ภาษากายของคุณเปลี่ยนตัวตนของคุณได้
-
0:01 - 0:04ฉันอยากเริ่มต้นด้วยการแจกทางลัด
-
0:04 - 0:06เปลี่ยนชีวิตให้คุณฟรีๆ
-
0:06 - 0:09สิ่งเดียวที่คุณต้องทำก็คือ
-
0:09 - 0:13เปลี่ยนมาดของคุณเป็นเวลาสองนาที
-
0:13 - 0:16แต่ก่อนที่จะเฉลย ตอนนี้ฉันอยากให้คุณ
-
0:16 - 0:20สำรวจร่างกายตัวเอง
รวมถึงว่าคุณทำอะไรกับร่างกายของคุณอยู่ -
0:20 - 0:22มีใครบ้างคะที่กำลังทำให้ตัวเองดูตัวเล็กลง?
-
0:22 - 0:25คุณอาจกำลังนั่งหลังโกง นั่งไขว่ห้าง
-
0:25 - 0:26นั่งไขว้ขา
-
0:26 - 0:30บางครั้ง เรากอดอกแบบนี้
-
0:30 - 0:33บางทีเรากางแขนออก
(เสียงหัวเราะ) -
0:33 - 0:36ฉันเห็นนะคะ
(เสียงหัวเราะ) -
0:36 - 0:38ทีนี้ ฉันอยากให้คุณเพ่งความสนใจ
ต่อสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่ตอนนี้ -
0:38 - 0:40เราจะกลับมาพูดเรื่องนี้ในอีกสองสามนาที
-
0:40 - 0:44และฉันหวังว่าถ้าคุณเรียนรู้
ที่จะเปลี่ยนแปลงมันสักเล็กน้อย -
0:44 - 0:47มันอาจเปลี่ยนชีวิตของคุณได้เลย
-
0:47 - 0:52คนเราหลงใหลเรื่องภาษากาย
-
0:52 - 0:54และเราสนใจเป็นพิเศษ
-
0:54 - 0:56กับภาษากายของคนอื่นๆ
-
0:56 - 1:00รู้ไหมคะ เราสนใจใน เอิ่ม
-
1:00 - 1:05การมีปฏิสัมพันธ์แบบกระอักกระอ่วน หรือการยิ้ม
-
1:05 - 1:09การเหลือบมองแบบดูหมิ่น
หรือการขยิบตาแบบกระอักกระอ่วน -
1:09 - 1:12แม้แต่การจับมือ
-
1:12 - 1:15ผู้บรรยาย: พวกเขาเข้ามาถึง
กระทรวงการต่างประเทศอังกฤษ และดูสิครับ -
1:15 - 1:17เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้โชคดีได้จับมือกับท่านประธานาธิบดี
-
1:17 - 1:20แห่งสหรัฐอเมริกา โอ้ มาแล้วครับ
-
1:20 - 1:25นายกรัฐมนตรีแห่ง -- ไม่เหรอ
(เสียงหัวเราะ) (เสียงปรบมือ) -
1:25 - 1:27(เสียงหัวเราะ) (เสียงปรบมือ)
-
1:27 - 1:31เอมี่: ดังนั้นการจับมือ หรือการไม่จับมือ
-
1:31 - 1:34กลายเป็นหัวข้อสนทนาได้นานหลายสัปดาห์
-
1:34 - 1:36แม้แต่สำนักข่าวบีบีซี และนิวยอร์กไทมส์
-
1:36 - 1:40ดังนั้น ชัดเจนว่าเมื่อเราคิดถึงพฤติกรรมของอวัจนภาษา
-
1:40 - 1:43หรือภาษากาย แต่นักสังคมศาสตร์เรียกมันว่าอวัจนภาษา
-
1:43 - 1:46มันเป็นภาษาอย่างหนึ่ง เราจึงคิดว่ามันเป็นการสื่อสาร
-
1:46 - 1:48เมื่อเราคิดว่ามันเป็นการสื่อสาร
เราคิดถึงการมีปฏิสัมพันธ์ -
1:48 - 1:51ดังนั้น ภาษากายของคุณกำลังสื่อสารอะไรกับฉัน
-
1:51 - 1:54และภาษากายของฉันกำลังสื่อสารอะไรกับคุณ
-
1:54 - 1:58และมันมีเหตุผลมากมายที่ทำให้เราชื่อว่า
นี่เป็นมุมมองที่ถูกต้อง -
1:58 - 2:00ดังนั้น นักสังคมศาสตร์จึงทุ่มเทเวลา
-
2:00 - 2:04ศึกษาผลกระทบจากภาษากายของเรา
-
2:04 - 2:06และภาษากายของผู้คนอื่นๆ กับการตัดสินคน
-
2:06 - 2:10เรามักตัดสินและอนุมานลักษณะของคนจากภาษากาย
-
2:10 - 2:14และการตัดสินเหล่านั้นสามารถทำนาย
ผลกระทบใหญ่หลวงต่อชีวิตได้เลยทีเดียว -
2:14 - 2:17เช่นใครที่เราจะจ้างหรือเลื่อนขั้น
หรือใครที่เราจะขอออกเดทด้วย -
2:17 - 2:22ตัวอย่างเช่น นาลินี แอมบาดี (Nalini Ambady)
นักวิจัยที่ Tufts University -
2:22 - 2:27แสดงให้เห็นว่า เมื่อคนดูคลิปวิดีโอ
ความยาว 30 วินาที ที่ไม่มีเสียงพูด -
2:27 - 2:30ของการปฏิสัมพันธ์จริงระหว่างแพทย์กับคนไข้
-
2:30 - 2:32การตัดสินของพวกเขาว่าแพทย์นั้นดูใจดีแค่ไหน
-
2:32 - 2:35ใช้เป็นตัวทำนายได้ว่าแพทย์คนนั้นจะถูกฟ้องหรือไม่
-
2:35 - 2:37แพทย์คนนั้นจะไร้ความสามารถหรือเปล่า ไม่ค่อยมีผลเท่าไหร่
-
2:37 - 2:39แต่มันขึ้นกับว่าเราชอบแพทย์คนนั้นหรือเปล่า
-
2:39 - 2:42และเขามีปฏิสัมพันธ์กับเราอย่างไร
-
2:42 - 2:45ที่น่าตื่นเต้นยิ่งกว่านั้น อเล็กซ์ โทโดรอฟ (Alex Todorov)
จาก Princeton ได้แสดงให้เห็นว่า -
2:45 - 2:49การตัดสินจากใบหน้า
ของผู้เข้าสมัครชิงตำแหน่งการเมือง -
2:49 - 2:53ภายในหนึ่งวินาที ก็สามารถทำนายผล
การเลือกตั้งวุฒิสภา -
2:53 - 2:57และการเลือกตั้งผู้ว่าการรัฐได้แม่นถึง 70%
-
2:57 - 2:59และแม้แต่ในโลกดิจิตอล
-
2:59 - 3:03การใช้อีโมติคอนอย่างเหมาะสมในการเจรจาออนไลน์
-
3:03 - 3:06สามารถทำกำไรให้คุณจากการเจรจานั้นได้มากกว่า
-
3:06 - 3:09แต่ถ้าคุณใช้อย่างไม่เหมาะสม
ก็เป็นความคิดที่แย่ ใช่ไหมคะ -
3:09 - 3:12ดังนั้น เมื่อเราคิดถึงอวัจนภาษา
เราคิดถึงการที่เราตัดสินคนอื่น -
3:12 - 3:15คนอื่นๆ ตัดสินเราอย่างไร และอะไรคือผลที่เกิดตามมา
-
3:15 - 3:17แต่เรามักจะลืมผู้รับสารอีกหนึ่งคน
-
3:17 - 3:21ที่ได้รับผลกระทบจากอวัจนภาษาของเรา
นั่นก็คือตัวเราเอง -
3:21 - 3:24เราได้รับอิทธิพลจากอวัจนภาษาของเรา
ความคิดของเรา -
3:24 - 3:26ความรู้สึกของเรา และปฏิกิริยาทางร่างกายของเรา
-
3:26 - 3:29แล้วอวัจนภาษาที่ฉันกำลังพูดถึงคืออะไรล่ะคะ?
