รู้กันไหมคะว่าในอดีตเนี่ย เคยมีผู้หญิงคนนึงทำให้คนติดโรคกันทั้งอำเภอเลยนะคะ เพราะแค่กินอาหารฝีมือเธอคนเดียวค่ะ สวัสดีค่ะ วิวจากแชนเนล Point of View ค่ะ ปฏิเสธไม่ได้เลยนะคะว่า ตอนนี้ข่าวที่ยังอยู่ในความสนใจของทุกคนก็คือ ข่าว Covid-19 นั่นเองค่ะ ซึ่งในประเทศไทยกับในหลาย ๆ ประเทศเนี่ย ก็ดูจะทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ นะคะ มีคนนั้นแพร่เชื้อให้คนนี้ คนนี้แพร่เชื้อให้คนนั้น ติดกันไปทั่วไปหมดเลยค่ะ อย่างไรก็ดีนะคะ ในความสิ้นหวังก็มีความหวังอยู่ค่ะ เพราะว่าข่าวล่าสุดบอกว่าในประเทศจีนนี่ ไม่มีคนติดเชื้อ Covid-19 เพิ่มในรอบ 24 ชั่วโมงแล้วนะคะ ก็เรียกได้ว่า จำกัดการระบาดได้แล้วค่ะ ดังนั้น พวกเรายังมีหวังอยู่ค่ะ ก็ขอเป็นกำลังใจให้กับเจ้าหน้าที่ทุกคน รวมถึงพวกเราทุกคนนะคะ ก้าวผ่านเหตุการณ์นี้ไปได้ด้วยกันค่ะ อย่างไรก็ดีนะคะ เหมือนกับที่วิวเล่าไว้ในคลิป Black Death เลยค่ะ วิวก็ยังโฟกัสอยู่ที่การศึกษาเรื่องราวในอดีตนะคะ เพราะว่าเคสของ Covid-19 เนี่ยไม่ใช่เคสแรกในโลกค่ะ มันยังมีอีกหลายเคสที่ ถ้าเราเอามาศึกษาดี ๆ จะเห็นส่วนที่มันเหมือน และก็ส่วนที่มันต่างกับ Covid-19 อยู่นะคะ อย่างวันนี้วิวขอยกตัวอย่างเรื่องราวของผู้หญิงคนนึงค่ะ เธอเนี่ยเป็นพาหะนำโรคโรคนึงที่ชื่อว่า ไทฟอยด์ (Typhoid) นะคะ ทีนี้เธอก็ไม่รู้ตัวเองเลยนะคะว่าเธอเนี่ยเป็นพาหะนำโรค ทำให้เธอเนี่ยเอาโรคไปติดคนเต็มไปหมดเลยค่ะ และที่สำคัญนะคะ เธอโด่งดังถึงขนาดที่ว่า ตำราระบาดวิทยาแทบทุกเล่มนะ ต้องมีชื่อเธออยู่ค่ะ สำหรับตอนนี้เชื่อว่าวิวเกริ่นมานานพอแล้วนะคะ เดี๋ยวจะรำคาญกัน ดังนั้น ถ้าใครชอบเรื่องราวที่ทั้งสนุกและก็ได้สาระเนี่ย อย่าลืมกดติดตามวิวแล้วก็ไปฟังกันเลยค่ะ โรคไทฟอยด์ หรือว่าโรคไข้รากสาดน้อยเนี่ยนะคะ ถ้าเป็นคนที่อาศัยอยู่ในเมืองอย่างเราในปัจจุบัน มีห้องน้ำมีอะไรดี ๆ ต่าง ๆ น่าจะไม่ค่อยคุ้นเคยเท่าไหร่ค่ะ แต่ว่าในอดีตเนี่ยนะคะ ไทฟอยด์เคยเป็นโรคที่รุนแรงมาก ๆ เลยนะคะ แล้วก็ติดต่อกันง่าย ๆ มาก ๆ เลยทีเดียว เรียกได้ว่าในอดีตเนี่ยนะคะ ก่อนที่จะมียาปฏิชีวนะมารักษาโรค มีวัคซีนอะไรต่าง ๆ เนี่ย คนที่ติดโรคนี้มีโอกาสเสียชีวิตถึง 10% เลยทีเดียวค่ะ ก็เยอะพอสมควรนะ ติด 1,000 คนนี่ตาย 100 คนเลยนะ ทีนี้ถามว่า ไทฟอยด์ ๆ ได้ยินชื่อโรคมานี่ โรคมันหน้าตาเป็นยังไงนะคะ ก็ต้องบอกว่า ไทฟอยด์นี่เป็นโรคที่ติดจากเชื้อแบคทีเรียค่ะ ชื่อว่า Salmonella Typhi นะคะ อาการของคนที่ได้รับเชื้อโรคนี้เข้าไปนะคะ ก็จะมีอาการไข้สูง เบื่ออาหาร ท้องอืด แน่นท้อง ท้องผูก แล้วในที่สุดก็จะท้องเสียค่ะ ซึ่งอาการนี้สามารถอยู่ได้ถึง 2 - 3 สัปดาห์เลยทีเดียวนะ ทีนี้จากการที่ผู้ป่วยไข้ขึ้นสูงเป็นระยะเวลายาวนานนะคะ ผู้ป่วยบางคนก็จะมีอาการผมร่วงค่ะ ดังนั้นบางคนเค้าก็เลยเรียกโรคไทฟอยด์ว่า ไข้หัวโกร๋นนั่นเองนะคะ โรคไทฟอยด์นี่จริง ๆ ก็สามารถหายได้เอง ในประมาณ 2 - 3 สัปดาห์นะคะ ถ้าประคองอาการไปเรื่อย ๆ แต่อย่างไรก็ตามด้วยความที่ในสมัยก่อน เทคโนโลยีไม่ได้สูงขนาดนั้น การประคองอาการอะไรต่าง ๆ ก็อาจจะมีโรคแทรกซ้อนได้ ประกอบกับไข้สูง อ่อนเพลีย ท้องเสียนะคะ ดังนั้นก็เลยมีโอกาสเสียชีวิตค่อนข้างมากค่ะ แล้วถามว่าโรคไทฟอยด์เนี่ยเค้าติดต่อกันยังไงนะคะ ก็ต้องบอกว่าติดต่อกันผ่านการกินค่ะ แล้วกินอะไร สิ่งที่กินนะคะก็คือ ปัสสาวะ และอุจจาระ ที่ติดเชื้อโรคนั่นเอง หลายคนฟังแบบนี้ก็แบบ จะบ้าเหรอ ใครจะไปกิน นอกจากกระสือ มันไม่มีทางติดกันหรอก แต่ขอบอกเลยว่าบางทีมันติดค่ะ เพราะว่าเรากินเข้าไปผ่านการปนเปื้อนนั่นเองนะคะ คือบางคนเข้าห้องน้ำในสมัยก่อนก็ไปเข้าที่ทุ่งอะไรต่าง ๆ ไม่ได้มีห้องน้ำแบบระบบปิดแบบปัจจุบันนะคะ เสร็จปุ๊บ คนถัดไปไปเข้าต่อ อะ ล้างมือไม่ล้างมือ มาจับอาหารกิน บางทีก็มีแมลงวันไปเกาะสิ่งปฏิกูลเหล่านั้น แล้วก็มาเกาะอาหารที่เรากิน ก็ทำให้เราสามารถติดโรคได้เหมือนกันค่ะ เรียกได้ว่าสยองมากเลยทีเดียวนะคะ และโรคไทฟอยด์เนี่ย ถือว่าเป็นโรคนึงที่เก่าแก่มาก ๆ เลยค่ะ นักประวัติศาสตร์นี่บันทึกกันไว้ว่า ไทฟอยด์นี่ติดกันมาหลายต่อหลายครั้งมาก ๆ เลยนะคะ แต่ครั้งสำคัญครั้งนึงเนี่ย ก็ช่วงประมาณ 430 