เดเนียล โกล์แมน (Daniel Goleman) ถกประเด็นเรื่อง ความกรุณาปราณี
-
0:01 - 0:05คุณรู้ไหมครับ ผมรู้สึกแปลกใจเหมือนกันนะว่าไปไงมาไง ประเด็นหนึ่งที่เป็นประเด็นไปโดยปริยายของ TED
-
0:05 - 0:08คือประเด็นเรื่อง ความกรุณาปราณี ตัวอย่างสาธิตที่กระตุ้นใจตามเราเพิ่งได้เห็นเหล่านี้
-
0:09 - 0:13เชื้อเอชไอวี (HIV) ในอัฟริกา ประธานาธิบดีคลินตันเมื่อคืน
-
0:13 - 0:18และผมอยากจะพูดอะไรที่สอดคล้องกัน ถ้าคุณจะกรุณา
-
0:18 - 0:23เกี่ยวกับเรื่องความกรุณาปราณี และดึงจากระดับสากลมาสู่ระดับบุคคล
-
0:23 - 0:25ผมเป็นนักจิตวิทยา แต่กรุณามั่นใจเลยว่า
-
0:25 - 0:26ผมจะไม่พูดเรื่องใต้สะดือ
-
0:27 - 0:31(เสียงหัวเราะ)
-
0:32 - 0:34เมื่อไม่นานมานี้ มีงานวิจัยชิ้นสำคัญมากชิ้นหนึ่ง
-
0:34 - 0:38ที่โรงเรียนศาสนาแห่งเมือง Princeton ที่ตั้งคำถามขึ้นมาว่า เพราะเหตุใด
-
0:39 - 0:42หลายๆครั้งที่เรามีโอกาสช่วยเหลือผู้อื่น
-
0:42 - 0:45บางครั้ง เราก็ช่วย แต่บางครั้ง เรากลับไม่ช่วย
-
0:46 - 0:49กลุ่มนักศึกษาศาสนศาสตร์ที่โรงเรียนสอนศาสนาแห่งเมือง Princeton
-
0:50 - 0:54ได้รับแจ้งว่า พวกเขาจะได้รับการฝึกการเทศนา
-
0:54 - 0:57และแต่ละคนได้รับหัวข้อการเทศนาคนละหนึ่งหัวข้อ
-
0:57 - 1:00ครึ่งหนึ่งได้รับหัวข้อ
-
1:00 - 1:02นิทานสอนใจเรื่องผู้ใจบุญ
-
1:02 - 1:04ผู้ที่หยุดดูคนแปลกหน้าข้างถนน
-
1:05 - 1:07เพื่อจะช่วยเหลือเขา
-
1:07 - 1:10อีกครึ่งหนึ่งได้รับหัวข้ออย่างสุ่มๆจากในไบเบิล
-
1:10 - 1:13จากนั้น พวกเขาได้รับแจ้งว่า จะต้องไปที่อีกอาคารหนึ่งทีละคนๆ
-
1:14 - 1:15เพื่อเทศนา
-
1:15 - 1:18เมื่อเขาเดินจากอาคารแรกไปอาคารที่สอง
-
1:18 - 1:21แต่ละคนจะผ่านคนๆหนึ่งที่นอนคุดคู้และร้องคราญขอความช่วยเหลือ
-
1:22 - 1:26ซึ่งเห็นได้อย่างชัดเจนว่าต้องการความช่วยเหลือจริงๆ แต่คำถามคือ พวกเขาหยุดช่วยหรือไม่
-
1:26 - 1:27คำถามที่น่าสนใจกว่านั้นคือ
-
1:28 - 1:31เกี่ยวกันไหมกับที่พวกเขากำลังครุ่นคิดพิจารณาถึงนิทานสอนใจ
-
1:31 - 1:35เรื่องผู้ใจบุญ คำตอบก็คือ ไม่ ไม่เลยแม้แต่น้อย
-
1:36 - 1:39สิ่งที่ดูเหมือนว่าจะกำหนดว่า คนเราจะหยุด
-
1:39 - 1:40และช่วยคนแปลกหน้าที่ต้องการความช่วยหรือไม่นั้น
-
1:40 - 1:43คือ การที่เขาคิดว่าเขารีบแค่ไหนต่างหาก
-
1:44 - 1:48ว่าเขารู้สึกว่าเขากำลังจะไปสายอยู่หรือเปล่า หรือว่าเขาจดจ่อ
-
1:48 - 1:49แต่กับสิ่งที่เขากำลังจะไปบรรยายอยู่หรือไม่
