-
ก เอ๋ย กอไก่
-
ข ในเล้า
-
ฃ ของเรา
-
ค เข้านา
-
ฅ ขึงขัง
-
ฆ ข้างฝา
-
สวัสดีค่ะ วิวจากแชนเนล Point of View ค่ะ
-
แหม ฟังเมื่อกี้วิวท่องไป
-
ก เอ๋ย กอไก่ ข ในเล้า ฃ ของเรา
-
เชื่อว่า ทุกคนที่ฟังอยู่ตรงนี้จะต้องเคยเรียนภาษาไทยใช่ไหมคะ?
-
และที่ท่องไปเมื่อกี้ น่าจะเป็นสิ่งแรกที่ทุกคนจะต้องท่องเลย
-
ว่าแต่ อยากรู้กันไหมคะว่า
-
ไอ้ที่ท่องๆ ไปเมื่อกี้มีที่มาจากไหน?
-
ใครเป็นคนแต่ง?
-
ทำไมจะต้องเป็น ก เอ๋ย กอไก่?
-
ก กาได้ไหม?
-
หรือว่า ก กง ก กุ้ง หรือได้เปล่านะคะ?
-
บังเอิญว่า วิวเนี่ยอยากรู้เรื่องนี้มากๆ ค่ะ
-
ดังนั้นนะคะ วิวก็เลยไปรวบรวมหาคำตอบมา
-
แล้วก็สรุปมาเล่าให้ทุกคนฟังแล้วค่ะ
-
เอาตั้งแต่ต้นกำเนิดเลยนะว่า มันเกิดขึ้นได้ยังไง?
-
ไล่มาจนถึงที่เราท่องๆ กันในปัจจุบัน
-
ที่สำคัญนะคะ ระหว่างฟัง รับรองว่า
-
คุณจะได้รับคำตอบของหลายๆ คำถามที่ถามกันมาใน #วิวเอ๋ยบอกข้าเถิด ค่ะ
-
ไม่ว่าจะเป็นที่มีคนถามมาว่า
-
ทำไม ฑ ต้องเป็น ฑ นางมณโฑ
-
เป็น ฑ อื่นไม่ได้เหรอ?
-
ทำไมจะต้องเป็นชื่อนางในวรรณคดีตัวนี้?
-
หรือหลายๆ คนที่ถามว่า
-
ขอที่มาตัว ฌ หน่อยได้ไหม?
-
แบบ อือฮืม ช่วงนี้ ฌ มาแรงเหลือเกินนะคะ
-
ทั้งจากฝั่งไอดอลและจากฝั่งอีกฝั่งนึงอ่ะนะ
-
เอาเป็นว่า อาจจะไม่ได้คำตอบเป๊ะๆ ในทุกคำถามนะคะ
-
แต่ฟังประวัติที่มาของตัวอักษรกันเนี่ย
-
น่าจะพอได้คำตอบคร่าวๆ แล้วค่ะ
-
ดังนั้นพร้อมจะไปฟังเรื่องราวที่ทั้งสนุก
-
แล้วก็ได้สาระนี้กันหรือยังคะ?
-
ถ้าพร้อมกันแล้ว ก็ไปฟังกันเลยค่ะ
-
ถ้าเราจะพูดถึงที่มาของ ก เอ๋ย กอไก่ ข ในเล้า ฃ ของเราเนี่ยนะคะ
-
อย่างแรกค่ะ เราต้องย้อนเวลากลับไปนะคะ
-
ไปที่ที่มาของ ก ข ค ง ก่อนค่ะ
-
ต้องบอกว่า ในยุคสมัยแรกนะคะ ที่มันมีภาษาไทยเกิดขึ้น
-
หรือมันมีตัวอักษรไทยเกิดขึ้นเนี่ย
-
ตัวอักษรเหล่านี้ยังไม่เคยมีชื่อมาก่อนนะคะ
-
ก็น่าจะเกิดขึ้นมาพร้อมๆ กับภาษาไทยนั่นแหละ
-
ไม่งั้นเราก็คงไม่สามารถเอามาผสมเป็นคำ
-
เป็นอะไรต่างๆ ได้เนอะ
-
แม้ว่าจริงๆ ไอ้พวก ก ข อะไรพวกนี้
-
มันจะมีมาก่อนในภาษาอื่นๆ แล้วก็ตาม
-
แต่เราพูดถึงเฉพาะเวอร์ชันภาษาไทยนะคะ
-
ที่นี้หลังจากที่มันเกิดขึ้นมานะคะ
-
ก็ต้องบอกว่า มันก็ไม่มีชื่อแบบนี้มาเรื่อยๆ
-
เช่นเดียวกับแบบภาษาอังกฤษอ่ะ
-
เห็นไหมว่าทุกวันนี้เราพูดถึงตัว A
-
มันก็คือ A
-
มันก็คือ B มันก็คือ C
-
มันไม่ใช่แบบ อ่อ ตัวนี้ตัว A Ant ตัวนี้ตัว C Cat อะไรอย่างนั้น
-
จะเห็นว่า มันไม่ได้เป็นชื่อทางการใช่ไหมคะ? ของภาษาอังกฤษ
-
เราไม่ได้ใช้เหมือนกันในทุกประเทศทั่วโลก
-
แม้ว่าจะมีระบบที่แบบทำให้บอกง่ายขึ้น
-
อะไรเวลาที่บอกทางโทรศัพท์
-
แต่เวลาที่เรียนหนังสือ เค้าก็ไม่ได้เรียนตามระบบอย่างนั้นใช่ไหม?