-
3:29 - 3:32ฉันเป็นนักจิตวิทยาสังคม ฉันศึกษาเรื่องอคติ
-
3:32 - 3:35และฉันสอนที่โรงเรียนธุรกิจชื่อดังแห่งหนึ่ง
-
3:35 - 3:39ดังนั้นฉันจึงอดไม่ได้
ที่จะสนใจเรื่องพลวัตของอำนาจ -
3:39 - 3:43ฉันสนใจการแสดงออกถึงอำนาจและการครอบงำ
-
3:43 - 3:45ผ่านทางอวัจนภาษาเป็นพิเศษ
-
3:45 - 3:48แล้วอวัจนภาษาที่สื่อถึงพลังอำนาจคืออะไร
-
3:48 - 3:50นี่ค่ะ คืออวัจนภาษาที่ว่า
-
3:50 - 3:53ในอาณาจักรสัตว์ มันคือการขยายตัว
-
3:53 - 3:56คุณทำตัวเองให้ดูใหญ่ คุณยืดตัวออก
-
3:56 - 3:59คุณทำตัวพอง พูดง่ายๆ คือเปิดตัวเองออก
-
3:59 - 4:02มันคือการเปิดตัวออก มันเป็นอย่างนี้
-
4:02 - 4:06ในอาณาจักรสัตว์ทุกชนิด ไม่เฉพาะสัตว์ตระกูลลิง
-
4:06 - 4:09มนุษย์ก็ทำเช่นเดียวกัน
(เสียงหัวเราะ) -
4:09 - 4:13คนเราทำท่าทางนี้ ทั้งตอนที่อยู่ในฐานะที่มีอำนาจ
-
4:13 - 4:16และตอนที่รู้สึกมีอำนาจเพียงชั่วขณะหนึ่ง
-
4:16 - 4:19สิ่งนี้น่าสนใจเป็นพิเศษ
เพราะมันแสดงให้เราเห็นว่า -
4:19 - 4:23วิธีแสดงออกถึงพลังอำนาจนี้
มันเป็นสากลและเก่าแก่แค่ไหน -
4:23 - 4:25การแสดงออกนี้ ซึ่งเรียกกันว่า ความทะนงตน
-
4:25 - 4:28เจสสิกา เทรซี (Jessica Tracy) ได้ทำการศึกษา
และแสดงให้เห็นว่า -
4:28 - 4:31คนที่เกิดมามีสายตามองเห็น
-
4:31 - 4:33และคนที่ตาบอดตั้งแต่เกิดล้วนทำสิ่งนี้
-
4:33 - 4:36เมื่อพวกเขาชนะการแข่งขันอะไรสักอย่าง
-
4:36 - 4:38เมื่อเขาวิ่งข้ามเส้นชัย และเขาเป็นที่หนึ่ง
-
4:38 - 4:40มันไม่สำคัญว่าพวกเขาจะเคยเห็นคนอื่น
ทำสิ่งนั้นมาก่อนหรือไม่ -
4:40 - 4:41พวกเขาจะทำแบบนี้เสมอ
-
4:41 - 4:44ชูแชนขึ้นเป็นรูปตัว V เชิดคางขึ้น
-
4:44 - 4:47แล้วเราทำอย่างไรเมื่อเรารู้สึกไร้อำนาจ
-
4:47 - 4:51เราทำในสิ่งตรงกันข้าม เราปิดตัวเอง ห่อตัว
-
4:51 - 4:54เราทำตัวให้เล็กลง
เราไม่อยากกระทบกระทั่งกับคนที่อยู่ข้างๆ -
4:54 - 4:57เช่นเดียวกัน ทั้งสัตว์และมนุษย์ทำในสิ่งเดียวกัน
-
4:57 - 5:01และนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคุณเอาคนที่มีอำนาจ
-
5:01 - 5:03และไร้อำนาจมาอยู่ด้วยกัน สิ่งที่พวกเรามักทำ
-
5:03 - 5:07เมื่อมีความเหลื่อมล้ำของอำนาจ คือ
เราจะเป็นคู่เสริมทางอวัจนภาษาของกันและกัน -
5:07 - 5:10ดังนั้น ถ้าบางคนมีอำนาจกว่าเรามากๆ
-
5:10 - 5:12เรามีแนวโน้มจะทำตัวเล็กลง เราจะไม่เลียนแบบเขา
-
5:12 - 5:14เราทำในสิ่งตรงกันข้าม
-
5:14 - 5:17ฉันเฝ้าสังเกตพฤติกรรมเหล่านี้ในห้องเรียน
-
5:17 - 5:24และฉันเห็นอะไรรู้ไหมคะ?