-
1:50 - 1:52และผมคิดว่านี่เป็นสภาพเลวร้ายของชีวิตเรา
-
1:53 - 1:57ที่เราไม่ช่วยเหลือผู้อื่นในทุกๆครั้งที่เรามีโอกาส
-
1:57 - 2:00เพราะเราพุ่งความสนใจของเราไปอีกทางหนึ่ง
-
2:00 - 2:03มีวิทยาศาสตร์ทางสมองแขนงใหม่ คือ ประสาทวิทยาศาสตร์เชิงสังคม
-
2:04 - 2:08เป็นการศึกษาระบบสมองของคนสองคน
-
2:08 - 2:10ที่เกิดการกระตุ้นเมื่อพวกเขามีปฏิสัมพันธ์กัน
-
2:10 - 2:14และแนวคิดใหม่เกี่ยวกับความกรุณาปราณีจากแขนงวิชานี้
-
2:14 - 2:18คือ เรามีธรรมชาติที่จะช่วยเหลือผู้อื่น
-
2:18 - 2:22นั่นคือ เมื่อเราอยู่กับผู้อื่น
-
2:23 - 2:26เราจะเข้าอกเข้าใจเขาไปโดยอัตโนมัติ เราจะรู้สึกร่วมไปกับพวกเขาได้โดยอัตโนมัติ
-
2:27 - 2:29มีเซลล์ประสาทที่เพิ่งจะมีการค้นพบใหม่ เรียกว่า เซลล์กระจกเงา (mirror neuron)
-
2:29 - 2:33ทำหน้าที่เหมือนการส่งสัญญาณในระบบประสาท กระตุ้นสมองของเรา
-
2:33 - 2:37ในส่วนเดียวกันกับเซลล์ของคนอื่น เราจึงรู้สึกร่วมโดยอัตโนมัติ
-
2:37 - 2:41และถ้าหากคนๆนั้นต้องการความช่วย หรือกำลังทุกข์ทรมาน
-
2:42 - 2:46เราจะถูกเตรียมพร้อมอย่างอัตโนมัติที่จะช่วยเหลือ อย่างน้อยนี่ก็เป็นข้อโต้แย้ง
-
2:46 - 2:49แต่แล้ว ก็มีคำถามว่า ทำไมเราจึงไม่ช่วย
-
2:49 - 2:51และผมคิดว่านี่บอกอะไรหลายอย่าง
-
2:52 - 2:54ตั้งแต่ การจดจ่อในตนเองอย่างสมบูรณ์
-
2:55 - 2:57ไปถึงการสังเกต การเอาใจเขามาใส่ใจเรา และไปจนถึงความกรุณาปราณี
-
2:57 - 3:01และด้วยความจริงง่ายๆที่ว่า หากเราสนใจในตนเองอยู่
-
3:02 - 3:05หากเราจดจ่อกับอะไรอยู่ อย่างที่เรามักเป็นแบบนั้นตลอดทั้งวัน
-
3:05 - 3:08เราก็จะไม่สังเกตเห็นผู้อื่นได้อย่างเต็มที่จริงจัง
-
3:08 - 3:10และความแตกต่างระหว่างความสนใจในตนเองและความสนใจอื่นๆ
-
3:10 - 3:11เป็นอะไรที่เข้าใจยาก
-
3:11 - 3:15วันหนึ่ง ผมกำลังจัดการเกี่ยวภาษีอยู่และผมได้ไปถึง
-
3:15 - 3:17ส่วนที่ผมต้องลงรายการการบริจาคทั้งหมด
-
3:18 - 3:21และผมรู้สึกมีความสุขมาก ตอนนั้นผมกลับไปดูเช็ค
-
3:21 - 3:24ที่ส่งไปที่ Seva Foundation และผมพบว่าผมกำลังคิดอยู่ว่า
-
3:24 - 3:26เอ้อ จริงด้วย!! ลาร์รี่ บริลเลียนท์ (Larry Brilliant) เพื่อนของผมจะต้องดีใจมากแน่ๆ
-
3:27 - 3:28ที่ผมบริจาคเงินให้ Seva
-
3:28 - 3:31ต่อมา ผมจึงตระหนักได้ว่าสิ่งที่ผมได้จากการให้นั้น
-
3:31 - 3:35มันเป็นผลเชิงหลงตนเอง นั่นคือผมรู้สึกดีต่อตัวผมเอง
-