-
ทีนี้เช่นเดียวกันค่ะ ตัวหนังสือไทยของเราเนี่ย
-
ก็ไม่มีชื่อมาเรื่อยๆ นะคะ
-
ตั้งแต่สมัยสุโขทัย ไล่มาจนกระทั่งถึงสมัยอยุธยา
-
แม้แต่ในหนังสือจินดามณีนะคะ
-
ซึ่งเป็นแบบเรียนไทยเล่มแรกเนี่ย
-
ก็ยังไม่ได้มีการระบุชื่ออะไรต่างๆ
-
จินดามณี นี่ก็คือเล่มที่บูมๆ กันว่า พระโหราธิบดีเขียน
-
ที่อยู่ในเรื่องบุพเพสันนิวาสก็คือ
-
คุณลุงของแม่การะเกดเป็นคนเขียนนั่นแหละค่ะ
-
นั่นเลยนะคะ
-
ในนั้นเนี่ย เวลาที่จะสอนเรื่อง ก ข ค ง อะไรต่างๆ
-
เค้าก็ไม่ได้มีการตั้งชื่อว่าเป็น ก ไก่ ข ไข่ อะไรนะคะ
-
แต่ว่าในนั้นเนี่ย ก็คือจะเหมือนกับยกตัวอย่างขึ้นมาเลยว่า
-
นี่คือตัว ก
-
วิธีใช้ตัว ก ก็คือ...
-
แล้วก็ไล่คำที่ใช้ตัว ก เนี่ย ปึ้บๆๆ มานะคะ
-
เพื่อให้เด็กเนี่ย ท่องจำไปเรื่อยๆ ค่ะ
-
จินดามณีในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเนี่ย
-
ก็ยังเป็นลักษณะนั้นอยู่
-
ยังไม่ได้มีชื่อ ก ไก่ ข ไข่ อะไรต่างๆ นะคะ
-
ไล่มาจนกระทั่งถึงจินดามณีในสมัยของรัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ของเราเนี่ย
-
ก็ยังไม่มีชื่อเช่นเดียวกันค่ะ
-
แล้วทีนี้ถามว่า ความเปลี่ยนแปลงของตัวหนังสือเนี่ย เกิดขึ้นได้ยังไง?
-
ทำไมอยู่ดีๆ มันถึงเริ่มมีชื่อขึ้นมานะคะ?
-
บอกเลยว่า มันไปเกี่ยวกับวงการๆ นึงค่ะ
-
และจะเป็นวงการที่หลายคนตกใจนะคะว่า
-
เอ้า แล้วมันมาเกี่ยวกับวงการตัวอักษรได้ยังไง?
-
มาเกี่ยวกับการเรียนหนังสือได้ยังไง?
-
วงการนั้นก็คือ วงการหวย นั่นเองค่ะ
-
เอ้า หวยมาเกี่ยวอะไรกับการตั้งชื่อตัวอักษรนะคะ?
-
ก็ต้องบอกว่า ในยุคสมัยก่อนรัชกาลที่ 3 ค่ะ
-
ที่ประเทศจีนเนี่ย มีการคิดค้นหวยชนิดนึงขึ้นนะคะ
-
เป็นหวยที่น่าสนใจมากก็คือ
-
เค้าเนี่ย จะเอากระดาษ หรือว่าแผ่นไม้เนี่ยนะคะ
-
ขึ้นมาค่ะหลายๆ แผ่น
-
ประมาณ 30 กว่าแผ่นเนี่ย
-
แล้วมีการเขียนชื่อคนเนี่ย ลงไปในกระดาษ หรือในแผ่นไม้แต่ละแผ่นนะคะ
-
หลังจากนั้น เจ้ามือหวยเนี่ยก็จะมีการหยิบเอาชื่อคนนึงเนี่ย
-
เอาไปซ่อนไว้บนหลังคาค่ะ
-
แล้วก็เปิดให้ทุกคนแทงกันนะคะว่า
-
เฮ้ย ชื่อที่เราหยิบออกไปเนี่ย เป็นชื่อของใครกันแน่?
-
ทุกคนก็มีการลงเงินกัน
-
ใครแทงถูกก็ได้เงินไป ถูกต้องไหมคะ?
-
ทีนี้ต้องบอกว่า หวยชนิดนี้ค่อนข้างจะแพร่หลาย
-
และได้รับความนิยมมากๆ ในประเทศจีนค่ะ
-
ดังนั้นเมื่อถึงสมัยรัชกาลที่ 3 ของไทยนะคะ
-
แน่นอนว่า ในยุคสมัยนั้นเป็นยุคสมัยที่เราค้าขายกับคนจีนเยอะมาก
-
ถูกต้องไหม?
-
มีความสัมพันธ์ มีความเกี่ยวข้องกับคนจีนเยอะมาก
-
มีการค้าขายสำเภากัน
-
และในช่วงสมัยรัชกาลที่ 3 ค่ะ
-
เกิดเหตุการณ์นึงขึ้นในบ้านเมืองนะคะก็คือ
-
เหตุการณ์ข้าวยากหมากแพงค่ะ
-
เกิดเงินฝืดขึ้น
-
คือมีความอดยากอยากแค้นอะไรต่างๆ
-
ทำให้ประชาชนเนี่ย รู้สึกว่า เฮ้ย ฉันไม่มีเงินใช้
-
นี่มันอะไร? ข้าวยากหมากแพง
-
ฉันจะต้องเก็บเงินตุนไว้ อย่าเอาออกมาใช้เลยนะคะ
-
ซึ่งพอคนยิ่งไม่เอาเงินออกมาใช้
-
ก็ไม่มีเงินเข้าไปในระบบเศรษฐกิจใช่ไหมคะ?
-
ดังนั้นมันก็เลยเกิดภาวะที่เรียกว่า ภาวะเงินฝืดขึ้น
-
อ่ะ อันนี้ค่อนข้างที่จะเป็นปัจจุบันนะคะ
-
ปัจจุบันก็ยังเป็นแบบนี้อยู่นี้นะ
-
ตามหลักเศรษฐศาสตร์อะไรต่างๆ
-
ซึ่งเมื่อเกิดภาวะเงินฝืดขึ้นเนี่ย
-
ถ้าเป็นสมัยปัจจุบัน เราเรียนเศรษฐศาสตร์กันมา
-
เราก็จะรู้ว่า รัฐบาลต้องแก้ไขด้วยการกระตุ้นให้ประชาชนเนี่ยใช้จ่าย
-
ถูกต้องไหมคะ?