ฉันสังเกตว่านักเรียนบริหารธุรกิจ -
5:24 - 5:27ใช้อวัจนภาษาแสดงออกถึงอำนาจอย่างเต็มที่
-
5:27 - 5:29คุณจะเห็นคนที่ทำตัวเหมือนเป็นจ่าฝูง
-
5:29 - 5:32ปราดเข้ามาในห้อง เข้ามากลางห้อง
-
5:32 - 5:36ก่อนที่การเรียนจะเริ่มขึ้น พวกเขาต้องการจะจับจองพื้นที่
-
5:36 - 5:38เมื่อพวกเขานั่งลง เขาจะแผ่ขยายตัวเอง
-
5:38 - 5:40พวกเขายกมือขึ้นแบบนี้
-
5:40 - 5:43คุณจะพบคนอื่นๆ ที่ตัวแทบจะหดหายไปเลย
-
5:43 - 5:45เมื่อพวกเขาเข้ามา ทันที่ที่พวกเขาเข้ามา
-
5:45 - 5:48คุณจะเห็นได้จากหน้าตาท่าทางของพวกเขา
-
5:48 - 5:50และพวกเขานั่งในเก้าอี้ พยายามทำตัวให้เล็กที่สุด
-
5:50 - 5:53และพวกเขาทำอย่างนี้เวลายกมือ
-
5:53 - 5:55ฉันสังเกตเห็นสองสิ่งจากเรื่องนี้
-
5:55 - 5:56หนึ่ง คุณจะไม่ประหลาดใจเลย
-
5:56 - 5:59ว่ามันดูเหมือนจะขึ้นอยู่กับเพศ
-
5:59 - 6:04ผู้หญิงมีแนวโน้มสูงกว่าผู้ชาย
ที่จะทำท่าแบบนี้ -
6:04 - 6:07ผู้หญิงรู้สึกถึงความด้อยอำนาจกว่าผู้ชายอยู่เสมอ
-
6:07 - 6:11ดังนั้นมันจึงไม่น่าประหลาดใจ
แต่อีกสิ่งหนึ่งที่ฉันสังเกตก็คือ -
6:11 - 6:14มันเหมือนจะเกี่ยวข้องรวมไปถึง
-
6:14 - 6:17การที่นักเรียนจะมีส่วนร่วมในห้องเรียนมากแค่ไหน
และมีส่วนร่วมดีแค่ไหนด้วย -
6:17 - 6:20ซึ่งมันสำคัญมากในห้องเรียนของวิชาบริหารธุรกิจ
-
6:20 - 6:23เพราะการมีส่วนร่วมคิดเป็นครึ่งหนึ่งของเกรด
-
6:23 - 6:27ดังนั้น โรงเรียนบริหารธุรกิจค่อนข้างมีปัญหา
เรื่องช่องว่างของเกรดที่เกิดจากเพศ -
6:27 - 6:30คุณได้นักเรียนที่มีคุณสมบัติดีพอๆ กัน
ทั้งหญิงและชายเข้ามาเรียน -
6:30 - 6:32แต่คุณกลับได้เกรดที่แตกต่างกัน
-
6:32 - 6:36เพราะความแตกต่างในการมีส่วนร่วมในห้องเรียน
-
6:36 - 6:39ฉันจึงเริ่มสงสัยว่า
-
6:39 - 6:41เอาล่ะ คุณมีคนเหล่านี้ ซึ่งเข้ามาแบบนี้
-
6:41 - 6:45เป็นไปได้ไหมว่า
ถ้าเราให้คนเหล่านี้แสร้งทำท่าทางมีอำนาจ -
6:45 - 6:47มันจะชักจูงให้พวกเขามีส่วนร่วมมากขึ้น
-
6:47 - 6:51ดังนั้น ผู้ร่วมงานคนสำคัญของฉัน ดานา คาร์นีย์
(Dana Carney) ที่เบิร์คลีย์ (Berkeley) -
6:51 - 6:55และตัวฉัน อยากจะรู้ว่า คุณจะแสร้งทำ
จนกระทั่งคุณทำได้จริงๆ หรือไม่ -
6:55 - 6:58คือ คุณสามารถทำท่าแบบนี้สักครู่หนึ่ง
-
6:58 - 7:02เพื่อให้ได้ประสบการณ์ทางพฤติกรรม
ที่ทำให้คุณรู้สึกมีอำนาจได้ไหม -
7:02 - 7:05เรารู้ว่าอวัจนภาษาของเราควบคุม
ความคิดและความรู้สึก -
7:05 - 7:07ที่คนอื่นมีต่อเรา มีหลักฐานสนับสนุนมากมาย
-
7:07 - 7:10แต่คำถามของเราจริงๆ ก็คือ อวัจนภาษาของเรา
-
7:10 - 7:13สามารถควบคุมวิธีที่เราคิด
และรู้สึกต่อตัวเราเองได้หรือไม่ -
7:13 - 7:16มีหลักฐานบางชิ้นที่สนับสนุนว่ามันเป็นจริง
-
7:16 - 7:21ยกตัวอย่างเช่น เรายิ้มเมื่อมีความสุข
-
7:21 - 7:23ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อเราถูกบังคับให้ยิ้ม
-
7:23 - 7:27โดยคาบปากกาไว้แบบนี้
มันทำให้เรารู้สึกมีความสุขไปด้วย -
7:27 - 7:30ดังนั้นมันจึงเป็นไปได้ทั้งสองทาง
และเมื่อเป็นเรื่องของอำนาจ -
7:30 - 7:35มันก็เป็นไปได้ทั้งสองทางเช่นกัน เมื่อคุณรู้สึกมีอำนาจ
-
7:35 - 7:39คุณมีแนวโน้มจะทำแบบนี้ และก็เป็นไปได้เช่นกัน
-
7:39 - 7:44ที่เมื่อคุณแสร้งทำเป็นมีอำนาจ คุณจะมีแนวโน้ม
-
7:44 - 7:47ที่จะรู้สึกมีอำนาจขึ้นมาจริงๆ
-
7:47 - 7:50คำถามข้อที่สอง ก็คือ
-
7:50 - 7:53เรารู้ว่าจิตใจของเราส่งผลกระทบต่อร่างกาย
-
7:53 - 7:57และก็จริงอีกเช่นกันว่า ร่างกายของเราสามารถ
ส่งผลกระทบต่อจิตใจได้ด้วย -
7:57 - 8:00และเมื่อฉันพูดถึงจิตใจ ในบริบทเรื่องอำนาจ
-
8:00 - 8:01ฉันหมายถึงอะไร
-
8:01 - 8:03ฉันหมายถึงความคิดและความรู้สึก
-
8:03 - 8:07และปฏิกิริยาทางสรีระวิทยา
ที่รวมกันเป็นความคิดและความรู้สึกของเรา -
8:07 - 8:10ในกรณีของฉัน มันคือฮอร์โมน ฉันศึกษาฮอร์โมน
-
8:10 - 8:13จิตใจของผู้ที่มีอำนาจและผู้ที่ไร้อำนาจ
-
8:13 - 8:14นั้นเป็นเช่นไร?
-
8:14 - 8:19ไม่น่าแปลกใจเลย คนที่มีอำนาจมักจะ
-
8:19 - 8:23มีความหนักแน่น มั่นใจ มองโลกในแง่ดี
-
8:23 - 8:26พวกเขารู้สึกจริงๆ ว่าพวกเขาจะชนะ
แม้แต่ในเกมเสี่ยงโชค -
8:26 - 8:30สามารถคิดในเชิงนามธรรมได้ดีกว่า
-
8:30 - 8:33รับความเสี่ยงได้สูงกว่า
-
8:33 - 8:35ผู้ที่มีอำนาจกับผู้ไร้อำนาจ
มีความแตกต่างกันสูงมาก -
8:35 - 8:39ในทางสรีระวิทยาก็มีความแตกต่างกันมาก
ในฮอร์โมนหลักสองตัว -
8:39 - 8:43คือ เทสโทสเตอโรน (testosterone)
ซึ่งเป็นฮอร์โมนแห่งการแสดงอำนาจ -
8:43 - 8:46และคอร์ติซอล (cortisol) ซึ่งคือฮอร์โมนความเครียด
-
8:46 - 8:50สิ่งที่เราพบก็คือ
-
8:50 - 8:54ในสัตว์ตระกูลลิง จ่าฝูงตัวผู้ที่มีอำนาจมาก
-
8:54 - 8:57มีเทสโทสเตอโรนสูง และคอร์ติซอลต่ำ
-
8:57 - 9:00และผู้นำที่มีอำนาจและมีประสิทธิภาพ
-
9:00 - 9:03ก็มีเทสโทสเตอโรนสูง และคอร์ติซอลต่ำเช่นกัน
-
9:03 - 9:05นั่นหมายถึงอะไร เมื่อคุณคิดถึงอำนาจ
-
9:05 - 9:07คนมักคิดถึงแต่เทสโทสเตอโรน
-
9:07 - 9:09เพราะมันเกี่ยวกับการแสดงอำนาจ
-
9:09 - 9:13แต่จริงๆ แล้ว อำนาจนั้นหมายรวมถึง
การตอบสนองของคุณต่อความเครียดด้วย -
9:13 - 9:16คุณต้องการผู้นำที่มีอำนาจ ที่มีอำนาจเหนือคนอื่นๆ
-
9:16 - 9:18มีเทสโทสเตอโรนสูง แต่อ่อนไหวต่อความเครียดหรือเปล่า
-
9:18 - 9:21คงไม่ คุณต้องการบุคคล
-
9:21 - 9:23ที่มีอำนาจ มั่นคง เด่นกว่าคนอื่น
-
9:23 - 9:27และไม่อ่อนไหวต่อความเครียด บุคคลซึ่งทำตัวผ่อนคลาย
-
9:27 - 9:33เรารู้ว่าในโครงสร้างสังคมของสัตว์ตระกูลลิง
-
9:33 - 9:37ถ้าจ่าฝูงต้องการครอบครอง
ถ้าใครสักคนหนึ่งต้องสวมบทบาท -
9:37 - 9:39ของจ่าฝูงอย่างทันทีทันใด
-
9:39 - 9:42ภายสองไม่กี่วัน ระดับเทสโทสเตอโรนของคนนั้นจะสูงขึ้น
-
9:42 - 9:46อย่างมีนัยสำคัญ และระดับคอร์ติซอล
ก็จะลดลงอย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน -
9:46 - 9:49เรามีหลักฐานว่าร่างกายสามารถ
-
9:49 - 9:51เปลี่ยนแปลงจิตใจ อย่างน้อยก็ในระดับผิวเผิน
-
9:51 - 9:55และการเปลี่ยนบทบาทก็สามารถ
เปลี่ยนแปลงจิตใจได้ด้วย -
9:55 - 9:58แล้วจะเกิดอะไรขึ้น เมื่อคุณเปลี่ยนบทบาท
-
9:58 - 10:01จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคุณทำอะไรเล็กน้อยมากๆ
-
10:01 - 10:03เช่นการปรับเปลี่ยนเล็กๆ การแทรกแซงเล็กๆ แบบนี้
-
10:03 - 10:06โดยพูดกับตัวเองว่า "ในสองนาที ฉันจะยืนท่านี้
-
10:06 - 10:09และนั่นจะทำให้ฉันรู้สึกมีอำนาจมากขึ้น"
-
10:09 - 10:13นี่คือสิ่งที่เราทำ เรานำคนกลุ่มหนึ่ง
-
10:13 - 10:17มายังห้องทดลองและทำการทดลองเล็กๆ
-
10:17 - 10:22คนกลุ่มนี้ จะต้องทำท่าแห่งอำนาจ
-
10:22 - 10:24หรือท่าไร้อำนาจเป็นเวลาสองนาที
-
10:24 - 10:27ฉันจะให้ดูภาพท่าเหล่านี้ 5 แบบ
แม้ว่าพวกเขาจะใช้แค่สองแบบเท่านั้น -
10:27 - 10:29นี่คือท่าหนึ่ง
-
10:29 - 10:31อีกสองท่า
-
10:31 - 10:34ท่านี้ถูกตั้งชื่อว่า "วันเดอร์วูแมน"
-
10:34 - 10:37โดยสื่อต่างๆ
-
10:37 - 10:38นี่คืออีกสองท่า
-
10:38 - 10:40ดังนั้นคุณสามารถยืนหรือนั่งก็ได้
-
10:40 - 10:42และนี่คือ ท่าไร้อำนาจ
-
10:42 - 10:46คุณห่อตัว ทำตัวเองให้เล็กลง
-
10:46 - 10:48ท่านี้เป็นท่าที่ไร้อำนาจจริงๆ
-
10:48 - 10:49เมื่อคุณแตะคอตัวเอง
-
10:49 - 10:52จริงๆ แล้วคุณกำลังปกป้องตัวเอง
-
10:52 - 10:55นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น พวกเขาเข้ามา
-
10:55 - 10:56เราแบ่งเขาออกเป็นสองกลุ่ม
-
10:56 - 11:00เราบอกเขาว่า "คุณต้องทำท่าแบบนี้ หรือไม่ก็แบบนี้"
-
11:00 - 11:01พวกเขาไม่ได้ดูรูปของท่าทางเหล่านั้น
เพราะเราไม่อยากชี้นำ -
11:01 - 11:05ให้เขาคิดถึงเรื่องอำนาจ
เราต้องการให้พวกเขารู้สึกถึงอำนาจด้วยตัวเอง -
11:05 - 11:07ดังนั้น พวกเขาทำท่าเหล่านี้เป็นเวลา 2 นาที
-
11:07 - 11:10จากนั้นเราก็ถามพวกเขาว่า "คุณรู้สึกมีอำนาจแค่ไหน"