3:35 - 3:40จากนั้น ผมเริ่มคิดเกี่ยวกับคนบนเทือกเขาหิมาลัย
-
3:40 - 3:42ซึ่งพวกเขาจะได้รับการรักษาต้อกระจก และผมจึงตระหนักว่า
-
3:43 - 3:46ผมได้ออกจากความรู้สึกหลงตน
-
3:47 - 3:50ไปสู่ความปิติจากการช่วยเหลือ ไปสู่ความรู้สึกดี
-
3:50 - 3:54ต่อคนที่จะได้รับความช่วยเหลือ ผมคิดว่านั่นแหละที่เป็นแรงบันดาล
-
3:54 - 3:57แต่ความแตกต่างระหว่างการสนใจตนเอง
-
3:57 - 3:58กับผู้อื่นนั้น
-
3:58 - 4:01คือสิ่งที่ผมอยากให้ทุกคนใส่ใจ
-
4:01 - 4:04คุณๆจะเห็นมันในง่ายๆในของโลกของการเดท
-
4:05 - 4:08มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมนั่งอยู่ในร้านซูชิ
-
4:08 - 4:11และผมเผอิญได้ยินผู้หญิงสองคนพูดถึงน้องชาย(หรือพี่ชาย)ของผู้หญิงอีกคนหนึ่ง
-
4:12 - 4:15ที่เป็นโสดอยู่ และผู้หญิงคนนั้นพูดว่า
-
4:15 - 4:17"น้องชายเรามีปัญหาในการหาคู่เดท
-
4:17 - 4:19เขาเลยลองการเดทด่วน" ผมไม่รู้ว่าคุณรู้จักการเดทด่วนไหม
-
4:19 - 4:23ผู้หญิงนั่งประจำโต๊ะ ส่วนผู้ชายย้ายโต๊ะไปเรื่อยๆ
-
4:23 - 4:26จะมีนาฬิกาและระฆัง และเมื่อครบห้านาที บิงโก
-
4:27 - 4:29จบการสนทนา และผู้หญิงจะตัดสินว่า
-
4:29 - 4:33จะให้นามบัตรหรืออีเมลล์แก่ผู้ชายหรือไม่
-
4:33 - 4:35เพื่อติดต่อกันภายหลัง และผู้หญิงคนนั้นบอกว่า
-
4:35 - 4:39"น้องเราไม่เคยได้นามบัตรเลย และเรารู้แหละว่าทำไม
-
4:39 - 4:44คือตอนที่น้องเรานั่ง น้องเราไม่หยุดพูดเกี่ยวกับตัวเองเลย
-
4:44 - 4:45น้องเราไม่เคยถามอะไรผู้หญิงเลย
-
4:46 - 4:51และตอนที่ผมกำลังหาข้อมูลในคอลัมน์หมวด Sunday Styles
-
4:51 - 4:54ของหนังสือพิมพ์ New York Times หาดูเรื่องราวเบื้องหลังการแต่งงาน
-
4:54 - 4:57เพราะน่าสนใจมากๆ และผมได้พบกับเรื่องราวการแต่งงานของ
-
4:57 - 5:00อลีซ ชาร์นี เอ็บสไตน์ (Alice Charney Epstein) ซึ่งเธอบอกว่า
-
5:00 - 5:02เมื่อเธออยู่ในช่วงเดท
-
5:03 - 5:05เธอมีวิธีทดสอบง่ายๆ
-
5:06 - 5:08บททดสอบคือ ตั้งแต่ที่ได้พบได้รู้จักกัน
-
5:08 - 5:11นานแค่ไหนกว่าที่ชายหนุ่มก็เริ่มถามเธอ
-
5:11 - 5:13ด้วยคำถามที่มีคำว่า "คุณ" อยู่ในนั้น
-
5:13 - 5:17และดูเหมือนว่าเธอประสบความสำเร็จกับการใช้แบบทดสอบนี้ แล้วก็เลยได้กลายเป็นบทความนั้นไงครับ
-
5:17 - 5:18(เสียงหัวเราะ)
-
5:18 - 5:20ตอนนี้เรามาดูแบบทดสอบชิ้นเล็กๆชิ้นหนึ่งกันดีกว่า
-
5:20 - 5:22ผมอยากให้คุณทดลองใช้ในงานปาร์ตี้ดูนะครับ
-
5:22 - 5:24ที่นี่ ที่ TED เต็มไปด้วยโอกาสที่ยิ่งใหญ่
