< Return to Video

อะไรที่ทำให้คำคำหนึ่งกลายเป็น "คำจริง ๆ "

  • 0:01 - 0:03
    ดิฉันต้องขอเริ่มด้วยการบอกกับพวกคุณ
  • 0:03 - 0:05
    เกี่ยวกับชีวิตทางสังคมของดิฉันสักหน่อย
  • 0:05 - 0:07
    ซึ่งดิฉันรู้ดีว่ามันอาจดูไม่เกี่ยวข้องกัน
  • 0:07 - 0:09
    แต่ว่าจริง ๆ แล้วมันเกี่ยวกันค่ะ
  • 0:09 - 0:11
    เมื่อผู้คนพบดิฉันที่งานเลี้ยง
  • 0:11 - 0:13
    แล้วรู้ว่าดิฉันเป็นศาสตราจารย์
    ด้านภาษาอังกฤษ
  • 0:13 - 0:16
    ผู้มีความเชี่ยวชาญทางด้านภาษา
  • 0:16 - 0:19
    พวกเขามักจะเกิดปฏิกิริยา
    อย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้
  • 0:19 - 0:24
    คนกลุ่มหนึ่งจะดูตื่นตระหนก
    (เสียงหัวเราะ)
  • 0:24 - 0:26
    พวกเขามักพูดทำนองว่า
  • 0:26 - 0:29
    "โอ้ ผมคงต้องระวังคำพูดหน่อยแล้ว
  • 0:29 - 0:32
    เพราะผมมั่นใจว่าคุณจะได้ยิน
    ข้อผิดพลาดทุกอย่างเวลาที่ผมพูด"
  • 0:32 - 0:37
    จากนั้น พวกเขาก็จะหยุดพูด
    (เสียงหัวเราะ)
  • 0:37 - 0:39
    แล้วพวกเขาก็จะรอให้ดิฉันเดินจากไป
  • 0:39 - 0:41
    เพื่อไปคุยกับคนอื่น
  • 0:41 - 0:43
    ส่วนคนอีกกลุ่มหนึ่ง
  • 0:43 - 0:46
    ตาของพวกเขาจะลุกวาว
  • 0:46 - 0:47
    แล้วพวกเขาก็จะพูดว่า
  • 0:47 - 0:51
    "คุณนี่แหละคือคนที่ผมอยากคุยด้วย"
  • 0:51 - 0:54
    จากนั้นพวกเขาก็จะเริ่มพูดถึงอะไรก็ตาม
  • 0:54 - 0:56
    ที่พวกเขาคิดว่าเป็นสิ่งผิดปกติ
    ในภาษาอังกฤษ
  • 0:56 - 0:59
    (เสียงหัวเราะ)
  • 0:59 - 1:01
    เมื่อสองสามอาทิตย์ที่ผ่านมา
    ดิฉันอยู่ที่งานเลี้ยงอาหารค่ำ
  • 1:01 - 1:03
    แล้วผู้ชายที่นั่งถัดไปทางด้านขวาของดิฉัน
  • 1:03 - 1:05
    ก็เริ่มพูดให้ดิฉันฟังเกี่ยวกับ
    เรื่องราวต่าง ๆ นานา
  • 1:05 - 1:08
    ว่าอินเทอร์เน็ตนั้น
    กำลังทำให้ภาษาอังกฤษเสื่อมลง
  • 1:08 - 1:12
    เขาพูดถึงเฟสบุ๊ค แล้วก็พูดว่า
  • 1:12 - 1:17
    "To defriend (ลบเพื่อน) เนี่ยนะ
    นั่นมันเป็นคำจริง ๆ ซะที่ไหนกัน"
  • 1:17 - 1:21
    ดิฉันขอหยุดไว้ที่คำถามนั้น
  • 1:21 - 1:25
    อะไรกันล่ะที่ทำให้คำคำหนึ่งเป็นคำจริง ๆ
  • 1:25 - 1:27
    เพื่อนร่วมงานเลี้ยงและตัวดิฉันเองต่างก็รู้
  • 1:27 - 1:30
    ว่าคำกริยาคำว่า "defriend" นั้น
    มีความหมายว่าอะไร
  • 1:30 - 1:33
    แล้วเมื่อไรกันล่ะ
    ที่คำใหม่อย่างคำว่า "defriend"
  • 1:33 - 1:35
    จะได้กลายเป็นคำจริง ๆ
  • 1:35 - 1:37
    ใครกันแน่ล่ะที่มีอำนาจในการตัดสินใจ
  • 1:37 - 1:41
    ในเรื่องของคำต่าง ๆ อย่างเป็นทางการ
  • 1:41 - 1:45
    คำถามเหล่านี้
    คือคำถามที่ดิฉันอยากจะพูดถึงในวันนี้
  • 1:45 - 1:48
    ดิฉันคิดว่า เวลาที่คนส่วนใหญ่พูดว่า
    คำคำนั้นไม่ใช่คำจริง ๆ
  • 1:48 - 1:50
    พวกเขากำลังหมายความว่า
    คำนั้น ๆ ไม่ได้ปรากฏ
  • 1:50 - 1:52
    อยู่ในพจนานุกรมฉบับมาตรฐาน
  • 1:52 - 1:54
    และสิ่งนี้เองก็ก่อให้เกิดคำถามอื่น ๆ
    ตามมาอีกมากมาย
  • 1:54 - 2:00
    ซึ่งรวมถึง ใครกันล่ะ
    ที่เป็นคนเขียนพจนานุกรม
  • 2:00 - 2:01
    ก่อนที่ดิฉันจะลงลึกไปกว่านี้
  • 2:01 - 2:03
    ให้ดิฉันได้ชี้แจ้งบทบาทของตนเอง
    ในเรื่องทั้งหมดนี้ก่อน
  • 2:03 - 2:06
    ดิฉันไม่ได้เป็นคนเขียนพจนานุกรม
  • 2:06 - 2:09
    แต่ดิฉันเป็นคนที่คอยรวบรวมคำใหม่ ๆ
  • 2:09 - 2:12
    แบบที่บรรณาธิการพจนานุกรมต่างทำกัน
  • 2:12 - 2:14
    และข้อดีของการเป็นนักประวัติศาสตร์
  • 2:14 - 2:15
    ด้านภาษาอังกฤษ
  • 2:15 - 2:18
    ก็คือ ฉันสามารถเรียกมันได้ว่า "งานวิจัย"
  • 2:18 - 2:21
    เวลาที่ดิฉันสอนวิชาประวัติศาสตร์ภาษาอังกฤษ
  • 2:21 - 2:23
    ดิฉันจะสั่งให้นักเรียนบอก
  • 2:23 - 2:27
    คำสแลงใหม่ ๆ สองคำ
    ก่อนที่ดิฉันจะเริ่มสอน
  • 2:27 - 2:29
    ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ดิฉันได้เรียนรู้
  • 2:29 - 2:32
    คำสแลงเจ๋ง ๆ บางคำจากวิธีการนี้
  • 2:32 - 2:36
    ซึ่งรวมถึง "hangry" (โมโหหิว) ซึ่ง --
  • 2:36 - 2:40
    (เสียงปรบมือ)
  • 2:40 - 2:43
    ซึ่งหมายถึงเวลาที่คุณหงุดหงิดหรือโมโห
  • 2:43 - 2:47
    เพราะว่าคุณหิว
  • 2:47 - 2:52
    และ "adorkable" (น่ารักนะเด็กโง่)
  • 2:52 - 2:53
    ซึ่งหมายความว่า คุณน่ารัก
  • 2:53 - 2:56
    ในแบบทึ่ม ๆ
  • 2:56 - 2:59
    เห็นได้ชัดเลยว่า พวกมัน
    ช่างเป็นคำที่ยอดเยี่ยมที่เติมเต็ม
  • 2:59 - 3:02
    ช่องว่างต่าง ๆ ที่สำคัญในภาษาอังกฤษ
  • 3:02 - 3:06
    (เสียงหัวเราะ)
  • 3:06 - 3:09
    ว่าแต่ว่าคำเหล่านี้จริงแค่ไหนกันล่ะ
  • 3:09 - 3:11
    หากเราใช้พวกมันในฐานะคำสแลงเป็นหลัก
  • 3:11 - 3:15
    และคำพวกนี้ก็ยังไม่ปรากฏอยู่ในพจนานุกรม
  • 3:15 - 3:18
    ด้วยเหตุนี้เอง เราหันมาดูพจนานุกรมกัน
  • 3:18 - 3:20
    ดิฉันจะให้พวกคุณยกมือขึ้น
  • 3:20 - 3:22
    มีพวกคุณกี่คนที่
  • 3:22 - 3:26
    ยังเปิดพจนานุกรมอยู่เป็นประจำ
    ทั้งแบบเล่มและแบบออนไลน์
  • 3:27 - 3:30
    ขอบคุณค่ะ ดูเหมือนว่า
    จะเป็นส่วนใหญ่เลยทีเดียว
  • 3:30 - 3:33
    ทีนี้ คำถามที่สอง คราวนี้
    ยกมือเหมือนเดิมนะคะ
  • 3:33 - 3:36
    มีพวกคุณกี่คนที่เคยเปิดไปดูว่า
  • 3:36 - 3:39
    ใครเป็นคนปรับแก้พจนานุกรมที่คุณใช้อยู่
  • 3:42 - 3:46
    ขอบคุณค่ะ ดูเหมือนว่าจะน้อยลงไปเยอะ
  • 3:46 - 3:49
    ทีนี้ เราคงรู้กันมาบ้างแล้วว่า
    เบื้องหลังพจนานุกรมนั้น
  • 3:49 - 3:51
    มีการกระทำมากมาย
    จากฝีมือของมนุษย์
  • 3:51 - 3:55
    แต่เราก็ไม่แน่ใจเสียทีเดียว
    ว่ามือเหล่านั้นเป็นของใคร
  • 3:55 - 3:58
    ดิฉันรู้สึกสนใจเรื่องนี้มาก
  • 3:58 - 4:00
    เพราะแม้แต่คนที่มีวิจารณญาณมากที่สุด
  • 4:00 - 4:03
    ก็ยังมีแนวโน้มที่จะไม่กังขาอะไรมากนัก
    เกี่ยวเกี่ยวกับพจนานุกรม
  • 4:03 - 4:04
    ไม่แยกแยะความแตกต่าง
    ระหว่างพจนานุกรมแต่ละเล่ม
  • 4:04 - 4:07
    และไม่ได้ถามคำถามอะไรอีกมากมาย
  • 4:07 - 4:09
    ว่าใครเป็นคนปรับปรุงแก้ไข
    พจนานุกรมเหล่านั้น
  • 4:09 - 4:10
    พวกคุณลองนึกถึงวลีที่ว่า
  • 4:10 - 4:13
    "หาคำนั้นในพจนานุกรมสิ"
  • 4:13 - 4:15
    ซึ่งเป็นบอกเป็นนัย ๆ
    ว่าพจนานุกรมทุกเล่มนั้น
  • 4:15 - 4:16
    เหมือนกันโดยสิ้นเชิง
  • 4:16 - 4:19
    ลองนึกถึงห้องสมุดในมหาวิทยาลัยที่นี่
  • 4:19 - 4:21
    ที่ที่คุณเดินเข้าไปที่ห้องอ่านหนังสือ
  • 4:21 - 4:23
    แล้วก็มีพจนานุกรมฉบับสมบูรณ์เล่มใหญ่
  • 4:23 - 4:27
    วางอยู่บนแท่นอันทรงเกียรติและน่าเกรงขาม
  • 4:27 - 4:30
    เปิดรออยู่
    เพื่อให้เรายืนอยู่ตรงหน้ามัน
  • 4:30 - 4:32
    เพื่อค้นหาคำตอบ
  • 4:32 - 4:34
    ทีนี้ อย่าเพิ่งเข้าใจดิฉันผิดไปนะคะ
  • 4:34 - 4:37
    พจนานุกรมนั้น
    เป็นแหล่งข้อมูลที่ยอดเยี่ยม
  • 4:37 - 4:39
    แต่ในขณะเดียวกัน พวกมันก็เหมือนคน
  • 4:39 - 4:41
    และพวกมันมีวันที่จะล้าสมัย
  • 4:41 - 4:43
    ดิฉันรู้สึกประหลาดใจมาก
    ในฐานะที่เป็นครูคนหนึ่ง
  • 4:43 - 4:46
    ที่บอกให้นักเรียน
    ตั้งคำถามอย่างมีวิจารณญาณ
  • 4:46 - 4:50
    กับทุกข้อความที่พวกเขาอ่าน
    ทุกเว็บไซต์ที่พวกเขาเข้าชม
  • 4:50 - 4:51
    ยกเว้นพจนานุกรม
  • 4:51 - 4:55