-
จะได้มีเงินเข้าไปหมุนในระบบ
-
พอคนเริ่มใช้เงิน
-
อ่ะ ร้านค้าก็ได้กำไรอะไรต่างๆ
-
เหมือนกับช่วงนี้แหละที่เค้าพยายามโปรโมทกันว่า
-
ให้คนไทยไปช่วยเท่ียวไทย อะไรอย่างนี้นะคะ
-
นี่ก็เป็นมาตรการจัดการเงินฝืดแบบนึงนะ
-
ซึ่งเมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 เนี่ยนะคะ
-
มันก็จะต้องมีการพยายามกระตุ้นจากรัฐบาลในยุคนั้นค่ะว่า
-
ทำยังไงดีที่จะทำให้ทุกคนออกมาใช้เงินกัน?
-
แน่นอนค่ะว่า ในสมัยรัชกาลที่ 3 เนี่ย
-
ความฟุ้งเฟ้ออย่างนึงที่เรียกได้ว่า
-
ประชาชนในยุคนั้นเนี่ย เค้านิยมกัน
-
ก็คือ การสูบฝิ่น นะคะ
-
แต่ว่าตอนนั้นเนี่ย รัชกาลที่ 3 ไม่ค่อยปลื้มค่ะ
-
ประมาณว่า เออ ไม่อยากให้ทุกคนสูบฝิ่นนะคะ
-
ก็เลยมีการเผาทำลายฝิ่นต่างๆ ไป
-
ดังนั้นคนก็เลยไ่ม่มีที่เอาเงินไปลงค่ะ
-
ก็เลยไม่รู้จะเอาเงินไปใช้ฟุ่มเฟือยอะไร?
-
จะเอาไปซื้อเครื่องอุปโภคบริโภค?
-
สมัยก่อนก็ไม่ต้องซื้อขนาดนั้น
-
ก็สามารถทำเองขึ้นมาได้ใช่ไหมคะ?
-
ปรากฎว่ามีคนจีนคนนึงเนี่ยนะคะ
-
ชื่อว่า จีนหง ค่ะ
-
ก็เลยเข้าไปกราบบังคมทูลรัชกาลที่ 3 นะคะ บอกว่า
-
เออ จริงๆ แล้วเหตุการณ์นี้ อั๊วว่า มันเกิดขึ้นในประเทศจีนค่อนข้างบ่อยน้า
-
ซึ่งเวลาที่เกิดในประเทศจีนเนี่ย
-
เค้าก็มีวิธีแก้กันอยู่ ก็คือ การออกหวย นั่นเอง
-
พอออกหวยมาเนี่ย
-
คนชอบเล่นพนัน คนก็จะเอาเงินไปเล่นพนัน
-
เงินก็จะเข้าไปในระบบ แล้วก็มีการใช้จ่ายเกิดขึ้น
-
เงินฝืดก็จะหายไป
-
น่ะ ทำไมทำเสียงจีนได้ธรรมชาติขนาดนี้?
-
เหมือนไม่ได้แกล้งทำ เหมือนพูดเป็นปกตินะคะ
-
อย่างไรก็ตาม ช่างมันค่ะ
-
กลับมาที่จีนหงของเรานะคะ
-
หลังจากที่จีนหงแนะนำแบบนี้ไปนะคะ
-
แน่นอนว่า รัชกาลที่ 3 ก็เห็นด้วยค่ะ
-
ดังนั้นก็เลยเกิดหวยขึ้นในประเทศไทยนะคะ
-
ทีนี้พอเอาหวยแบบนี้เนี่ยนะคะมาใช้ในไทยเนี่ย
-
ก็ต้องบอกว่า คนไทยสมัยก่อน จำชื่อคนจีนไม่ได้ค่ะ
-
เพราะว่ามันไม่คุ้นหูไง
-
เหมือนแบบเราเล่นโปเกมอนวันแรกอ่ะ
-
เราก็จำชื่อโปเกมอนไม่ได้หรอกว่า
-
อะไรแบบไนจู ปิกาจู อะไรก็ไม่รู้ ชื่องงๆ เต็มไปหมดนะคะ
-
ดังนั้นก็เลยมีการตั้งชื่อด้วยการเอาตัวอักษรไทยเนี่ยค่ะ
-
ใส่เข้าไปนะคะ
-
คนจะได้จำได้
-
แต่ไม่ได้ใส่ทุกตัวเนอะ ก็ตัดๆ ตัวที่มันซ้ำบ้างอะไรบ้างออกไปค่ะ
-
สุดท้ายนะคะก็เลยกลายเป็นตัวอักษรไทยทั้งหมด 36 ตัวเนี่ย
-
ประกบกับชื่อคนจีนที่เป็นหวยดั้งเดิมนะคะ
-
เค้าเรียกหวยชนิดนี้ว่า หวย ก ข ค่ะ
-
ส่วนใครที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย
-
ไม่เคยรู้เลยว่า เอ๊ แล้วตัวอักษรที่มันประกบกับชื่อคนจีน มันเป็นยังไง อะไรยังไงนะคะ?
-
ขออนุญาตอ่านให้ฟังสักเล็กน้อยนะคะ
-
เพราะว่าอันนี้เราอาจจะไปเจอตามพวกนิยายเก่าๆ อะไรต่างๆ
-
จะได้พอเก็ทไงว่า เค้าพูดถึงอะไร
-
ยกตัวอย่างเช่น ในเรื่องสี่แผ่นดินก็มีการพูดถึงเรื่องหวย ก ข อันนี้เหมือนกัน
-
ดังนั้นนี่แหละค่ะ เค้าก็จะประกบกันแบบนี้นะคะ
-
เช่น ก สามหวย ข ง่วยโป๊
-
ฃ เจียมฃวย ค เม่งจู
-
ฅ ฮะตั๋ง ฆ ยี่ซัว
-
ง จีเกา ฉ ขายหมู
-
อะไรประมาณนี้ แบบที่ขึ้นให้ดูตรงน้ีนี่แหละค่ะ
-
มันก็จะเรียงๆ กันไปใช่ไหมคะ?
-
ทีนี้เนี่ย หลังจากที่หวยชุดนี้ออกมานะคะ
-
ก็บอกเลยว่า บูมเป็นพลุแตกค่ะ
-
เพราะว่าคนไทยของเราก็เป็นคนที่ค่อนข้างจะชื่อชอบการพนันอยู่แล้วใช่ไหมคะ?
