อยากรู้มั้ยคะว่าเรากินเจกันไปทำไม? สวัสดีค่า วิวจากแชแนล Point of View ค่ะ ช่วงเดือน 9 ตามปฏิทินจีนแบบนี้นะคะ เชื่อว่าหลายๆ คน น่าจะเริ่มเห็นตามร้านอาหารต่างๆ เนี่ย เอาธงสีเหลืองๆ มีตัวหนังสือสีแดงๆ มาแปะๆๆๆ กันเต็มไปหมดแล้วนะคะ เพราะว่าตอนนี้เป็นเทศกาลกินเจนั่นเองค่ะ ทีนี้อยากรู้กันมั้ยคะว่า คนไทยเชื้อสายจีนกินเจกันทำไม? แล้วทำไมจะต้องมากินช่วงเดือน 9 แบบนี้? วิวก็ไปหาคำตอบมาให้ทุกคนแล้วค่ะ ซึ่งก่อนที่จะไปฟังกันเนี่ยนะคะ วิวขอบอกไว้ก่อนเลยว่า การกินเจเนี่ยเป็นสิ่งที่ขึ้นอยู่กับความเชื่อค่ะ ดังนั้นขึ้นว่าความเชื่อเนี่ย ความเชื่อของแต่ละคน คนแต่ละกลุ่ม แต่ละลัทธิ อาจจะไม่เหมือนกันนะคะ สิ่งที่วิวไปหามาได้ก็อาจเป็นแค่ลัทธิเดียว หรือว่าความเชื่อของคนกลุ่มเดียวค่ะ ซึ่งวิวลงอ้างอิงไว้ให้ด้านล่างแล้ว ใครที่อยากไปอ่านตามความเชื่อที่วิวหามาเนี่ย ก็สามารถตามอ่านได้ข้างล่างนะคะ ส่วนใครที่ไปเจอความเชื่ออื่นมา ที่บ้านเชื่อแบบอื่น อากง อาม่า เหล่าอึ้ม เหล่ากิ๋มอะไร กินอีกแบบนึง ก็สามารถมาคอมเมนต์กันได้ด้านล่าง เพื่อมาแลกเปลี่ยนกันได้เช่นกันค่ะ แล้วก็ก่อนที่จะไปฟังคำตอบของวิวนะคะว่า ทำไมคนไทยเชื้อสายจีนถึงกินเจ? อย่าลืมกดติดตามวิวให้ครบทุกช่องทางค่ะ จะได้ไม่พลาดคลิปวิดิโอสนุกๆ แล้วก็ข่าวสารดีๆ จากช่อง Point of View ค่ะ โอเค พร้อมจะไปกันเรื่องราวที่ทั้งสนุก แล้วก็ได้สาระกันรึยังคะ? ถ้าพร้อมกันแล้วก็ไปฟังกันเลยค่ะ พูดถึงว่าเรากินเจกันไปทำไมเนี่ย ก่อนจะไปพูดว่ากินเจทำไม เอานี่ก่อนดีกว่าค่ะ กินเจคืออะไร? อะ! หลายคนเข้าใจผิดเรื่องการกินเจนะคะ เข้าใจว่ากินเจก็คือการกินมังสวิรัติยังไงล่ะ ก็ไม่กินเนื้อสัตว์ ขอบอกเลยว่าไม่ใช่เลยค่ะ เพราะว่าคำว่ากินเจ ชื่อเต็มๆ ของมันเนี่ยคือ การถือศีลกินเจ คือกินเจเฉยๆ ไม่ได้นะคะ จะต้องมีการถือศีลประกอบด้วย มีการประพฤติตัวให้อยู่ในศีลธรรม ประพฤติตัวตามทำนองคลองธรรม ทำตัวเองให้สะอาดบริสุทธิ์ที่สุด ดังนั้นหลายๆ คนก็จะใส่ชุดขาว อะไรประมาณอย่างนี้นี่แหละค่ะ นอกจากนี้นะคะ เรื่องอาหารการกินเนี่ย ก็จะไม่เหมือนมังสวิรัติซะทีเดียวค่ะ เพราะว่าก็จะมีการห้ามกินอาหารกลิ่นฉุนด้วย มีเนื้อสัตว์บางชนิดอย่างหอยนางรม ที่ได้รับการยกเว้น อะไรประมาณนี้ค่ะ อย่างไรก็ตามคลิปนี้เราไม่ได้มาพูดถึง