ก่อนคริสตศักราชนะคะ โรคไทฟอยด์เนี่ยเคยระบาดขึ้นมาใน กรุงเอเธนส์ ของอาณาจักรกรีกค่ะ ทีนี้ก็ติดกันเรียกได้ว่าเยอะมาก ๆ นะคะ จนกระทั่งประชากร 1 ใน 3 ของกรุงเอเธนส์ตอนนั้นน่ะ เสียชีวิตเพราะโรคไทฟอยด์นะคะ รวมไปถึงผู้ปกครองในยุคสมัยนั้นด้วย อีกครั้งนึงค่ะ ที่โรคไทฟอยด์ระบาดหนัก ๆ นี่ก็ ช่วงตอนสงครามกลางเมืองอเมริกานะ ตอนนั้นทหารอเมริกานี่ตายไปประมาณ 60,000 คน ด้วยโรคไทฟอยด์ค่ะ ก็เยอะมาก ๆ เลยจริง ๆ และจริง ๆ ก็มีการระบาดอีกหลายครั้งนะคะ แต่ว่าวันนี้วิวอาจจะมาพูดถึงได้ไม่ครบทุกครั้งค่ะ แล้วถามว่าวิวจะมาเล่าเรื่องไทฟอยด์ทำไม ก็ต้องบอกว่าจริง ๆ แล้วไทฟอยด์เนี่ย มันมีบางส่วนที่มัน คล้ายคลึงกับสถานการณ์ Covid-19 ที่เราเจออยู่ในปัจจุบันนี้ค่ะ เพราะว่า โอเค วิธีการติดอาจจะไม่เหมือนกัน แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ ไทฟอยด์เนี่ยสามารถมีพาหะนำโรคได้ค่ะ คือบางคนได้รับเชื้อไทฟอยด์เข้าไปแล้วนะคะ เชื้อแบคทีเรียตัวนี้ไปอาศัยอยู่ในร่างค่ะ แต่ว่าไม่แสดงอาการนะคะ แม้ว่าจะไม่แสดงอาการเนี่ย ก็สามารถไปแพร่เชื้อให้คนอื่นต่อได้ค่ะ ซึ่งในสมัยที่วิวเล่าเนี่ยนะคะ ความรู้ด้านโรคระบาดเนี่ย มันยังไม่ได้ดีขนาดนั้นค่ะ ดังนั้นเนี่ย เรื่องที่ว่าการเป็นพาหะแต่ไม่แสดงอาการเนี่ย มันยังเป็นแค่ทฤษฎีอยู่นะคะ ก็เลยทำให้บางคนค่ะ ที่ติดโรคนี้แล้วเป็นพาหะนำโรคเนี่ย ไปแพร่เชื้อให้คนเต็มไปหมดเลยนะคะ โดยเฉพาะเคสที่วิวจะยกขึ้นมาค่ะ นั่นก็คือเคสของ ไทฟอยด์ แมรี่ (Typhoid Mary) นั่นเอง เรื่องราวที่วิวจะเล่าให้ฟังในวันนี้เกิดขึ้นในฤดูร้อน ปี 1906 ค่ะ ในตอนนั้นเนี่ยนะคะ มีครอบครัวนายธนาคารคนนึง เขาชื่อ ชาร์ลส์ เฮนรี่ วอร์เร็น (Charles Henry Warren) นะคะ แน่นอนว่าครอบครัววอร์เร็นเนี่ยนะคะ เป็นครอบครัวที่ค่อนข้างจะมีเงินค่ะ แล้วก็อาศัยอยู่ในนิวยอร์ก (New York) ในช่วงฤดูร้อนเขาก็จะต้องไปพักร้อนใช่มั้ยคะ จะไปพักร้อนธรรมดาก็ไม่ได้ เป็นคนมีฐานะอะนะ เขาก็เลยตัดสินใจไปที่หมู่บ้านนึงค่ะ ชื่อว่า Oyster Bay, Long Island นะคะ ที่นั่นเนี่ย