1 00:00:01,000 --> 00:00:05,000 คุณรู้ไหมครับ ผมรู้สึกแปลกใจเหมือนกันนะว่าไปไงมาไง ประเด็นหนึ่งที่เป็นประเด็นไปโดยปริยายของ TED 2 00:00:05,000 --> 00:00:08,000 คือประเด็นเรื่อง ความกรุณาปราณี ตัวอย่างสาธิตที่กระตุ้นใจตามเราเพิ่งได้เห็นเหล่านี้ 3 00:00:09,000 --> 00:00:13,000 เชื้อเอชไอวี (HIV) ในอัฟริกา ประธานาธิบดีคลินตันเมื่อคืน 4 00:00:13,000 --> 00:00:18,000 และผมอยากจะพูดอะไรที่สอดคล้องกัน ถ้าคุณจะกรุณา 5 00:00:18,000 --> 00:00:23,000 เกี่ยวกับเรื่องความกรุณาปราณี และดึงจากระดับสากลมาสู่ระดับบุคคล 6 00:00:23,000 --> 00:00:25,000 ผมเป็นนักจิตวิทยา แต่กรุณามั่นใจเลยว่า 7 00:00:25,000 --> 00:00:26,000 ผมจะไม่พูดเรื่องใต้สะดือ 8 00:00:27,000 --> 00:00:31,000 (เสียงหัวเราะ) 9 00:00:32,000 --> 00:00:34,000 เมื่อไม่นานมานี้ มีงานวิจัยชิ้นสำคัญมากชิ้นหนึ่ง 10 00:00:34,000 --> 00:00:38,000 ที่โรงเรียนศาสนาแห่งเมือง Princeton ที่ตั้งคำถามขึ้นมาว่า เพราะเหตุใด 11 00:00:39,000 --> 00:00:42,000 หลายๆครั้งที่เรามีโอกาสช่วยเหลือผู้อื่น 12 00:00:42,000 --> 00:00:45,000 บางครั้ง เราก็ช่วย แต่บางครั้ง เรากลับไม่ช่วย 13 00:00:46,000 --> 00:00:49,000 กลุ่มนักศึกษาศาสนศาสตร์ที่โรงเรียนสอนศาสนาแห่งเมือง Princeton 14 00:00:50,000 --> 00:00:54,000 ได้รับแจ้งว่า พวกเขาจะได้รับการฝึกการเทศนา 15 00:00:54,000 --> 00:00:57,000 และแต่ละคนได้รับหัวข้อการเทศนาคนละหนึ่งหัวข้อ 16 00:00:57,000 --> 00:01:00,000 ครึ่งหนึ่งได้รับหัวข้อ 17 00:01:00,000 --> 00:01:02,000 นิทานสอนใจเรื่องผู้ใจบุญ 18 00:01:02,000 --> 00:01:04,000 ผู้ที่หยุดดูคนแปลกหน้าข้างถนน 19 00:01:05,000 --> 00:01:07,000 เพื่อจะช่วยเหลือเขา 20 00:01:07,000 --> 00:01:10,000 อีกครึ่งหนึ่งได้รับหัวข้ออย่างสุ่มๆจากในไบเบิล 21 00:01:10,000 --> 00:01:13,000 จากนั้น พวกเขาได้รับแจ้งว่า จะต้องไปที่อีกอาคารหนึ่งทีละคนๆ 22 00:01:14,000 --> 00:01:15,000 เพื่อเทศนา 23 00:01:15,000 --> 00:01:18,000 เมื่อเขาเดินจากอาคารแรกไปอาคารที่สอง 24 00:01:18,000 --> 00:01:21,000 แต่ละคนจะผ่านคนๆหนึ่งที่นอนคุดคู้และร้องคราญขอความช่วยเหลือ 25 00:01:22,000 --> 00:01:26,000 ซึ่งเห็นได้อย่างชัดเจนว่าต้องการความช่วยเหลือจริงๆ แต่คำถามคือ พวกเขาหยุดช่วยหรือไม่ 26 00:01:26,000 --> 00:01:27,000 คำถามที่น่าสนใจกว่านั้นคือ 27 00:01:28,000 --> 00:01:31,000 เกี่ยวกันไหมกับที่พวกเขากำลังครุ่นคิดพิจารณาถึงนิทานสอนใจ 28 00:01:31,000 --> 00:01:35,000 เรื่องผู้ใจบุญ คำตอบก็คือ ไม่ ไม่เลยแม้แต่น้อย 29 00:01:36,000 --> 00:01:39,000 สิ่งที่ดูเหมือนว่าจะกำหนดว่า