    ซึ่งเรามักจะทำกับมันราวกับว่า
    มันไม่มีผู้เขียน
  • 4:55 - 4:57
    ราวกับว่ามันผุดมาจากที่ไหนก็ไม่รู้
    เพื่อมาให้คำตอบกับเรา
  • 4:57 - 5:02
    ว่าคำแต่ละคำมีความหมายว่าอย่างไร
  • 5:02 - 5:05
    เอาล่ะ ประเด็นก็คือ ถ้าคุณถาม
    เหล่าบรรณาธิการของพจนานุกรม
  • 5:05 - 5:06
    สิ่งที่พวกเขาจะบอกคุณ
  • 5:06 - 5:09
    ก็คือพวกเขากำลังพยายามตามพวกเราให้ทัน
  • 5:09 - 5:10
    ในขณะที่เราเปลี่ยนแปลงภาษาไปเรื่อย ๆ
  • 5:10 - 5:13
    พวกเขากำลังจับตาดู
    ในสิ่งที่เราพูดและสิ่งที่เราเขียน
  • 5:13 - 5:15
    และพยายามทำความเข้าใจ
    ว่าคำไหนจะอยู่ต่อไป
  • 5:15 - 5:17
    และคำไหนจะหายไปในไม่ช้า
  • 5:17 - 5:19
    พวกเขาต้องเดิมพัน
  • 5:19 - 5:20
    เพราะว่าพวกเขาอยากให้มันดูทันสมัยที่สุด
  • 5:20 - 5:23
    และเลือกคำที่คิดว่าจะคงอยู่ต่อไปเอาไว้
  • 5:23 - 5:25
    เช่น LOL (หัวเราะลั่น)
  • 5:25 - 5:28
    แต่พวกเขาไม่อยากให้มัน
    ดูฉาบฉวยตามยุคสมัย
  • 5:28 - 5:30
    โดยการรวมคำ
    ที่กำลังจะหายไปในไม่ช้าเข้าไป
  • 5:30 - 5:32
    และดิฉันคิดว่าคำที่พวกเขา
    กำลังจับตาดูอยู่ตอนนี้
  • 5:32 - 5:35
    ก็คือคำว่า YOLO คุณเกิดมาแค่ครั้งเดียว
  • 5:37 - 5:40
    ทีนี้ ดิฉันมีโอกาสไปสังสรรค์
    กับบรรดาบรรณาธิการพจนานุกรม
  • 5:40 - 5:41
    และคุณอาจรู้สึกประหลาดใจ
  • 5:41 - 5:44
    กับสถานที่หนึ่งซึ่งเราไปสังสรรค์กัน
  • 5:44 - 5:46
    ทุก ๆ เดือนมกราคม เราจะไปเข้าร่วม
  • 5:46 - 5:49
    การประชุมประจำปี
    ของสมาคมภาษาถิ่นอเมริกัน
  • 5:49 - 5:50
    ซึ่งหนึ่งในสิ่งที่เราทำก็คือ
  • 5:50 - 5:54
    เราจะลงคะแนนเสียงเลือกคำแห่งปี
  • 5:54 - 5:57
    มีผู้เข้าร่วมงานประมาณ 200 ถึง 300 คน
  • 5:57 - 5:59
    บางคนนั้นเป็นนักภาษาศาสตร์
    ที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในอเมริกา
  • 5:59 - 6:01
    เพื่อให้คุณสัมผัสได้
    ถึงบรรยากาศของการประชุม
  • 6:01 - 6:05
    การประชุมที่ว่านี้
    จัดขึ้นในช่วงเวลาก่อนงานเลี้ยงเครื่องดื่ม
  • 6:05 - 6:07
    ใครก็ตามที่มาสามารถลงคะแนนได้
  • 6:07 - 6:08
    กฎที่สำคัญที่สุดก็คือ
  • 6:08 - 6:11
    คุณสามารถลงคะแนนได้เสียงเดียวเท่านั้น
  • 6:11 - 6:15
    ที่ผ่านมา ตัวอย่างของคำที่ชนะได้แก่
  • 6:15 - 6:17
    "ทวีต" (tweet) ในปี ค.ศ. 2009
  • 6:17 - 6:20
    และ "แฮชแท็ก" (Hashtag)
    ในปี ค.ศ. 2012
  • 6:20 - 6:23
    "ไอ้เกรียน" (Chad)
    คือคำแห่งปีในปี ค.ศ. 2000
  • 6:23 - 6:27
    เพราะมีใครรู้บ้างล่ะว่าคำว่า chad
    แปลว่าอะไรก่อนปี ค.ศ. 2000
  • 6:27 - 6:32
    และ "WMD" (กลุ่มเกมส์ออนไลน์)
    ในปี ค.ศ. 2002
  • 6:32 - 6:34
    ทีนี้ เราก็มีคำในหมวดอื่น ๆ
    ที่เราลงคะแนนกันเช่นกัน
  • 6:34 - 6:36
    และหมวดที่ดิฉันชอบ
  • 6:36 - 6:38
    ก็คือหมวดคำสร้างสรรค์ที่สุดแห่งปี
  • 6:38 - 6:41
    ในอดีตคำในหมวดนี้ที่ชนะ ได้แก่
  • 6:41 - 6:44
    "recombobulation area"
    (บริเวณรวบรวมรับข้าวเก็บกลับ)
  • 6:44 - 6:48
    ซึ่งอยู่หลังจากจุดตรวจค้น
    ที่สนามบินมอลวิกี
  • 6:48 - 6:51
    ซึ่งเป็นที่ที่คุณสามารถ
    เก็บรวบรวมข้าวของกลับไปได้
  • 6:51 - 6:52
    (เสียงหัวเราะ)
  • 6:52 - 6:54
    คุณสามารถใส่เข็มขัดกลับไป
  • 6:54 - 6:56
    ใส่คอมพิวเตอร์ของคุณกลับลงไปในกระเป๋า
  • 6:58 - 7:02
    และคำที่ดิฉันชอบมากที่สุดตลอดมา
    ในการลงคะแนนในหมวดนี้
  • 7:02 - 7:04
    คือคำว่า "multi-slacking"
    (ทำเหมือนยุ่ง)
  • 7:04 - 7:06
    (เสียงหัวเราะ)
