-
รู้กันไหมคะว่าในอดีตเนี่ย
-
เคยมีผู้หญิงคนนึงทำให้คนติดโรคกันทั้งอำเภอเลยนะคะ
-
เพราะแค่กินอาหารฝีมือเธอคนเดียวค่ะ
-
สวัสดีค่ะ วิวจากแชนเนล Point of View ค่ะ
-
ปฏิเสธไม่ได้เลยนะคะว่า
-
ตอนนี้ข่าวที่ยังอยู่ในความสนใจของทุกคนก็คือ
-
ข่าว Covid-19 นั่นเองค่ะ
-
ซึ่งในประเทศไทยกับในหลาย ๆ ประเทศเนี่ย
-
ก็ดูจะทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ นะคะ
-
มีคนนั้นแพร่เชื้อให้คนนี้ คนนี้แพร่เชื้อให้คนนั้น
-
ติดกันไปทั่วไปหมดเลยค่ะ
-
อย่างไรก็ดีนะคะ ในความสิ้นหวังก็มีความหวังอยู่ค่ะ
-
เพราะว่าข่าวล่าสุดบอกว่าในประเทศจีนนี่
-
ไม่มีคนติดเชื้อ Covid-19 เพิ่มในรอบ 24 ชั่วโมงแล้วนะคะ
-
ก็เรียกได้ว่า จำกัดการระบาดได้แล้วค่ะ
-
ดังนั้น พวกเรายังมีหวังอยู่ค่ะ
-
ก็ขอเป็นกำลังใจให้กับเจ้าหน้าที่ทุกคน
-
รวมถึงพวกเราทุกคนนะคะ
-
ก้าวผ่านเหตุการณ์นี้ไปได้ด้วยกันค่ะ
-
อย่างไรก็ดีนะคะ เหมือนกับที่วิวเล่าไว้ในคลิป Black Death เลยค่ะ
-
วิวก็ยังโฟกัสอยู่ที่การศึกษาเรื่องราวในอดีตนะคะ
-
เพราะว่าเคสของ Covid-19 เนี่ยไม่ใช่เคสแรกในโลกค่ะ
-
มันยังมีอีกหลายเคสที่ ถ้าเราเอามาศึกษาดี ๆ
-
จะเห็นส่วนที่มันเหมือน
-
และก็ส่วนที่มันต่างกับ Covid-19 อยู่นะคะ
-
อย่างวันนี้วิวขอยกตัวอย่างเรื่องราวของผู้หญิงคนนึงค่ะ
-
เธอเนี่ยเป็นพาหะนำโรคโรคนึงที่ชื่อว่า
-
ไทฟอยด์ (Typhoid) นะคะ
-
ทีนี้เธอก็ไม่รู้ตัวเองเลยนะคะว่าเธอเนี่ยเป็นพาหะนำโรค
-
ทำให้เธอเนี่ยเอาโรคไปติดคนเต็มไปหมดเลยค่ะ
-
และที่สำคัญนะคะ เธอโด่งดังถึงขนาดที่ว่า
-
ตำราระบาดวิทยาแทบทุกเล่มนะ ต้องมีชื่อเธออยู่ค่ะ
-
สำหรับตอนนี้เชื่อว่าวิวเกริ่นมานานพอแล้วนะคะ
-
เดี๋ยวจะรำคาญกัน
-
ดังนั้น ถ้าใครชอบเรื่องราวที่ทั้งสนุกและก็ได้สาระเนี่ย
-
อย่าลืมกดติดตามวิวแล้วก็ไปฟังกันเลยค่ะ
-
โรคไทฟอยด์ หรือว่าโรคไข้รากสาดน้อยเนี่ยนะคะ
-
ถ้าเป็นคนที่อาศัยอยู่ในเมืองอย่างเราในปัจจุบัน
-
มีห้องน้ำมีอะไรดี ๆ ต่าง ๆ น่าจะไม่ค่อยคุ้นเคยเท่าไหร่ค่ะ
-
แต่ว่าในอดีตเนี่ยนะคะ
-
ไทฟอยด์เคยเป็นโรคที่รุนแรงมาก ๆ เลยนะคะ
-
แล้วก็ติดต่อกันง่าย ๆ มาก ๆ เลยทีเดียว
-
เรียกได้ว่าในอดีตเนี่ยนะคะ ก่อนที่จะมียาปฏิชีวนะมารักษาโรค
-
มีวัคซีนอะไรต่าง ๆ เนี่ย คนที่ติดโรคนี้มีโอกาสเสียชีวิตถึง
-
10% เลยทีเดียวค่ะ ก็เยอะพอสมควรนะ
-
ติด 1,000 คนนี่ตาย 100 คนเลยนะ
-
ทีนี้ถามว่า ไทฟอยด์ ๆ ได้ยินชื่อโรคมานี่
-
โรคมันหน้าตาเป็นยังไงนะคะ ก็ต้องบอกว่า
-
ไทฟอยด์นี่เป็นโรคที่ติดจากเชื้อแบคทีเรียค่ะ
-
ชื่อว่า Salmonella Typhi นะคะ
-
อาการของคนที่ได้รับเชื้อโรคนี้เข้าไปนะคะ
-
ก็จะมีอาการไข้สูง เบื่ออาหาร ท้องอืด แน่นท้อง ท้องผูก
-
แล้วในที่สุดก็จะท้องเสียค่ะ
-
ซึ่งอาการนี้สามารถอยู่ได้ถึง 2 - 3 สัปดาห์เลยทีเดียวนะ
-
ทีนี้จากการที่ผู้ป่วยไข้ขึ้นสูงเป็นระยะเวลายาวนานนะคะ
-
ผู้ป่วยบางคนก็จะมีอาการผมร่วงค่ะ
-
ดังนั้นบางคนเค้าก็เลยเรียกโรคไทฟอยด์ว่า
-
ไข้หัวโกร๋นนั่นเองนะคะ
-
โรคไทฟอยด์นี่จริง ๆ ก็สามารถหายได้เอง
-
ในประมาณ 2 - 3 สัปดาห์นะคะ
-
ถ้าประคองอาการไปเรื่อย ๆ
-
แต่อย่างไรก็ตามด้วยความที่ในสมัยก่อน
-
เทคโนโลยีไม่ได้สูงขนาดนั้น
-
การประคองอาการอะไรต่าง ๆ ก็อาจจะมีโรคแทรกซ้อนได้
-
ประกอบกับไข้สูง อ่อนเพลีย ท้องเสียนะคะ
-
ดังนั้นก็เลยมีโอกาสเสียชีวิตค่อนข้างมากค่ะ
-
แล้วถามว่าโรคไทฟอยด์เนี่ยเค้าติดต่อกันยังไงนะคะ
-
ก็ต้องบอกว่าติดต่อกันผ่านการกินค่ะ
-
แล้วกินอะไร สิ่งที่กินนะคะก็คือ