คนเราจะหยุด 30 00:01:39,000 --> 00:01:40,000 และช่วยคนแปลกหน้าที่ต้องการความช่วยหรือไม่นั้น 31 00:01:40,000 --> 00:01:43,000 คือ การที่เขาคิดว่าเขารีบแค่ไหนต่างหาก 32 00:01:44,000 --> 00:01:48,000 ว่าเขารู้สึกว่าเขากำลังจะไปสายอยู่หรือเปล่า หรือว่าเขาจดจ่อ 33 00:01:48,000 --> 00:01:49,000 แต่กับสิ่งที่เขากำลังจะไปบรรยายอยู่หรือไม่ 34 00:01:50,000 --> 00:01:52,000 และผมคิดว่านี่เป็นสภาพเลวร้ายของชีวิตเรา 35 00:01:53,000 --> 00:01:57,000 ที่เราไม่ช่วยเหลือผู้อื่นในทุกๆครั้งที่เรามีโอกาส 36 00:01:57,000 --> 00:02:00,000 เพราะเราพุ่งความสนใจของเราไปอีกทางหนึ่ง 37 00:02:00,000 --> 00:02:03,000 มีวิทยาศาสตร์ทางสมองแขนงใหม่ คือ ประสาทวิทยาศาสตร์เชิงสังคม 38 00:02:04,000 --> 00:02:08,000 เป็นการศึกษาระบบสมองของคนสองคน 39 00:02:08,000 --> 00:02:10,000 ที่เกิดการกระตุ้นเมื่อพวกเขามีปฏิสัมพันธ์กัน 40 00:02:10,000 --> 00:02:14,000 และแนวคิดใหม่เกี่ยวกับความกรุณาปราณีจากแขนงวิชานี้ 41 00:02:14,000 --> 00:02:18,000 คือ เรามีธรรมชาติที่จะช่วยเหลือผู้อื่น 42 00:02:18,000 --> 00:02:22,000 นั่นคือ เมื่อเราอยู่กับผู้อื่น 43 00:02:23,000 --> 00:02:26,000 เราจะเข้าอกเข้าใจเขาไปโดยอัตโนมัติ เราจะรู้สึกร่วมไปกับพวกเขาได้โดยอัตโนมัติ 44 00:02:27,000 --> 00:02:29,000 มีเซลล์ประสาทที่เพิ่งจะมีการค้นพบใหม่ เรียกว่า เซลล์กระจกเงา (mirror neuron) 45 00:02:29,000 --> 00:02:33,000 ทำหน้าที่เหมือนการส่งสัญญาณในระบบประสาท กระตุ้นสมองของเรา 46 00:02:33,000 --> 00:02:37,000 ในส่วนเดียวกันกับเซลล์ของคนอื่น เราจึงรู้สึกร่วมโดยอัตโนมัติ 47 00:02:37,000 --> 00:02:41,000 และถ้าหากคนๆนั้นต้องการความช่วย หรือกำลังทุกข์ทรมาน 48 00:02:42,000 --> 00:02:46,000 เราจะถูกเตรียมพร้อมอย่างอัตโนมัติที่จะช่วยเหลือ อย่างน้อยนี่ก็เป็นข้อโต้แย้ง 49 00:02:46,000 --> 00:02:49,000 แต่แล้ว ก็มีคำถามว่า ทำไมเราจึงไม่ช่วย 50 00:02:49,000 --> 00:02:51,000 และผมคิดว่านี่บอกอะไรหลายอย่าง 51 00:02:52,000 --> 00:02:54,000 ตั้งแต่ การจดจ่อในตนเองอย่างสมบูรณ์ 52 00:02:55,000 --> 00:02:57,000 ไปถึงการสังเกต การเอาใจเขามาใส่ใจเรา และไปจนถึงความกรุณาปราณี 53 00:02:57,000 --> 00:03:01,000 และด้วยความจริงง่ายๆที่ว่า หากเราสนใจในตนเองอยู่ 54 00:03:02,000 --> 00:03:05,000 หากเราจดจ่อกับอะไรอยู่ อย่างที่เรามักเป็นแบบนั้นตลอดทั้งวัน 55 00:03:05,000 --> 00:03:08,000 เราก็จะไม่สังเกตเห็นผู้อื่นได้อย่างเต็มที่จริงจัง 56 00:03:08,000 --> 00:03:10,000 และความแตกต่างระหว่างความสนใจในตนเองและความสนใจอื่นๆ 57 00:03:10,000 --> 00:03:11,000 