-
เล่นถั่วเล่นโปกันมาตั้งแต่สมัยอยุธยา
-
เจอหวยที่เป็นการพนันชนิดใหม่เข้าไป
-
แหม ติดกันระนาวนะ
-
เรียกได้ว่าก็กระตุ้นเศรษฐกิจกันไปนะคะ
-
อย่างไรก็ตามค่ะ เราจะไม่ไปพูดถึงเรื่องการกระตุ้นเศรษฐกิจอะไรต่างๆ
-
เราจะมาพูดถึงเรื่องตัวอักษรกันว่า
-
ในยุคสมัยแรกเนี่ยนะคะ เราใช้ตัวอักษรเพื่อจำชื่อหวย ถูกต้องไหม?
-
แต่ว่า พอเล่นไปเรื่อยๆ นะคะ
-
เกิดความชอบ เกิดความอิน
-
ต่อให้ชื่อมันจะ 36 ชื่อ เราก็จำได้ค่ะ
-
เหมือนกับบางคนก็ท่องชื่อโปเกมอนร้อยกว่าตัว สองร้อยกว่าตัวได้
-
ประมาณนั้นเลยนะคะ
-
ดังนั้นค่ะพอมันเกิดความชอบ เกิดการจำชื่อหวยได้เนี่ย
-
มันก็เกิดกลับกันขึ้น
-
ประมาณว่า แต่ก่อนเราบอกว่า เอ๊ เราจะซื้อสามหวยเนี่ย
-
เราจำไม่ได้ เราต้องบอกว่า เราจะซื้อหวย ก
-
แต่พอเราจำคำว่า สามหวยได้ปุ๊บ
-
เราก็บอกว่า เราจะซื้อสามหวย
-
แล้วสามหวยก็คือ ตัว ก นั่นเอง
-
เหมือนกับว่า มันพูดกลับไปอีกทางนึงอ่ะค่ะ
-
แล้วถามว่า เกิดอะไรขึ้น?
-
แน่นอนนะคะว่า ต่อให้ตัดตัวอักษรที่มันเสียงซ้ำกัน อะไรออกไปบ้างแล้ว
-
มันก็ยังมีตัวอักษรอีกหลายตัวค่ะ ที่เสียงซ้ำกันแล้วก็มาปรากฎเป็นชื่อหวย
-
ยกตัวอย่างเช่น ข กับ ฃ
-
ซึ่งตอนนั้นยังเป็น ข กับ ฃ เหมือนกันเป๊ะอยู่เลย
-
แค่หน้าตามันต่างกัน แล้วก็ใช้สะกดคำต่างกันนะคะ
-
ดังนั้นคนสมัยก่อนเนี่ย เวลาที่จะเขียนหนังสือ
-
แล้วมีคนถามว่า เอ๊ ตัวนี้สะกดด้วยขอไหนนะ?
-
ข หรือ ฃ?
-
คือเค้ายังไม่มีคำว่า ข กับ ฃ
-
เค้าก็เลยเอาชื่อหวยเข้ามาแทนค่ะว่า
-
โอ๊ย คำนี้สะกดด้วย ข ง่วยโป๊ นะไม่ใช่ ฃ เจียมฃวย
-
ประมาณนั้นเลยนะคะ
-
ดังนั้นมันก็เลยเกิดการเอาชื่อหวยเนี่ย มาเรียกเป็นตัวอักษรตั้งแต่นั้นมาค่ะ
-
และแล้วคนไทยนะคะ ก็ใช้วิธีนี้เรียกชื่อตัวอักษรมาเรื่อยๆ ค่ะ
-
จนกระทั่งถึงสมัยรัชกาลที่ 5 นะคะ
-
ปรากฎว่า มีคนๆ นึงค่ะ เค้าเกิดรู้สึกขึ้นมาว่า
-
เฮ้ย ทำไมเราต้องเอาชื่อหวยมาเป็นชื่อตัวอักษรเราด้วยอ่ะ?
-
คือเวลาที่เราจะสอนหนังสือเด็ก
-
เราก็จะต้องไปสอนเล่นหวยด้วยเหรอ? หรืออะไรนะ?
-
มันไม่ healthy เท่าไหร่เลย
-
เราควรจะมีชื่อตัวอักษรที่เป็นชื่อตัวอักษรจริงๆ หรือเปล่านะ?
-
คนคนนั้นนะคะ ก็คือ พระยาศรีสุนทรโวหาร ค่ะ
-
เดี๋ยวก่อนทุกคน ก่อนที่หลายคนจะเข้าใจว่า
-
อุ๊ย ชื่อคุ้นๆ นี่จะต้องเป็นช่ือของสุนทรภู่ใช่ไหม?
-
ต้องบอกว่า ไม่ใช่นะคะ
-
สุนทรภู่คือ พระสุนทรโวหาร ค่ะ
-
อันนี้คือ พระยาศรีสุนทรโวหาร หรือว่า น้อย อาจารยางกูร นะคะ
-
เป็นคนที่เขียนตำราเรียนภาษาไทยต่างๆ อ่ะนะ
-
ท่านเนี่ยนะคะ เริ่มคิดขึ้นมาก่อนว่า ทำไมเราจะต้องเอาชื่อหวยมาสอนเด็กด้วย?
-
ดังนั้นท่านก็เลยตั้งชื่อตัวอักษรของท่านเองค่ะ
-
แล้วก็นำไปสอนในกูหลวงนะคะ หรือว่าโรงเรียนหลวงที่ท่านสอนอยู่
-
โดยตั้งชื่อนะคะ เน้นตัวที่พ้องเสียงกันค่ะ
-
เช่น ข กับ ฃ อะไรแบบนี้นะ
-
เพื่อให้เด็กจำง่ายๆ ค่ะ
-
แต่ว่ายังไม่เป็น ข ยังไม่เป็น ฃ นะคะ
-
ชื่อที่ท่านตั้งมาเนี่ย ก็เช่น ข ขัดข้อง ฃ อังกุษ
-
ค คิด ฅ กัญฐา
-
ฆ ระฆัง ช ชื่อ
-
ฌ ฌาน ญ ญาติ
-
ฎ ชฎา ฏ รกชัฏ
-
ฐ สันฐาน ฑ บิณฑบาต
-
ฒ จำเริญ
-
พอฟังแบบนี้ไป อ่านตรงนี้ไป
-
หลายคนก็จะแบบ เฮ้ย บางตัวมันไม่เห็นได้สะกดด้วยตัวนั้นเลย
-
เช่น ตัว ข ขัดข้องเนี่ย
-
ใช่ มันใช้ ข จริง ทั้งขัด ทั้งข้องเลย
-
แต่ว่า เอ๊ะ แล้ว ฃ อังกุษ มันเกี่ยวอะไร?