-
5:26 - 5:29ในวารสาร Harvard Business Review มีบทความหนึ่งชื่อว่า
-
5:29 - 5:32"ณ ช่วงขณะของมนุษย์" ซึ่งเกี่ยวกับว่า ทำอย่างไรเราจะสามารถมีปฏิสัมพันธ์จริงๆ
-
5:32 - 5:35กับเพื่อนร่วมงาน และเขาบอกว่าอย่างนี้ครับ
-
5:35 - 5:38พื้นฐานเลยก็คือคุณต้องปิด BlackBerry ของคุณก่อน
-
5:39 - 5:42ปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ และเลิกฝันกลางวัน
-
5:43 - 5:45และให้ความสนใจอย่างเต็มที่กับคนๆนั้น
-
5:46 - 5:50มีศัพย์ใหม่คำหนึ่งในภาษาอังกฤษ
-
5:51 - 5:54สำหรับเวลาที่คนที่เราอยู่ด้วยหยิบเอา BlackBerry ขึ้นมา
-
5:54 - 5:57หรือรับโทรศัพท์มือถือ และ ก็เหมือนกับว่าเราได้อันตรธานไปโดยฉับพลัน
-
5:58 - 6:02คำนั้นคือ "pizzled" มันเป็นการผสมคำของ puzzled [งงงัน] กับ pissed off [โมโห]
-
6:02 - 6:05(เสียงหัวเราะ)
-
6:05 - 6:11ผมว่าก็เหมาะนะ มันเป็นความเอาใจเขามาใส่ใจเราของเรา เป็นการที่เราเข้าหาผู้อื่น
-
6:12 - 6:15ที่แยกเราจากพวกปลิ้นปล้อน และพวกต่อต้านสังคม
-
6:15 - 6:20ผมมีน้อง(หรือพี่)เขยคนหนึ่ง เขาชำนาญเรื่องน่ากลัวและสยดสยอง
-
6:20 - 6:23เขาเขียนหนังสือ the Annotated Dracula, the Essential Frankenstein
-
6:23 - 6:24เขาถูกฝึกมาในแนวของ Chaucer (สไตล์นักเขียนคนหนึ่ง)
-
6:24 - 6:26แต่เขาเกิดที่ ทรานซิลเวเนีย
-
6:26 - 6:28และผมคิดว่านั่นส่งผลต่อเขาเล็กน้อย
-
6:28 - 6:32ยังไงก็ตาม ณ จุดหนึ่ง ลีโอนาร์ด (Leonard) น้องเขยผมคนนี้
-
6:32 - 6:34ตัดสินใจเขียนหนังสือเกี่ยวกับ ฆาตกรต่อเนื่อง
-
6:34 - 6:37คนที่เคยสร้างความสยดสยองไปทุกหัวระแหง
-
6:38 - 6:40หลายปีที่ผ่านมา เขาเป็นที่รู้จักในนาม นักบีบคอแห่ง Santa Cruz
-
6:41 - 6:45และ ก่อนที่เขาจะถูกจับ เขาได้ฆ่าปู่ย่าตายายของเขา
-
6:45 - 6:48แม่เขา และนักศีกษาในมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียวิทยาเขต Santa Cruz อีก 5 คน
-
6:49 - 6:51น้องเขยผมไปสัมภาษณ์ฆาตกรคนนี้
-
6:52 - 6:54และเขาตระหนัก เมื่อเขาได้พบฆาตกรผู้นี้
-
6:54 - 6:55ว่า ชายคนนี้ช่างน่ากลัวยิ่งนัก
-
6:56 - 6:58ประการหนึ่งเพราะเขาสูงเกือบ 7 ฟุต (210 เซ็นติเมตร)
-
6:58 - 7:01แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดเกี่ยวกับเขา
-
7:01 - 7:06ที่น่ากลัวที่สุดคือ IQ เขาสูงถึง 160 ซึ่งเป็นระดับอัจฉริยะ
-
7:07 - 7:11แต่มันไม่มีความสัมพันธ์ระหว่าง IQ และความเห็นอกเห็นใจ