เป็นอะไรที่เข้าใจยาก 58 00:03:11,000 --> 00:03:15,000 วันหนึ่ง ผมกำลังจัดการเกี่ยวภาษีอยู่และผมได้ไปถึง 59 00:03:15,000 --> 00:03:17,000 ส่วนที่ผมต้องลงรายการการบริจาคทั้งหมด 60 00:03:18,000 --> 00:03:21,000 และผมรู้สึกมีความสุขมาก ตอนนั้นผมกลับไปดูเช็ค 61 00:03:21,000 --> 00:03:24,000 ที่ส่งไปที่ Seva Foundation และผมพบว่าผมกำลังคิดอยู่ว่า 62 00:03:24,000 --> 00:03:26,000 เอ้อ จริงด้วย!! ลาร์รี่ บริลเลียนท์ (Larry Brilliant) เพื่อนของผมจะต้องดีใจมากแน่ๆ 63 00:03:27,000 --> 00:03:28,000 ที่ผมบริจาคเงินให้ Seva 64 00:03:28,000 --> 00:03:31,000 ต่อมา ผมจึงตระหนักได้ว่าสิ่งที่ผมได้จากการให้นั้น 65 00:03:31,000 --> 00:03:35,000 มันเป็นผลเชิงหลงตนเอง นั่นคือผมรู้สึกดีต่อตัวผมเอง 66 00:03:35,000 --> 00:03:40,000 จากนั้น ผมเริ่มคิดเกี่ยวกับคนบนเทือกเขาหิมาลัย 67 00:03:40,000 --> 00:03:42,000 ซึ่งพวกเขาจะได้รับการรักษาต้อกระจก และผมจึงตระหนักว่า 68 00:03:43,000 --> 00:03:46,000 ผมได้ออกจากความรู้สึกหลงตน 69 00:03:47,000 --> 00:03:50,000 ไปสู่ความปิติจากการช่วยเหลือ ไปสู่ความรู้สึกดี 70 00:03:50,000 --> 00:03:54,000 ต่อคนที่จะได้รับความช่วยเหลือ ผมคิดว่านั่นแหละที่เป็นแรงบันดาล 71 00:03:54,000 --> 00:03:57,000 แต่ความแตกต่างระหว่างการสนใจตนเอง 72 00:03:57,000 --> 00:03:58,000 กับผู้อื่นนั้น 73 00:03:58,000 --> 00:04:01,000 คือสิ่งที่ผมอยากให้ทุกคนใส่ใจ 74 00:04:01,000 --> 00:04:04,000 คุณๆจะเห็นมันในง่ายๆในของโลกของการเดท 75 00:04:05,000 --> 00:04:08,000 มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมนั่งอยู่ในร้านซูชิ 76 00:04:08,000 --> 00:04:11,000 และผมเผอิญได้ยินผู้หญิงสองคนพูดถึงน้องชาย(หรือพี่ชาย)ของผู้หญิงอีกคนหนึ่ง 77 00:04:12,000 --> 00:04:15,000 ที่เป็นโสดอยู่ และผู้หญิงคนนั้นพูดว่า 78 00:04:15,000 --> 00:04:17,000 "น้องชายเรามีปัญหาในการหาคู่เดท 79 00:04:17,000 --> 00:04:19,000 เขาเลยลองการเดทด่วน" ผมไม่รู้ว่าคุณรู้จักการเดทด่วนไหม 80 00:04:19,000 --> 00:04:23,000 ผู้หญิงนั่งประจำโต๊ะ ส่วนผู้ชายย้ายโต๊ะไปเรื่อยๆ 81 00:04:23,000 --> 00:04:26,000 จะมีนาฬิกาและระฆัง และเมื่อครบห้านาที บิงโก 82 00:04:27,000 --> 00:04:29,000 จบการสนทนา และผู้หญิงจะตัดสินว่า 83 00:04:29,000 --> 00:04:33,000 จะให้นามบัตรหรืออีเมลล์แก่ผู้ชายหรือไม่ 84 00:04:33,000 --> 00:04:35,000 เพื่อติดต่อกันภายหลัง และผู้หญิงคนนั้นบอกว่า 85 00:04:35,000 --> 00:04:39,000 "น้องเราไม่เคยได้นามบัตรเลย และเรารู้แหละว่าทำไม 86 00:04:39,000 --> 00:04:44,000 คือตอนที่น้องเรานั่ง