-
คำว่า ฃ อังกุษ ไม่เห็นมีการใช้ตัว ฃ เลยแม้แต่นิดเดียวนะคะ
-
ก็ต้องบอกว่า ท่านไม่ได้เน้นการสะกดขนาดนั้นค่ะ
-
ท่านเน้นทำยังไงก็ได้ให้เด็กจำได้นะคะ
-
ดังนั้นบางอันก็เป็นตัวที่ใช้ตัวนั้นสะกด
-
บางอันเนี่ย ก็เป็นคำที่เป็นความหมายของตัวอักษรนั้นๆ
-
แล้วก็เป็นคำที่นิยมจะใช้ตัวนั้นสะกดนะคะ
-
เช่น คำว่า ฃ อังกุษ เนี่ย
-
อังกุษ แปลว่า ขอไอ้ที่มันเอาไว้เกี่ยวช้างอ่ะค่ะ
-
ที่ไว้สับช้าง ขอสับช้าง ประมาณนั้น
-
ดังนั้นเวลาพูดถึงอะไรที่เป็นแบบขอ แบบงอๆ อย่างนี้
-
สมัยก่อนเค้าใช้ ฃ สะกดค่ะ
-
เห็นไหมก็จำง่าย
-
หรือว่าอีกตัวนึงนะคะ
-
ก็คือ ค คิดกับ ฅ กัณฐา
-
อันนี้ค คิด ชัดเจนมากว่า คำว่า คิด เนี่ยใช่ ค ควายใช่ไหม?
-
แต่กัณฐาเนี่ย เกี่ยวอะไรกับ ฅ?
-
ต้องบอกว่า คำว่า กัณฐา เนี่ยนะคะ
-
คือคำว่า กัณฐะ เหมือนคำว่า ทศกัณฐ์ นั่นแหละค่ะ
-
ที่แปลว่า คอ นะคะ
-
ทศกัณฐ์คือ ผู้ที่มี 10 คอ ถูกต้องไหม?
-
ดังนั้นตัว ฅ สมัยก่อนนะคะ
-
เค้าไม่ใช้เขียนคำว่า คน ค่ะ
-
แต่เค้าใช้เขียนคำว่า คอ ที่แปลว่าแบบ คอ แบบ neck อย่างนี้
-
เช่นอะไรที่เกี่ยวข้องกับคอ
-
อย่างคอเสื้อเนี่ยนะคะ
-
ก็จะเขียนด้วย ฅ นั่นเองค่ะ
-
ที่น่าสนใจจุดนึงนะคะ ก็คือตัว ฌ นั่นเอง
-
ที่หลายๆ คน สงสัยว่า เอ๊ย มันเป็น ฌ ตั้งแต่เมื่อไหร่?
-
ตอนนี้มันยังไม่เป็น ฌ นะคะ
-
เพราะว่าถ้าไปสังเกตดีๆ จะเห็นว่า มันเป็น ฌ ฌานค่ะ
-
ก็คือ การเข้าฌาน อะไรต่างๆ อยู่นะคะ
-
ซึ่งเดี๋ยวมันจะเปลี่ยนเป็น ฌ เฌอ ตอนไหน?
-
เดี๋ยวเรามาดูกันค่ะ
-
แต่เราก็จะเห็นนะคะว่า ท่านเนี่ยไม่ได้คิดขึ้นมาจนครบ 44 ตัว
-
ท่านคิดเฉพาะตัวที่แบบซ้ำกัน
-
เช่น เวลาบอกรอ
-
เอ๊ะ รอไหน? ร? ล? ฤ? ร อะไรต่างๆ
-
ก็จะแบบ อ่ะ ตั้งชื่อให้มัน
-
หรือว่า ข นี่ ข ไหน?
-
อ่ะ ก็จะตั้งชื่อให้มันค่ะ
-
แต่ว่าอย่างไรก็ตามนะคะ เราก็ถือว่าท่านก็เป็นบุคคลสำคัญคนนึง
-
ที่เริ่มการตั้งชื่อตัวอักษรขึ้นมาค่ะ
-
และแล้วนะคะ วิวขอ fast forward นิดนึงค่ะ
-
จากกลางสมัยรัชกาลที่ 5 มาที่ปลายสมัยรัชกาลที่ 5 นะคะ
-
เมื่อปีพุทธศักราชที่ 2442 ค่ะ
-
มีคนสำคัญแห่งยุคคนนึงนะคะ
-
ทำแอคชันๆ นึงขึ้นมา
-
แล้วก็ส่งผลกระทบมาจนถึง ก เอ๋ย กอ ไก่ ของเราในปัจจุบันนี้ค่ะ
-
คนๆ นั้นนะคะ ต้องบอกว่า พระองค์นั้นดีกว่า
-
ก็คือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ นะคะ
-
กรมพระยาดำรงราชานุภาพ นั่นเอง
-
แหม ชื่อนี้คุ้นจริงๆ
-
เพราะว่าท่านทำแทบทุกอย่างเลยนะคะ
-
ซึ่งถามว่า ท่านทำอะไร?
-
ท่านเนี่ย แต่งหนังสือเรียนขึ้นมาเล่มนึงค่ะ
-
เรียกว่า แบบเรียนเร็วเล่ม 1 นะคะ
-
ทีนี้ถามว่า เอ้า แล้วทำไมต้องเรียนเร็ว แล้วเรียนช้าเป็นยัไง?
