกินเจเข้าด้วยกันว่า
-
เออไหนๆ ก็ไปบิณฑบาตรไม่ได้ ก็ไม่ต้องกินเนื้อสัตว์แล้วกัน
-
กินเจแล้วกัน จะได้ทำอาหารกินเองได้ ประมาณนั้นนะคะ
-
นอกจากนี้ในบางวัดก็มีการกำหนดข้อกำหนมเพิ่มเติมอีกนะคะ
-
ว่าแบบ เออ นอกจากจะไม่กินเนื้อสัตว์แล้ว
-
เราจะไม่กินปักที่มีกลิ่นฉุน 5 ชนิด
-
ต่อไปนี้บ้าง อะไรอย่างนี้นะคะ
-
พวกนี้ก็ค่อยๆ สืบทอดกันมาเรื่อยๆ จนกลายมาเป็น
-
วิถีชีวิตการกินเจในสมัยปัจจุบันนี้ล่ะน่ะ
-
และที่สำคัญนะคะ ความเชื่อเรื่องการกินเจเนี่ย
-
ก็ไปมิกซ์กับอีกความเชื่อหนึ่งค่ะ
-
ก็คือความเชื่อของลัทธิเต๋านั่นเอง
-
ซึ่งในลัทธิเต๋าบางนิกายนะคะ เน้นว่าบางนิกายเนี่ย
-
ก็มีความเชื่ออีกว่า เออคนที่บวชในลัทธิเต๋าเนี่ยนะ
-
จะต้องกินเจตลอดชีวิต อะไรทำนองนี้นะคะ
-
ทำให้ความเรื่องเรื่องกินเจในจีนเนี่ยนะคะ
-
หลากหลายกันออกไปอีกค่ะ
-
ทีนี้ถามว่าทำไมคนเราถึงเลือกกินเจที่เดือน 9 นะคะ
-
ก็ต้องบอกว่าต้องไปดูที่อีกความเชื่อหนึ่งค่ะ
-
ก็คือความเชื่อเรื่องเคราะห์กรรมนั่นเอง
-
คือคนสมัยโบราณเนี่ยก็จะกึ่งๆ อะนะ
-
คือความเชื่อเนี่ยก็อาจจะไม่ใช่พุทธแท้ 100% นะ
-
แต่มันก็จะมีความคล้ายๆ กับไทยเนี่ยแหละ
-
คนจีนสมัยโบราณนะคะ เชื่อเรื่องเคราะห์กรรมค่ะ
-
ว่า เออ คนเราทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว
-
ทำอะไรไม่ดีมันก็จะต้องมีกรรม ที่จะต้องไปรับกรรมใช่มั้ยคะ?
-
แต่ความเชื่อแบบจีนโบราณเนี่ยนะคะ การทำชั่วขึ้นมาทีเนี่ย
-
มันอาจจะไม่ได้ตกกับตัวเองคนเดียว
-
อาจจะตกไปถึงลูกถึงหลาน
-
ถึงทายาทต่อไปในอนาคตก็ได้ค่ะ
-
ทีนี้อะ ถามว่า แล้วเคราะห์กรรมมันจะตามเราทันตอนไหนนะคะ
-
ก็ต้องบอกนะคะว่า คือตอนช่วงที่เราดีๆ อยู่เนี่ย เป็นปกติ
-
กรรมมันอาจจะตามไม่ทัน ตามทันยากนิดนึงค่ะ
-
แต่ในช่วงในก็ตามนะคะที่เราดวงตก หรือเรื่องว่าชงนั่นน่ะ
-
จะเป็นช่วงที่กรรมเนี่ย ตามเราทันนะคะ
-
อะไรที่เราทำไว้แย่ๆ หรือบรรพบุรุษเราทำไว้แย่ๆ เนี่ย
-
มันก็จะมาผลิดอกออกผลเอาตอนนี้นี่ล่ะค่ะ
-
ที่นี่อะ แล้วถามว่า เออไว้พวกดวงขึ้นดวงลง
-
การชงการไม่ชงเนี่ยมันเกี่ยวข้องกับความเชื่ออะไร?