น้องเราไม่หยุดพูดเกี่ยวกับตัวเองเลย 87 00:04:44,000 --> 00:04:45,000 น้องเราไม่เคยถามอะไรผู้หญิงเลย 88 00:04:46,000 --> 00:04:51,000 และตอนที่ผมกำลังหาข้อมูลในคอลัมน์หมวด Sunday Styles 89 00:04:51,000 --> 00:04:54,000 ของหนังสือพิมพ์ New York Times หาดูเรื่องราวเบื้องหลังการแต่งงาน 90 00:04:54,000 --> 00:04:57,000 เพราะน่าสนใจมากๆ และผมได้พบกับเรื่องราวการแต่งงานของ 91 00:04:57,000 --> 00:05:00,000 อลีซ ชาร์นี เอ็บสไตน์ (Alice Charney Epstein) ซึ่งเธอบอกว่า 92 00:05:00,000 --> 00:05:02,000 เมื่อเธออยู่ในช่วงเดท 93 00:05:03,000 --> 00:05:05,000 เธอมีวิธีทดสอบง่ายๆ 94 00:05:06,000 --> 00:05:08,000 บททดสอบคือ ตั้งแต่ที่ได้พบได้รู้จักกัน 95 00:05:08,000 --> 00:05:11,000 นานแค่ไหนกว่าที่ชายหนุ่มก็เริ่มถามเธอ 96 00:05:11,000 --> 00:05:13,000 ด้วยคำถามที่มีคำว่า "คุณ" อยู่ในนั้น 97 00:05:13,000 --> 00:05:17,000 และดูเหมือนว่าเธอประสบความสำเร็จกับการใช้แบบทดสอบนี้ แล้วก็เลยได้กลายเป็นบทความนั้นไงครับ 98 00:05:17,000 --> 00:05:18,000 (เสียงหัวเราะ) 99 00:05:18,000 --> 00:05:20,000 ตอนนี้เรามาดูแบบทดสอบชิ้นเล็กๆชิ้นหนึ่งกันดีกว่า 100 00:05:20,000 --> 00:05:22,000 ผมอยากให้คุณทดลองใช้ในงานปาร์ตี้ดูนะครับ 101 00:05:22,000 --> 00:05:24,000 ที่นี่ ที่ TED เต็มไปด้วยโอกาสที่ยิ่งใหญ่ 102 00:05:26,000 --> 00:05:29,000 ในวารสาร Harvard Business Review มีบทความหนึ่งชื่อว่า 103 00:05:29,000 --> 00:05:32,000 "ณ ช่วงขณะของมนุษย์" ซึ่งเกี่ยวกับว่า ทำอย่างไรเราจะสามารถมีปฏิสัมพันธ์จริงๆ 104 00:05:32,000 --> 00:05:35,000 กับเพื่อนร่วมงาน และเขาบอกว่าอย่างนี้ครับ 105 00:05:35,000 --> 00:05:38,000 พื้นฐานเลยก็คือคุณต้องปิด BlackBerry ของคุณก่อน 106 00:05:39,000 --> 00:05:42,000 ปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ และเลิกฝันกลางวัน 107 00:05:43,000 --> 00:05:45,000 และให้ความสนใจอย่างเต็มที่กับคนๆนั้น 108 00:05:46,000 --> 00:05:50,000 มีศัพย์ใหม่คำหนึ่งในภาษาอังกฤษ 109 00:05:51,000 --> 00:05:54,000 สำหรับเวลาที่คนที่เราอยู่ด้วยหยิบเอา BlackBerry ขึ้นมา 110 00:05:54,000 --> 00:05:57,000 หรือรับโทรศัพท์มือถือ และ ก็เหมือนกับว่าเราได้อันตรธานไปโดยฉับพลัน 111 00:05:58,000 --> 00:06:02,000 คำนั้นคือ "pizzled" มันเป็นการผสมคำของ puzzled [งงงัน] กับ pissed off [โมโห] 112 00:06:02,000 --> 00:06:05,000 (เสียงหัวเราะ) 113 00:06:05,000 --> 00:06:11,000 ผมว่าก็เหมาะนะ มันเป็นความเอาใจเขามาใส่ใจเราของเรา เป็นการที่เราเข้าหาผู้อื่น 114 00:06:12,000 --> 00:06:15,000 ที่แยกเราจากพวกปลิ้นปล้อน