เขาก็ไปเช่าบ้านพักตากอากาศสุดหรูหลังนึงอยู่ค่ะ แล้วก็ตั้งใจจะไปพักร้อนกันเป็นระยะเวลาค่อนข้างยาวเนอะ ดังนั้น การไปพักร้อนเนี่ยจะไปแต่ครอบครัวตัวเอง ก็ไม่สบายเท่าไหร่ เขาก็เลยต้องมีการจ้างคนสวน จ้างแม่บ้าน จ้างคนทำครัวอะไรต่าง ๆ มานะคะ เพื่ออำนวยความสะดวกค่ะ ทีนี้หลังจากที่ครอบครัวนี้อาศัยอยู่ ในบ้านหลังนี้มาสักระยะเวลานึง อยู่ดี ๆ นะคะในวันที่ 27 สิงหาคมค่ะ ก็เกิดมีคนในบ้านของวอร์เร็นเนี่ย ติดเชื้อไทฟอยด์ขึ้นมานะคะ คนคนนั้นก็คือลูกสาวนั่นเอง หลังจากที่ลูกสาวติดนะคะ เชื้อมันก็เหมือนจะแพร่กระจายค่ะ ก็เริ่มติด ๆ ๆ ๆ ติดกันในบ้านนะคะ เมียของคุณวอร์เร็นเนี่ยก็ติด แม่บ้านก็ติด คนสวนก็ติดนะคะ สรุปแล้วติดกันไปทั้งหมด 11 คนด้วยกันค่ะ ทีนี้ปัญหาคืออะไรคะ ปัญหาก็คือในสมัยนั้นเนี่ย เทคโนโลยีบอกได้แล้วนะว่า โรคไทฟอยด์นี่ติดต่อกันจากอะไร เกิดจากสุขอนามัยที่ไม่ดีอะไรต่าง ๆ เช่น น้ำที่ใช้เนี่ยปนเปื้อนอุจจาระ ปัสสาวะ บ้านพักเนี่ยมีปัญหาค่ะ เพราะว่าอะไร เพราะว่าใครจะกล้ามาพักบ้านพักหลังนี้ต่อ ประมาณว่า เฮ้ย! น้ำที่ใช้ในบ้านหลังนี้จะต้องไม่สะอาดแน่ ๆ เลยแก บ่อเกรอะกับน้ำใช้มันอยู่ติดกันรึเปล่า ต่อท่อผิด อะไร แบบน้ำทิ้งน้ำดีปนกันมั่วรึเปล่านะคะ ดังนั้นคุณจอร์จ ทอมป์สัน (George Thompson) ค่ะ ซึ่งเป็นเจ้าของบ้านพักเนี่ยก็เลยรู้สึกว่า ไม่ได้การแล้ว เดี๋ยวค่าเช่าฉันจะตก ใครจะกล้ามาพักบ้านพักสุดหรูของฉัน เดี๋ยวฉันจะเสียผลประโยชน์อะไรต่าง ๆ นะคะ จอร์จ ทอมป์สัน นะคะ ก็เลยตัดสินใจไปจ้างอาชีพนึงมาค่ะ นั่นก็คือ นักสืบสวนโรคนั่นเอง เขาเนี่ยจะมีหน้าที่ประมาณเหมือนนักสืบ จะเข้ามาที่บ้านแล้วก็มาสืบสวนโรคต่าง ๆ ค่ะ ประมาณว่า เอ จากการที่มีคนติดโรคในบ้านนี้ น่าจะเป็นจากอะไรนะ ไหนไปดูท่อน้ำทิ้งหน่อยซิ ท่อน้ำทิ้งเป็นท่อน้ำดีต่อดีรึเปล่า อะ ก็ต่อดีนี่ อะไรอย่างนี้ต่าง ๆ นะคะ จ้างมาคนแรกก็ยังไม่ได้ผลเท่าไหร่ค่ะ สืบหาโรคไม่เจอนะคะ ดังนั้น เขาก็เลยไปจ้างอีกคนนึงค่ะ ซึ่งเป็นแบบมือฉกาจเลย เป็นแบบผู้เชี่ยวชาญด้านการสืบโรคไทฟอยด์นะคะ ซึ่งเขาเนี่ยเคยมีประสบการณ์สืบโรคไทฟอยด์มาก่อนแล้ว คนคนนี้ชื่อว่า จอร์จ โซเปอร์ (Dr.George A. Soper) ค่ะ โซเปอร์เนี่ยนะคะ เข้ามาที่บ้านก็ทำตัวเหมือนเป็นนักสืบเลยค่ะ ความโคนันเข้าสิงนะ ก็ไปดูท่อต่าง ๆ เอ ปั๊มน้ำสะอาดไหม บ่อน้ำของบ้านสะอาดรึเปล่า เอ ในบ้านบ่อกร่งบ่อเกรอะอะไรมันก็ดูถูกสุขอนามัยหมดนี่นา ดูแปลกจังเลย เพราะว่าปกติเนี่ยโรคไทฟอยด์มันจะไม่ติดกันในย่านไฮโซ เพราะว่ามันจะไปติดกันในพวกแบบคนจนที่สุขอนามัยไม่ดีไง ดังนั้นนะคะ โซเปอร์ก็สืบต่อไปเรื่อย ๆ ค่ะ เอ๊ หรือว่ามาจากคนที่เดินผ่านกันเมื่อวานตอนเช้า อะ ไม่ใช่ กลับมานะคะ นั่นพี่บี้ค่ะ และมุกนี้ซ้ำ ไม่ควรไปเล่นกับเขานะ กลับมา ๆ โซเปอร์ เนี่ยนะคะก็ไปสืบโรคต่อค่ะว่า เอ๊ คนที่มาส่งนมที่บ้านเนี่ย นมปนเปื้อนรึเปล่า อะ ก็ไม่ใช่ สืบไปจนถึงในเมืองเลยนะว่าแบบ เอ พวกของสดที่ส่งเข้ามาในบ้านหลังนี้ ที่ร้านขายอาหารทะเลอะไรต่าง ๆ มีเชื้อปนเปื้อนไหม สืบยังไงก็สืบไม่เจอนะคะ ดังนั้น โซเปอร์ ก็เลยเปลี่ยนวิธีค่ะ ไล่สัมภาษณ์ทุกคนในบ้านแทน ประมาณว่า ไหนวันนี้ไปกินอะไรมาบ้าง ก่อนกินล้างมือไหม อะไรต่าง ๆ นะคะ ก็ถาม ๆ ๆ ๆ ไปเรื่อย ๆ ค่ะ สืบไปสืบมาปรากฏว่า โซเปอร์เจอสิ่งนึงที่หายไป จากทุกคนในบ้านนะคะ ทั้งสมาชิกของครอบครัว รวมไปถึงคนใช้ คนสวนอะไรต่าง ๆ มีคนนึงหายตัวไปค่ะ นั่นก็คือ แม่ครัว นั่นเอง ซึ่งอยู่ดี ๆ แม่ครัวคนนี้ก็ลาออกไปนะคะ ตอนประมาณ 3 อาทิตย์ค่ะ หลังจากที่โรคไทฟอยด์เริ่มระบาดเข้ามาในบ้านหลังนี้นะคะ แม่ครัวคนนี้นะคะชื่อว่า แมรี่ มาล์ลอน (Mary Mallon) ค่ะ เป็นชาวไอร์แลนด์นะคะ เกิดเมื่อวันที่ 23 กันยายน ปี 1869 ค่ะ แล้วก็เป็นชาว Cookstown ไอร์แลนด์นะ ที่เป็นแหล่งเสื่อมโทรม แหล่งยากจนสุด ๆ ของไอร์แลนด์เลยค่ะ ซึ่ง แมรี่ มาล์ลอน เนี่ยนะคะ ก็ตามเทรนด์ค่ะ ในช่วงเวลานั้นเนี่ย สหรัฐอเมริกาเป็นเหมือนอู่ข้าวอู่น้ำ ใครอยากร่ำรวยก็มาทำงานที่นี่ แมรี่ มาล์ลอน ในฐานะแรงงาน จากเมืองที่ค่อนข้างจะยากจนเนี่ยนะคะ ก็เลยอพยพมาที่อเมริกาค่ะ มาอยู่ที่นิวยอร์กนะคะ มาทำงาน ตั้งแต่ปี 1884 ตอนที่เธออายุได้ 