-
ปัสสาวะ และอุจจาระ ที่ติดเชื้อโรคนั่นเอง
-
หลายคนฟังแบบนี้ก็แบบ จะบ้าเหรอ ใครจะไปกิน
-
นอกจากกระสือ มันไม่มีทางติดกันหรอก
-
แต่ขอบอกเลยว่าบางทีมันติดค่ะ
-
เพราะว่าเรากินเข้าไปผ่านการปนเปื้อนนั่นเองนะคะ
-
คือบางคนเข้าห้องน้ำในสมัยก่อนก็ไปเข้าที่ทุ่งอะไรต่าง ๆ
-
ไม่ได้มีห้องน้ำแบบระบบปิดแบบปัจจุบันนะคะ
-
เสร็จปุ๊บ คนถัดไปไปเข้าต่อ
-
อะ ล้างมือไม่ล้างมือ มาจับอาหารกิน
-
บางทีก็มีแมลงวันไปเกาะสิ่งปฏิกูลเหล่านั้น
-
แล้วก็มาเกาะอาหารที่เรากิน
-
ก็ทำให้เราสามารถติดโรคได้เหมือนกันค่ะ
-
เรียกได้ว่าสยองมากเลยทีเดียวนะคะ
-
และโรคไทฟอยด์เนี่ย ถือว่าเป็นโรคนึงที่เก่าแก่มาก ๆ เลยค่ะ
-
นักประวัติศาสตร์นี่บันทึกกันไว้ว่า
-
ไทฟอยด์นี่ติดกันมาหลายต่อหลายครั้งมาก ๆ เลยนะคะ
-
แต่ครั้งสำคัญครั้งนึงเนี่ย ก็ช่วงประมาณ
-
430 ก่อนคริสตศักราชนะคะ
-
โรคไทฟอยด์เนี่ยเคยระบาดขึ้นมาใน
-
กรุงเอเธนส์ ของอาณาจักรกรีกค่ะ
-
ทีนี้ก็ติดกันเรียกได้ว่าเยอะมาก ๆ นะคะ
-
จนกระทั่งประชากร 1 ใน 3 ของกรุงเอเธนส์ตอนนั้นน่ะ
-
เสียชีวิตเพราะโรคไทฟอยด์นะคะ
-
รวมไปถึงผู้ปกครองในยุคสมัยนั้นด้วย
-
อีกครั้งนึงค่ะ ที่โรคไทฟอยด์ระบาดหนัก ๆ นี่ก็
-
ช่วงตอนสงครามกลางเมืองอเมริกานะ
-
ตอนนั้นทหารอเมริกานี่ตายไปประมาณ 60,000 คน
-
ด้วยโรคไทฟอยด์ค่ะ ก็เยอะมาก ๆ เลยจริง ๆ
-
และจริง ๆ ก็มีการระบาดอีกหลายครั้งนะคะ
-
แต่ว่าวันนี้วิวอาจจะมาพูดถึงได้ไม่ครบทุกครั้งค่ะ
-
แล้วถามว่าวิวจะมาเล่าเรื่องไทฟอยด์ทำไม
-
ก็ต้องบอกว่าจริง ๆ แล้วไทฟอยด์เนี่ย มันมีบางส่วนที่มัน
-
คล้ายคลึงกับสถานการณ์ Covid-19
-
ที่เราเจออยู่ในปัจจุบันนี้ค่ะ
-
เพราะว่า โอเค วิธีการติดอาจจะไม่เหมือนกัน
-
แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ
-
ไทฟอยด์เนี่ยสามารถมีพาหะนำโรคได้ค่ะ
-
คือบางคนได้รับเชื้อไทฟอยด์เข้าไปแล้วนะคะ
-
เชื้อแบคทีเรียตัวนี้ไปอาศัยอยู่ในร่างค่ะ
-
แต่ว่าไม่แสดงอาการนะคะ
-
แม้ว่าจะไม่แสดงอาการเนี่ย
-
ก็สามารถไปแพร่เชื้อให้คนอื่นต่อได้ค่ะ
-
ซึ่งในสมัยที่วิวเล่าเนี่ยนะคะ ความรู้ด้านโรคระบาดเนี่ย
-
มันยังไม่ได้ดีขนาดนั้นค่ะ
-
ดังนั้นเนี่ย เรื่องที่ว่าการเป็นพาหะแต่ไม่แสดงอาการเนี่ย
-
มันยังเป็นแค่ทฤษฎีอยู่นะคะ
-
ก็เลยทำให้บางคนค่ะ ที่ติดโรคนี้แล้วเป็นพาหะนำโรคเนี่ย
-
ไปแพร่เชื้อให้คนเต็มไปหมดเลยนะคะ
-
โดยเฉพาะเคสที่วิวจะยกขึ้นมาค่ะ
-
นั่นก็คือเคสของ ไทฟอยด์ แมรี่ (Typhoid Mary) นั่นเอง
-
เรื่องราวที่วิวจะเล่าให้ฟังในวันนี้เกิดขึ้นในฤดูร้อน ปี 1906 ค่ะ
-
ในตอนนั้นเนี่ยนะคะ มีครอบครัวนายธนาคารคนนึง
-
เขาชื่อ ชาร์ลส์ เฮนรี่ วอร์เร็น (Charles Henry Warren) นะคะ
-
แน่นอนว่าครอบครัววอร์เร็นเนี่ยนะคะ
-
เป็นครอบครัวที่ค่อนข้างจะมีเงินค่ะ
-
แล้วก็อาศัยอยู่ในนิวยอร์ก (New York)
-
ในช่วงฤดูร้อนเขาก็จะต้องไปพักร้อนใช่มั้ยคะ
-
จะไปพักร้อนธรรมดาก็ไม่ได้ เป็นคนมีฐานะอะนะ
-
เขาก็เลยตัดสินใจไปที่หมู่บ้านนึงค่ะ
-
ชื่อว่า Oyster Bay, Long Island นะคะ
-
ที่นั่นเนี่ย เขาก็ไปเช่าบ้านพักตากอากาศสุดหรูหลังนึงอยู่ค่ะ
-
แล้วก็ตั้งใจจะไปพักร้อนกันเป็นระยะเวลาค่อนข้างยาวเนอะ
-
ดังนั้น การไปพักร้อนเนี่ยจะไปแต่ครอบครัวตัวเอง
-
ก็ไม่สบายเท่าไหร่ เขาก็เลยต้องมีการจ้างคนสวน จ้างแม่บ้าน
-
จ้างคนทำครัวอะไรต่าง ๆ มานะคะ เพื่ออำนวยความสะดวกค่ะ
-
ทีนี้หลังจากที่ครอบครัวนี้อาศัยอยู่
-
ในบ้านหลังนี้มาสักระยะเวลานึง
-
อยู่ดี ๆ นะคะในวันที่ 27 สิงหาคมค่ะ
-