และพวกต่อต้านสังคม 115 00:06:15,000 --> 00:06:20,000 ผมมีน้อง(หรือพี่)เขยคนหนึ่ง เขาชำนาญเรื่องน่ากลัวและสยดสยอง 116 00:06:20,000 --> 00:06:23,000 เขาเขียนหนังสือ the Annotated Dracula, the Essential Frankenstein 117 00:06:23,000 --> 00:06:24,000 เขาถูกฝึกมาในแนวของ Chaucer (สไตล์นักเขียนคนหนึ่ง) 118 00:06:24,000 --> 00:06:26,000 แต่เขาเกิดที่ ทรานซิลเวเนีย 119 00:06:26,000 --> 00:06:28,000 และผมคิดว่านั่นส่งผลต่อเขาเล็กน้อย 120 00:06:28,000 --> 00:06:32,000 ยังไงก็ตาม ณ จุดหนึ่ง ลีโอนาร์ด (Leonard) น้องเขยผมคนนี้ 121 00:06:32,000 --> 00:06:34,000 ตัดสินใจเขียนหนังสือเกี่ยวกับ ฆาตกรต่อเนื่อง 122 00:06:34,000 --> 00:06:37,000 คนที่เคยสร้างความสยดสยองไปทุกหัวระแหง 123 00:06:38,000 --> 00:06:40,000 หลายปีที่ผ่านมา เขาเป็นที่รู้จักในนาม นักบีบคอแห่ง Santa Cruz 124 00:06:41,000 --> 00:06:45,000 และ ก่อนที่เขาจะถูกจับ เขาได้ฆ่าปู่ย่าตายายของเขา 125 00:06:45,000 --> 00:06:48,000 แม่เขา และนักศีกษาในมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียวิทยาเขต Santa Cruz อีก 5 คน 126 00:06:49,000 --> 00:06:51,000 น้องเขยผมไปสัมภาษณ์ฆาตกรคนนี้ 127 00:06:52,000 --> 00:06:54,000 และเขาตระหนัก เมื่อเขาได้พบฆาตกรผู้นี้ 128 00:06:54,000 --> 00:06:55,000 ว่า ชายคนนี้ช่างน่ากลัวยิ่งนัก 129 00:06:56,000 --> 00:06:58,000 ประการหนึ่งเพราะเขาสูงเกือบ 7 ฟุต (210 เซ็นติเมตร) 130 00:06:58,000 --> 00:07:01,000 แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดเกี่ยวกับเขา 131 00:07:01,000 --> 00:07:06,000 ที่น่ากลัวที่สุดคือ IQ เขาสูงถึง 160 ซึ่งเป็นระดับอัจฉริยะ 132 00:07:07,000 --> 00:07:11,000 แต่มันไม่มีความสัมพันธ์ระหว่าง IQ และความเห็นอกเห็นใจ 133 00:07:11,000 --> 00:07:12,000 ความรู้สึกที่ร่วมไปกับผู้อื่น 134 00:07:13,000 --> 00:07:15,000 สิ่งเหล่านั้นมันถูกควบคุมด้วยสมองส่วนอื่น 135 00:07:16,000 --> 00:07:18,000 ณ จุดหนึ่ง น้อยเขยผมรวบรวมความกล้า 136 00:07:19,000 --> 00:07:21,000 เพื่อถามคำถามหนึ่งที่เขาอยากรู้มากๆ 137 00:07:21,000 --> 00:07:24,000 และนั่นคือคำถามว่า คุณทำอย่างนั้นได้อย่างไร 138 00:07:24,000 --> 00:07:26,000 คุณไม่รู้สึกสงสารเหยื่อของคุณแม้สักนิดเลยหรือ 139 00:07:26,000 --> 00:07:29,000 การฆาตกรรมเหล่านั้นเป็นระยะประชั้นตัวกับคนใกล้ชิดคุ้นเคย เขาบีบคอเหยื่อ 140 00:07:30,000 --> 00:07:32,000 และเขาตอบในสิ่งที่สำคัญมากคือ 141 00:07:32,000 --> 00:07:37,000 "ไม่เลย หากผมรู้สึกเสียใจ ผมคงทำเช่นนั้นไม่ได้ 142 00:07:37,000 --> 00:07:43,000 