  • 7:06 - 7:09
    และ multi-slacking ก็คือ
  • 7:09 - 7:12
    การที่เปิดหน้าต่างการทำงานมากมายบนจอ
  • 7:12 - 7:13
    เพื่อทำให้ดูเหมือนว่าคุณกำลังทำงานอยู่
  • 7:13 - 7:15
    ทั้งที่จริง ๆ แล้ว
    คุณกำลังเปิดเว็บไร้สาระอยู่
  • 7:15 - 7:20
    (เสียงหัวเราะ) (เสียงปรบมือ)
  • 7:21 - 7:25
    ว่าแต่ว่าคำพวกนี้จะอยู่ไปอีกนานไหม
    แน่นอนว่าไม่
  • 7:25 - 7:28
    และเราก็ได้ทำการตัดสินใจ
    บางอย่างที่คลางแคลงใจ
  • 7:28 - 7:30
    อย่างเช่นในปี ค.ศ. 2006
  • 7:30 - 7:32
    เมื่อคำแห่งปีคือคำว่า "Plutoed"
    (ถูกทำให้เป็นพลูโต)
  • 7:32 - 7:34
    ที่มีความหมายว่า ถูกลดขั้น
  • 7:34 - 7:37
    (เสียงหัวเราะ)
  • 7:39 - 7:41
    แต่คำบางคำที่ชนะในอดีตนั้น
  • 7:41 - 7:44
    ตอนนี้กลับดูเหมือนเป็นคำธรรมดาทั่วไป
  • 7:44 - 7:45
    เช่นคำว่า "แอป" (app)
  • 7:45 - 7:47
    และ "e" ที่เป็นคำนำหน้า
  • 7:47 - 7:50
    และคำว่า "google" ที่เป็นคำกริยา
  • 7:50 - 7:54
    ทีนี้ สองสามอาทิตย์ก่อนการลงคะแนน
  • 7:54 - 7:56
    มหาวิทยาลัยเลค ซูพีเรีย สเตต
    (Lake Superior State University)
  • 7:56 - 8:01
    จะออกรายชื่อของคำที่ถูกเลิกใช้ในปีนั้น ๆ
  • 8:01 - 8:03
    สิ่งที่น่าตกตะลึงก็คือ
  • 8:03 - 8:06
    มันมักจะมีการทับซ้อนกันอยู่มาก
  • 8:06 - 8:09
    ระหว่างรายชื่อคำของพวกเขา
    และรายชื่อของคำที่เรากำลังพิจารณา
  • 8:09 - 8:11
    เพื่อให้เป็นคำแห่งปี
  • 8:11 - 8:15
    และที่มันเกิดขึ้นก็เพราะว่า
    เรากำลังสังเกตเห็นในสิ่งเดียวกัน
  • 8:15 - 8:18
    เรากำลังสังเกตเห็น
    คำที่กำลังจะกลายเป็นคำที่แพร่หลาย
  • 8:18 - 8:20
    จริง ๆ แล้วมันเป็นเรื่องของทัศนคติ
  • 8:20 - 8:24
    คุณรู้สึกกังวลใจกับคำใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้น
    รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของภาษา
  • 8:24 - 8:27
    หรือว่าคุณรู้สึกว่า
    มันเป็นเรื่องที่น่าสนุก น่าสนใจ
  • 8:27 - 8:28
    เป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การศึกษา
  • 8:28 - 8:31
    ในฐานะที่มันเป็นส่วนหนึ่ง
    ของภาษาที่ยังมีชีวิตอยู่
  • 8:31 - 8:34
    รายชื่อคำโดย
    มหาวิทยาลัยเลค ซูพีเรีย สเตต
  • 8:34 - 8:36
    เป็นการเดินตามขนบธรรมเนียม
    ที่มีมาค่อนข้างยาวนานในภาษาอังกฤษ
  • 8:36 - 8:38
    ในการแสดงความไม่พอใจที่มีต่อคำใหม่ ๆ
  • 8:38 - 8:43
    และนี่คือ ดีน เฮนรี่ อัลฟอร์ด
    (Dean Henry Alford) ในปี ค.ศ. 1875
  • 8:43 - 8:45
    ซึ่งเป็นคนที่มองว่าคำว่า "desirability" (ความปรารถนา)
  • 8:45 - 8:47
    เป็นคำที่แย่มาก ๆ
  • 8:47 - 8:50
    ในปี ค.ศ. 1760 เบนจามิน แฟรงคลิน
  • 8:50 - 8:52
    เขียนจดหมายไปหา เดวิด ฮูม
  • 8:52 - 8:55
    เพื่อบอกว่าคำว่า "colonize"
    (ตั้งอาณานิคม) นั้นเป็นคำที่ไม่ดี
  • 8:55 - 8:58
    ตลอดหลายปีที่ผ่านมา
    เราก็ยังคงได้เห็นความวิตกกังวล
  • 8:58 - 9:00
    เกี่ยวกับการออกเสียงใหม่ ๆ ด้วย
  • 9:00 - 9:03
    นี่คือ ซามูเอล โรเจอร์ส ในปี ค.ศ. 1855
  • 9:03 - 9:05
    ผู้ที่รู้สึกกังวล
    เกี่ยวกับการออกเสียงในแบบใหม่ ๆ
  • 9:05 - 9:07
    ที่เขารู้สึกว่าไม่เหมาะสม
  • 9:07 - 9:11
    และเขาพูดว่า "ถ้าคำว่า contemplate
    (ไตร่ตรอง) ยังแย่ไม่พอแล้วล่ะก็
  • 9:11 - 9:13
    "balcony (ระเบียง) นี่ทำให้ผม
    สะอิดสะเอียนเลยล่ะ"
  • 9:13 - 9:17
    (เสียงหัวเราะ)
  • 9:17 - 9:19
    คำนั้นถูกยืมมาจากภาษาอิตาลี
  • 9:19 - 9:22
    และมันเคยถูกออกเสียงว่า "บาล-โค่-นี่"