-
7:11 - 7:12ความรู้สึกที่ร่วมไปกับผู้อื่น
-
7:13 - 7:15สิ่งเหล่านั้นมันถูกควบคุมด้วยสมองส่วนอื่น
-
7:16 - 7:18ณ จุดหนึ่ง น้อยเขยผมรวบรวมความกล้า
-
7:19 - 7:21เพื่อถามคำถามหนึ่งที่เขาอยากรู้มากๆ
-
7:21 - 7:24และนั่นคือคำถามว่า คุณทำอย่างนั้นได้อย่างไร
-
7:24 - 7:26คุณไม่รู้สึกสงสารเหยื่อของคุณแม้สักนิดเลยหรือ
-
7:26 - 7:29การฆาตกรรมเหล่านั้นเป็นระยะประชั้นตัวกับคนใกล้ชิดคุ้นเคย เขาบีบคอเหยื่อ
-
7:30 - 7:32และเขาตอบในสิ่งที่สำคัญมากคือ
-
7:32 - 7:37"ไม่เลย หากผมรู้สึกเสียใจ ผมคงทำเช่นนั้นไม่ได้
-
7:37 - 7:43ผมต้องเอาส่วนนั้นออกไป ผมต้องทำอย่างนั้น"
-
7:43 - 7:48และการคิดแบบนั้นนั่นแหละที่ผมคิดว่าเป็นปัญหาอย่างยิ่ง
-
7:49 - 7:53และในแง่หนึ่ง ผมจึงได้ไตร่ตรองเกี่ยวกับการที่เราตัดเอาความคิดส่วนนั้นออกไป
-
7:53 - 7:55เมื่อเรามุ่งความสนใจมาที่ตัวเราเองในการทำอะไรก็ตาม
-
7:56 - 7:59เราได้ตัดความคิดที่ว่านี่มีผู้อื่นอยู่หรือไม่
-
8:00 - 8:05ลองคิดเกี่ยวกับการไปช็อปปิ้ง และคิดเกี่ยวกับความเป็นไปได้
-
8:05 - 8:07ของแนวบริโภคนิยมเชิงอนุรักษ์
-
8:08 - 8:10ตอนนี้ เหมือนที่ บิลล์ แม็คโดนอฟ (Bill McDonough) ได้ชี้ไว้
-
8:12 - 8:16สิ่งที่เราซื้อและใช้มักมีผลกระทบที่ซ่อนเร้นอยู่
-
8:16 - 8:19พวกเราทั้งหมดนั้นเป็นเหยื่อโดยที่ไม่รู้ตัวของสิ่งซ่อนเร้นพวกนี้
-
8:20 - 8:22เราไม่ได้สังเกต และ ไม่ได้สังเกตว่าเราไม่ได้สังเกตเกี่ยวกับ
-
8:23 - 8:29โมเลกุลที่เป็นพิษจากพรมหรือผ้าปูเบาะ
-
8:30 - 8:35หรือเราไม่รู้ว่าผ้านั่นใช้เทคโนโลยีหรือการผลิตที่
-
8:35 - 8:39สามารถนำกลับมาใช่ใหม่ได้หรือไม่
-
8:39 - 8:41หรือเราจะต้องทิ้งมันไป อีกนัยหนึ่ง
-
8:41 - 8:46เรานั้นไม่ได้สนใจเรื่องนิเวศและสาธารณสุข
-
8:47 - 8:50และ ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมทางเศรษฐกิจและสังคม
-
8:50 - 8:52ของสิ่งที่เราซื้อและใช้
-
8:54 - 8:58จะว่าไป ก็เหมือนกันห้องหนึ่งที่ตัวห้องเองเป็นช้างที่อยู่ในห้อง
-
8:58 - 9:02และเรามองไม่เห็นมัน และเรากลายเป็นเหยื่อ
-
9:02 - 9:05ของระบบที่เกี่ยวกับเราในที่อื่นๆ ลองพิจารณาอันนี้ครับ
-
9:06 - 9:09มีหนังสือที่เยี่ยมมากเล่มหนึ่งชื่อ
-
9:10 - 9:12สิ่งของ:ชีวิตที่ซ่อนอยู่ของใช้ประจำวัน
-
9:13 - 9:16มันเกี่ยวกับเรื่องราวเบื้องหลังของของบางอย่างเช่น เสื้อยืด
-