ผมต้องเอาส่วนนั้นออกไป ผมต้องทำอย่างนั้น" 143 00:07:43,000 --> 00:07:48,000 และการคิดแบบนั้นนั่นแหละที่ผมคิดว่าเป็นปัญหาอย่างยิ่ง 144 00:07:49,000 --> 00:07:53,000 และในแง่หนึ่ง ผมจึงได้ไตร่ตรองเกี่ยวกับการที่เราตัดเอาความคิดส่วนนั้นออกไป 145 00:07:53,000 --> 00:07:55,000 เมื่อเรามุ่งความสนใจมาที่ตัวเราเองในการทำอะไรก็ตาม 146 00:07:56,000 --> 00:07:59,000 เราได้ตัดความคิดที่ว่านี่มีผู้อื่นอยู่หรือไม่ 147 00:08:00,000 --> 00:08:05,000 ลองคิดเกี่ยวกับการไปช็อปปิ้ง และคิดเกี่ยวกับความเป็นไปได้ 148 00:08:05,000 --> 00:08:07,000 ของแนวบริโภคนิยมเชิงอนุรักษ์ 149 00:08:08,000 --> 00:08:10,000 ตอนนี้ เหมือนที่ บิลล์ แม็คโดนอฟ (Bill McDonough) ได้ชี้ไว้ 150 00:08:12,000 --> 00:08:16,000 สิ่งที่เราซื้อและใช้มักมีผลกระทบที่ซ่อนเร้นอยู่ 151 00:08:16,000 --> 00:08:19,000 พวกเราทั้งหมดนั้นเป็นเหยื่อโดยที่ไม่รู้ตัวของสิ่งซ่อนเร้นพวกนี้ 152 00:08:20,000 --> 00:08:22,000 เราไม่ได้สังเกต และ ไม่ได้สังเกตว่าเราไม่ได้สังเกตเกี่ยวกับ 153 00:08:23,000 --> 00:08:29,000 โมเลกุลที่เป็นพิษจากพรมหรือผ้าปูเบาะ 154 00:08:30,000 --> 00:08:35,000 หรือเราไม่รู้ว่าผ้านั่นใช้เทคโนโลยีหรือการผลิตที่ 155 00:08:35,000 --> 00:08:39,000 สามารถนำกลับมาใช่ใหม่ได้หรือไม่ 156 00:08:39,000 --> 00:08:41,000 หรือเราจะต้องทิ้งมันไป อีกนัยหนึ่ง 157 00:08:41,000 --> 00:08:46,000 เรานั้นไม่ได้สนใจเรื่องนิเวศและสาธารณสุข 158 00:08:47,000 --> 00:08:50,000 และ ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมทางเศรษฐกิจและสังคม 159 00:08:50,000 --> 00:08:52,000 ของสิ่งที่เราซื้อและใช้ 160 00:08:54,000 --> 00:08:58,000 จะว่าไป ก็เหมือนกันห้องหนึ่งที่ตัวห้องเองเป็นช้างที่อยู่ในห้อง 161 00:08:58,000 --> 00:09:02,000 และเรามองไม่เห็นมัน และเรากลายเป็นเหยื่อ 162 00:09:02,000 --> 00:09:05,000 ของระบบที่เกี่ยวกับเราในที่อื่นๆ ลองพิจารณาอันนี้ครับ 163 00:09:06,000 --> 00:09:09,000 มีหนังสือที่เยี่ยมมากเล่มหนึ่งชื่อ 164 00:09:10,000 --> 00:09:12,000 สิ่งของ:ชีวิตที่ซ่อนอยู่ของใช้ประจำวัน 165 00:09:13,000 --> 00:09:16,000 มันเกี่ยวกับเรื่องราวเบื้องหลังของของบางอย่างเช่น เสื้อยืด 166 00:09:16,000 --> 00:09:19,000 และมันบอกเกี่ยวกับว่าฝ้ายปลูกที่ไหน 167 00:09:19,000 --> 00:09:21,000 และปุ๋ยที่ใช้รวมทั้งผลกระทบของปุ๋ย 168 00:09:21,000 --> 00:09:25,000 ที่มีต่อดิน และมันบอกว่า นี่ครับตัวอย่าง 169 00:09:25,000 --> 00:09:28,000 ฝ้ายนั้นทนทานมากต่อสีย้อมผ้า 170 00:09:28,000 --> 00:09:31,000 ราว 60 