  • 9:22 - 9:25
    สำหรับเราความไม่พอใจเหล่านี้
    ดูเหมือนเป็นเรื่องของคนหัวโบราณ
  • 9:25 - 9:30
    หรือไม่ก็ดู "น่ารักนะเด็กโง่" สุด ๆ
    -- (เสียงหัวเราะ) --
  • 9:30 - 9:33
    แต่ประเด็นก็คือว่า
  • 9:33 - 9:37
    พวกเราก็ยังคงรู้สึกไม่พอใจ
    เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของภาษา
  • 9:37 - 9:39
    ดิฉันมีไฟล์ทั้งไฟล์ในออฟฟิศ
  • 9:39 - 9:43
    ที่รวบรวมบทความหนังสือพิมพ์
  • 9:43 - 9:45
    ที่แสดงถึงความวิตกกังวลเกี่ยวกับคำวิบัติ
  • 9:45 - 9:47
    ที่ไม่ควรถูกรวมเอาไว้ในพจนานุกรม
  • 9:47 - 9:49
    ซึ่งรวมไปถึงคำว่า "LOL"
  • 9:49 - 9:51
    เมื่อมันเข้าไปอยู่ในพจนานุกรมภาษาอังกฤษ
    ออกฟอร์ด (Oxford English Dictionary)
  • 9:51 - 9:52
    และคำว่า "defriend" (ลบเพื่อน)
  • 9:52 - 9:55
    เมื่อมันเข้าไปอยู่ในพจนานุกรมอเมริกันออกฟอร์ด
    (Oxford American Dictionary)
  • 9:55 - 9:57
    และดิฉันก็ยังมีบทความอีกหลายบทความ
    ที่แสดงความวิตกกังวล
  • 9:57 - 10:00
    ของการใช้คำว่า "invite" (เชิญ)
    เป็นคำนาม
  • 10:00 - 10:02
    คำว่า "impact" (อัดแน่น)
    เป็นคำกริยา
  • 10:02 - 10:05
    เพราะว่ามีแค่ฟันเท่านั้นที่จะคุดได้
    (impacted tooth)
  • 10:05 - 10:08
    และคำว่า "incentivize" (สร้างแรงจูงใจ)
    ถูกมองว่า
  • 10:08 - 10:13
    เป็น "การพูดที่โดยกฏแล้วไม่ถูกต้องและกักขฬะ"
  • 10:13 - 10:15
    ทีนี้ ไม่ใช่ว่าบรรณาธิการพจนานุกรม
  • 10:15 - 10:17
    ต่างเพิกเฉยต่อทัศนคติเหล่านี้ที่มีต่อภาษา
  • 10:17 - 10:20
    พวกเขาพยายามให้แนวทางชี้แนะ
    กับพวกเราเกี่ยวกับคำต่าง ๆ
  • 10:20 - 10:22
    ที่ถูกมองว่าเป็นคำสแลง
    หรือคำที่ไม่เป็นทางการ
  • 10:22 - 10:25
    หรือคำที่รุนแรง
    ผ่านการใช้แถบกำกับการใช้
  • 10:25 - 10:27
    แต่ว่าพวกเขาก็จนปัญญาเหมือนกัน
  • 10:27 - 10:31
    เพราะว่าพวกเขากำลังพยายาม
    อธิบายสิ่งที่พวกเราทำ
  • 10:31 - 10:33
    และพวกเขาก็รู้ว่าเรามักจะเปิดพจนานุกรม
  • 10:33 - 10:36
    เพื่อหาข้อมูลว่าเราควรใช้คำอย่างไร
  • 10:36 - 10:38
    ให้ถูกต้องและเหมาะสม
  • 10:38 - 10:41
    เพื่อที่จะตอบสนองต่อความต้องการนั้น
    อเมริกัน เฮอริเทจ ดิกชันนารี
  • 10:41 - 10:43
    ได้เพิ่มหมายเหตุวิธีการใช้ (usage note) เข้าไป
  • 10:43 - 10:45
    หมายเหตุวิธีการใช้นั้น มักจะอยู่กับคำ
  • 10:45 - 10:46
    ที่มีปัญหาในแง่ใดแง่หนึ่ง
  • 10:46 - 10:49
    และสิ่งหนึ่งที่อาจเป็นปัญหาได้ก็คือ
  • 10:49 - 10:51
    ความหมายของพวกมันกำลังเปลี่ยนไป
  • 10:51 - 10:54
    ทีนี้ หมายเหตุวิธีการใช้นั้น
    มาจากการตัดสินใจของคนล้วน ๆ
  • 10:54 - 10:57
    และดิฉันก็คิดว่า
    ในฐานะที่เป็นผู้ใช้พจนานุกรม
  • 10:57 - 10:59
    เรามักจะไม่ตระหนักถึง
    การตัดสินใจเหล่านั้นของคน
  • 10:59 - 11:00
    อย่างที่เราควรจะทำ
  • 11:00 - 11:01
    เพื่อให้คุณเข้าใจ
  • 11:01 - 11:04
    เราจะดูตัวอย่างหนึ่ง แต่ก่อนที่เราจะดูนั้น
  • 11:04 - 11:06
    ดิฉันอยากอธิบายสิ่งที่บรรณาธิการพจนานุกรม
  • 11:06 - 11:09
    ต่างกำลังพยายามรับมือกับหมายเหตุวิธีการใช้นี้
  • 11:09 - 11:12
    ลองนึกถึงคำว่า "peruse" (พิเคราะห์)
  • 11:12 - 11:15
    แล้วก็วิธีที่คุณใช้คำนี้ดูสิ
  • 11:15 - 11:18
    ดิฉันเดาว่าพวกคุณหลาย ๆ คนกำลังนึกถึง
  • 11:18 - 11:22
    การอ่านผ่าน ๆ การอ่านกวาด
    การอ่านอย่างไว ๆ
  • 11:22 - 11:25
    พวกคุณบางคนอาจถึงขั้น
    เอาการเดินเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
  • 11:25 - 11:27
    เพราะว่าคุณกำลังค้นหา (perusing)
    ของบนชั้นวางตามร้านขายของชำ
  • 11:27 - 11:29
    หรืออะไรทำนองนั้น
  • 11:29 - 11:32
    คุณอาจจะรู้สึกประหลาดใจเมื่อรู้ว่า
  • 11:32 - 11:33
    ถ้าคุณเปิดพจนานุกรมฉบับมาตรฐานที่สุด
  • 11:33 - 11:36
    ความหมายแรกที่จะเห็นก็คือ
    "อ่านอย่างละเอียด"
  • 11:36 - 11:39
    หรือ "ให้ความสนใจอย่างมาก"
  • 11:39 - 11:42
    อเมริกัน เฮริเทจ ให้ความหมายนั้น
    เป็นความหมายแรก
  • 11:42 - 11:45
    จากนั้น ก็ให้ความหมายที่สอง คือ
    "อ่านผ่าน ๆ " (skim)
  • 11:45 - 11:48
    แล้วถัดจากนั้น พวกเขาก็เขียนไว้ว่า
    "ปัญหาการใช้" (Usage problem)
  • 11:48 - 11:50
    (เสียงหัวเราะ)
  • 11:50 - 11:52
    แล้วจากนั้นพวกเขาก็เพิ่ม
    หมายเหตุวิธีการใช้เข้าไป
  • 11:52 - 11:54
    ซึ่งควรค่าแก่การดู
  • 11:54 - 11:56
    และนี่ก็คือหมายเหตุวิธีการใช้
  • 11:56 - 11:58
    "Peruse มีความหมายมาอย่างยาวนานว่า
    'อ่านอย่างละเอียด' ...
  • 11:58 - 12:00
    แต่คำนี้มักถูกใช้อย่างไม่เคร่งครัดนัก
  • 12:00 - 12:02
    เพื่อสื่อความหมายทั่ว ๆ ไปว่า "อ่าน" ...
  • 12:02 - 12:05
    อีกความหมายหนึ่งของคำนี้ที่หมายถึง
    "มองผ่าน ๆ หรืออ่านผ่าน ๆ "
  • 12:05 - 12:08
    แต่เดิมแล้วถูกมองว่าผิด
  • 12:08 - 12:10
    แต่การลงคะแนนเสียงของเรานั้นบอกว่าคำนี้
  • 12:10 - 12:12
    กำลังจะกลายเป็นที่ยอมรับมากขึ้น
  • 12:12 - 12:13
    เมื่อถูกถามเกี่ยวกับประโยค
  • 12:13 - 12:16
    "ฉันมีเวลาแค่นิดเดียว
    ในการอ่านคู่มือแบบผ่าน ๆ (peruse) "
  • 12:16 - 12:18
    ร้อยละ 66 ของคณะกรรมการการใช้คำ
  • 12:18 - 12:20
    มองว่าเป็นการใช้ที่ไม่ถูกต้องเมื่อปี ค.ศ. 1988
  • 12:20 - 12:23
    ร้อยละ 58 ในปี ค.ศ. 1999
  • 12:23 - 12:26
    และร้อยละ 48 ในปี ค.ศ. 2011
  • 12:26 - 12:28
    อ่า คณะกรรมการการใช้คำ
  • 12:28 - 12:31
    กลุ่มคนที่ได้รับความเชื่อถือ
    ให้มีอำนาจในการจัดการกับภาษา
  • 12:31 - 12:34
    ผู้ที่กำลังมีความผ่อนผันกับคำคำนี้มากขึ้น
  • 12:34 - 12:36
    ทีนี้ สิ่งที่ดิฉันหวังว่า
    พวกคุณกำลังคิดอยู่ในตอนนี้ก็คือ
  • 12:36 - 12:40
    "เดี๋ยวนะ แล้วใครคือคณะกรรมการการใช้คำล่ะ
  • 12:40 - 12:43
    แล้วฉันควรทำอย่างไรกับคำแถลงการณ์นั้น"
  • 12:43 - 12:45
    ถ้าคุณดูที่ส่วนหน้า
  • 12:45 - 12:46
    ของอเมริกัน เฮริเทจ ดิกชันนารี
  • 12:46 - 12:48
    คุณจะเห็นชื่อ
  • 12:48 - 12:49
    ของคนที่เป็นคณะกรรมการการใช้คำ
  • 12:49 - 12:51
    แต่จะมีใครกันล่ะที่ดูส่วนหน้าของพจนานุกรม
  • 12:51 - 12:54
    มีคนประมาณ 200 คนที่เป็นคณะกรรมการการใช้คำ
  • 12:54 - 12:57
    มีทั้งนักวิชาการ
  • 12:57 - 12:58
    นักหนังสือพิมพ์ นักเขียนเชิงสร้างสรรค์
  • 12:58 - 13:00
    มีผู้พิพากษาศาลฎีกาหนึ่งคนอยู่ในนั้น
  • 13:00 - 13:02
    และนักภาษาศาสตร์อีกสองสามคน
  • 13:02 - 13:07
    และในปี ค.ศ. 2005 รายชื่อนั้นก็มีชื่อดิฉันอยู่ด้วย
  • 13:07 - 13:11
    (เสียงปรบมือ)
  • 13:11 - 13:15
    และนี่คือสิ่งที่เราทำให้พวกคุณได้
  • 13:15 - 13:17
    เราสามารถบอกคุณถึงมุมมองต่าง ๆ
  • 13:17 - 13:20
    ที่มีต่อรูปแบบการใช้คำที่ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่
  • 13:20 - 13:23
    แค่นั้นและนั่นก็ควรจะเป็นขอบเขตอำนาจของเรา
  • 13:23 - 13:27
    เราไม่ใช่สถาบันสอนภาษา
  • 13:27 - 13:30
    ประมาณปีละครั้ง ดิฉันจะได้บัตรลงคะแนน
  • 13:30 - 13:33