-
ก็ต้องบอกว่า ท่านที่เมื่อกี้เราพูดถึงไปเนี่ยนะคะ
-
ก็คือ พระยาศรีสุนทรโวหาร หรือว่า น้อย อาจารยางกูร
-
คนที่วิวบอกว่า แต่งหนังสือเรียนมาก่อนเนี่ยนะคะ
-
ก็คือ คนที่แต่งหนังสือเรียนหลวงเนี่ย
-
ท่านเคยแต่งหนังสือเรียนขึ้นมาทั้งหมด 6 เล่มค่ะ
-
เป็นตำราเล่าเรียนหลวงนะคะ
-
ชื่อคล้องจองกันสวยงามกันมากว่า
-
มูลบทพรรกิจ วาหนิติ์นิกร
-
อักษรประโยค สังโยคพิธาน
-
ไวพจน์พิจารณ์ พิศาลการันต์ นะคะ
-
ก็เป็นแบบเรียนที่ยาวมากนะคะ
-
ถึง 6 เล่มจบ
-
คือเรียกได้ว่า คุณจะต้องเรียน 6 เล่มจบเนี่ย
-
ถึงจะอ่านภาษาไทยออก
-
ทีนี้ถามว่า ในสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นยุคก่อนสมัยรัชกาลที่ 6
-
ถูกต้องไหม?
-
ฟังดูกำปั้นทุบดินมาก
-
แต่ว่าสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 6 ก็คือ
-
พระราชบัญญัติประถมศึกษา ใช่ไหมคะ?
-
ที่มีการบังคับให้เด็กเนี่ย จะต้องไปเข้าเรียนทุกคน อะไรต่างๆ
-
ดังนั้นในสมัยรัชกาลที่ 5 เนี่ย
-
ไม่มีการบังคับให้เข้าเรียนค่ะ
-
สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ เด็กๆ เนี่ยมาโรงเรียนนะคะ
-
แล้วก็ไม่ได้เรียนตลอดเวลา
-
บางคนมาเรียน อ่ะ เรียนครึ่งเทอม
-
อ่ะ ได้เวลาหน้าทำนาละ
-
ขอกลับไปช่วยพ่อแม่ทำนาก่อน
-
เดี๋ยวทำนาเสร็จ ค่อยกลับมาเรียนต่อนะคะ
-
แล้วหนังสือ 6 เล่มยาวขนาดนี้
-
เกิดอะไรขึ้น?
-
เด็กลืมค่ะ
-
เรียนเล่มแรกไปครึ่งเล่ม
-
กลับมา เอ้า เค้าขึ้นเล่ม 3 แล้ว
-
เรียนไม่รู้เรื่องนะคะ
-
อ่านหนังสือไม่ออก
-
ดังนั้นเมื่อมีการปฏิรูปการศึกษาขึ้น
-
ในช่วงปลายรัชสมัยของสมัยรัชกาลที่ 5 เนี่ยนะคะ
-
สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพเนี่ยนะคะ
-
ก็เลยแต่งหนังสือเรียนขึ้นมา ชื่อว่า แบบเรียนเร็ว ค่ะ
-
เพื่อที่ว่าจะได้ให้เด็กเนี่ยเรียนเล่มนี้เล่มเดียว
-
แล้วก็อ่านหนังสือออกนะคะ
-
ทีนี้นอกเรื่องเวิ่นเว้อไปซะไกล
-
ถามว่า ในเล่มนี้มีอะไรสำคัญ?
-
ในเล่มนี้สำคัญเพราะว่า พระองค์เนี่ยคิดว่า
-
เออ ไหนๆ ก็ไหนๆ
-
มีการตั้งชื่อตัวอักษรมาแล้ว
-
ตั้งแต่สมัยพระยาศรีสุนทรโวหาร
-
ทำไมเราไม่ตั้งให้ครบทุกตัวเลยล่ะ?
-
เราจะได้มีชื่อเรียกตัวอักษรทุกไง
-
และที่สำคัญ บางตัวเนี่ยมันจะต้องมีการตีความ
-
จะต้องมีอาจารย์มานั่งอธิบาย
-
เช่น ฃ อังกุษ
-
เด็กเพิ่งอ่านหนังสือ ใครจะไปเข้าใจ?
-
หรือว่า ฅ กัณฐา เนี่ย เด็กที่ไหนจะไปเข้าใจ?
-
เราตั้งชื่อง่ายๆ ด้วยตัวหนังสือที่ใช้ตัวนั้นสะกด
-
แบบไม่ต้องตีความเลยดีกว่า
-
ดังนั้นนะคะ ท่านก็เลยตั้งชื่อตัวอักษรขึ้นมาค่ะ
-
เรียกได้ว่า ครบทั้ง 44 ตัวอักษรขึ้นเป็นครั้งแรกของประเทศไทยนะคะ
-
และทั้ง 44 ตัวเนี่ยก็เหมือนกับที่เราท่องทุกวันนี้นี่แหละ
-
ก็คือ ก ไก่ ค ควาย ง งู อะไรต่างๆ นะคะ
-
แต่ว่าจะมีอยู่ทั้งหมด 2 ตัวนะคะที่แตกต่างกัน
-
ที่วิวไปนั่งอ่านตัวแบบเรียนเร็วมานะ
-
ก็คือตัว ฅ ค่ะ
-
ซึ่งปัจจุบันเราเป็น ฅ คน ใช่ไหม?
-
แต่ว่าสมัยนั้นเค้าคือ ฅ ฅอ เลย
-
คอแบบคออ่ะ คออ่ะค่ะ
-
เพราะว่าคำว่า คน สมัยก่อนใช้ ค
-
แต่ว่าคำว่า คอ ที่เป็น neck เนี่ย มันใช้ ฅ นะคะ
-
และอีกตัวนึงก็คือตัว ฬ นั่นเอง
-
ซึ่งตอนนั้นไม่ได้ใช้ตัว ฬ
-
แต่ว่าจะเป็น ล ลานะคะ
-
ลาก็คือแบบ ลาที่ใช้ลากของอ่ะ
-
ลากับล่อสมัยก่อน ใช้ตัว ฬ ค่ะ
-
อ่ะ ฟังมาถึงตรงนี้นะคะ
-
ใครที่อยากรู้ว่า ฌ ฌาน เปลี่ยนมาเป็น ฌ เฌอตอนไหน?