-
ก็ต้องบอกว่ามันเกี่ยวข้องกับ
-
ความเชื่อเรื่องดาวนพเคราะห์นั่นเองค่ะ
-
เรื่องของเรื่องนะคะ ก็คือบนท้องฟ้าเนี่ย
-
จะมีดาวอยู่ทั้งหมด 7 ดวงค่ะ
-
ที่มีผลต่อดวงชะตาของเรามากๆ
-
น่ะ พูดถึง 7 ดวง หลายคนคิดละว่าดาวลูกไก่แน่ๆ
-
เปล่าค่ะ! มันเป็นดาวในกลุ่มดาวหมีใหญ่
-
หรือว่าที่คนไทยมองว่าเป็นกลุ่มดาวจระเข้นั่นเองนะคะ
-
แต่คนจีนเนี่ย เขามองว่าเป็นกระบวยตักน้ำค่ะ
-
คือเหมือนตัวกระบวย แล้วก็มีที่จับอยู่ตรงข้างๆ ใช่มั้ยคะ
-
ทั้งหมด 7 ดวงค่ะ
-
ซึ่งกลุ่มดาวนี้นะคะ ก็จะอยู่บริเวณใกล้ๆ กับดาวเหนือค่ะ
-
และที่สำคัญ เขาบอกว่ากลุ่มดาวนี้เป็นกลุ่มดาวเสมือน fixed
-
คือประมาณว่าเสมือนกลุ่มดาวที่อยู่กับที่ตลอดเวลา
-
ในขณะที่โลกของเราเนี่ยโคจร
แล้วก็หมุนรอบตัวเองไปเรื่อยๆ ค่ะ
-
ดังนั้นเวลาคนโบราณมองขึ้นไปบนฟ้านะคะ
-
ก็จะเห็นว่าดาวกลุ่มนี้อะ เคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ บนท้องฟ้าค่ะ
-
เหมือนกับที่เราเคยได้ยินมะ "สักวาดาวจรเข้ก็เหหก
-
ศีรษะตกหันหางขึ้นกลางหาว เป็นวันแรมแจ่มแจ้งด้วยแสงดาว"
-
อะไรประมาณอย่างเงี้ย คือที่ดาวจระเข้มันเหหกเนี่ย
-
เพราะว่าช่วงนั้นเป็นช่วงฤดูหนาวค่ะ
-
ดังนั้นนะคะ แต่ละฤดู แต่ละช่วงเวลาในปีเนี่ยนะ
-
กลุ่มดาวกลุ่มนี้มันก็จะเปลี่ยนที่ของมันไปเรื่อยๆ
-
ซึ่งคนสมัยโบราณเนี่ย เนื่องจาก
เขาสังเกตท้องฟ้าตลอดเวลาใช่มั้ยคะ?
-
เขาก็จะสามารถดูกลุ่มดาวพวกนี้ได้ แล้วก็รู้ว่า
-
อ๋อ ตอนนี้เป็นฤดูเก็บเกี่ยวแล้วนะ เป็นนู่นเป็นนี่
-
ดังนั้นค่ะ ก็เลยมีการเอากลุ่มดาวพวกนี้อะ
-
มาผูกกับเรื่องดวงชะตานะคะ ประมาณว่า
-
กลุ่มดาวนี้ไปอยู่ตรงนี้ดวงจะเป็นแบบนั้น
-
กลุ่มดาวนี้ไปอยู่ตรงนั้นก็จะเป็นดวงแบบนี้นะคะ
-
ซึ่งเขาเรียกเทพประจำกลุ่มดาวต่างๆ เหล่านี้นะคะ
-
ว่าปั๊กเต๊านั่นเอง
-
ทีนี้ถามว่าเทพเจ้าปั๊กเต้าเนี่ยมีความสำคัญยังไงนะคะ
-
ก็ต้องบอกว่าเทพองค์นี้เป็นเทพที่ดูแลชะตากรรมของคนค่ะ
-
คือดูแลวันตายนั่นเอง ซึ่งถ้าเราอยากเห็นภาพชัดๆ นะคะ
-
ว่าทำไมคนเราต้องบูชาเทพกลุ่มนี้เนี่ย
-
ต้องไปดูที่นิทานเรื่องนึงค่ะ