ก็เกิดมีคนในบ้านของวอร์เร็นเนี่ย
-
ติดเชื้อไทฟอยด์ขึ้นมานะคะ คนคนนั้นก็คือลูกสาวนั่นเอง
-
หลังจากที่ลูกสาวติดนะคะ เชื้อมันก็เหมือนจะแพร่กระจายค่ะ
-
ก็เริ่มติด ๆ ๆ ๆ ติดกันในบ้านนะคะ
-
เมียของคุณวอร์เร็นเนี่ยก็ติด
-
แม่บ้านก็ติด คนสวนก็ติดนะคะ
-
สรุปแล้วติดกันไปทั้งหมด 11 คนด้วยกันค่ะ
-
ทีนี้ปัญหาคืออะไรคะ
-
ปัญหาก็คือในสมัยนั้นเนี่ย เทคโนโลยีบอกได้แล้วนะว่า
-
โรคไทฟอยด์นี่ติดต่อกันจากอะไร
-
เกิดจากสุขอนามัยที่ไม่ดีอะไรต่าง ๆ
-
เช่น น้ำที่ใช้เนี่ยปนเปื้อนอุจจาระ ปัสสาวะ
-
บ้านพักเนี่ยมีปัญหาค่ะ เพราะว่าอะไร
-
เพราะว่าใครจะกล้ามาพักบ้านพักหลังนี้ต่อ ประมาณว่า
-
เฮ้ย! น้ำที่ใช้ในบ้านหลังนี้จะต้องไม่สะอาดแน่ ๆ เลยแก
-
บ่อเกรอะกับน้ำใช้มันอยู่ติดกันรึเปล่า ต่อท่อผิด อะไร
-
แบบน้ำทิ้งน้ำดีปนกันมั่วรึเปล่านะคะ
-
ดังนั้นคุณจอร์จ ทอมป์สัน (George Thompson) ค่ะ
-
ซึ่งเป็นเจ้าของบ้านพักเนี่ยก็เลยรู้สึกว่า
-
ไม่ได้การแล้ว เดี๋ยวค่าเช่าฉันจะตก
-
ใครจะกล้ามาพักบ้านพักสุดหรูของฉัน
-
เดี๋ยวฉันจะเสียผลประโยชน์อะไรต่าง ๆ นะคะ
-
จอร์จ ทอมป์สัน นะคะ ก็เลยตัดสินใจไปจ้างอาชีพนึงมาค่ะ
-
นั่นก็คือ นักสืบสวนโรคนั่นเอง
-
เขาเนี่ยจะมีหน้าที่ประมาณเหมือนนักสืบ
-
จะเข้ามาที่บ้านแล้วก็มาสืบสวนโรคต่าง ๆ ค่ะ ประมาณว่า
-
เอ จากการที่มีคนติดโรคในบ้านนี้
-
น่าจะเป็นจากอะไรนะ ไหนไปดูท่อน้ำทิ้งหน่อยซิ
-
ท่อน้ำทิ้งเป็นท่อน้ำดีต่อดีรึเปล่า อะ ก็ต่อดีนี่
-
อะไรอย่างนี้ต่าง ๆ นะคะ
-
จ้างมาคนแรกก็ยังไม่ได้ผลเท่าไหร่ค่ะ สืบหาโรคไม่เจอนะคะ
-
ดังนั้น เขาก็เลยไปจ้างอีกคนนึงค่ะ ซึ่งเป็นแบบมือฉกาจเลย
-
เป็นแบบผู้เชี่ยวชาญด้านการสืบโรคไทฟอยด์นะคะ
-
ซึ่งเขาเนี่ยเคยมีประสบการณ์สืบโรคไทฟอยด์มาก่อนแล้ว
-
คนคนนี้ชื่อว่า จอร์จ โซเปอร์ (Dr.George A. Soper) ค่ะ
-
โซเปอร์เนี่ยนะคะ เข้ามาที่บ้านก็ทำตัวเหมือนเป็นนักสืบเลยค่ะ
-
ความโคนันเข้าสิงนะ
-
ก็ไปดูท่อต่าง ๆ เอ ปั๊มน้ำสะอาดไหม
-
บ่อน้ำของบ้านสะอาดรึเปล่า
-
เอ ในบ้านบ่อกร่งบ่อเกรอะอะไรมันก็ดูถูกสุขอนามัยหมดนี่นา
-
ดูแปลกจังเลย
-
เพราะว่าปกติเนี่ยโรคไทฟอยด์มันจะไม่ติดกันในย่านไฮโซ
-
เพราะว่ามันจะไปติดกันในพวกแบบคนจนที่สุขอนามัยไม่ดีไง
-
ดังนั้นนะคะ โซเปอร์ก็สืบต่อไปเรื่อย ๆ ค่ะ
-
เอ๊ หรือว่ามาจากคนที่เดินผ่านกันเมื่อวานตอนเช้า
-
อะ ไม่ใช่ กลับมานะคะ นั่นพี่บี้ค่ะ
-
และมุกนี้ซ้ำ ไม่ควรไปเล่นกับเขานะ
-
กลับมา ๆ โซเปอร์ เนี่ยนะคะก็ไปสืบโรคต่อค่ะว่า
-
เอ๊ คนที่มาส่งนมที่บ้านเนี่ย นมปนเปื้อนรึเปล่า อะ ก็ไม่ใช่
-
สืบไปจนถึงในเมืองเลยนะว่าแบบ
-
เอ พวกของสดที่ส่งเข้ามาในบ้านหลังนี้
-
ที่ร้านขายอาหารทะเลอะไรต่าง ๆ มีเชื้อปนเปื้อนไหม
-
สืบยังไงก็สืบไม่เจอนะคะ ดังนั้น โซเปอร์ ก็เลยเปลี่ยนวิธีค่ะ
-
ไล่สัมภาษณ์ทุกคนในบ้านแทน ประมาณว่า
-
ไหนวันนี้ไปกินอะไรมาบ้าง ก่อนกินล้างมือไหม
-
อะไรต่าง ๆ นะคะ
-
ก็ถาม ๆ ๆ ๆ ไปเรื่อย ๆ ค่ะ
-
สืบไปสืบมาปรากฏว่า โซเปอร์เจอสิ่งนึงที่หายไป
-
จากทุกคนในบ้านนะคะ ทั้งสมาชิกของครอบครัว
-
รวมไปถึงคนใช้ คนสวนอะไรต่าง ๆ
-
มีคนนึงหายตัวไปค่ะ
-
นั่นก็คือ แม่ครัว นั่นเอง
-
ซึ่งอยู่ดี ๆ แม่ครัวคนนี้ก็ลาออกไปนะคะ
-
ตอนประมาณ 3 อาทิตย์ค่ะ
-
หลังจากที่โรคไทฟอยด์เริ่มระบาดเข้ามาในบ้านหลังนี้นะคะ
-
แม่ครัวคนนี้นะคะชื่อว่า แมรี่ มาล์ลอน (Mary Mallon) ค่ะ
-
เป็นชาวไอร์แลนด์นะคะ
-
เกิดเมื่อวันที่ 23 กันยายน ปี 1869 ค่ะ
-
แล้วก็เป็นชาว Cookstown ไอร์แลนด์นะ
-