-
ก็เปลี่ยนมาในสมัยของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพนี่แหละค่ะ
-
เพราะว่าพระองค์เนี่ย เปลี่ยนจาก ฌ ฌาน เป็น ฌ เฌอ นะคะ
-
ซึ่งแปลว่า ต้นไม้
-
ซึ่งเราจะไม่ไปเจาะลึกนะคะว่า
-
ในภาษาเขมร คำว่า เฌอ ใช้เดี่ยวๆ แปลว่า ต้นไม้ ได้จริงหรือเปล่า?
-
อะไรอย่างนี้นะ
-
เอาเป็นว่า แปลง่ายๆ คร่าวๆ ก่อน
-
อนุโลมได้ว่า คำว่า เฌอ แปลว่า ต้นไม้ ค่ะ
-
แล้วก็เริ่มมาใช้กับตัว ฌ เนี่ย
-
ในสมัยของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพเนี่ยแหละค่ะ
-
รวมถึงอีกตัวนึงนะคะที่หลายๆ คนสนใจ
-
ก็คือตัว ฑ ซึ่งแต่เดิมก็คือ ฑ บิณฑบาตเนี่ย
-
ก็เปลี่ยนมาเป็น ฑ นางมณโฑ
-
ในยุคสมัยของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เช่นเดียวกันนะคะ
-
ส่วนคำถามที่ว่า ทำไมจะต้องเป็น ฑ นางมณโฑ?
-
ทำไมถึงไม่เป็นนางในวรรณคดีคนอื่น? อะไรต่างๆ
-
วิวเดาว่านะคะ อันนี้เป็นความเห็นส่วนตัวเนอะ
-
ไม่มีอ้างอิงอะไรทั้งสิ้น
-
คือเรื่องรามเกียรติ์เนี่ย เป็นเรื่องที่ค่อนข้างดังในสังคมไทย
-
ทุกคนรู้จักนางมณโฑค่ะ
-
ดังนั้นเมื่อต้องการหาคำที่สะกดด้วย ฑ เนี่ย
-
มันมีไม่กี่คำหรอกค่ะ
-
คำว่า นางมณโฑ ก็เป็นอีกหนึ่งคำที่มันแบบเด้งขึ้นมาในใจของคนได้ง่ายเนอะ
-
ส่วนถามว่า ทำไมไม่มีตัวละครวรรณคดีตัวอื่นมาเป็นชื่อตัวอักษรเลย?
-
ก็ต้องบอกว่า ส สีดา มันคงยากกว่า ส เสือ อ่ะ
-
หรือว่า ร พระราม มันก็ไม่ใช่ไหม?
-
ร มันก็ควรเป็น ร เรือ มันเข้าใจง่ายกว่า
-
คิดว่า เพราะว่าตัว ฑ เนี่ย
-
มันเป็นตัวอักษรที่หาคำสะกดด้วยคำนี้แบบง่ายๆ ยากค่ะ
-
แล้วคำว่า นางมณโฑ น่าจะเป็นคำที่ง่ายที่สุดที่ใช้ตัว ฑ นะคะ
-
อ่ะ อย่างไรก็ตาม เรากลับเข้าเรื่องของเรากันต่อค่ะ
-
หลังจากที่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพเนี่ย
-
ทรงตั้งชื่อให้กับตัวอักษรทั้งหลายขึ้นมาให้คล้ายกับปัจจุบันมากๆ นะคะ
-
ก็เกิดยุคสมัยของการเขียนแบบเรียนหนังสือขึ้นค่ะ
-
เพราะว่าเป็นยุคสมัยที่การพิมพ์ค่อนข้างจะแพร่หลายแล้ว
-
การโรงเรียนอะไรต่างๆ มีการปฏิรูปการศึกษา
-
ก็เลยมีการพิมพ์แบบเรียนแบบหลายเวอร์ชัน
-
บริษัทนั้นพิมพ์แบบนี้ บริษัทนี้พิมพ์แบบนั้น
-
หน่วยงานนั้น หน่วยงานนี้พิมพ์กันขึ้นมานะคะ
-
ยกตัวอย่างเช่น ดรุณศึกษา
-
ซึ่งเป็นหนังสือเรียนของมิชชันนารีที่ใช้กับคณะอัสสัมชัญเนี่ยนะคะ
-
ก็มีการใช้ ก ไก่ ข ไข่ อะไรอย่างนี้
-
ตามที่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงนิพนธ์ไว้ เช่นเดียวกันค่ะ
-
แต่ว่า อย่างไรก็ตามนะคะ
-
ในสมัยนั้นก็ไม่ได้มีใครมาจัดระเบียบ
-
หรือว่ามีใครมากำหนดมาตรฐานอะไรมากมาย
-
ดังนั้นแต่ละสำนักพิมพ์ แต่ละเจ้าเนี่ย
-
บางทีก็มีการปรับเปลี่ยนอะไรกันบ้าง
-
บางอันก็ไม่ตรงกันบ้าง อะไรบ้างนะคะ
-
อาจจะเปลี่ยนบ้างเล็กๆ น้อยๆ
-
เช่น บางคนก็ไม่ใช้ ฌ เฌอ แต่ว่าใช้ ฌ ฤาษีเข้าฌาน
-
หรือว่า บางคนก็ไปใช้ ฌ คิชฌะ
-
อะไรประมาณยังงี้
-
เอาเป็นว่า บางที ใครคุ้นกับคำไหน
-
ใครรู้สึกว่า เออ ใช้คำนี้มันจำง่ายกว่า
-
ก็เอาไปใส่ในเวอร์ชันของหนังสือเรียนตัวเองนะคะ
-
เรื่องราวก็เป็นแบบนี้มาเรื่อยๆ นะคะ
-
จนกระทั่งถึงปี 2490 ค่ะ
-
มีบริษัทๆ นึงนะคะ