โดยใช้คำถามหลายข้อ -
11:10 - 11:13แล้วเราก็ให้โอกาสเขาเสี่ยงพนัน
-
11:13 - 11:16และจากนั้นเราเก็บตัวอย่างน้ำลาย
-
11:16 - 11:17แค่นั้นเอง นั่นคือการทดลองทั้งหมด
-
11:17 - 11:21และนี่คือสิ่งที่เราค้นพบ
การยอมรับความเสี่ยง ซึ่งในที่นี้คือการพนัน -
11:21 - 11:24เราพบว่า เมื่อคุณทำท่ามีอำนาจสูง
-
11:24 - 11:2786 เปอร์เซ็นต์ของพวกคุณจะกล้าพนัน
-
11:27 - 11:29เมื่อคุณอยู่ในท่าไร้อำนาจ
-
11:29 - 11:33มีแค่ 60 เปอร์เซ็นต์ที่กล้าเสี่ยง
นั่นมันแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทีเดียว -
11:33 - 11:36นี่คือสิ่งที่เราพบในเรื่องเทสโทสเตอโรน
-
11:36 - 11:39เทียบกับระดับเทสโทสเตอโรนก่อนเริ่มทดลอง กลุ่มมีอำนาจ
-
11:39 - 11:42มีเทสโทสเตอโรนเพิ่มขึ้นประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์
-
11:42 - 11:46กลุ่มคนไร้อำนาจ มีเทสโทสเตอโรนลดลง
ประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ -
11:46 - 11:49เพียงแค่สองนาที คุณก็ได้การเปลี่นแปลงเหล่านี้
-
11:49 - 11:52และนี่คือผลที่ได้ในเรื่องคอร์ติซอล
ในกลุ่มคนมีอำนาจ -
11:52 - 11:55มีคอร์ติซอลลดลงประมาณ 25 เปอร์เซ็นต์
-
11:55 - 11:59และในกลุ่มคนไร้อำนาจ มีคอร์ติซอลเพิ่มขึ้น
ประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์ -
11:59 - 12:02ดังนั้น เพียงแค่สองนาทีก็นำไปสู่
การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนเหล่านี้ -
12:02 - 12:05ที่ปรับเปลี่ยนสมองคุณให้เป็นได้ทั้ง
-
12:05 - 12:08หนักแน่น มั่นใจ และสบาย
-
12:08 - 12:12หรือ อ่อนไหวต่อความเครียด
-
12:12 - 12:16รู้สึกปิดกั้นตัวเอง พวกเราต่างเคยรู้สึกแบบนั้นใช่ไหมคะ
-
12:16 - 12:19ดังนั้น มันเหมือนว่าอวัจนภาษาของเราสามารถควบคุม
-
12:19 - 12:21วิธีที่เราคิดและรู้สึกเกี่ยวกับตัวเราเอง
-
12:21 - 12:23ไม่เพียงแค่คนอื่น แต่รวมถึงตัวเราเองด้วย
-
12:23 - 12:26และร่างกายของเราก็เปลี่ยนแปลงจิตใจเราได้
-
12:26 - 12:28แต่แน่นอน คำถามถัดไปก็คือ
-
12:28 - 12:30การทำท่าแห่งอำนาจเพียงสองสามนาที
-
12:30 - 12:32สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตคุณได้จริงๆ จังๆ หรือเปล่า
-
12:32 - 12:35นี่มันแค่การทดลองในห้องทดลอง มันเป็นงานเล็กๆ
-
12:35 - 12:37ใช้เวลาเพียงสองนาที
คุณจะเอามันไปใช้จริงๆ ได้ที่ไหนบ้าง -
12:37 - 12:40ก็ในสถานการณ์ที่สำคัญกับเราน่ะสิ
-
12:40 - 12:44และเราคิดว่าจริงๆ แล้ว มันสำคัญมาก ฉันหมายถึง
-
12:44 - 12:47คุณควรจะนำมันไปใช้ในสถานการณ์
ที่คุณจะต้องถูกประเมิน -
12:47 - 12:50เช่น ในสถานการณ์ที่ถูกคุกคามทางสังคม
ที่คุณกำลังถูกประเมิน -
12:50 - 12:54ไม่ว่าจะโดยเพื่อนๆ เช่น สำหรับวัยรุ่น
ก็คือสถานการณ์ในห้องทานอาหารกลางวัน -
12:54 - 12:56สำหรับบางคน อาจเป็นการพูด
-
12:56 - 12:59ในที่ประชุมคณะกรรมการของโรงเรียน
หรือการนำเสนอผลงาน -
12:59 - 13:02หรือการบรรยายแบบนี้
-
13:02 - 13:05หรือการสัมภาษณ์งาน
-
13:05 - 13:07เราคิดว่า สถานการณ์ที่คนส่วนใหญ่จะเชื่อมโยงได้
-
13:07 - 13:08เพราะคนส่วนใหญ่เคยผ่านมาแล้ว
-
13:08 - 13:10นั่นคือการสัมภาษณ์งาน
-
13:10 - 13:14ดังนั้นเราจึงตีพิมพ์การค้นพบนี้ และสื่อต่างๆ
-
13:14 - 13:16ก็พากันตื่นเต้น และพวกเขาบอกว่า นี่คือสิ่งที่คุณต้องทำ
-
13:16 - 13:20เมื่อคุณไปสัมภาษณ์งาน ใช่ไหมคะ
(เสียงหัวเราะ) -
13:20 - 13:22ตอนนั้นเรากลัวมาก และกล่าวว่า
-
13:22 - 13:24โอ้ พระเจ้า ไม่นะไม่ เราไม่ได้หมายความอย่างนั้นเลย
-
13:24 - 13:27ด้วยเหตุผลทั้งหลายทั้งปวง อย่าทำแบบนั้นเด็ดขาด
-
13:27 - 13:30นี่ไม่ใช่การที่คุณพูดกับคนอื่นๆ
-
13:30 - 13:31มันคือการที่คุณพูดกับตัวคุณเอง คุณจะทำอะไร
-
13:31 - 13:34ก่อนเข้าไปสัมภาษณ์งาน? คุณทำแบบนี้
-
13:34 - 13:36ใช่ไหมคะ? คุณนั่งลง คุณกำลังเล่นไอโฟน