ที่เป็นแหล่งเสื่อมโทรม
-
แหล่งยากจนสุด ๆ ของไอร์แลนด์เลยค่ะ
-
ซึ่ง แมรี่ มาล์ลอน เนี่ยนะคะ ก็ตามเทรนด์ค่ะ
-
ในช่วงเวลานั้นเนี่ย สหรัฐอเมริกาเป็นเหมือนอู่ข้าวอู่น้ำ
-
ใครอยากร่ำรวยก็มาทำงานที่นี่
-
แมรี่ มาล์ลอน ในฐานะแรงงาน
-
จากเมืองที่ค่อนข้างจะยากจนเนี่ยนะคะ
-
ก็เลยอพยพมาที่อเมริกาค่ะ มาอยู่ที่นิวยอร์กนะคะ
-
มาทำงาน ตั้งแต่ปี 1884 ตอนที่เธออายุได้ 15 ปีค่ะ
-
มาถึงนี่ก็เริ่มจากการเป็นแรงงานน่ะนะ
-
ต้องทำงานบ้านอะไรต่าง ๆ ซักรีดนู่นนี่นั่น
-
จนกระทั่งในที่สุดนะคะ เธอก็ค้นพบว่า
-
เฮ้ย ฉันมีความสามารถด้านการทำกับข้าวจ้า
-
และที่สำคัญตำแหน่งแม่ครัวเนี่ย
-
เป็นตำแหน่งที่ได้เงินค่าจ้างแพงกว่าตำแหน่งอื่น
-
ดังนั้น แมรี่ มาล์ลอน นะคะ
-
ก็เลยทำอาชีพเป็นแม่ครัวมาเรื่อย ๆ ค่ะ
-
และในที่สุดก็โดนจ้างมาเป็นแม่ครัวของบ้านวอร์เร็นเนี่ยล่ะค่ะ
-
ทีนี้พอโซเปอร์รู้แบบนี้นะคะว่า
-
เออ มันมีแม่ครัวคนนึงมาจากย่านเสื่อมโทรม
-
แล้วก็หายตัวไปด้วย
-
โซเปอร์เนี่ยนะคะก็เลยไปสืบประวัติของแมรี่ค่ะ
-
ประมาณว่า เอ๊! แมรี่นี่ไปทำงานที่ไหน
-
อะไรยังไงมาบ้างนะคะ
-
หลังจากที่ไปสืบประวัติค่ะ โซเปอร์ตกใจมากนะคะ
-
เพราะว่าแมรี่เนี่ยไปทำงานเป็นแม่ครัวมาหลายบ้านแล้วนะ
-
จากบ้านต่าง ๆ ที่แมรี่ไปทำงานเนี่ยนะคะ
-
ประมาณ 7 - 8 บ้านเนี่ย
-
มีคนป่วยเป็นโรคไทฟอยด์ค่ะ ป่วยไปแล้วทั้งหมด 20 คนนะคะ
-
แล้วก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เด็กผู้หญิงคนนึงตายไปแล้วนะคะ
-
ดังนั้น โซเปอร์ก็เลยคิดว่า
-
แมรี่นี่แหละจะต้องเป็นคนแพร่เชื้อแน่ ๆ
-
และมันก็มีทฤษฎีมาจากเยอรมัน ซึ่งเป็นทฤษฎีใหม่ในช่วงนั้นว่า
-
มันจะมีพาหะโรคไทฟอยด์นะ ที่ไม่แสดงอาการ
-
หรือว่าแมรี่จะเป็นเคสนี้นะ
-
จะเป็นเคสแรกในสหรัฐอเมริการึเปล่า
-
ซึ่งบริเวณต่าง ๆ ที่แมรี่ไปทำงานเนี่ยนะคะ
-
มันก็คือบริเวณนิวยอร์ก กับ ลองไอส์แลนด์ (Long Island) ค่ะ
-
ถามว่าแถวนั้นเป็นยังไง แถวนั้นเนี่ยเป็นย่านคนรวย
-
ไม่น่าจะมีโอกาสที่ไทฟอยด์จะมาระบาดได้เลยนะ
-
และทุกบ้านก็มีจุดร่วมกันก็คือ มีแมรี่เป็นแม่ครัวค่ะ
-
โซเปอร์ก็พยายามจะจินตนาการต่อนะคะ ประมาณว่า
-
เอ๊ มีจุดไหนที่แมรี่น่าจะแพร่เชื้อได้บ้างนะ
-
เพราะว่าอาหารทุกจานที่แมรี่เสิร์ฟเนี่ย ต่อให้มันมีเชื้อ
-
แต่ว่าเป็นแม่ครัวมันก็ต้องผ่านความร้อน
-
มันไม่น่าจะทำให้ติดต่อกันได้นี่นา
-
สืบไปสืบมาก็ค้นพบว่า แมรี่นี่มีจานเด็ดอยู่จานนึงนะคะ
-
ที่จะเสิร์ฟทุกวันอาทิตย์ค่ะ ถือว่าเป็นโบนัสนิดนึง
-
ทุกคนชอบเมนูนี้มากเพราะอร่อยมากนะคะ
-
เมนูนั้นก็คือ ไอศกรีมพีช นั่นเอง
-
เป็นไอศกรีมนะคะ ที่แมรี่ทำเอง
-
ก็เอาลูกพีชสด ๆ เนี่ยนะคะ
-
หั่น ๆ ๆ ๆ ใส่เข้าไปปั่นกับไอศกรีมค่ะ
-
ทุกคนรู้สึกว่าอร่อยมากนะคะ
-
และเป็นเมนูเดียวที่ไม่ผ่านความร้อนเลย
-
ที่สำคัญตอนหั่นลูกพีชเนี่ย แน่นอนโดนมือแมรี่แน่ ๆ
-
ถ้าแมรี่ไปเข้าห้องน้ำล้างก้นแล้วไม่ล้างมือเนี่ย
-
ยังไงไอ้ที่แมรี่ไปเข้าห้องน้ำมาเนี่ย
-
ปนเปื้อนลงไปในลูกพีชแน่นอนนะคะ
-
โซเปอร์ก็เลยสงสัยว่า ไอ้เมนูนี้นี่แหละ น่าจะเป็นตัวแพร่เชื้อนะ
-
โซเปอร์ก็เลยฟันธงนะคะว่า
-
เอ้อ แมรี่ นี่แหละ น่าจะเป็นคนที่แพร่เชื้อนะ
-
อย่างไรก็ตามนะคะ แม้ว่าหน้าที่ของโซเปอร์จะจบลงแล้ว
-
เพราะเขาจ้างมาแค่มาเช็คบ้าน ว่าบ้านนี้ไม่ได้แพร่เชื้อ
-
อย่างไรก็ดี วิญญาณโคนันเนี่ยสิงร่างโซเปอร์เรียบร้อยแล้วค่ะ
-
โซเปอร์เนี่ยนะคะก็เลยพยายามตามหาตัวแมรี่ค่ะ
-
ประมาณว่า ฉันเคยได้ยินทฤษฎีมาจากเยอรมัน
-
มันเพิ่งค้นพบใหม่ว่า