-
นั่นก็คือ บริษัท ประชาช่าง จำกัดนั่นเอง
-
ก็จัดพิมพ์แบบเรียนของตัวเองขึ้นมาค่ะ
-
ซึ่งในยุคสมัยของแบบเรียนเล่มนี้นี่เอง นี่แหละค่ะ
-
ที่ตัว ฅอ ฅ เนี่ย
-
เปลี่ยนจากฅอที่หมายถึง neck เนี่ย
-
กลายเป็นคำว่า ฅ ฅน ในที่สุดนะคะ
-
แม้ว่าคำว่า คน เดิมจะสะกดด้วย ค ก็ตามนะ
-
แล้วอีกตัวนึงที่เปลี่ยนไปก็คือตัว ฬ ค่ะ
-
ก็เกิดเป็น ฬ จุฬา ขึ้น
-
ส่วนลาที่แบบใช้ลากจูงอะไรต่างๆ
-
ก็ไปใช้ ล แทนซะอย่างนั้นเลยนะคะ
-
นอกจากนี้เนี่ย ในแบบเรียนเล่มนี้ ก็มีอีกอย่างนึงที่สำคัญมากๆ ค่ะ
-
คือ เค้าน่าจะกลัวว่าเด็กจะท่องไม่ได้
-
แบบ ก ไก่ ข ไข่ ฃ ขวด ค ควาย ง งู
-
ท่องไปเรื่อยๆ มันก็ไม่คล้องจองอะไรกัน
-
ก็เลยมีการแต่งคำคล้องจองเข้าไปนะคะ
-
เพื่อให้เด็กเนี่ย จำ ก-ฮ เนี่ย ได้ง่ายขึ้นค่ะ
-
ดังนั้นบริษัทนี้ค่ะ ก็คือบริษัทแรกที่มีการแต่ง ก เอ๋ย ก ไก่
-
ข ไข่ในเล้า
-
ฃ ขวดของเรา
-
ค ควายเข้านา
-
แล้วก็แต่งไปจนกระทั่งถึง ฮ นกฮูกตาโตที่เราท่องกันนี่แหละค่ะ
-
แต่ว่าขออนุญาตไม่ท่องทั้งหมดตรงนี้
-
เพราะว่าต้องบอกว่า ทั้งหมดนี้มีลิขสิทธิ์นะคะทุกคน
-
ดังนั้นไอ้ที่เราท่องๆ กันเนี่ย มีลิขสิทธิ์กันหมด
-
ถ้าสมมติว่า ใครจะมาจัดพิมพ์ซ้ำ หรืออะไรต่างๆ
-
ต้องมีการขอลิขสิทธิ์ หรือต้องมีการแต่งใหม่
-
เราจะเห็นหนังสือเรียนเวอร์ชันใหม่ๆ เนี่ย
-
บางทีมันก็จะเป็น ก เอ๋ย ก ไก่
-
ข ไข่วางตั้ง อะไรอย่างนี้
-
คือเค้าต้องแต่งใหม่ของตัวเอง
-
เพราะว่า ถ้าใช้จะผิดลิขสิทธิ์ค่ะ
-
อย่างไรก็ตามนะคะ ในหนังสือของประชาช่างเล่มนี้
-
ก็มีอีกจุดนึงที่ไม่เหมือนกับที่เราใช้ในปัจจุบันค่ะ
-
นั่นก็คือตัว ฌ เฌอ นั่นเอง
-
เพราะว่าในของประชาช่างนะคะ เค้าไปเขียนว่า ฌ กระเฌอ ค่ะ
-
ซึ่งคำว่า กระเฌอ เนี่ย ไม่สามารถแปลว่า ต้นไม้ ได้นะคะ
-
ดังนั้นมันก็จะไปมีดราม่าของตัวเองใหญ่โตนะคะ
-
จนกระทั่งเมื่อประมาณ 30 ปีที่แล้วเนี่ย
-
ถึงจะมีแบบ มีคนไปทักท้วงอะไรหนักมาก
-
เพราะว่าทั้งประเทศเนี่ย ท่องกันผิดหมดเลย
-
จนกระทั่งกระทรวงศึกษาธิการเนี่ย
-
ต้องออกมาร่อนหนังสือเวียนเลยนะคะ
-
ประมาณว่า ทุกคน หยุดท่องว่า ฌ กระเฌอ นะ
-
จงท่องว่า ฌ เฌอ เป็นสิ่งที่ถูกต้อง
-
เพราะว่า มันแปลว่า ต้นไม้ จ้า นะคะ
-
และนี่ก็คือเรื่องราวที่มาของ ก เอ๋ย ก ไก่ ข ในเล้า
-
ที่เราท่องกันมาตั้งแต่สมัยอนุบาลนั่นเองค่ะ
-
เป็นยังไงบ้าง ชอบเรื่องราวแบบนี้ไหม?
-
ถ้าใครชอบเรื่องราวแบบนี้นะคะ
-
อย่าลืมกดไลก์เป็นกำลังใจให้วิว
-
แล้วก็กดแชร์ เพื่อชวนเพื่อนๆ มาดูด้วยกันค่ะ
-
พบกันใหม่โอกาสหน้านะคะ
-
บ๊าย บาย สวัสดีค่ะ
-
โอ๋ ไม่น่าเชื่อเลยนะคะว่า เรื่องราวของ ก เอ๋ย ก ไก่เนี่ย
-
เพิ่งจะเกิดขึ้นไม่นานมานี้เองนะคะ
-
ไม่ได้เกิดขึ้นมาตั้งแต่ในยุคสมัยแรก
-
แต่ก็เป็นที่น่าดีใจนะที่คนไทยของเราเนี่ย
-
มีการท่อง ก เอ๋ย ก ไก่ขึ้น
-
ทำให้เราสามารถจำตัวอักษรของเราเนี่ยได้ง่ายนะคะ
-
ไม่งั้นอาจจะต้องลำบากนิดนึง
-
มานั่งท่อง ก ข ฃ ค ฅ อะไรต่างๆ
-
ส่วนตัวเนี่ย ท่องแบบนี้ก็ไม่ได้นะ
-
ถ้าเป็น ก เอ๋ย ก ไก่ ท่องได้ค่ะ
-
ทุกคนท่อง ก-ฮ กันได้ไหมคะ?
-
ไหนลองคอมเมนต์มาคุยกันก่อน
-
แต่สำหรับวันนี้ลาไปก่อนละกันค่ะทุกคน
-
บ๊าย บาย สวัสดีค่ะ