-
13:36 - 13:39หรือแอนดรอยด์ พยายามไม่ให้ใครคลาดสายตา
-
13:39 - 13:41คุณกำลังดูกระดาษโน้ตของคุณ
-
13:41 - 13:43คุณนั่งหลังโกง ทำตัวเองให้ดูเล็ก
-
13:43 - 13:45ในขณะที่สิ่งที่คุณควรทำจริงๆ แล้ว อาจเป็นแบบนี้
-
13:45 - 13:48คุณอาจทำแบบนี้ในห้องน้ำ ใช่ไหมคะ
ทำแบบนั้น ลองหาเวลาสักสองนาที -
13:48 - 13:50นั่นคือสิ่งที่เราอยากทดสอบ
-
13:50 - 13:52เราพาคนกลุ่มหนึ่งเข้ามาในห้องทดลอง
-
13:52 - 13:55ให้พวกเขาทำท่าแห่งอำนาจ หรือ ไร้อำนาจ
-
13:55 - 13:58พวกเขาต้องผ่านการสัมภาษณ์งานอันเคร่งเครียด
-
13:58 - 14:02ใช้เวลานานห้านาที พวกเขาถูกบันทึกวิดีโอ
-
14:02 - 14:04และถูกประเมินด้วย โดยผู้ประเมิน
-
14:04 - 14:08ก็ถูกฝึกมาไม่ให้โต้ตอบด้วยอวัจนภาษา
-
14:08 - 14:10ดังนั้นพวกเขาจึงดูเหมือนแบบนี้
-
14:10 - 14:12ลองจินตนาการว่านี่คือคนที่กำลังสัมภาษณ์คุณอยู่
-
14:12 - 14:17เป็นเวลานานห้านาที โดยไร้การตอบสนอง
นี่มันแย่ยิ่งกว่าโดนต้อนเสียอีก -
14:17 - 14:20คนทั่วไปไม่ชอบภาวะแบบนี้ นี่คือสิ่งที่
แมรีแอน ลาฟรานซ์ (Marianne LaFrance) -
14:20 - 14:22เรียกว่า "สถานการณ์น่าเบื่อแต่หนีไม่ได้"
(social quicksand) -
14:22 - 14:24ซึ่งทำให้คอร์ติซอลของคุณพุ่งปรี๊ด
-
14:24 - 14:26เราให้พวกเขาเข้าไปสัมภาษณ์งานแบบนี้
-
14:26 - 14:28เพราะเราต้องการดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น
-
14:28 - 14:32เราให้ผู้ประเมินสี่คนดูวิดีโอเทปนี้
-
14:32 - 14:35พวกเขาไม่รู้สมมติฐานของเรา
พวกเขาไม่รู้สภาวะก่อนการสัมภาษณ์ -
14:35 - 14:38พวกเขาไม่รู้ว่าใครทำท่าอะไรก่อนการสัมภาษณ์
-
14:38 - 14:43พวกเขาเพียงแค่ได้ดูเทปการสัมภาษณ์
-
14:43 - 14:45และพูดว่า "โอ้ เราต้องการจ้างคนพวกนี้"
-
14:45 - 14:48หมายถึงคนที่ทำท่ามีอำนาจทั้งหมด
หรือพูดว่า "เราไม่อยากจ้างคนพวกนี้ -
14:48 - 14:51เรายังประเมินคนกลุ่มนี้สูงกว่าในทุกๆ ด้านด้วย"
-
14:51 - 14:56แต่อะไรเป็นตัวขับดันล่ะ?
มันไม่เกี่ยวกับเนื้อหาสาระของสิ่งที่เขาพูดเลย -
14:56 - 14:59แต่อยู่ที่ภาพลักษณ์ที่พวกเขานำเสนอในระหว่างการพูด
-
14:59 - 15:01เพราะเราให้คะแนนพวกเขาในตัวแปร
-
15:01 - 15:04ซึ่งเกี่ยวข้องกับความสามารถ
เช่น การพูดของเขามีโครงสร้างดีแค่ไหน? -
15:04 - 15:06มันฟังดูดีแค่ไหน? คุณสมบัติของพวกเขาเป็นอย่างไร?
-
15:06 - 15:09ตัวแปรพวกนี้ไม่มีผลต่อการจ้างงานเลย
แต่สิ่งที่ได้รับผลกระทบคือ -
15:09 - 15:13สิ่งเหล่านี้ คนสามารถแสดงตัวตนที่แท้จริงออกมา
-
15:13 - 15:15พวกเขาเผยตัวตนออกมา
-
15:15 - 15:17พวกเขาแสดงความคิด ในแบบของตนเอง
-
15:17 - 15:19โดยไม่มีอะไรมาปิดบัง
-
15:19 - 15:24และนี่คือสิ่งที่เป็นตัวขับเคลื่อน
หรือเป็นตัวนำพาให้เกิดผลดังกล่าว -
15:24 - 15:28เมื่อฉันบอกคนอื่นๆ เรื่องนี้
-
15:28 - 15:31ว่าร่างกายของเราสามารถเปลี่ยนแปลงจิตใจของเรา
และจิตใจของเราก็เปลี่ยนพฤติกรรมเราได้ -
15:31 - 15:34และพฤติกรรมของเราก็สามารถ
เปลี่ยนแปลงชีวิตเราได้ พวกเขาบอกฉันว่า -
15:34 - 15:35"ฉันว่ามันไม่ .... มันดูเสแสร้ง"
-
15:35 - 15:39ฉันตอบว่า คุณต้องเสแสร้งจนกว่าคุณจะทำมันได้จริง
คนมักคิดว่า ฉันทำไม่ได้ มันไม่ใช่ตัวฉัน -
15:39 - 15:42ฉันไม่อยากไปถึงจุดนั้น แล้วยังรู้สึกเหมือนพวกหลอกลวง
-
15:42 - 15:44ฉันไม่อยากรู้สึกเหมือนเป็นพวกต้มตุ๋น
-
15:44 - 15:48ฉันไปอยากไปถึงจุดนั้น
แล้วต้องรู้สึกว่าฉันไม่ควรค่าพอ -
15:48 - 15:50นั่นมันช่างสอดคล้องกับกรณีของฉันเหลือเกิน
-
15:50 - 15:53ฉันอยากจะเล่าเรื่องสั้นๆ ให้พวกคุณฟัง
-
15:53 - 15:56เกี่ยวกับการเป็นพวกหลอกลวง
และความรู้สึกไม่ควรค่าพอจะอยู่ตรงจุดนั้น -
15:56 - 15:59เมื่อฉันอายุได้ 19 ปี ฉันประสบอุบัติเหตุ
ทางรถยนต์ที่ร้ายแรงมากๆ -
15:59 - 16:02ฉันถูกเหวี่ยงออกจากรถ กลิ้งหลายตลบ
-
16:02 - 16:06ฉันถูกเหวี่ยงออกจากรถ และฉันฟื้นขึ้นมา