-
มันมีพาหะนำโรคไทฟอยด์เนี่ยนะ ที่ไม่แสดงอาการ
-
หรือว่าแมรี่จะเป็นคนนั้น
-
นี่จะต้องเป็นเคสแรกในสหรัฐอเมริกาแน่ ๆ
-
ฉันจะต้องไปค้นหาตัวแมรี่ให้เจอ ค่ะ
-
โซเปอร์ก็พยายามค้นหาตัวแมรี่ไปเรื่อย ๆ นะคะ
-
หายังไงก็หาไม่เจอค่ะ
-
จนกระทั่ง เวลาผ่านไปทั้งหมด 6 เดือนด้วยกันนะคะ
-
โซเปอร์ก็ได้ยินข่าวค่ะว่า
-
เฮ้ย มีโรคไทฟอยด์ระบาดอีกแล้วจ้า
-
ระบาดอยู่ที่ปาร์ก อะเวนิว (Park Avenue) นะคะ
-
ซึ่งตรงนั้นเนี่ย เป็นย่านไฮโซมาก
-
ไม่มีทางหรอกที่โรคไทฟอยด์จะไประบาด
-
โซเปอร์ก็เลยวิ่งไปเช็คเลยนะคะ ไปถึงเจออะไร
-
เจอแม่ครัวเนี่ย เป็นแมรี่ มาล์ลอนค่ะ
-
โซเปอร์ก็เลยฟันธงเลยประมาณว่า
-
โอ้โห ฉันเจอแล้วแมรี่่ เธอนี่แหละตัวแพร่ไทฟอยด์แน่ ๆ
-
โซเปอร์ก็เลยเข้าไปหาแมรี่นะคะ แล้วก็บอกว่า
-
แมรี่ มาล์ลอน คือเราสงสัยว่าเธอเนี่ย
-
น่าจะเป็นพาหะนำโรคระบาด ก็คือโรคไทฟอยด์นั่นเอง
-
เราขอเก็บตัวอย่างฉี่กับอึของเธอไปตรวจได้ไหม
-
ซึ่งถามว่าแมรี่ตอนนั้นรู้สึกยังไง ทุกคน
-
นึกสภาพว่าในสมัยนั้นน่ะ
-
คอนเซปต์ของการเป็นพาหะนำโรค
-
ไม่มี ไม่มีใครรู้ โดยเฉพาะแมรี่ซึ่งเป็นคนที่แบบ
-
ชนชั้นล่าง ไม่มีความรู้ใด ๆ
-
ตัวเองก็ไม่ได้ป่วยอะไร
-
รู้สึกว่าฉันก็แข็งแรงดี อยู่มาได้ตั้งหลายปี
-
อยู่ดีๆ มีผู้ชายเดินเข้ามาบอกว่าขอเก็บอึกับฉี่เธอไปตรวจได้ไหม
-
เพราะฉันเชื่อว่าเธอเป็นตัวเชื้อโรค
-
แมรี่นี่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟเลยนะคะ ประมาณว่า
-
นี่ มาดูถูกกันใช่ไหม เพราะว่าตอนนั้นน่ะ
-
มันมีกระแสเหยียดชาวต่างชาติอยู่แล้วในสหรัฐอเมริกา
-
ประมาณว่า เป็นชาวไอร์แลนด์
-
เป็นแรงงานชั้นต่ำ อพยพมา
-
แรงงานอพยพ เหยียด ๆ ๆ ๆ
-
แมรี่นี่คิดว่าโซเปอร์มาเหยียดตัวเองนะคะ
-
ดังนั้น แมรี่ก็เลยคว้าส้อมทำอาหารอันใหญ่ ๆ ตอนนั้นขึ้นมา
-
แล้วก็บอกว่า ออกไปจากร้านฉันเดี๋ยวนี้
-
ถ้าไม่ออกไปเดี๋ยวนี้ มายุ่งกันฉัน
-
หาว่าฉันเป็นตัวเชื้อโรคอีกนะ
-
ฉันเอาส้อมจิ้มจริง ๆ ด้วย กระซวกไส้แตกเลยนะ
-
ซึ่งถามว่าโซเปอร์กลัวไหม
-
กลัวนะคะ โซเปอร์ก็เลยจากไปค่ะ
-
แต่เขาไม่ได้จากไปเปล่า
-
เขาจากไปแจ้งอนามัยของนิวยอร์กนะคะ
-
ประมาณว่า เฮ้ย ฉันคิดว่าฉันเจอต้นเหตุโรคระบาด
-
ลองไปตรวจเช็คสิ่งนี้กันเถอะ
-
บังเอิญว่า โซเปอร์เนี่ยนะคะไปแจ้งถูกคนค่ะ
-
ไปแจ้งโดนเจ้าหน้าที่คนนึงชื่อว่า เบเกอร์ นะคะ
-
บังเอิญว่าพ่อเจ้าหน้าที่เบเกอร์เนี่ยก็ตายเพราะโรคไทฟอยด์ค่ะ
-
เจ้าหน้าที่เบเกอร์ก็เลยอินกับเรื่องนี้เป็นพิเศษนะคะ
-
ก็เลยมาค่ะ มาหาแมรี่นะคะ บอกว่า
-
แมรี่ขอร้องเถอะ ในฐานะที่พ่อฉันตายด้วยโรคไทฟอยด์นะ
-
ฉันขอตัวอย่างเธอไปตรวจหน่อยเถอะ
-
ว่าเธอเป็นคนแพร่เชื้อจริง ๆ รึเปล่านะ
-
ได้โปรด พลีส ๆ ๆ นะคะ
-
ถามว่าแมรี่ยอมไหม แมรี่แบบไม่ยอมค่ะ
-
แล้วก็วิ่งหนีไปเลย ประมาณว่าแบบ
-
ไม่! อย่ามาจับฉัน เพราะว่าอะไร
-
เพราะว่าเบเกอร์ไม่ได้มามือเปล่า
-
คราวนี้นะคะ โซเปอร์ เบเกอร์ มาพร้อมกับตำรวจ 5 คนค่ะ
-
และหลังจากนั้นการเล่นวิ่งไล่จับก็เกิดขึ้นนะคะ
-
ก็มีการวิ่งไล่จับกันต่าง ๆ
-
จนกระทั่งแมรี่เนี่ยนะคะ ไปซ่อนตัวอยู่ที่นึงค่ะ
-
แต่ว่ารู้ไหมทำไมเขาเจอ
-
เพราะว่าชุดของแมรี่เนี่ยนะคะ
-
ดันไปเกี่ยวกับมุมนึงเข้าค่ะ แล้วชุดมันก็ขาด
-
เป็นเหมือนแบบเศษผ้าตกอยู่
-
ดังนั้น พวกตำรวจ โซเปอร์ แล้วก็เบเกอร์ ก็เลย
-
ไปเจอตัวแมรี่ได้นะคะ พอเจอตัวก็จับล็อกมาเลยค่ะ
-
เอาไปไว้ที่เกาะแห่งนึง ซึ่งเป็นเกาะกักกันโรคระบาดค่ะ
-
ชื่อว่า The North Brother Island นะคะ
-