15 ปีค่ะ มาถึงนี่ก็เริ่มจากการเป็นแรงงานน่ะนะ ต้องทำงานบ้านอะไรต่าง ๆ ซักรีดนู่นนี่นั่น จนกระทั่งในที่สุดนะคะ เธอก็ค้นพบว่า เฮ้ย ฉันมีความสามารถด้านการทำกับข้าวจ้า และที่สำคัญตำแหน่งแม่ครัวเนี่ย เป็นตำแหน่งที่ได้เงินค่าจ้างแพงกว่าตำแหน่งอื่น ดังนั้น แมรี่ มาล์ลอน นะคะ ก็เลยทำอาชีพเป็นแม่ครัวมาเรื่อย ๆ ค่ะ และในที่สุดก็โดนจ้างมาเป็นแม่ครัวของบ้านวอร์เร็นเนี่ยล่ะค่ะ ทีนี้พอโซเปอร์รู้แบบนี้นะคะว่า เออ มันมีแม่ครัวคนนึงมาจากย่านเสื่อมโทรม แล้วก็หายตัวไปด้วย โซเปอร์เนี่ยนะคะก็เลยไปสืบประวัติของแมรี่ค่ะ ประมาณว่า เอ๊! แมรี่นี่ไปทำงานที่ไหน อะไรยังไงมาบ้างนะคะ หลังจากที่ไปสืบประวัติค่ะ โซเปอร์ตกใจมากนะคะ เพราะว่าแมรี่เนี่ยไปทำงานเป็นแม่ครัวมาหลายบ้านแล้วนะ จากบ้านต่าง ๆ ที่แมรี่ไปทำงานเนี่ยนะคะ ประมาณ 7 - 8 บ้านเนี่ย มีคนป่วยเป็นโรคไทฟอยด์ค่ะ ป่วยไปแล้วทั้งหมด 20 คนนะคะ แล้วก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เด็กผู้หญิงคนนึงตายไปแล้วนะคะ ดังนั้น โซเปอร์ก็เลยคิดว่า แมรี่นี่แหละจะต้องเป็นคนแพร่เชื้อแน่ ๆ และมันก็มีทฤษฎีมาจากเยอรมัน ซึ่งเป็นทฤษฎีใหม่ในช่วงนั้นว่า มันจะมีพาหะโรคไทฟอยด์นะ ที่ไม่แสดงอาการ หรือว่าแมรี่จะเป็นเคสนี้นะ จะเป็นเคสแรกในสหรัฐอเมริการึเปล่า ซึ่งบริเวณต่าง ๆ ที่แมรี่ไปทำงานเนี่ยนะคะ มันก็คือบริเวณนิวยอร์ก กับ ลองไอส์แลนด์ (Long Island) ค่ะ ถามว่าแถวนั้นเป็นยังไง แถวนั้นเนี่ยเป็นย่านคนรวย ไม่น่าจะมีโอกาสที่ไทฟอยด์จะมาระบาดได้เลยนะ และทุกบ้านก็มีจุดร่วมกันก็คือ มีแมรี่เป็นแม่ครัวค่ะ โซเปอร์ก็พยายามจะจินตนาการต่อนะคะ ประมาณว่า เอ๊ มีจุดไหนที่แมรี่น่าจะแพร่เชื้อได้บ้างนะ เพราะว่าอาหารทุกจานที่แมรี่เสิร์ฟเนี่ย ต่อให้มันมีเชื้อ แต่ว่าเป็นแม่ครัวมันก็ต้องผ่านความร้อน มันไม่น่าจะทำให้ติดต่อกันได้นี่นา สืบไปสืบมาก็ค้นพบว่า แมรี่นี่มีจานเด็ดอยู่จานนึงนะคะ ที่จะเสิร์ฟทุกวันอาทิตย์ค่ะ ถือว่าเป็นโบนัสนิดนึง ทุกคนชอบเมนูนี้มากเพราะอร่อยมากนะคะ เมนูนั้นก็คือ ไอศกรีมพีช นั่นเอง