ในห้องกายภาพของผู้บาดเจ็บทางสมอง -
16:06 - 16:09และฉันต้องออกจากมหาวิทยาลัย
-
16:09 - 16:15เมื่อฉันรู้ตัวว่า I.Q. ของฉันลดลง
กว่า 2 เท่าของค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน -
16:15 - 16:18มันเจ็บปวดมาก
-
16:18 - 16:21ฉันรู้ว่า I.Q. ฉันเคยเป็นเท่าไร
ฉันเคยถูกจัดอยู่ในกลุ่มเด็กฉลาด -
16:21 - 16:23ฉันถูกเรียกว่าเป็นเด็กมีพรสวรรค์
-
16:23 - 16:26เมื่อฉันถูกให้ออกจากมหาวิทยาลัย
ฉันพยายามกลับไปเรียน -
16:26 - 16:28พวกเขาบอกว่า "เธอจะเรียนไม่จบนะ
-
16:28 - 16:30มีอย่างอื่นมากมายที่เธอจะทำได้
-
16:30 - 16:32แต่การเรียนมันยากเกินไปสำหรับเธอ"
-
16:32 - 16:36ฉันลำบากมากกับเรื่องนี้ ต้องบอกตามตรง
-
16:36 - 16:39การถูกลบอัตลักษณ์ของตนเอง แก่นแท้ของตัวตน
-
16:39 - 16:41และสำหรับฉัน มันคือการเป็นคนฉลาด
-
16:41 - 16:45เมื่อมันโดนพรากไปจากคุณ
ไม่มีอะไรจะทำให้คุณรู้สึกไร้อำนาจไปยิ่งกว่านั้นอีกแล้ว -
16:45 - 16:48ฉันรู้สึกไร้อำนาจโดยสิ้นเชิง
ฉันขยันเรียน และขยันเรียน และขยันเรียน -
16:48 - 16:51และฉันก็โชคดี และขยันเรียน
และก็โชคดี และขยันเรียน -
16:51 - 16:53จนสุดท้าย ฉันก็เรียนจบ
-
16:53 - 16:55ฉันต้องใช้เวลานานกว่าเพื่อนๆ ถึงสี่ปี
-
16:55 - 17:00ฉันโน้มน้าวใครคนหนึ่ง ซูซาน ฟิสก์ (Susan Fiske)
อาจารย์ที่ปรึกษาผู้เป็นดั่งเทพธิดาของฉัน -
17:00 - 17:03ให้รับฉันเข้าเรียนต่อ
สุดท้ายฉันจึงได้เข้าเรียนที่พรินซ์ตัน (Princeton) -
17:03 - 17:06ฉันรู้สึกเหมือนว่าฉันไม่คู่ควรกับที่นั่น
-
17:06 - 17:07ฉันเป็นพวกหลอกลวง
-
17:07 - 17:08และคืนก่อนการกล่าวบรรยายในปีแรกของฉัน
-
17:08 - 17:11และการบรรยายของนักศึกษาชั้นปีหนึ่ง
ที่ปรินซ์ตั้น เป็นการบรรยาย 20 นาที -
17:11 - 17:13มีผู้ฟัง 20 คน แค่นั้นเอง
-
17:13 - 17:16แต่ฉันกลัวมาก ว่าคนจะรู้ความจริงในวันรุ่งขึ้น
-
17:16 - 17:19จนฉันต้องโทรไปหาอาจารย์
และบอกเธอว่า "หนูขอลาออกค่ะ" -
17:19 - 17:21เธอตอบว่า "เธอลาออกไม่ได้
-
17:21 - 17:23เพราะฉันวางเดิมพันเรื่องเธอเอาไว้
และเธอต้องอยู่ต่อ -
17:23 - 17:25เธอจะต้องอยู่ต่อ และนี่คือสิ่งที่เธอต้องทำ
-
17:25 - 17:27เธอจะต้องแสร้งทำมัน
-
17:27 - 17:31เธอจะต้องพูดในทุกๆ งานที่เธอถูกขอให้พูด
-
17:31 - 17:32เธอจะต้องพูด และพูด และพูด
-
17:32 - 17:35แม้ว่าเธอจะกลัวจนตัวแข็งทื่อ
-
17:35 - 17:38และเกิดประสบการณ์ออกจากร่าง จนกระทั่ง
-
17:38 - 17:41เธอถึงจุดหนึ่ง ที่เธอจะบอกตัวเองว่า 'พระเจ้าช่วย ฉันกำลังทำมัน
-
17:41 - 17:44ฉันกลายเป็นคนที่ทำได้จริงๆ ฉันกำลังทำมันอยู่จริงๆ'"
-
17:44 - 17:46นั่นคือสิ่งที่ฉันทำ ห้าปีในการเรียนบัณฑิตศึกษา
-
17:46 - 17:48แล้วฉันก็ไปอยู่ที่นอร์ธเวสเทิร์น (Northwestern) สองสามปี
-
17:48 - 17:51แล้วย้ายไปฮาร์วาร์ด (Harvard) และที่ฮาวาร์ด
-
17:51 - 17:54ฉันก็เลิกคิดถึงมันไปเลย
แต่ก่อนหน้านั้นนานทีเดียวที่ฉันคอยแต่คิดว่า -
17:54 - 17:56"ฉันไม่คู่ควรกับที่นี่ ไม่คู่ควรกับที่นี่"
-
17:56 - 17:59ตอนปลายปีแรกของฉันที่ฮาร์วาร์ด
-
17:59 - 18:04นักเรียนคนหนึ่งผู้ไม่เคยพูดในชั้นเรียนเลยทั้งเทอม
-
18:04 - 18:07คนที่ฉันเคยเตือนว่า "นี่ เธอต้องมีส่วนร่วมในชั้นเรียนนะ
ไม่อย่างนั้นเธอจะไม่ผ่าน" -
18:07 - 18:09เด็กคนนั้นมาที่ห้องทำงานฉัน ฉันไม่รู้จักเธอเลย
-
18:09 - 18:13และเธอเข้ามาในแบบหมดสภาพ พ่ายแพ้ยับเยิน
เธอกล่าวว่า -
18:13 - 18:19"หนูไม่คู่ควรกับที่นี่"
-
18:19 - 18:23นั่นคือช่วงเวลาสำคัญสำหรับฉัน
เพราะสองสิ่งได้เกิดขึ้น -
18:23 - 18:25สิ่งแรกคือฉันได้ตระหนัก
-
18:25 - 18:28ว่า พระเจ้า ฉันไม่รู้สึกแบบนั้นอีกต่อไปแล้ว
-
18:28 - 18:31ฉันไม่รู้สึกแบบนั้นอีกต่อไปแล้ว
แต่เธอรู้สึก และฉันเข้าใจดี -
18:31 - 18:33และสิ่งที่สอง คือ เธอคู่ควรจะอยู่ที่นี่!