เป็นเกาะเล็ก ๆ เกาะนึง
-
ไปถึงเนี่ยนะคะ แมรี่ก็โดนบังคับค่ะ
-
ให้จับตรวจตัวอย่างอุจจาระ ปัสสาวะอะไรต่าง ๆ
-
ตรวจไปครั้งแรก เอ้า ไม่เจอ ตรวจครั้งที่สอง ไม่เจอ
-
ตรวจครั้งที่สาม บังเอิญว่าเจอนะคะ เจอว่าแมรี่เนี่ย
-
มีเชื้อของไทฟอยด์อยู่ในตัวจริง ๆ
-
ดังนั้น แมรี่ก็เลยโดนจับขังไว้ในเกาะแห่งนั้น
-
เพื่อกักกันโรคค่ะ
-
เพราะว่าในสมัยนั้นก็ยังรักษาไม่ได้ไง
-
ก็ไม่รู้ว่าจะรักษายังไง
-
คือถ้าเป็นไทฟอยด์ปกติก็รักษาตามอาการ
-
แต่นี่มันไม่มีอาการไง
-
ดังนั้น แมรี่ก็โดนขังไว้ตรงนั้นเรื่อย ๆ ค่ะ
-
ซึ่งถามว่าระหว่างเวลาที่โดนขังเนี่ย
-
แมรี่รู้สึกโอเคไหม แมรี่ไม่โอเคนะคะ
-
แมรี่รู้สึกว่าทำไมฉันต้องโดนขังด้วย
-
คือ ฉันก็ไม่ได้เป็นอะไร ฉันไม่เข้าใจ
-
มาบอกว่าฉันเป็นตัวเชื้อโรค พาหะนำโรค ฉันไม่ได้เป็นอะไร
-
ดังนั้น แมรี่ก็เลยจัดการเขียนจดหมายมากมายเลยนะคะ
-
ออกมาจากแดนกักกันค่ะ แล้วก็รู้สึกว่าแบบ
-
ทำไมฉันต้องมาอยู่เหมือนเป็นนักโทษ อะไรต่าง ๆ
-
เขียนออกไป เขียน ๆ ๆ ๆ นะคะ
-
เล่าถึงความอยุติธรรมที่ตัวเองได้รับค่ะ
-
รวมไปถึงแมรี่นี่ก็มีการฟ้องด้วยนะ ฟ้องร้องศาลเลย
-
ประมาณว่า คุณมาจำกัดสิทธิเสรีภาพฉันไม่ได้
-
อะไรต่าง ๆ นะคะ
-
และถามว่าเรื่องนี้จะเป็นที่สนใจของนักข่าวไหม
-
แน่นอนนะคะ เรื่องนี้มีตั้งหลายประเด็นที่นักข่าวจะสนใจ
-
1. เรื่องของตัวเชื้อโรคที่เป็นคนแพร่เชื้อให้คนไปทั่ว
-
2. เรื่องของผู้หญิงที่ไม่ได้เป็นอะไร แต่โดนจำกัดอิสรภาพ
-
แล้วก็ไม่ได้รู้ว่าเมื่อไหร่จะโดนปล่อยออกมา
-
ดังนั้น นักข่าวนะคะก็ขุดคุ้ยเรื่องนี้กันใหญ่โตเลยค่ะ
-
จนกระทั่งปี 1909 นะคะ
-
หนังสือพิมพ์ The New York American เนี่ย
-
ก็ให้ฉายาแมรี่ค่ะว่า ไทฟอยด์ แมรี่ (Typhoid Mary) นะคะ
-
และชื่อนี้ก็ติดตัวแมรี่มาตั้งแต่นั้นเลย
-
ทุกคนก็เรียกตามหนังสือพิมพ์
-
อารมณ์คล้าย ๆ คลิปที่วิวเคยทำเล่าเรื่องชื่อคนที่กลายเป็นคำด่า
-
นึกออกปะ
-
พอมันเป็นชื่อในหนังสือพิมพ์แล้ว บางทีมันก็ติดตัวไป
-
แล้วก็แก้ไม่ได้ ประมาณนั้นเลยค่ะ
-
นอกจากจะได้ชื่อใหม่แล้วเนี่ย
-
แมรี่ก็มีการ์ตูนล้อของตัวเองด้วยนะ
-
ก็เป็นการ์ตูนภาพแมรี่ แพร่เชื้ออะไรต่าง ๆ
-
ซึ่งกลายเป็นกระแสไวรัลหนักมากนะคะ
-
คนก็จำภาพนั้นไปเลย
-
แมรี่นี่ก็ฟ้อง แล้วก็ยื้อยุดฉุดกระชาก
-
กับสถานที่กักกันมาอยู่หลายปีด้วยกันนะคะ
-
แม้ว่าจะพยายามฟ้องศาลขนาดไหนนะ
-
ศาลก็ตัดสินบอกว่า แมรี่ไม่ควรจะได้รับอิสรภาพ
-
เพราะว่าเธอจะไปแพร่เชื้อให้คนอื่น
-
คนอื่นก็มีสิทธิเสรีภาพที่จะไม่ได้รับเชื้อเหมือนกันนะคะ
-
อย่างไรก็ตามนะคะ ในปี 1910 ค่ะ
-
หลังจากที่แมรี่โดนกักกันโรคอยู่ทั้งหมด 3 ปีนะคะ
-
ผู้อำนวยการศูนย์กักกันโรค อะไรอย่างนี้
-
มันก็มีการเปลี่ยนตัว แล้วก็เปลี่ยนนโยบายค่ะ
-
ก็เหมือนกับว่าเชื่อใจแมรี่มากขึ้นนะ
-
ก็เลยให้แมรี่เนี่ยสาบานค่ะ ประมาณว่า
-
แมรี่ ในเมื่อเธอไม่มีอาการ เธอไม่มีอะไรต่าง ๆ เนี่ย
-
เธอสาบานได้ไหมว่า ถ้าฉันปล่อยเธอออกไป
-
เธอจะเลิกเป็นแม่ครัวนะ แล้วเธอไปทำอาชีพอื่น
-
อยากไปทำอะไรก็ไปทำ
-
แต่อย่าทำอาหาร เพราะเธอจะไปแพร่เชื้อต่อ
-
ถามว่าแมรี่โดนขังมา 3 ปี ยอมไหม
-
แมรี่ก็บอกว่า ได้จ้า โอเคจ้า
-
จะไม่ทำอาหารอีกแล้วจ้า ปล่อยฉันออกไปเถอะจ้ะ
-
เหมือนว่าจะจบคดีนะคะ เรื่องราวของแมรี่ มาล์ลอน
-
ปิดคดีได้เรียบร้อย ไม่มีอะไรเกิดขึ้นนะคะ
-
แต่มันไม่จบค่ะ เพราะว่า
-
5 ปีถัดมานะคะ
-
ที่โรงพยาบาล Sloane Maternity Hospital เนี่ยนะคะ
-
อยู่ดี ๆ ก็มีเคสไทฟอยด์ระบาดขึ้นมาอีกรอบนึงค่ะ