-
คือเขาบอกว่าในสมัยโบราณนะคะ นานแสนนานมาแล้ว
-
เรื่องของเรื่องนะคะก็คือมีชายหนุ่มอยู่คนหนึ่งค่ะ
-
ชื่อว่าหยานเทียวนะคะ
-
วันหนึ่งค่ะ หยานเทียวมีโอกาสได้ไปเจอชายแก่คนหนึ่งนะคะ
-
ชื่อว่ากวนลู่ค่ะ ซึ่งกวนลู่เนี่ยนะคะ
-
เป็นคนที่เหมือนเป็นสำเร็จเรียนแล้วในลัทธิเต๋า ประมาณนั้นค่ะ
-
ก็รู้ฟ้ารู้ดินนะคะ ทีนี้อะพอบังเอิญมาเจอกัน
-
กวนลู่อยู่ดีๆ ก็หลุดปากออกมาค่ะ ประมาณว่า
-
"น่าเสียดาย น่าเสียดายจริงๆ"
-
ซึ่งทำให้หยานเทียวนะคะ สงสัยว่าเสียดายอะไรอะ?
-
คืออยากรู้ เออคือสงสัยแล้ว
-
ก็เลยพยายามนะคะ ไปถามกวนลู่ ถามๆๆ ค่ะ
-
สุดท้ายนะคะ กวนลู่ทนไม่ได้ค่ะ
-
เพราะว่าหยานเทียวเนี่ยขอร้องด้วยความสุภาพอ่อนน้อมจริงๆ
-
ดังนั้นกวนลู่ก็เลยเผยลิขิตฟ้าดินนะคะ ให้หยานเซียวรู้ค่ะ
-
ประมาณว่า "อ๋อคือ เจ้าน่ะกำลังจะสิ้นอายุไขแล้วแหละ
-
ในวันสองวันนี้แหละ ข้าก็เลยรู้สึกว่าเสียดาย"
-
ซึ่งพอหยานเซียวได้ยินแบบนั้นนะคะ ก็ตกใจค่ะ
-
รีบกลับบ้านไปหาพ่อตัวเองแล้วก็ไปเล่าให้พ่อฟังค่ะ
-
ดังนั้นพ่อก็เลยพาหยานเซียวกลับมาหากวนลู่อีกรอบหนึ่ง
-
แล้วก็บอกว่า "ช่วยลูกข้าด้วยเถอะๆๆๆ"
-
ซึ่งสุดท้ายแล้วนะคะ กวนลู่ก็ไม่สามารถขัดใจสองพ่อลูกได้ค่ะ
-
ก็เลยแอบบอกอ้อมๆ ประมาณว่า
-
"เออ ก็ถ้าอยากรอดนะ ก็ทำตามีที่ข้าบอกแล้วกัน"
-
"ให้เจ้าเนี่ยไปหาสุราอาหารอย่างดีที่สุดนะ เอาแบบดีมากๆ เลย
-
แล้วก็เอาเนื้อกวางย่างแบบดีที่สุดนะ
-
แล้วหอบทั้งหมดนี้เดินออกไปทางประตูทางทิศใต้ของเมือง
-
พอออกไปแล้วนะเจ้าจะเจอผู้เฒ่า 2 คนกำลังเล่นหมากกันอยู่
-
อย่าไปคิดว่าเขาเล่นบอร์ดเกมแล้วเข้าไปร่วมกับเขา
-
เขากำลังเล่นหมาก ใช้ความคิดอะไรต่างๆ
-
ให้เจ้านะให้เงียบสนิท เข้าไปเนียนๆ ย่องเข้าไป
-
วางเหล้าไว้ใกล้ๆ นะ เอาตรงที่มือเขาคว้าถึง
-
เอาอาหารเอาอะไรวางไว้
-
ระหว่างที่เขาใช้ความคิดเนี่ย เขาจะเผลอกินอาหารของเจ้า
-
พอเขาเล่นเกมเสร็จเมื่อไรนะ เขาหันมาหาเจ้า
-
อย่าพูดอะไรทั้งสิ้น หมอบอยู่ตรงนั้น หมอบให้นิ่ง
-
หมอบให้ชิดพื้นที่สุดแล้วเจ้าจะรอดชีวิต"
-
ซึ่งถามว่าหยานเซียวทำตามมั้ย?