    ที่ถามดิฉันว่าการใช้แบบใหม่
  • 13:33 - 13:36
    การออกเสียงแบบใหม่ และความหมาย
    ที่เกิดขึ้นใหม่นั้นเป็นที่ยอมรับได้หรือไม่
  • 13:36 - 13:39
    และนี่ก็คือสิ่งที่ดิฉันทำ
    ในการกรอกบัตรลงคะแนนเสียง
  • 13:39 - 13:43
    ดิฉันฟังสิ่งที่คนอื่นพูดและเขียน
  • 13:43 - 13:45
    ดิฉันไม่ได้ทำตามความชอบส่วนตัว
  • 13:45 - 13:48
    และความไม่ชอบส่วนตัวที่มีต่อภาษาอังกฤษ
  • 13:48 - 13:50
    ดิฉันขอพูดตรง ๆ กับพวกคุณว่า
  • 13:50 - 13:52
    จริง ๆ แล้วดิฉันไม่ชอบคำว่า "impactful"
    (ซึ่งมีอิทธิพลมาก)
  • 13:52 - 13:54
    แต่ว่านั่นไม่เกี่ยวอะไร
  • 13:54 - 13:58
    กับการที่ว่าคำว่า "impactful" นั้น
    จะกลายเป็นคำที่ใช้กันโดยทั่วไป
  • 13:58 - 14:01
    และกลายเป็นที่ยอมรับมากขึ้น
    ในงานเขียนร้อยแก้ว
  • 14:01 - 14:02
    ดังนั้น เพื่อแสดงถึงความรับผิดชอบ
  • 14:02 - 14:05
    สิ่งที่ดิฉันทำก็คือการดูที่การใช้
  • 14:05 - 14:06
    ซึ่งมักรวมไปถึงการดู
  • 14:06 - 14:09
    ที่ฐานข้อมูลออนไลน์ เช่น กูเกิล บุ๊คส์
    (Google Books)
  • 14:09 - 14:12
    เอาล่ะ ถ้าคุณหาคำว่า "impactful" ในกูเกิล บุ๊คส์
  • 14:12 - 14:15
    นี่คือสิ่งที่คุณจะเจอ
  • 14:15 - 14:17
    ค่ะ ดูเหมือนว่าคำว่า "impactful" นั้น
  • 14:17 - 14:19
    จะเป็นคำที่มีประโยชน์
  • 14:19 - 14:21
    ต่อนักเขียนจำนวนหนึ่ง
  • 14:21 - 14:22
    และได้กลายเป็นคำที่มีประโยชน์มากขึ้นเรื่อย ๆ
  • 14:22 - 14:24
    ตลอดระยะเวลายี่สิบปีที่ผ่านมา
  • 14:24 - 14:26
    ทีนี้ ในอนาคตจะมีการเปลี่ยนแปลง
    มากมายเกิดขึ้น
  • 14:26 - 14:29
    ที่เราทุกคนไม่อยากให้เกิดขึ้นในภาษาของเรา
  • 14:29 - 14:31
    มันจะมีการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้คุณคิดว่า
  • 14:31 - 14:32
    "เฮ้ย เอางี้จริงหรอ
  • 14:32 - 14:36
    ภาษาของฉันจะต้องเปลี่ยนแปลง
    ไปในทิศทางนั้นจริง ๆ หรอ"
  • 14:36 - 14:38
    สิ่งที่ดิฉันจะบอกก็คือ
  • 14:38 - 14:39
    เราควรที่จะใจเย็นลง
  • 14:39 - 14:43
    ก่อนที่จะตัดสินว่าการเปลี่ยนแปลงนั้น
    ต้องเป็นเรื่องเลวร้าย
  • 14:43 - 14:45
    เราควรที่จะใจเย็นลงก่อนที่จะบังคับ
  • 14:45 - 14:48
    ให้คนอื่นชอบหรือไม่ชอบคำต่าง ๆ
    ในแบบเดียวกับเรา
  • 14:48 - 14:51
    และเราก็ควรที่จะหักห้ามใจอย่างเต็มที่
  • 14:51 - 14:54
    ที่จะคิดที่ว่าภาษาอังกฤษนั้นกำลังมีปัญหา
  • 14:54 - 14:58
    มันไม่ได้มีปัญหาเลย มันอุดมสมบูรณ์
    มีชีวิตชีวา และถูกเติมเต็ม
  • 14:58 - 15:01
    ด้วยความคิดสร้างสรรค์จากผู้ที่พูดมัน
  • 15:01 - 15:04
    ถ้าเรามองย้อนกลับไป เราอาจรู้สึกว่า
    มันช่างน่าหลงใหล
  • 15:04 - 15:07
    ที่คำว่า "nice"
    เคยมีความหมายว่า งี่เง่าหรือโง่
  • 15:07 - 15:09
    และคำว่า "decimate"
  • 15:09 - 15:12
    เคยมีความหมายว่า ฆ่าทุก ๆ หนึ่งในสิบคน
  • 15:12 - 15:16
    (เสียงหัวเราะ)
  • 15:17 - 15:22
    เรามองว่า เบนจามิน แฟรงคลิน นั้นงี่เง่า
  • 15:22 - 15:25
    ที่มานั่งกังวลเรื่องการใช้คำว่า "notice" เป็นคำกริยา
  • 15:25 - 15:26
    แต่คุณรู้ไหมว่า
  • 15:26 - 15:29
    พวกเราเองก็จะดูงี่เง่าเช่นกัน
    ในอีกร้อยปีข้างหน้า
  • 15:29 - 15:31
    ที่มานั่งกังวลกับคำว่า "impact" ที่เป็นคำกริยา
  • 15:31 - 15:34
    และคำว่า "invite" ที่เป็นคำนาม
  • 15:34 - 15:36
    ภาษานั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงรวดเร็วมาก
  • 15:36 - 15:38
    จนกระทั่งพวกเราตามไม่ทัน
  • 15:38 - 15:41