เรื่องข้อกำหนดการกินเจกันเนอะ เรามาพูดว่าเรากินเจกันทำไม เออ แล้วเรากินเจกันไปทำไม? ก่อนจะมาพูดว่าคนสมัยปัจจุบันกินเจกันทำไมเนี่ย เราย้อนกลับไปในสมัยอดีตกาล โบราณ น๊านแสนนานมาแล้วดีกว่าค่ะ ว่าคนสมัยโบราณเขากินเจกันทำไม คือในสมัยโบราณเนี่ยนะคะ เรายังไม่ไปพูดถึงการกินเจในช่วงเดือน 9 หรือในช่วงเทศกาลกินเจอะไรนะ เอาแค่กินเจก่อน คนสมัยโบราณเนี่ยเราน่าจะรู้นะคะ ว่าค่อนข้างเกี่ยวพันกับเทพเจ้าค่อนข้างเยอะ โดยเฉพาะคนจีนใช่มะ ทีนี้คนจีนสมัยโบราณค่ะ มีความเชื่อว่า เทพเจ้าไม่ได้คุยกับทุกคนนะคะ คือเทพเจ้าจะคุยกับเฉพาะคนที่เหมาะสมเท่านั้น ซึ่งคนที่เหมาะสมประกอบไปด้วยอะไรบ้าง? 1. อาจจะเป็นโอรสสวรรค์ แบบพวกกษัตริย์ พวกฮ่องเต้อะไรต่างๆ อาจเป็นคนพิเศษที่สวรรค์อยากคุยด้วย และคนที่สะอาดบริสุทธิ์ค่ะ ทั้งกายและใจ ดังนั้นคนที่จะไปคุยไปขอร้องอะไรเทพเจ้า ก็เลยจะต้องอาบน้ำแต่งตัวให้สะอาด ชำระร่างกายให้บริสุทธิ์ ชำระจิตใจให้สะอาด แล้วก็กินเจเนี่ยแหละค่ะ เพราะว่า เออ พอเราไม่กินเนื้อสัตว์อะไรอย่างงี้ เขาจะรู้สึกว่าร่างกายเราสะอาดบริสุทธิ์ไปอีกขั้นหนึ่งค่ะ ซึ่งเรื่องพวกนี้นะคะ ได้รับการบันทึกอยู่ในคัมภีร์หลี่จี้นั่นเองค่ะ คือคัมภีร์หลี่จี้เนี่ยนะ อธิบายถึงสมัยราชวงศ์โจวนะคะ ก็ประมาณ 1,000 - 200 ปีก่อนคริสตศักราชนะคะ ในตอนนั้นเนี่ยเขาบันทึกไว้ว่า เวลาฮ่องเต้มีเรื่องสำคัญเกี่ยวกับบ้านเมือง จะคุยกับสวรรค์เนี่ยนะคะ เช่นแบบว่า ฝนไม่ตก แล้งกันทั้งประเทศแล้ว จะอดตายกันทั้งประเทศแล้ว ฮ่องเต้ก็จะต้องไปคุยกับสวรรค์ใช่มั้ยคะ ในฐานะโอรสสวรรค์ ทีนี้ฮ่องเต้ก็ต้องทำตัวเองให้สะอาดบริสุทธิ์ แล้วก็กินเจนั่นเองค่ะ ซึ่งในสมัยนั้นเนี่ยนะคะ บอกเลยว่า ถ้าเรื่องไม่สำคัญจริงๆ นะคะ ฮ่องเต้จะไม่กินเจค่ะ เพราะว่าการกินเจเนี่ยยากมาก เนื่องจาก นึกสภาพสมัยจีนโบราณ อาหารการกินก็ไม่ค่อยมี ผักก็ไม่ค่อยมี เพราะว่าเป็นเมืองหนาวใช่มะ การจะไปกินเจเนี่ย อู้ย จะกินอะไรละ? ไม่รู้จะกินอะไรดีเลยนะคะ แต่การกินเจเนี่ยได้รับความนิยมมากขึ้นค่ะ ในสมัยราชวงศ์ฮั่น หลังจากที่เกิดเส้นทางสายไหมอะไรต่างๆ เพราะว่าพวกผักผลไม้อะไรต่างๆ ของประเทศอื่นเนี่ย ก็หลั่งไหลเข้าไปในประเทศจีนนะคะ ดังนั้น choice ในการกินเจเนี่ยก็มีมากขึ้นๆ เรื่อยๆ รวมไปถึงเกิดการติดค้นพวกเต้าหู้ แล้วก็ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองต่างๆ ด้วยนะคะ ซึ่งอันนี้ถ้าใครอยากฟังละเอียดก็กดไปตรงนี้ได้เลย เพราะว่าวิวเคยเล่าไว้แล้วว่าทำไมซีอิ้วขาวถึงเป็นสีดำนะคะ อันนั้นก็จะไปพูดถึงเรื่องผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง อย่างละเอียดกว่าตอนนี้นะคะ อย่างไรก็ตามค่ะ เมื่อมีผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง มื่อมีผักผลไม้จากต่างประเทศเข้ามา ก็ทำให้การกินเจเนี่ย เข้าถึงได้ง่ายขึ้น เออ มี choice หลากหลายมากขึ้น การกินเจก็เลยฮิตขึ้นๆๆ ในประเทศจีนนั่นเองค่ะ แต่เราก็ยังไม่ได้ตอบคำถามนะคะว่า เออ แล้วทำไมการกินเจต้องกินที่เดือน 9? การจะตอบว่าทำไมเราต้องมากินเจในช่วงนี้อะ ต้องไปดูที่อีกหนึ่งราชวงศ์ค่ะ ก็คือราชวงศ์เหนือใต้นั่นเองนะคะ ในสมัยนั้นนะคะ พุทธศาสนาเริ่มหลั่งไหลเข้ามาในประเทศจีนค่ะ อิทธิพลของศาสนาพุทธเนี่ยแผ่กระจายไปทั่วเลยนะคะ ซึ่งทำให้เกิดการผสมผสานกันระหว่างความเชื่อพุทธ กับความเชื่อดั้งเดิมเรื่องการกินเจนั่นเองค่ะ คือเราก็รู้กันใช่มั้ยคะว่า ศาสนาพุทธเนี่ยมีหลากหลายนิกายเนอะ ซึ่งในประเทศจีนเนี่ยนิกายก็จะแตกต่างจาก นิกายเถรวาทแบบลังกาวงศ์ที่ชาวไทยนับถือนะคะ ดังนั้นกฏข้อบังคับอะไรต่างๆ มันก็เลยจะต่างกันไป ซึ่งอนุญาตให้พระแบบ ทำอาหารกินเองได้บ้างอะไรบ้างนะคะ แต่เอาจริงๆ คอนเซ็ทป์หลักๆ ก็ยังค่อนข้างจะเหมือนกันค่ะ ก็คือไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ไม่อะไรแบบนี้ใช่มะ ทีนี้ถามว่า เราไปดูที่ประเทศจีนกัน ประเทศจีนเนี่ย ในช่วงฤดูหนาว ถามว่าหนาวมั้ย? หนาว แล้วหนาวขนาดไหน? หนาวมากนะคะ หนาวขนาดที่ว่าในบางพื้นที่เนี่ย พระไม่สามารถออกไปบิณฑบาตรได้ ถูกมั้ย? พอไม่สามารถออกไปบิณฑบาตรได้ก็ต้องทำอะไร? มีการเก็บตุนอาหารอะไรเอาไว้ แล้วก็ต้องมีการทำกับข้าวเองด้วย รวมไปถึงช่วงไหนที่ประเทศจีนยากจนข้นแค้นจริงๆ นะคะ เกิดวิกฤตเศรษฐกิจอะไรต่างๆ ชาวบ้านก็คงไม่มาแบบ ตักบาตรพระหรอก พระก็จะต้องทำอาหารกินเองค่ะ ทีนี้ถามว่าพระทำอาหารกินเอง สามารถฆ่าสัตว์ได้มั้ย? แบบทุบปลากิน อย่างนี้ได้มั้ย? ก็ไม่ได้ค่ะ ดังนั้นนะคะ ก็เลยเกิดการมิกซ์กันค่ะ ระหว่างความเชื่อพุทธกับความเชื่อเรื่องการกินเจเข้าด้วยกันว่า