-
หยานเซียวก็บอกว่า เออก็ไม่มีอะไรจะเสีย
-
ก็เลยทำตามที่กวนลู่บอกนะคะ
ก็ไปเตรียมสุราอาหารอะไรต่างๆ
-
แล้วก็เดินออกไปทางทิศใต้ค่ะ
-
ไปถึงก็เจอผู้เฒ่า 2 คนกำลังเล่นหมากอยู่จริงๆ
-
เล่นแบบเคร่งเครียดเลย
-
เล่นแบบ หืมม เคร่งเครียดๆๆ
-
หยานเซียวนะคะก็เอาพวกสุราอาหารเนี่ย
-
วางไว้ใกล้ๆ มือของสองผู้เฒ่า
-
ซึ่งสองผู้เฒ่าก็ขณะที่ใช้ความคิดนะคะ
-
ประมาณว่าแบบ "เอ้ ข้าจะลงหมากอันไหนดี
-
เออ กินเหล้าสักแก้วดีกว่า" ฟึ้บ!
-
"อื้ม กินเหล้าแล้ว กับแกล้มมาดีกว่า กับแกล้ม"
-
ประมาณนี้ กินเหล้าไป เคล้ากับแกล้มต่างๆ
-
เล่นๆๆ เล่นจนชนะแพ้กันเรียบร้อยนะคะ จบเกมค่ะ
-
เพิ่งนึกได้ "เอ๊ะ ตอนเราลงมาเล่นหมากกันเนี่ย
-
เราก็ไม่ได้เตรียมสุราอาหารมานี่นา
-
แล้วไอ้ที่เรากินๆ กันไปเนี่ยของใคร?"
-
ก็เลยก้มหน้าลงไปนะคะ
-
เห็นหยานเซียวกำลังหมอบกราบอยู่แถวนั้นค่ะ
-
ก็พยายามจะถามว่าแบบ "เห้ยเจ้า
-
เจ้ามาทำอะไรอยู่ตรงนี้ เอาอาหารมาให้ข้ากินทำไม?" นะคะ
-
ซึ่งหยานเซียวนะคะ ก็ไม่ตอบ เพราะว่ากวนลู่สั่งเอาไว้ไง
-
ดังนั้นนะคะ พอไม่ตอบๆๆ หนึ่งในสองผู้เฒ่าค่ะ
-
ก็เลยพูดกับเพื่อนตัวเองประมาณว่า
-
"เออ เราก็เผลอกินสุราอาหารของเขาไปแล้วนะ
-
เราก็ต้องตอบแถมเขาหน่อยแล้วล่ะ"
-
"อะ ไหนดูสิ ขอดูสมุดของข้าหน่อย"
-
ว่าแล้วนะคะ ผู้เฒ่าคนหนึ่งก็หยิบสมุดขึ้นมาค่ะ เปิดดูแล้วก็
-
"อ๋ออ ชายหนุ่มคนนี้กำลังจะชะตาขาดในวันนี้นี่นา
-
อืม ตอนอายุ 19 น่าสงสารจริงๆ
-
ไหนๆ เราก็เป็นหนี้บุญคุณเขาแล้ว กลับเลขให้หน่อยแล้วกัน"
-
คนแก่คนนั้นนะคะ ก็คือปั๊กเต้า
-
ที่เป็นคนดูแลวันตายของคนนั่นเอง
-
ปั๊กเต้านะคะ ก็เลยสลับเลขให้กับหยานเซียวค่ะ
-
จากที่ชะตาจะขาดตอนอายุ 19
-
ก็เลยสลับให้กลายเป็น 91 นะคะ ถือว่าเป็นการต่ออายุค่ะ
-
ดังนั้นนะคะ คนจีนก็เลยเชื่อกันว่า เออนี่แหละ
-
การบูชาปั๊กเต้านะคะ หรือบูชาเทพที่ดูแลวันตายของคนเนี่ย
-
ก็จะทำให้เราสามารถต่ออายุยืดอายุกันได้ค่ะ
-
ทุกคนนะคะ ก็เลยหันไปบูชากลุ่มดาวเทพปั๊กเต้านี่ล่ะค่ะ
-
ทีนี้ แล้วถามว่าเกี่ยวอะไรกับการกินเจ?