เปอร์เซ็นต์จะถูกล้างออกมาไปกับน้ำทิ้ง 171 00:09:31,000 --> 00:09:34,000 และเป็นที่รู้กันดีในหมู่นักระบาดวิทยาว่าเด็กๆ 172 00:09:34,000 --> 00:09:39,000 ที่อาศัยอยู่ใกล้โรงย้อมผ้าจะมีอัตราการเป็นโรคลูคีเมียสูง 173 00:09:40,000 --> 00:09:44,000 มีบริษัทหนึ่งชื่อว่า Bernett and Company ซึ่งเป็นผู้ผลิตสินค้าให้กับ Polo.com 174 00:09:45,000 --> 00:09:50,000 Victoria's Secret ด้วยเหตุที่ว่า CEO ของเขาที่สนใจในเรื่องนี้ 175 00:09:51,000 --> 00:09:55,000 ได้ทำการร่วมทุนที่จีนกับบริษัทย้อมผ้า 176 00:09:55,000 --> 00:09:57,000 เพื่อให้แน่ใจว่าน้ำทิ้งนั่น 177 00:09:57,000 --> 00:10:01,000 จะถูกบำบัดด้วยวิธีที่เหมาะสมก่อนมันจะเทลงในแหล่งน้ำธรรมชาติ 178 00:10:01,000 --> 00:10:05,000 ตอนนี้ เรายังไม่มีหนทางที่จะเลือกซื้อเสื้อยืดที่ผลิตด้วยกระบวนที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม 179 00:10:06,000 --> 00:10:10,000 แทนที่จะเป็นอันที่ไม่ดีได้ แล้วอะไรหล่ะที่จะทำให้เรามีหนทาง 180 00:10:13,000 --> 00:10:16,000 อืม ผมคิดว่า อย่างหนึ่ง 181 00:10:16,000 --> 00:10:21,000 มีเทคโนโลยีติดแถบป้ายอิเล็กทรอนิกส์ที่ทำให้ร้านค้าใดๆก็ตาม 182 00:10:21,000 --> 00:10:25,000 รู้ประวัติทั้งหมดของสิ่งของบนชั้นวางที่ร้านนั้น 183 00:10:26,000 --> 00:10:28,000 คุณสามารถตามย้อนรอยไปถึงโรงงาน และเมื่อคุณทำเช่นนั้น 184 00:10:28,000 --> 00:10:32,000 คุณจะสามารถดูกระบวนการผลิต 185 00:10:32,000 --> 00:10:36,000 ที่ถูกใช้ในการผลิตสินค้านั้น และถ้ามันผลิตด้วยกระบวนที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม 186 00:10:36,000 --> 00:10:40,000 คุณก็สามารถจะมั่นใจได้ หรือว่ามันไม่ใช่ 187 00:10:40,000 --> 00:10:44,000 ณ วันนี้ คุณสามารถไปที่ร้านไหนก็ได้ 188 00:10:44,000 --> 00:10:47,000 เอาเครื่องตรวจทาบบนแถบรหัสสินค้า 189 00:10:47,000 --> 00:10:49,000 ซึ่งจะพาคุณไปที่เว็บไซต์ 190 00:10:49,000 --> 00:10:51,000 เขาทำขึ้นเพื่อคนที่แพ้ถั่วลิสง 191 00:10:52,000 --> 00:10:54,000 และเว็บนั้นจะบอกคุณเกี่ยวกับสินค้านั้น 192 00:10:55,000 --> 00:10:56,000 อีกนัยหนึ่ง ขณะที่ซื้อสินค้า 193 00:10:56,000 --> 00:11:00,000 เราสามารถจะเลือกทางเลือกที่รับผิดชอบต่อสังคมได้ 194 00:11:00,000 --> 00:11:06,000 นี่เป็นที่สิ่งบอกว่าในโลกแห่งวิทยาการสารสนเทศ 195 00:11:06,000 --> 00:11:09,000 ท้ายสุดแล้ว ทุกคนจะรู้ทุกอย่าง 196 00:11:09,000 --> 00:11:11,000 และคำถามคือว่า มันจะทำให้เกิดความแตกต่างไหม 197 00:11:13,000 --> 00:11:16,000 ย้อนกลับไปพักหนึ่ง ตอนที่ผมทำงานกับ New York Times 198 00:11:17,000 --> 00:11:19,000 