-
และเฉพาะที่โรงพยาบาลนี้โรงพยาบาลเดียวเนี่ยนะ
-
มีคนติดไปทั้งหมด 25 คนด้วยกันค่ะ
-
ดังนั้น โรงพยาบาลนี้ก็เลยตัดสินใจว่า
-
เอ๊ โรงพยาบาลฉัน สุขอนามัยก็ดีนะ
-
มันมีอะไรตรงไหนที่มันผิดปกติ
-
ก็เลยไปจ้างคนที่เชี่ยวชาญด้านโรคไทฟอยด์มานะคะ
-
คนคนนั้นก็คือ โซเปอร์ นั่นเองค่ะ
-
โซเปอร์ก็เดินทางมาที่โรงพยาบาลนี้นะคะ
-
แล้วก็มาเช็คนู่นเช็คนี่ตามปกติค่ะ
-
เช็คไปเช็คมา ไปเจอหน้าแม่ครัวค่ะ
-
เห็นหน้าปุ๊บ แบบ
-
เฮ้ย! เธอไม่ใช่มิสซิสบราวน์ (Mrs.Brown)
-
เธอคือ แมรี่ มาล์ลอน
-
เธอกลับมาเป็นแม่ครัวอีกแล้วเหรอ
-
คือเดาว่านะคะ 5 ปีที่ผ่านมาเนี่ย
-
ตอนออกจากสถานที่กักกันใหม่ ๆ
-
แมรี่ มาล์ลอน ก็น่าจะไปทำอาชีพอื่นแหละค่ะ
-
ไปซักรีด ไปนู่นไปนี่
-
แต่ว่า เงินมันไม่ดีไงทุกคน เข้าใจไหม
-
อาชีพแม่ครัวมันเป็นอาชีพที่เงินดีที่สุด
-
แล้วแมรี่ มาล์ลอน ก็มีความสามารถจริง ๆ
-
ดังนั้น อยู่ดี ๆ เจ๊แกก็เลยเปลี่ยนชื่อเป็น มิสซิสบราวน์
-
แล้วก็ไปเป็นแม่ครัวอีกรอบนึงซะอย่างงั้นนะคะ
-
แล้วถามว่าระหว่างนั้นไปเป็นแม่ครัวที่ไหน
-
ก็ไปเป็นแม่ครัวที่ นิวเจอร์ซีย์ นิวยอร์ก อะไรต่าง ๆ
-
ทำอาหารให้กับร้านอาหารในโรงละครบรอดเวย์
-
คนเป็นร้อยเป็นพัน
-
สปา โรงพยาบาล ร้านอาหาร โรงแรมอะไร
-
โอ้โห เจ๊แกนี่เป็นแม่ครัวไปทั่วเลยนะคะ
-
คือถ้าสมมติว่าเริ่มสงสัยว่ามีคนจำตัวเองได้
-
เจ๊แกก็จะลาออกจากงาน แล้วก็ไปทำงานที่อื่น ๆ ๆ
-
ด้วยความเชื่อที่ว่า ฉันไม่ได้เป็นอะไร ฉันไม่ได้เป็นโรค
-
จะมาหาว่าฉันเป็นตัวแพร่โรคไม่ได้ นะคะ
-
พอโซเปอร์เห็นอย่างนั้น โซเปอร์แบบ
-
โอ๊ย! แมรี่ เธออีกแล้ว
-
ทำไมเธอถึงต้องกลับมาเป็นแม่ครัวด้วยนะ
-
เธอรู้ไหม ที่ฉันไปสืบ ๆ มาเนี่ย ว่าเธอไปทำงานที่นั่นที่นี่มาเนี่ย
-
เอาเท่าที่สืบได้นะ ไม่เอาเคสที่สืบไม่ได้เนี่ย
-
มีคนติดไทฟอยด์เพราะเธอไปอีก 51 คน
-
และมีคนตายไป 3 คน
-
แมรี่ เธออยู่อย่างนี้ไม่ได้แล้ว
-
สุดท้ายนะคะ แมรี่ มาล์ลอน ก็เลยจะต้อง
-
โดนจับกลับไปที่สถานกักกันโรคที่เดิมค่ะ
-
แล้วก็โดนกักอยู่ที่นั่นทั้งหมด 23 ปีนะคะ
-
จนกระทั่งเสียชีวิตในปี 1938 ในที่สุดค่ะ
-
ซึ่งเอาจริง ๆ นะ จนถึงวันที่แมรี่ตายเนี่ย
-
เจ๊แกก็ไม่เข้าใจเลยนะว่าตัวเองเป็นพาหะนำโรคอะไรต่าง ๆ
-
ก็ยังคิดแต่ว่า ฉันไม่ผิด ฉันไม่มีอาการ ฉันจะป่วยได้ยังไง
-
ฉันจะไปแพร่เชื้อโรคให้ได้ยังไง
-
เธอน่ะเหยียดคนไอร์แลนด์
-
อย่ามาหาว่าฉันเป็นตัวแพร่เชื้อโรคนะ
-
ประมาณนี้ค่ะ
-
ซึ่งเอาจริง ๆ เนี่ย แมรี่ก็ไม่ใช่คนที่แพร่เชื้อโรคมากที่สุดหรอกค่ะ
-
มันยังมีอีกหลายเคสที่แพร่เชื้อมากกว่าแมรี่มาก ๆ เลย
-
อย่างเช่นในปี 1922 นะคะ ก็มีผู้ชายคนนึงชื่อว่า
-
โทนี่ ลาเบลลา (Tony Labella) นะคะ เขาเป็นชาวนิวยอร์ก
-
คนนี้นี่ก็เป็นพาหะนำโรคที่ไม่แสดงอาการเหมือนกัน
-
แล้วก็แพร่เชื้อไทฟอยด์ให้คนอื่นไปถึงประมาณ 100 คน
-
มีคนตายไปประมาณ 5 คนเลยทีเดียวค่ะ
-
แต่อย่างไรก็ตาม เนื่องจากแมรี่นี่เป็นเคสแรก
-
แมรี่ก็เลยดังที่สุดนะคะ
-
ซึ่งเรื่องนี้ส่งผลอะไรคะ
-
เรื่องนี้ส่งผลให้คำว่า Typhoid Mary เนี่ย
-
กลายเป็นศัพท์ที่ชาวอเมริกันเนี่ยใช้กันนะคะ
-
หมายถึงคนที่แพร่เชื้อให้กับคนอื่น
-
ที่สำคัญนะ เธอดังถึงขนาดที่ว่า การ์ตูนมาร์เวล เนี่ย
-
เวอร์ชันคอมมิกบุ๊กเนี่ยนะ
-
มีตัวละครตัวนึงนะคะที่ชื่อว่า Typhoid Mary นะ
-
เป็นนักฆ่าอะไรอย่างนี้ ประมาณนั้นเลยทีเดียว
-
ก็เรียกได้ว่า ดังมาก ๆ เลยค่ะ
-
แล้วถามว่าเราเนี่ยได้อะไรจากการฟังเรื่องนี้
-
สิ่งนึงเนี่ยที่โซเปอร์ฝากไว้