    ภาษาไม่ได้เป็นแบบนั้น
  • 15:41 - 15:42
    ดิฉันหวังว่าสิ่งที่คุณจะทำได้นั้น
  • 15:42 - 15:45
    คือการมองว่าการเปลี่ยนแปลงของภาษานั้น
    ไม่ใช่เรื่องที่น่าวิตกกังวล
  • 15:45 - 15:47
    แต่เป็นเรื่องที่สนุก และน่าหลงใหล
  • 15:47 - 15:50
    ในแบบที่บรรณาธิการพจนานุกรมต่างทำกัน
  • 15:50 - 15:52
    ดิฉันหวังว่าพวกคุณ
    จะเพลินเพลินไปกับการเป็นส่วนหนึ่ง
  • 15:52 - 15:57
    ของความสร้างสรรค์ที่จะสร้าง
  • 15:57 - 16:00
    ภาษาของเราใหม่ต่อไปเรื่อย ๆ
    และคอยทำให้มันคงทนถาวร
  • 16:00 - 16:03
    ว่าแต่ว่าคำคำหนึ่ง
    จะเข้าไปอยู่ในพจนานุกรมได้อย่างไรล่ะ
  • 16:03 - 16:06
    มันจะเข้าไปอยู่ได้ ก็เพราะเราใช้มัน
  • 16:06 - 16:07
    และเราใช้มันไปเรื่อย ๆ
  • 16:07 - 16:12
    และบรรณาธิการพจนานุกรมนั้น
    ต่างกำลังให้ความสนใจกับเราอยู่
  • 16:12 - 16:15
    ถ้าคุณกำลังคิดว่า
    "แต่นั่นแสดงว่าเราทุกคนก็เป็นคนตัดสินน่ะสิ
  • 16:15 - 16:16
    ว่าคำแต่ละคำมีความหมายว่าอะไร"
  • 16:16 - 16:20
    ดิฉันก็จะบอกว่า "คุณคิดถูกแล้ว
  • 16:20 - 16:23
    และมันก็เป็นเช่นนั้นเสมอมา"
  • 16:23 - 16:27
    พจนานุกรมเป็นคู่มือชี้แนะ
    และเป็นแหล่งข้อมูลที่ยอดเยี่ยม
  • 16:27 - 16:30
    แต่ว่าในโลกนี้ไม่มี
    องค์กรพจนานุกรมที่ไหน
  • 16:30 - 16:34
    ที่จะทำหน้าที่เป็นกรรมการผู้ชี้ขาด
    ว่าคำไหนมีความหมายว่าอย่างไร
  • 16:34 - 16:37
    ถ้าหากมีคนกลุ่มหนึ่งกำลังใช้คำสักคำหนึ่ง
  • 16:37 - 16:40
    แล้วรู้ว่าคำคำนั้นมีความหมายว่าอะไร
    คำคำนั้นคือคำจริง ๆ
  • 16:40 - 16:42
    คำนั้นอาจเป็นคำสแลง
  • 16:42 - 16:43
    คำนั้นอาจเป็นคำที่ไม่เป็นทางการ
  • 16:43 - 16:45
    คำนั้นอาจเป็นคำที่คุณมองว่า
  • 16:45 - 16:48
    ไม่สมเหตุสมผลและไม่จำเป็น
  • 16:48 - 16:50
    แต่คำที่คุณกำลังใช้อยู่นั้น
  • 16:50 - 16:52
    เป็นคำจริง ๆ ค่ะ
  • 16:52 - 16:55
    ขอบคุณค่ะ
  • 16:55 - 16:56
    (เสียงปรบมือ)
Title:
อะไรที่ทำให้คำคำหนึ่งกลายเป็น "คำจริง ๆ "
Speaker:
แอนน์ เคอร์ซาน (Anne Curzan)
Description:

บางคนอาจอ้างว่าคำสแลงอย่างเช่น hangry (โมโหหิว) defriend (ลบเพื่อน) และ adorkable (น่ารักนะเด็กโง่) นั้น เป็นคำที่เติมเต็มช่องว่างทางความหมายที่สำคัญในภาษาอังกฤษ ถึงแม้ว่าคำเหล่านั้นจะไม่ปรากฏอยู่ในพจนานุกรมก็ตาม แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ใครกันล่ะที่เป็นคนกำหนดว่าคำคำใดจะไปปรากฏอยู่ในหน้าพจนานุกรมเหล่านั้น นักประวัติศาสตร์ทางภาษา แอนน์ เคอร์ซาน ได้นำเราไปสู่ถึงเบื้องหลังที่น่าหลงใหลของพจนานุกรมที่มีผู้คนมากมายทำงานในส่วนเบื้องหลังและการตัดสินใจของพวกเขาบนพื้นฐานที่มั่นคง

more » « less
Video Language:
English
Team:
closed TED
Project:
TEDTalks
Duration:
17:13
Kelwalin Dhanasarnsombut edited Thai subtitles for What makes a word "real"?
Kelwalin Dhanasarnsombut edited Thai subtitles for What makes a word "real"?
Kelwalin Dhanasarnsombut approved Thai subtitles for What makes a word "real"?
Kelwalin Dhanasarnsombut edited Thai subtitles for What makes a word "real"?
Kelwalin Dhanasarnsombut accepted Thai subtitles for What makes a word "real"?
Kelwalin Dhanasarnsombut edited Thai subtitles for What makes a word "real"?
Kelwalin Dhanasarnsombut edited Thai subtitles for What makes a word "real"?
Purich Worawarachai edited Thai subtitles for What makes a word "real"?
Show all

Thai subtitles

Revisions Compare revisions