9:16 - 9:19และมันบอกเกี่ยวกับว่าฝ้ายปลูกที่ไหน
-
9:19 - 9:21และปุ๋ยที่ใช้รวมทั้งผลกระทบของปุ๋ย
-
9:21 - 9:25ที่มีต่อดิน และมันบอกว่า นี่ครับตัวอย่าง
-
9:25 - 9:28ฝ้ายนั้นทนทานมากต่อสีย้อมผ้า
-
9:28 - 9:31ราว 60 เปอร์เซ็นต์จะถูกล้างออกมาไปกับน้ำทิ้ง
-
9:31 - 9:34และเป็นที่รู้กันดีในหมู่นักระบาดวิทยาว่าเด็กๆ
-
9:34 - 9:39ที่อาศัยอยู่ใกล้โรงย้อมผ้าจะมีอัตราการเป็นโรคลูคีเมียสูง
-
9:40 - 9:44มีบริษัทหนึ่งชื่อว่า Bernett and Company ซึ่งเป็นผู้ผลิตสินค้าให้กับ Polo.com
-
9:45 - 9:50Victoria's Secret ด้วยเหตุที่ว่า CEO ของเขาที่สนใจในเรื่องนี้
-
9:51 - 9:55ได้ทำการร่วมทุนที่จีนกับบริษัทย้อมผ้า
-
9:55 - 9:57เพื่อให้แน่ใจว่าน้ำทิ้งนั่น
-
9:57 - 10:01จะถูกบำบัดด้วยวิธีที่เหมาะสมก่อนมันจะเทลงในแหล่งน้ำธรรมชาติ
-
10:01 - 10:05ตอนนี้ เรายังไม่มีหนทางที่จะเลือกซื้อเสื้อยืดที่ผลิตด้วยกระบวนที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม
-
10:06 - 10:10แทนที่จะเป็นอันที่ไม่ดีได้ แล้วอะไรหล่ะที่จะทำให้เรามีหนทาง
-
10:13 - 10:16อืม ผมคิดว่า อย่างหนึ่ง
-
10:16 - 10:21มีเทคโนโลยีติดแถบป้ายอิเล็กทรอนิกส์ที่ทำให้ร้านค้าใดๆก็ตาม
-
10:21 - 10:25รู้ประวัติทั้งหมดของสิ่งของบนชั้นวางที่ร้านนั้น
-
10:26 - 10:28คุณสามารถตามย้อนรอยไปถึงโรงงาน และเมื่อคุณทำเช่นนั้น
-
10:28 - 10:32คุณจะสามารถดูกระบวนการผลิต
-
10:32 - 10:36ที่ถูกใช้ในการผลิตสินค้านั้น และถ้ามันผลิตด้วยกระบวนที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม
-
10:36 - 10:40คุณก็สามารถจะมั่นใจได้ หรือว่ามันไม่ใช่
-
10:40 - 10:44ณ วันนี้ คุณสามารถไปที่ร้านไหนก็ได้
-
10:44 - 10:47เอาเครื่องตรวจทาบบนแถบรหัสสินค้า
-
10:47 - 10:49ซึ่งจะพาคุณไปที่เว็บไซต์
-
10:49 - 10:51เขาทำขึ้นเพื่อคนที่แพ้ถั่วลิสง
-
10:52 - 10:54และเว็บนั้นจะบอกคุณเกี่ยวกับสินค้านั้น
-
10:55 - 10:56อีกนัยหนึ่ง ขณะที่ซื้อสินค้า
-
10:56 - 11:00เราสามารถจะเลือกทางเลือกที่รับผิดชอบต่อสังคมได้
-
11:00 - 11:06นี่เป็นที่สิ่งบอกว่าในโลกแห่งวิทยาการสารสนเทศ
-
11:06 - 11:09ท้ายสุดแล้ว ทุกคนจะรู้ทุกอย่าง
-
11:09 - 11:11และคำถามคือว่า มันจะทำให้เกิดความแตกต่างไหม
-
11:13 - 11:16ย้อนกลับไปพักหนึ่ง ตอนที่ผมทำงานกับ New York Times
-
11:17 - 11:19ในช่วงทศวรรษ 80s ผมเขียนบทความ
-
11:19 - 11:21ว่าอะไรจะเป็นปัญหาใหม่สำหรับมหานครนิวยอร์ก