-
18:33 - 18:35เธอสามารถเสแสร้งได้ จนเธอกลายเป็นแบบนั้นจริงๆ
-
18:35 - 18:39ดังนั้นฉันจึงพูดว่า "เธอคู่ควร! เธอสมควรจะได้อยู่ที่นี่
-
18:39 - 18:40และพรุ่งนี้ เธอจะต้องเสแสร้งทำมัน
-
18:40 - 18:43เธอจะต้องทำตัวให้มีอำนาจ
-
18:43 - 18:47และเธอจะต้อง --"
(เสียงปรบมือ) -
18:47 - 18:49(เสียงปรบมือ)
-
18:49 - 18:53"และเธอจะต้องเข้าเรียน
-
18:53 - 18:55และเธอจะต้องแสดงความเห็น
ที่เยี่ยมยอดที่สุดกว่าใครๆ" -
18:55 - 18:58คุณรู้อะไรไหม?
แล้วเธอก็แสดงความเห็นที่เยี่ยมยอดจริงๆ -
18:58 - 18:59และคนอื่นๆ ต่างหันมามองเธอ แล้วทำท่าเหมือนกับว่า
-
18:59 - 19:03พระเจ้า ฉันไม่เคยสังเกตเลยว่าเธอนั่งอยู่ตรงนั้น
(เสียงหัวเราะ) -
19:03 - 19:06เธอกลับมาหาฉัน เมื่อเวลาผ่านไปเดือนหนึ่ง
และฉันตระหนักว่า -
19:06 - 19:08เธอไม่ได้แค่แสร้งทำจนเธอทำมันได้จริงๆ
-
19:08 - 19:11แต่เธอแสร้งทำ จนมันกลายเป็นตัวเธอไปเลย
-
19:11 - 19:12เธอเปลี่ยนไป
-
19:12 - 19:17และดังนั้นฉันจึงอยากบอกคุณว่า
อย่าแค่แสร้งทำจนคุณทำมันได้ -
19:17 - 19:19ให้แสร้งทำจนมันกลายเป็นตัวคุณ
-
19:19 - 19:23ทำมันให้มากพอจนมันกลายเป็นตัวคุณ
-
19:23 - 19:26สิ่งสุดท้ายที่ฉันจะฝากไว้ก่อนจบการบรรยาย
-
19:26 - 19:30คือการปรับเปลี่ยนเล็กๆ น้อยๆ
สามารถนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงใหญ่ๆ ได้ -
19:30 - 19:33ดังนั้น นี่คือสองนาที
-
19:33 - 19:34สองนาที สองนาที สองนาที
-
19:34 - 19:38ก่อนที่คุณจะต้องเข้าไปในสถานการณ์
ที่จะต้องถูกประเมินอย่างเคร่งเครียด -
19:38 - 19:40ใช้เวลาสักสองนาที พยายามทำสิ่งเหล่านี้ ในลิฟท์
-
19:40 - 19:44ในห้องน้ำ ที่โต๊ะของคุณในห้องมิดชิด
-
19:44 - 19:46นั่นคือสิ่งที่คุณควรทำ ปรับสมองของคุณ
-
19:46 - 19:48เพื่อให้รับมือได้ดีที่สุดในสถานการณ์นั้น
-
19:48 - 19:51เพิ่มเทสโทสเตอโรนของคุณให้สูงขึ้น
และลดคอร์ติซอลให้ต่ำลง -
19:51 - 19:55อย่าออกมาจากสถานการณ์นั้นพร้อมด้วยความรู้สึกที่ว่า
โธ่ ฉันยังไม่ได้แสดงตัวตนจริงๆ ของฉันเลย -
19:55 - 19:57จงออกจากสถานการณ์นั้นด้วยความรู้สึกว่า
โอ้ ฉันรู้สึกว่า -
19:57 - 19:59ฉันได้พูดในแบบของฉัน และแสดงออกในแบบของฉัน
-
19:59 - 20:01ฉันอยากขอร้องให้คุณ
-
20:01 - 20:05ลองทำท่ามีอำนาจ
-
20:05 - 20:07และฉันอยากขอให้คุณ
-
20:07 - 20:10นำความรู้นี้ไปแบ่งปัน เพราะมันง่ายมาก
-
20:10 - 20:12ฉันไม่มีผลประโยชน์ในเรื่องนี้เลยนะ
(เสียงหัวเราะ) -
20:12 - 20:14เอาไปบอกคนอื่นๆ แบ่งปันกัน
-
20:14 - 20:16เพราะคนที่จะใช้มันได้มากที่สุด คือคนที่
-
20:16 - 20:20ไม่มีทรัพยากรอื่น และไม่มีเทคโนโลยี
-
20:20 - 20:23และไม่มีสถานะทางสังคม และไม่มีอำนาจ
จงให้ความรู้นี้แก่พวกเขา -
20:23 - 20:25เพราะเขาสามารถทำในที่ลับตา
-
20:25 - 20:27พวกเขาแค่ต้องการร่างกายของเขา
ความเป็นส่วนตัว และเวลาสองนาที -
20:27 - 20:30และมันจะสามารถเปลี่ยนชีวิตพวกเขาได้จริงๆ
-
20:30 - 20:35ขอบคุณค่ะ
(เสียงปรบมือ) -
20:35 - 20:42(เสียงปรบมือ)
- Title:
- ภาษากายของคุณเปลี่ยนตัวตนของคุณได้
- Speaker:
- เอมี่ คัดดี้ (Amy Cuddy)
- Description:
-
ภาษากายไม่เพียงส่งผลต่อมุมมองของคนอื่นที่มีต่อเรา แต่มันยังอาจเปลี่ยนมุมมองของเราที่มีต่อตัวเราเองด้วย นักจิตวิทยาสังคม เอมี่ คัดดี้ แสดงให้เห็นว่า "ท่าแห่งอำนาจ" นั่นคือ การยืนในท่าทางที่มั่นใจ แม้ว่าเราจะไม่มั่นใจก็ตาม สามารถส่งผลกระทบต่อระดับเทสโทสเตอโรนและคอร์ติซอลในสมองได้ และอาจยังส่งผลกระทบต่อโอกาสประสบความสำเร็จของเราได้อีกด้วย
- Video Language:
- English
- Team:
- closed TED
- Project:
- TEDTalks
- Duration:
- 21:02
Kelwalin Dhanasarnsombut edited Thai subtitles for Your body language may shape who you are | ||
Kelwalin Dhanasarnsombut edited Thai subtitles for Your body language may shape who you are | ||
Kelwalin Dhanasarnsombut approved Thai subtitles for Your body language may shape who you are | ||
Thipnapa Huansuriya accepted Thai subtitles for Your body language may shape who you are | ||
Thipnapa Huansuriya edited Thai subtitles for Your body language may shape who you are | ||
Kanawat Senanan edited Thai subtitles for Your body language may shape who you are | ||
Kanawat Senanan edited Thai subtitles for Your body language may shape who you are | ||
Kanawat Senanan edited Thai subtitles for Your body language may shape who you are |