-
แล้วจาก 7 ดวงเนี่ย กลายเป็น 9 ได้ยังไงนะคะ
-
เขาก็บอกประมาณว่า มันก็มียุคสมัยหนึ่งที่เขาบอกว่า
-
เลข 7 เนี่ยเป็นเลขที่ไม่มงคลเลยของจีน
-
เพราะว่าเกี่ยวพันกับความตายอะไรต่างๆ
-
ก็เลยไปดึงดาวมาอีก 2 ดวงนะคะ
-
หมายถึงว่าไปดึงชื่อดาวอีก 2 ดวงมา
-
ไม่ใช่แบบ อะไรอย่างนี้ ไม่ใช่นะจ้ะ
-
ก็เลยไปดึงชื่อดาวอีก 2 ดวงจากกลุ่มดาวใกล้ๆ เนี่ย
-
มาโปะกันให้กลายเป็นดาว 9 ดวงค่ะ
-
ทีนี้อะ เขาก็บอกว่า เออ การไปบูชา
กลุ่มเทพดาวนพเคราะห์อะไรเหล่านี้
-
จะทำให้สามารถแก้ไขชะตากรรมที่แบบว่า
-
กำลังดวงตก กำลงชงได้ อะไรต่างๆ นะคะ
-
คนก็เลยหันมาถือศีลกินเจอะไรต่างๆ
-
เพื่อบูชาดาวต่างๆ เหล่านี้นี่ละค่ะ
-
ทีนี้อะ ปกติเขาก็จะบูชากัน
-
กินเจกัน ตอนวันพระจีนใช่มั้ยคะ? คือกินกันทุกเดือน
-
เดือนละประมาณครั้งสองครั้ง ครั้งละ 1 วันเท่านั้น
-
แล้วถามว่าอยู่ดีๆ ทำไมถึงกลายเป็นเดือน 9 ได้?
-
ก็ต้องบอกว่าเกี่ยวข้องกับการขึ้นลงของกลุ่มดาวหมีใหญ่
-
กลุ่มดาวจระเข้ กลุ่มดาวกระบวยตักน้ำเนี้ยละค่ะ
-
คืออย่างที่วิวบอก ว่าดาวพวกนี้มันจะ
-
เคลื่อนไปตามที่ต่างๆ ของท้องฟ้าใช่มั้ยคะ
-
เพราะว่าโลกเราเนี่ยโคจรรอบตัวเอง
แล้วก็โคจรรอบดวงอาทิตย์
-
ดังนั้นตอนเดือนมกรามันก็จะอยู่ตรงนี้ เดือนกุมภาอยู่ตรงนั้น
-
ผลัดกันไปตามที่ต่างๆ บนท้องฟ้า
-
บังเอิญว่าช่วงเดือน 9 ตามปฏิทินจีนเนี่ยนะคะ
-
ดาวกลุ่มนี้ดันมาอยู่บริเวณขอบฟ้าค่ะ
-
คือคนเราเนี่ยจะสามารถเห็นดาวกลุ่มนี้ในช่วงเดือน 9 นะ
-
ได้ตอนรุ่งสางกับช่วงหัวค่ำเท่านั้น
-
เพราะว่ามันบังเอิญโคจรมาปรากฎบนฟ้า
ในเวลากลางวันพอดีค่ะ
-
ดังนั้นด้วยแสงอาทิตย์อะไรต่างๆ
-
คนโบราณเขาก็เลยไม่เห็นกลุ่มดาวกลุ่มนี้นะคะ
-
ที่สำคัญ พอมันไปขึ้นตอนหัวค่ำอะไรอย่างเงี้ย
-
มันก็ขึ้นบริเวณใกล้ๆ พื้นดินไง
-
คนสมัยโบราณเขาก็เลยจินตนาการต่างๆ ค่ะ ประมาณว่า