ในช่วงทศวรรษ 80s ผมเขียนบทความ 199 00:11:19,000 --> 00:11:21,000 ว่าอะไรจะเป็นปัญหาใหม่สำหรับมหานครนิวยอร์ก 200 00:11:21,000 --> 00:11:23,000 นั่นคือคนเร่ร่อนบนถนน 201 00:11:23,000 --> 00:11:27,000 และผมใช้เวลาสองสัปดาห์ไปกับหน่วยงานด้านสังคม 202 00:11:27,000 --> 00:11:30,000 ที่ดูแลคนเร่ร่อน และผมตระหนักว่า จากการมองเห็นผ่านคนเร่ร่อน 203 00:11:30,000 --> 00:11:35,000 ผ่านสายตาพวกเขานั้น พวกเขาเกือบทั้งหมดเป็นคนไข้จิตเวช 204 00:11:35,000 --> 00:11:39,000 ที่ไม่มีที่จะไป พวกเขาได้รับการตรวจวินิจฉัยแล้ว มันทำให้ผม 205 00:11:40,000 --> 00:11:43,000 มันปลุกผมออกจากภวังค์ของเมืองที่ซึ่ง 206 00:11:44,000 --> 00:11:47,000 เมื่อเราเห็น เมื่อเราเดินผ่านคนที่เร่ร่อน 207 00:11:47,000 --> 00:11:50,000 เขาไม่อยู่ในตาสายเลย 208 00:11:52,000 --> 00:11:54,000 เราไม่สังเกต และด้วยเหตุนี้เราจึงไม่ทำอะไร 209 00:11:57,000 --> 00:12:02,000 วันหนึ่งหลังจากนั้นไม่นาน มันเป็นวันศุกร์ ตอนช่วงเย็นๆค่ำๆ 210 00:12:02,000 --> 00:12:05,000 ผมกำลังเดินไปที่รถไฟใต้ติน ในชั่วโมงเร่งด่วน 211 00:12:05,000 --> 00:12:07,000 ฝูงชนก็พากันกรูลงบันได 212 00:12:07,000 --> 00:12:09,000 และทันทีที่ผมกำลังจะเดินลงบันไดนั้น 213 00:12:09,000 --> 00:12:12,000 ผมสังเกตเห็นชายคนหนึ่งทรุดฮวบลงข้างทาง 214 00:12:12,000 --> 00:12:16,000 ไม่มีเสื้อผ้าใส่ ไม่เคลื่อนไหว และคนต่างก็เดินเหยียบเขา 215 00:12:17,000 --> 00:12:18,000 คนเป็นไม่รู้จะเท่าไหร่ 216 00:12:19,000 --> 00:12:22,000 และเพราะว่าภวังค์หลงในความเมืองผมนั้นได้ลดลง 217 00:12:23,000 --> 00:12:26,000 ผมหยุดคิดว่าอะไรที่มันไม่ผิดปกติ 218 00:12:27,000 --> 00:12:29,000 เวลาที่ผมหยุดนั้น คนสักครึ่งโหลได 219 00:12:30,000 --> 00:12:31,000 ได้ล้อมไปช่วยที่ชายผู้นั้นทันที 220 00:12:32,000 --> 00:12:34,000 และเราพบว่าเขาเชื้อสายสเปน เขาพูดอังกฤษไม่ได้เลย 221 00:12:34,000 --> 00:12:39,000 เขาไม่มีเงินเลย เขาได้เดินเตร่ตามถนนเป็นเวลาหลายวันแล้ว อย่างหิวโหย 222 00:12:39,000 --> 00:12:40,000 และหมดสติลงด้วยความหิว 223 00:12:40,000 --> 00:12:42,000 ทันใดนั้น ใครบางคนไปซื้อน้ำส้มให้ 224 00:12:42,000 --> 00:12:44,000 บางคนซื้อฮอทดอก บางคนเรียกตำรวจรถไฟใต้ดินมาช่วย 225 00:12:45,000 --> 00:12:48,000 ชายคนนี้กลับมาเป็นปกติในทันใด 226 00:12:48,000 --> 00:12:52,000 แต่สิ่งง่ายๆที่เราต้องการคือแค่ การสังเกต 227 00:12:53,000 --> 00:12:54,000 และ ผมเป็นคนมองโลกในแง่ดีด้วยสิ 228 00:12:54,000 --> 00:12:55,000 ขอบคุณมากครับ 229 00:12:55,000 --> 00:12:57,000 (เสียงปรบมือ)