เป็นไอศกรีมนะคะ ที่แมรี่ทำเอง ก็เอาลูกพีชสด ๆ เนี่ยนะคะ หั่น ๆ ๆ ๆ ใส่เข้าไปปั่นกับไอศกรีมค่ะ ทุกคนรู้สึกว่าอร่อยมากนะคะ และเป็นเมนูเดียวที่ไม่ผ่านความร้อนเลย ที่สำคัญตอนหั่นลูกพีชเนี่ย แน่นอนโดนมือแมรี่แน่ ๆ ถ้าแมรี่ไปเข้าห้องน้ำล้างก้นแล้วไม่ล้างมือเนี่ย ยังไงไอ้ที่แมรี่ไปเข้าห้องน้ำมาเนี่ย ปนเปื้อนลงไปในลูกพีชแน่นอนนะคะ โซเปอร์ก็เลยสงสัยว่า ไอ้เมนูนี้นี่แหละ น่าจะเป็นตัวแพร่เชื้อนะ โซเปอร์ก็เลยฟันธงนะคะว่า เอ้อ แมรี่ นี่แหละ น่าจะเป็นคนที่แพร่เชื้อนะ อย่างไรก็ตามนะคะ แม้ว่าหน้าที่ของโซเปอร์จะจบลงแล้ว เพราะเขาจ้างมาแค่มาเช็คบ้าน ว่าบ้านนี้ไม่ได้แพร่เชื้อ อย่างไรก็ดี วิญญาณโคนันเนี่ยสิงร่างโซเปอร์เรียบร้อยแล้วค่ะ โซเปอร์เนี่ยนะคะก็เลยพยายามตามหาตัวแมรี่ค่ะ ประมาณว่า ฉันเคยได้ยินทฤษฎีมาจากเยอรมัน มันเพิ่งค้นพบใหม่ว่า มันมีพาหะนำโรคไทฟอยด์เนี่ยนะ ที่ไม่แสดงอาการ หรือว่าแมรี่จะเป็นคนนั้น นี่จะต้องเป็นเคสแรกในสหรัฐอเมริกาแน่ ๆ ฉันจะต้องไปค้นหาตัวแมรี่ให้เจอ ค่ะ โซเปอร์ก็พยายามค้นหาตัวแมรี่ไปเรื่อย ๆ นะคะ หายังไงก็หาไม่เจอค่ะ จนกระทั่ง เวลาผ่านไปทั้งหมด 6 เดือนด้วยกันนะคะ โซเปอร์ก็ได้ยินข่าวค่ะว่า เฮ้ย มีโรคไทฟอยด์ระบาดอีกแล้วจ้า ระบาดอยู่ที่ปาร์ก อะเวนิว (Park Avenue) นะคะ ซึ่งตรงนั้นเนี่ย เป็นย่านไฮโซมาก ไม่มีทางหรอกที่โรคไทฟอยด์จะไประบาด โซเปอร์ก็เลยวิ่งไปเช็คเลยนะคะ ไปถึงเจออะไร เจอแม่ครัวเนี่ย เป็นแมรี่ มาล์ลอนค่ะ โซเปอร์ก็เลยฟันธงเลยประมาณว่า โอ้โห ฉันเจอแล้วแมรี่่ เธอนี่แหละตัวแพร่ไทฟอยด์แน่ ๆ โซเปอร์ก็เลยเข้าไปหาแมรี่นะคะ แล้วก็บอกว่า แมรี่ มาล์ลอน คือเราสงสัยว่าเธอเนี่ย น่าจะเป็นพาหะนำโรคระบาด ก็คือโรคไทฟอยด์นั่นเอง เราขอเก็บตัวอย่างฉี่กับอึของเธอไปตรวจได้ไหม ซึ่งถามว่าแมรี่ตอนนั้นรู้สึกยังไง ทุกคน นึกสภาพว่าในสมัยนั้นน่ะ คอนเซปต์ของการเป็นพาหะนำโรค ไม่มี ไม่มีใครรู้ โดยเฉพาะแมรี่ซึ่งเป็นคนที่แบบ ชนชั้นล่าง ไม่มีความรู้ใด ๆ ตัวเองก็ไม่ได้ป่วยอะไร รู้สึกว่าฉันก็แข็งแรงดี อยู่มาได้ตั้งหลายปี