-
หลังจากที่จบเคสทั้งหมดแล้วเนี่ยนะคะ
-
โซเปอร์ก็บอกว่า
-
มันสำคัญมากเลยนะที่เราจะต้องให้ความรู้กับคน
-
เพื่อให้คนเนี่ยเข้าใจเรื่องโรคระบาดมากที่สุด
-
ให้คนเข้าใจว่าการเป็นพาหะนำโรคเนี่ยมันคืออะไรยังไง
-
มันจะได้ไม่มีเคสเหมือน แมรี่ มาล์ลอน อีก
-
ที่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นพาหะนำโรค
-
แล้วก็ไม่เข้าใจว่าพาหะนำโรคนี่คืออะไร
-
ทำให้แพร่เชื้อไปทั่วค่ะ
-
แต่ถามว่าสิ่งที่แพทย์คนอื่น ๆ ได้เรียนรู้อะไรจากเคสนี้นะคะ
-
แพทย์คนอื่น ๆ เนี่ยก็ได้เรียนรู้ว่า
-
เออ จริง ๆ เคสแมรี่เนี่ยไม่ใช่เคสเดียวนะคะ
-
หลังจากแมรี่นี่ก็มีเคสพาหะนำโรคที่ไม่แสดงอาการ
-
ในสหรัฐอเมริกาเนี่ย มากกว่า 400 เคสเกิดขึ้นค่ะ
-
แต่ว่าไม่มีใครเนี่ยโดนกักกันโรคเหมือนแมรี่อีก
-
ไม่มีใครโดนขังจนตายนะคะ
-
เพราะว่ามันเป็นเรื่องของสิทธิมนุษยชนค่ะ
-
แต่สิ่งที่ทำให้เขาสามารถอาศัยอยู่ร่วมกับคนในสังคมได้เนี่ยก็คือ
-
ความรู้นั่นเองนะคะ การให้ความรู้คนว่า
-
เออ ถ้าคุณเป็นพาหะนำโรค คุณก็ต้องกักกันโรคตัวเองนะ
-
คุณเป็นพาหะนำโรคที่เกิดจากอาหารการกิน
-
คุณก็จะต้องไม่เป็นทำอาชีพอะไรที่เกี่ยวกับอาหารการกิน
-
คุณเนี่ยต้องระวังตัวเอง
-
เพื่อที่คุณจะได้ไม่ไปแพร่เชื้อให้กับคนอื่น
-
และเมื่อคุณทำแบบนั้นก็จะทำให้
-
คุณสามารถกลับมาใช้ชีวิตร่วมกับคนในสังคมได้ตามปกติค่ะ
-
เป็นยังไงบ้างทุกคน ฟังเรื่องนี้ไป
-
นึกถึง Covid-19 ในปัจจุบันไหมคะ
-
ส่วนตัววิวเนี่ยนึกถึง Covid-19 ในปัจจุบันมาก ๆ เลยนะว่า
-
เออ มันก็เป็นโรคที่คนที่เป็นพาหะนำโรค
-
ตอนที่มันยังไม่แสดงอาการเนี่ย
-
เราก็ไม่รู้ตัวเหมือนกันค่ะ
-
ว่าเราเนี่ยจะเป็นคนแพร่เชื้อให้คนอื่นเมื่อไหร่อะไรยังไง
-
และเคสนี้ดูเหมือนจะหนักกว่าไทฟอยด์ด้วย
-
เพราะว่าไทฟอยด์มันเป็นเรื่องของอาหารการกิน
-
มันยังระวังได้ แต่ว่า Covid-19 เนี่ย
-
มันมีการแพร่กระจายหลายทางมากนะคะ
-
รวมถึงการแบบ แตะสารคัดหลั่ง การอะไร
-
ซึ่งมันร้ายแรงกว่าไทฟอยด์พอสมควรค่ะ
-
ดังนั้นส่วนตัววิวเนี่ย วิวคิดว่าสิ่งที่ทุกคนทำได้นะคะก็คือ
-
ป้องกันตัวเอง แล้วก็ป้องกันคนอื่นค่ะ
-
ด้วยการดูว่าเราเนี่ยมีโอกาสเสี่ยงที่จะติดโรคไหม
-
ถ้าสมมติว่าเราเนี่ยมีโอกาสเข้าไปในที่ที่มันสุ่มเสี่ยงจะติดโรค
-
มีการไปสัมผัสกับคนที่ติดโรคอะไรต่าง ๆ
-
เราสามารถป้องกันคนอื่น ไม่ให้ติดโรคจากเราไปด้วยได้
-
รวมถึงทำให้เรามั่นใจในตัวเองได้ด้วยการกักกันโรคตัวเองค่ะ
-
ดังนั้น กฎที่เขาบอกว่าให้กักโรค 14 วันนี่ก็
-
อย่าไปแหกกฎกันเลยนะทุกคน
-
เอาเป็นว่าช่วงนี้ทุกคนก็พยายาม
-
อย่าไปรวมตัวกันในที่ชุมชนอะไรต่าง ๆ
-
ลองห่างกันซักพักละกันค่ะ
-
เพื่อช่วยให้เจ้าหน้าที่ หมอ พยาบาล อะไรต่าง ๆ เนี่ย
-
เขาลดภาระหน้าที่ลงนะคะ
-
เราจะได้ผ่านพ้นวิกฤตนี้กันไปได้อย่างรวดเร็วค่ะ
-
สำหรับวันนี้ถ้าใครฟังเรื่องนี้ไปนะคะ
-
แล้วมีความเห็นเพิ่มเติมอะไรยังไง
-
ก็คอมเมนต์มาด้านล่างได้เลยค่ะ
-
ส่วนใครชื่นชอบคลิปนี้อย่าลืม
-
กด Like เป็นกำลังใจให้วิว
-
แล้วก็กด Share เพื่อชวนเพื่อน ๆ มาดูด้วยกันค่ะ
-
แล้วพบกันใหม่โอกาสหน้านะคะทุกคน
-
บาย ๆ สวัสดีค่ะ
-
เป็นอีกคลิปนึงนะคะ ที่ตั้งใจจะเล่าสั้น ๆ
-
แต่ว่าสุดท้ายก็ยาวอีกแล้วนะทุกคน
-
แต่ว่าเชื่อว่าเป็นข้อมูลที่น่าจะเป็นประโยชน์กับใครหลาย ๆ คน
-
ดังนั้นฟังเรื่องในอดีตแล้วก็ลองมานึกถึง
-
เรื่องในปัจจุบันของเราเนอะว่า
-
เออมันเหมือนมันต่างอะไรกับในอดีตยังไงค่ะ
-
สำหรับวันนี้ลาไปก่อนนะคะ บาย ๆ สวัสดีค่ะ