-
อ๋อ สงสัยเหล่าเทพกลุ่มนี้ต้องลงมาโลกมนุษย์ตอนนั้นแน่เลย
-
ถึงไม่อยู่บนฟ้า ดังนั้นพอลงมาเนี่ย
-
ก็จะต้องมาตรวจความเรียบร้อยแน่ๆ ว่า
-
"โอ้ย คนนี้เป็นคนดี อ่า เดี๋ยวเราจะเสริมดวงชะตาให้เขา"
-
"อะ คนนี้เป็นคนไม่ดีเลย เราไม่เสริมดวงชะตาให้เขา"
-
คนจีนในสมัยโบราณค่ะ ก็เลยคิดว่า
-
เออ ฉันจะต้องทำตัวให้เป็นคนดีที่สุด
-
เพื่อที่เทพเจ้าจะได้เห็นฉันแล้วชอบฉัน
-
แล้วก็มาช่วยแก้ดวงชะตาอะไรต่างๆ ให้ฉัน
-
คนจีนในสมัยนั้นก็เลยหันมากินเจในเดือน 9 กันไปหมดเลยค่ะ
-
และนี่ก็คือสาเหตุที่ทำให้คนจีนสมัยโบราณนะคะ
-
หันมากินเจในช่วงเดือน 9 นั่นเองค่ะ
-
เป็นไงบ้างคะ? ได้คำตอบไปมั้ย?
-
แหมะ ลากมายาวนาน หลายตำนานจริงๆ นะคะ
-
เรียกได้ว่าฟังกันมึนเลยทีเดียว
-
เอาเป็นว่าถ้าใครมีตำนานไหนเพิ่มเติม มีตำนานที่แตกต่างกัน
-
อย่างตำนานกู้ชาติ หรือตำนานที่เป็นพระพุทธเจ้าบอก
-
หรืออะไร ก็คอมเมนต์คุยกันด้านล่างได้ค่ะ
-
แล้วไว้มีโอกาสหน้า เดี๋ยวจะมาเล่าตำนานอื่นๆ ให้ฟังอีกนะคะ
-
สำหรับตอนนี้ถ้าใครชื่นชอบคลิปนี้
-
อย่าลืมกดไลก์เป็นกำลังใจให้วิว
-
แล้วก็กดแชร์เพื่อชวนเพื่อนๆ มาดูด้วยกันค่ะ
-
แล้วพบกันใหม่โอกาสหน้านะคะ บ๊ายบาย~
-
สวัสดีค่ะ
-
เอาจริงๆ ตำนานที่เกี่ยวข้องกับการกินเจ
-
และตำนานที่เกี่ยวข้องกับดวงดาวของจีนเนี่ย
มีเยอะมากๆๆ เลยนะคะ
-
แล้วก็หลากหลาย แล้วก็จะมึนๆ นิดนึง
-
เช่น บางคนก็บอกว่าเทพเจ้าปั๊กเต้าเนี่ยมีทั้งหมด 7 องค์
-
เป็นเทพเจ้า 7 บวกกับพระโพธิ์สัตว์อีก 2
-
หรือว่าบอกว่า เออ นับกันเป็นองค์เดียวเลย
-
อย่างที่มาปรากฏในนิทานที่เล่าไปเมื่อกี้อะไรอย่างนี้นะคะ
-
ก็ความเชื่อแหละ เล่าปากต่อปาก
-
มันก็จะมีผิดเพี้ยน มีแต่งเติมอะไรกันบ้างค่ะ
-
เอาเป็นว่าอย่าซีเรียสมาก ฟังให้สนุกแล้วกันค่ะ
-
สำหรับวันนี้ลาไปก่อนนะคะทุกคน บ๊ายบาย~
-
สวัสดีค่ะ