เออไหนๆ ก็ไปบิณฑบาตรไม่ได้ ก็ไม่ต้องกินเนื้อสัตว์แล้วกัน กินเจแล้วกัน จะได้ทำอาหารกินเองได้ ประมาณนั้นนะคะ นอกจากนี้ในบางวัดก็มีการกำหนดข้อกำหนมเพิ่มเติมอีกนะคะ ว่าแบบ เออ นอกจากจะไม่กินเนื้อสัตว์แล้ว เราจะไม่กินปักที่มีกลิ่นฉุน 5 ชนิด ต่อไปนี้บ้าง อะไรอย่างนี้นะคะ พวกนี้ก็ค่อยๆ สืบทอดกันมาเรื่อยๆ จนกลายมาเป็น วิถีชีวิตการกินเจในสมัยปัจจุบันนี้ล่ะน่ะ และที่สำคัญนะคะ ความเชื่อเรื่องการกินเจเนี่ย ก็ไปมิกซ์กับอีกความเชื่อหนึ่งค่ะ ก็คือความเชื่อของลัทธิเต๋านั่นเอง ซึ่งในลัทธิเต๋าบางนิกายนะคะ เน้นว่าบางนิกายเนี่ย ก็มีความเชื่ออีกว่า เออคนที่บวชในลัทธิเต๋าเนี่ยนะ จะต้องกินเจตลอดชีวิต อะไรทำนองนี้นะคะ ทำให้ความเรื่องเรื่องกินเจในจีนเนี่ยนะคะ หลากหลายกันออกไปอีกค่ะ ทีนี้ถามว่าทำไมคนเราถึงเลือกกินเจที่เดือน 9 นะคะ ก็ต้องบอกว่าต้องไปดูที่อีกความเชื่อหนึ่งค่ะ ก็คือความเชื่อเรื่องเคราะห์กรรมนั่นเอง คือคนสมัยโบราณเนี่ยก็จะกึ่งๆ อะนะ คือความเชื่อเนี่ยก็อาจจะไม่ใช่พุทธแท้ 100% นะ แต่มันก็จะมีความคล้ายๆ กับไทยเนี่ยแหละ คนจีนสมัยโบราณนะคะ เชื่อเรื่องเคราะห์กรรมค่ะ ว่า เออ คนเราทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว ทำอะไรไม่ดีมันก็จะต้องมีกรรม ที่จะต้องไปรับกรรมใช่มั้ยคะ? แต่ความเชื่อแบบจีนโบราณเนี่ยนะคะ การทำชั่วขึ้นมาทีเนี่ย มันอาจจะไม่ได้ตกกับตัวเองคนเดียว อาจจะตกไปถึงลูกถึงหลาน ถึงทายาทต่อไปในอนาคตก็ได้ค่ะ ทีนี้อะ ถามว่า แล้วเคราะห์กรรมมันจะตามเราทันตอนไหนนะคะ ก็ต้องบอกนะคะว่า คือตอนช่วงที่เราดีๆ อยู่เนี่ย เป็นปกติ กรรมมันอาจจะตามไม่ทัน ตามทันยากนิดนึงค่ะ แต่ในช่วงในก็ตามนะคะที่เราดวงตก หรือเรื่องว่าชงนั่นน่ะ จะเป็นช่วงที่กรรมเนี่ย ตามเราทันนะคะ อะไรที่เราทำไว้แย่ๆ หรือบรรพบุรุษเราทำไว้แย่ๆ เนี่ย มันก็จะมาผลิดอกออกผลเอาตอนนี้นี่ล่ะค่ะ ที่นี่อะ แล้วถามว่า เออไว้พวกดวงขึ้นดวงลง การชงการไม่ชงเนี่ยมันเกี่ยวข้องกับความเชื่ออะไร? ก็ต้องบอกว่ามันเกี่ยวข้องกับ ความเชื่อเรื่องดาวนพเคราะห์นั่นเองค่ะ เรื่องของเรื่องนะคะ ก็คือบนท้องฟ้าเนี่ย จะมีดาวอยู่ทั้งหมด 7 ดวงค่ะ ที่มีผลต่อดวงชะตาของเรามากๆ น่ะ พูดถึง 7 ดวง หลายคนคิดละว่าดาวลูกไก่แน่ๆ เปล่าค่ะ! มันเป็นดาวในกลุ่มดาวหมีใหญ่ หรือว่าที่คนไทยมองว่าเป็นกลุ่มดาวจระเข้นั่นเองนะคะ แต่คนจีนเนี่ย เขามองว่าเป็นกระบวยตักน้ำค่ะ คือเหมือนตัวกระบวย แล้วก็มีที่จับอยู่ตรงข้างๆ ใช่มั้ยคะ ทั้งหมด 7 ดวงค่ะ ซึ่งกลุ่มดาวนี้นะคะ ก็จะอยู่บริเวณใกล้ๆ กับดาวเหนือค่ะ และที่สำคัญ เขาบอกว่ากลุ่มดาวนี้เป็นกลุ่มดาวเสมือน fixed คือประมาณว่าเสมือนกลุ่มดาวที่อยู่กับที่ตลอดเวลา ในขณะที่โลกของเราเนี่ยโคจร แล้วก็หมุนรอบตัวเองไปเรื่อยๆ ค่ะ ดังนั้นเวลาคนโบราณมองขึ้นไปบนฟ้านะคะ ก็จะเห็นว่าดาวกลุ่มนี้อะ เคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ บนท้องฟ้าค่ะ เหมือนกับที่เราเคยได้ยินมะ "สักวาดาวจรเข้ก็เหหก ศีรษะตกหันหางขึ้นกลางหาว เป็นวันแรมแจ่มแจ้งด้วยแสงดาว" อะไรประมาณอย่างเงี้ย คือที่ดาวจระเข้มันเหหกเนี่ย เพราะว่าช่วงนั้นเป็นช่วงฤดูหนาวค่ะ ดังนั้นนะคะ แต่ละฤดู แต่ละช่วงเวลาในปีเนี่ยนะ กลุ่มดาวกลุ่มนี้มันก็จะเปลี่ยนที่ของมันไปเรื่อยๆ ซึ่งคนสมัยโบราณเนี่ย เนื่องจาก เขาสังเกตท้องฟ้าตลอดเวลาใช่มั้ยคะ? เขาก็จะสามารถดูกลุ่มดาวพวกนี้ได้ แล้วก็รู้ว่า อ๋อ ตอนนี้เป็นฤดูเก็บเกี่ยวแล้วนะ เป็นนู่นเป็นนี่ ดังนั้นค่ะ ก็เลยมีการเอากลุ่มดาวพวกนี้อะ มาผูกกับเรื่องดวงชะตานะคะ ประมาณว่า กลุ่มดาวนี้ไปอยู่ตรงนี้ดวงจะเป็นแบบนั้น กลุ่มดาวนี้ไปอยู่ตรงนั้นก็จะเป็นดวงแบบนี้นะคะ ซึ่งเขาเรียกเทพประจำกลุ่มดาวต่างๆ เหล่านี้นะคะ ว่าปั๊กเต๊านั่นเอง ทีนี้ถามว่าเทพเจ้าปั๊กเต้าเนี่ยมีความสำคัญยังไงนะคะ ก็ต้องบอกว่าเทพองค์นี้เป็นเทพที่ดูแลชะตากรรมของคนค่ะ คือดูแลวันตายนั่นเอง ซึ่งถ้าเราอยากเห็นภาพชัดๆ นะคะ ว่าทำไมคนเราต้องบูชาเทพกลุ่มนี้เนี่ย ต้องไปดูที่นิทานเรื่องนึงค่ะ คือเขาบอกว่าในสมัยโบราณนะคะ นานแสนนานมาแล้ว เรื่องของเรื่องนะคะก็คือมีชายหนุ่มอยู่คนหนึ่งค่ะ ชื่อว่าหยานเทียวนะคะ วันหนึ่งค่ะ หยานเทียวมีโอกาสได้ไปเจอชายแก่คนหนึ่งนะคะ ชื่อว่ากวนลู่ค่ะ ซึ่งกวนลู่เนี่ยนะคะ เป็นคนที่เหมือนเป็นสำเร็จเรียนแล้วในลัทธิเต๋า ประมาณนั้นค่ะ ก็รู้ฟ้ารู้ดินนะคะ ทีนี้อะพอบังเอิญมาเจอกัน กวนลู่อยู่ดีๆ ก็หลุดปากออกมาค่ะ ประมาณว่า "น่าเสียดาย น่าเสียดายจริงๆ" ซึ่งทำให้หยานเทียวนะคะ สงสัยว่าเสียดายอะไรอะ? คืออยากรู้ เออคือสงสัยแล้ว ก็เลยพยายามนะคะ ไปถามกวนลู่ ถามๆๆ ค่ะ สุดท้ายนะคะ กวนลู่ทนไม่ได้ค่ะ เพราะว่าหยานเทียวเนี่ยขอร้องด้วยความสุภาพอ่อนน้อมจริงๆ ดังนั้นกวนลู่ก็เลยเผยลิขิตฟ้าดินนะคะ ให้หยานเซียวรู้ค่ะ ประมาณว่า "อ๋อคือ เจ้าน่ะกำลังจะสิ้นอายุไขแล้วแหละ ในวันสองวันนี้แหละ ข้าก็เลยรู้สึกว่าเสียดาย" ซึ่งพอหยานเซียวได้ยินแบบนั้นนะคะ ก็ตกใจค่ะ รีบกลับบ้านไปหาพ่อตัวเองแล้วก็ไปเล่าให้พ่อฟังค่ะ ดังนั้นพ่อก็เลยพาหยานเซียวกลับมาหากวนลู่อีกรอบหนึ่ง แล้วก็บอกว่า "ช่วยลูกข้าด้วยเถอะๆๆๆ" ซึ่งสุดท้ายแล้วนะคะ กวนลู่ก็ไม่สามารถขัดใจสองพ่อลูกได้ค่ะ ก็เลยแอบบอกอ้อมๆ ประมาณว่า "เออ ก็ถ้าอยากรอดนะ ก็ทำตามีที่ข้าบอกแล้วกัน" "ให้เจ้าเนี่ยไปหาสุราอาหารอย่างดีที่สุดนะ เอาแบบดีมากๆ เลย แล้วก็เอาเนื้อกวางย่างแบบดีที่สุดนะ แล้วหอบทั้งหมดนี้เดินออกไปทางประตูทางทิศใต้ของเมือง พอออกไปแล้วนะเจ้าจะเจอผู้เฒ่า 2 คนกำลังเล่นหมากกันอยู่ อย่าไปคิดว่าเขาเล่นบอร์ดเกมแล้วเข้าไปร่วมกับเขา เขากำลังเล่นหมาก ใช้ความคิดอะไรต่างๆ ให้เจ้านะให้เงียบสนิท เข้าไปเนียนๆ ย่องเข้าไป วางเหล้าไว้ใกล้ๆ นะ เอาตรงที่มือเขาคว้าถึง เอาอาหารเอาอะไรวางไว้ ระหว่างที่เขาใช้ความคิดเนี่ย เขาจะเผลอกินอาหารของเจ้า พอเขาเล่นเกมเสร็จเมื่อไรนะ เขาหันมาหาเจ้า อย่าพูดอะไรทั้งสิ้น หมอบอยู่ตรงนั้น หมอบให้นิ่ง หมอบให้ชิดพื้นที่สุดแล้วเจ้าจะรอดชีวิต" ซึ่งถามว่าหยานเซียวทำตามมั้ย? หยานเซียวก็บอกว่า เออก็ไม่มีอะไรจะเสีย ก็เลยทำตามที่กวนลู่บอกนะคะ ก็ไปเตรียมสุราอาหารอะไรต่างๆ แล้วก็เดินออกไปทางทิศใต้ค่ะ ไปถึงก็เจอผู้เฒ่า 2 คนกำลังเล่นหมากอยู่จริงๆ เล่นแบบเคร่งเครียดเลย เล่นแบบ หืมม เคร่งเครียดๆๆ หยานเซียวนะคะก็เอาพวกสุราอาหารเนี่ย วางไว้ใกล้ๆ มือของสองผู้เฒ่า ซึ่งสองผู้เฒ่าก็ขณะที่ใช้ความคิดนะคะ ประมาณว่าแบบ "เอ้ ข้าจะลงหมากอันไหนดี เออ กินเหล้าสักแก้วดีกว่า" ฟึ้บ! "อื้ม กินเหล้าแล้ว กับแกล้มมาดีกว่า กับแกล้ม" ประมาณนี้ กินเหล้าไป เคล้ากับแกล้มต่างๆ เล่นๆๆ เล่นจนชนะแพ้กันเรียบร้อยนะคะ จบเกมค่ะ เพิ่งนึกได้ "เอ๊ะ ตอนเราลงมาเล่นหมากกันเนี่ย เราก็ไม่ได้เตรียมสุราอาหารมานี่นา แล้วไอ้ที่เรากินๆ กันไปเนี่ยของใคร?" ก็เลยก้มหน้าลงไปนะคะ เห็นหยานเซียวกำลังหมอบกราบอยู่แถวนั้นค่ะ ก็พยายามจะถามว่าแบบ "เห้ยเจ้า เจ้ามาทำอะไรอยู่ตรงนี้ เอาอาหารมาให้ข้ากินทำไม?" นะคะ ซึ่งหยานเซียวนะคะ ก็ไม่ตอบ เพราะว่ากวนลู่สั่งเอาไว้ไง ดังนั้นนะคะ พอไม่ตอบๆๆ หนึ่งในสองผู้เฒ่าค่ะ ก็เลยพูดกับเพื่อนตัวเองประมาณว่า "เออ เราก็เผลอกินสุราอาหารของเขาไปแล้วนะ เราก็ต้องตอบแถมเขาหน่อยแล้วล่ะ" "อะ ไหนดูสิ ขอดูสมุดของข้าหน่อย" ว่าแล้วนะคะ ผู้เฒ่าคนหนึ่งก็หยิบสมุดขึ้นมาค่ะ เปิดดูแล้วก็ "อ๋ออ ชายหนุ่มคนนี้กำลังจะชะตาขาดในวันนี้นี่นา อืม ตอนอายุ 19 น่าสงสารจริงๆ ไหนๆ เราก็เป็นหนี้บุญคุณเขาแล้ว กลับเลขให้หน่อยแล้วกัน" คนแก่คนนั้นนะคะ ก็คือปั๊กเต้า ที่เป็นคนดูแลวันตายของคนนั่นเอง ปั๊กเต้านะคะ ก็เลยสลับเลขให้กับหยานเซียวค่ะ จากที่ชะตาจะขาดตอนอายุ 19 ก็เลยสลับให้กลายเป็น 91 นะคะ ถือว่าเป็นการต่ออายุค่ะ ดังนั้นนะคะ คนจีนก็เลยเชื่อกันว่า เออนี่แหละ การบูชาปั๊กเต้านะคะ หรือบูชาเทพที่ดูแลวันตายของคนเนี่ย ก็จะทำให้เราสามารถต่ออายุยืดอายุกันได้ค่ะ ทุกคนนะคะ ก็เลยหันไปบูชากลุ่มดาวเทพปั๊กเต้านี่ล่ะค่ะ ทีนี้ แล้วถามว่าเกี่ยวอะไรกับการกินเจ? แล้วจาก 7 ดวงเนี่ย กลายเป็น 9 ได้ยังไงนะคะ เขาก็บอกประมาณว่า มันก็มียุคสมัยหนึ่งที่เขาบอกว่า เลข 7 เนี่ยเป็นเลขที่ไม่มงคลเลยของจีน เพราะว่าเกี่ยวพันกับความตายอะไรต่างๆ ก็เลยไปดึงดาวมาอีก 2 ดวงนะคะ หมายถึงว่าไปดึงชื่อดาวอีก 2 ดวงมา ไม่ใช่แบบ อะไรอย่างนี้ ไม่ใช่นะจ้ะ ก็เลยไปดึงชื่อดาวอีก 2 ดวงจากกลุ่มดาวใกล้ๆ เนี่ย มาโปะกันให้กลายเป็นดาว 9 ดวงค่ะ ทีนี้อะ เขาก็บอกว่า เออ การไปบูชา กลุ่มเทพดาวนพเคราะห์อะไรเหล่านี้ จะทำให้สามารถแก้ไขชะตากรรมที่แบบว่า กำลังดวงตก กำลงชงได้ อะไรต่างๆ นะคะ คนก็เลยหันมาถือศีลกินเจอะไรต่างๆ เพื่อบูชาดาวต่างๆ เหล่านี้นี่ละค่ะ ทีนี้อะ ปกติเขาก็จะบูชากัน กินเจกัน ตอนวันพระจีนใช่มั้ยคะ? คือกินกันทุกเดือน เดือนละประมาณครั้งสองครั้ง ครั้งละ 1 วันเท่านั้น แล้วถามว่าอยู่ดีๆ ทำไมถึงกลายเป็นเดือน 9 ได้? ก็ต้องบอกว่าเกี่ยวข้องกับการขึ้นลงของกลุ่มดาวหมีใหญ่ กลุ่มดาวจระเข้ กลุ่มดาวกระบวยตักน้ำเนี้ยละค่ะ คืออย่างที่วิวบอก ว่าดาวพวกนี้มันจะ เคลื่อนไปตามที่ต่างๆ ของท้องฟ้าใช่มั้ยคะ เพราะว่าโลกเราเนี่ยโคจรรอบตัวเอง แล้วก็โคจรรอบดวงอาทิตย์ ดังนั้นตอนเดือนมกรามันก็จะอยู่ตรงนี้ เดือนกุมภาอยู่ตรงนั้น