-
11:21 - 11:23นั่นคือคนเร่ร่อนบนถนน
-
11:23 - 11:27และผมใช้เวลาสองสัปดาห์ไปกับหน่วยงานด้านสังคม
-
11:27 - 11:30ที่ดูแลคนเร่ร่อน และผมตระหนักว่า จากการมองเห็นผ่านคนเร่ร่อน
-
11:30 - 11:35ผ่านสายตาพวกเขานั้น พวกเขาเกือบทั้งหมดเป็นคนไข้จิตเวช
-
11:35 - 11:39ที่ไม่มีที่จะไป พวกเขาได้รับการตรวจวินิจฉัยแล้ว มันทำให้ผม
-
11:40 - 11:43มันปลุกผมออกจากภวังค์ของเมืองที่ซึ่ง
-
11:44 - 11:47เมื่อเราเห็น เมื่อเราเดินผ่านคนที่เร่ร่อน
-
11:47 - 11:50เขาไม่อยู่ในตาสายเลย
-
11:52 - 11:54เราไม่สังเกต และด้วยเหตุนี้เราจึงไม่ทำอะไร
-
11:57 - 12:02วันหนึ่งหลังจากนั้นไม่นาน มันเป็นวันศุกร์ ตอนช่วงเย็นๆค่ำๆ
-
12:02 - 12:05ผมกำลังเดินไปที่รถไฟใต้ติน ในชั่วโมงเร่งด่วน
-
12:05 - 12:07ฝูงชนก็พากันกรูลงบันได
-
12:07 - 12:09และทันทีที่ผมกำลังจะเดินลงบันไดนั้น
-
12:09 - 12:12ผมสังเกตเห็นชายคนหนึ่งทรุดฮวบลงข้างทาง
-
12:12 - 12:16ไม่มีเสื้อผ้าใส่ ไม่เคลื่อนไหว และคนต่างก็เดินเหยียบเขา
-
12:17 - 12:18คนเป็นไม่รู้จะเท่าไหร่
-
12:19 - 12:22และเพราะว่าภวังค์หลงในความเมืองผมนั้นได้ลดลง
-
12:23 - 12:26ผมหยุดคิดว่าอะไรที่มันไม่ผิดปกติ
-
12:27 - 12:29เวลาที่ผมหยุดนั้น คนสักครึ่งโหลได
-
12:30 - 12:31ได้ล้อมไปช่วยที่ชายผู้นั้นทันที
-
12:32 - 12:34และเราพบว่าเขาเชื้อสายสเปน เขาพูดอังกฤษไม่ได้เลย
-
12:34 - 12:39เขาไม่มีเงินเลย เขาได้เดินเตร่ตามถนนเป็นเวลาหลายวันแล้ว อย่างหิวโหย
-
12:39 - 12:40และหมดสติลงด้วยความหิว
-
12:40 - 12:42ทันใดนั้น ใครบางคนไปซื้อน้ำส้มให้
-
12:42 - 12:44บางคนซื้อฮอทดอก บางคนเรียกตำรวจรถไฟใต้ดินมาช่วย
-
12:45 - 12:48ชายคนนี้กลับมาเป็นปกติในทันใด
-
12:48 - 12:52แต่สิ่งง่ายๆที่เราต้องการคือแค่ การสังเกต
-
12:53 - 12:54และ ผมเป็นคนมองโลกในแง่ดีด้วยสิ
-
12:54 - 12:55ขอบคุณมากครับ
-
12:55 - 12:57(เสียงปรบมือ)
- Title:
- เดเนียล โกล์แมน (Daniel Goleman) ถกประเด็นเรื่อง ความกรุณาปราณี
- Speaker:
- Daniel Goleman
- Description:
-
เดเนียล โกล์แมน (Daniel Goleman) เจ้าของงานเขียน "ความฉลาดทางอารมณ์ (Emotional Intelligence)" ตั้งคำถามว่าทำไมเราจึงไม่แสดงความกรุณาปราณีต่อผู้อื่นมากกว่าที่เป็นอยู่นี้ในแทบทุกๆโอกาส
- Video Language:
- English
- Team:
closed TED
- Project:
- TEDTalks
- Duration:
- 12:56