ผลัดกันไปตามที่ต่างๆ บนท้องฟ้า บังเอิญว่าช่วงเดือน 9 ตามปฏิทินจีนเนี่ยนะคะ ดาวกลุ่มนี้ดันมาอยู่บริเวณขอบฟ้าค่ะ คือคนเราเนี่ยจะสามารถเห็นดาวกลุ่มนี้ในช่วงเดือน 9 นะ ได้ตอนรุ่งสางกับช่วงหัวค่ำเท่านั้น เพราะว่ามันบังเอิญโคจรมาปรากฎบนฟ้า ในเวลากลางวันพอดีค่ะ ดังนั้นด้วยแสงอาทิตย์อะไรต่างๆ คนโบราณเขาก็เลยไม่เห็นกลุ่มดาวกลุ่มนี้นะคะ ที่สำคัญ พอมันไปขึ้นตอนหัวค่ำอะไรอย่างเงี้ย มันก็ขึ้นบริเวณใกล้ๆ พื้นดินไง คนสมัยโบราณเขาก็เลยจินตนาการต่างๆ ค่ะ ประมาณว่า อ๋อ สงสัยเหล่าเทพกลุ่มนี้ต้องลงมาโลกมนุษย์ตอนนั้นแน่เลย ถึงไม่อยู่บนฟ้า ดังนั้นพอลงมาเนี่ย ก็จะต้องมาตรวจความเรียบร้อยแน่ๆ ว่า "โอ้ย คนนี้เป็นคนดี อ่า เดี๋ยวเราจะเสริมดวงชะตาให้เขา" "อะ คนนี้เป็นคนไม่ดีเลย เราไม่เสริมดวงชะตาให้เขา" คนจีนในสมัยโบราณค่ะ ก็เลยคิดว่า เออ ฉันจะต้องทำตัวให้เป็นคนดีที่สุด เพื่อที่เทพเจ้าจะได้เห็นฉันแล้วชอบฉัน แล้วก็มาช่วยแก้ดวงชะตาอะไรต่างๆ ให้ฉัน คนจีนในสมัยนั้นก็เลยหันมากินเจในเดือน 9 กันไปหมดเลยค่ะ และนี่ก็คือสาเหตุที่ทำให้คนจีนสมัยโบราณนะคะ หันมากินเจในช่วงเดือน 9 นั่นเองค่ะ เป็นไงบ้างคะ? ได้คำตอบไปมั้ย? แหมะ ลากมายาวนาน หลายตำนานจริงๆ นะคะ เรียกได้ว่าฟังกันมึนเลยทีเดียว เอาเป็นว่าถ้าใครมีตำนานไหนเพิ่มเติม มีตำนานที่แตกต่างกัน อย่างตำนานกู้ชาติ หรือตำนานที่เป็นพระพุทธเจ้าบอก หรืออะไร ก็คอมเมนต์คุยกันด้านล่างได้ค่ะ แล้วไว้มีโอกาสหน้า เดี๋ยวจะมาเล่าตำนานอื่นๆ ให้ฟังอีกนะคะ สำหรับตอนนี้ถ้าใครชื่นชอบคลิปนี้ อย่าลืมกดไลก์เป็นกำลังใจให้วิว แล้วก็กดแชร์เพื่อชวนเพื่อนๆ มาดูด้วยกันค่ะ แล้วพบกันใหม่โอกาสหน้านะคะ บ๊ายบาย~ สวัสดีค่ะ เอาจริงๆ ตำนานที่เกี่ยวข้องกับการกินเจ และตำนานที่เกี่ยวข้องกับดวงดาวของจีนเนี่ย มีเยอะมากๆๆ เลยนะคะ แล้วก็หลากหลาย แล้วก็จะมึนๆ นิดนึง เช่น บางคนก็บอกว่าเทพเจ้าปั๊กเต้าเนี่ยมีทั้งหมด 7 องค์ เป็นเทพเจ้า 7 บวกกับพระโพธิ์สัตว์อีก 2 หรือว่าบอกว่า เออ นับกันเป็นองค์เดียวเลย อย่างที่มาปรากฏในนิทานที่เล่าไปเมื่อกี้อะไรอย่างนี้นะคะ ก็ความเชื่อแหละ เล่าปากต่อปาก มันก็จะมีผิดเพี้ยน มีแต่งเติมอะไรกันบ้างค่ะ เอาเป็นว่าอย่าซีเรียสมาก ฟังให้สนุกแล้วกันค่ะ สำหรับวันนี้ลาไปก่อนนะคะทุกคน บ๊ายบาย~ สวัสดีค่ะ