อยู่ดีๆ มีผู้ชายเดินเข้ามาบอกว่าขอเก็บอึกับฉี่เธอไปตรวจได้ไหม เพราะฉันเชื่อว่าเธอเป็นตัวเชื้อโรค แมรี่นี่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟเลยนะคะ ประมาณว่า นี่ มาดูถูกกันใช่ไหม เพราะว่าตอนนั้นน่ะ มันมีกระแสเหยียดชาวต่างชาติอยู่แล้วในสหรัฐอเมริกา ประมาณว่า เป็นชาวไอร์แลนด์ เป็นแรงงานชั้นต่ำ อพยพมา แรงงานอพยพ เหยียด ๆ ๆ ๆ แมรี่นี่คิดว่าโซเปอร์มาเหยียดตัวเองนะคะ ดังนั้น แมรี่ก็เลยคว้าส้อมทำอาหารอันใหญ่ ๆ ตอนนั้นขึ้นมา แล้วก็บอกว่า ออกไปจากร้านฉันเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่ออกไปเดี๋ยวนี้ มายุ่งกันฉัน หาว่าฉันเป็นตัวเชื้อโรคอีกนะ ฉันเอาส้อมจิ้มจริง ๆ ด้วย กระซวกไส้แตกเลยนะ ซึ่งถามว่าโซเปอร์กลัวไหม กลัวนะคะ โซเปอร์ก็เลยจากไปค่ะ แต่เขาไม่ได้จากไปเปล่า เขาจากไปแจ้งอนามัยของนิวยอร์กนะคะ ประมาณว่า เฮ้ย ฉันคิดว่าฉันเจอต้นเหตุโรคระบาด ลองไปตรวจเช็คสิ่งนี้กันเถอะ บังเอิญว่า โซเปอร์เนี่ยนะคะไปแจ้งถูกคนค่ะ ไปแจ้งโดนเจ้าหน้าที่คนนึงชื่อว่า เบเกอร์ นะคะ บังเอิญว่าพ่อเจ้าหน้าที่เบเกอร์เนี่ยก็ตายเพราะโรคไทฟอยด์ค่ะ เจ้าหน้าที่เบเกอร์ก็เลยอินกับเรื่องนี้เป็นพิเศษนะคะ ก็เลยมาค่ะ มาหาแมรี่นะคะ บอกว่า แมรี่ขอร้องเถอะ ในฐานะที่พ่อฉันตายด้วยโรคไทฟอยด์นะ ฉันขอตัวอย่างเธอไปตรวจหน่อยเถอะ ว่าเธอเป็นคนแพร่เชื้อจริง ๆ รึเปล่านะ ได้โปรด พลีส ๆ ๆ นะคะ ถามว่าแมรี่ยอมไหม แมรี่แบบไม่ยอมค่ะ แล้วก็วิ่งหนีไปเลย ประมาณว่าแบบ ไม่! อย่ามาจับฉัน เพราะว่าอะไร เพราะว่าเบเกอร์ไม่ได้มามือเปล่า คราวนี้นะคะ โซเปอร์ เบเกอร์ มาพร้อมกับตำรวจ 5 คนค่ะ และหลังจากนั้นการเล่นวิ่งไล่จับก็เกิดขึ้นนะคะ ก็มีการวิ่งไล่จับกันต่าง ๆ จนกระทั่งแมรี่เนี่ยนะคะ ไปซ่อนตัวอยู่ที่นึงค่ะ แต่ว่ารู้ไหมทำไมเขาเจอ เพราะว่าชุดของแมรี่เนี่ยนะคะ ดันไปเกี่ยวกับมุมนึงเข้าค่ะ แล้วชุดมันก็ขาด เป็นเหมือนแบบเศษผ้าตกอยู่ ดังนั้น พวกตำรวจ โซเปอร์ แล้วก็เบเกอร์ ก็เลย ไปเจอตัวแมรี่ได้นะคะ พอเจอตัวก็จับล็อกมาเลยค่ะ เอาไปไว้ที่เกาะแห่งนึง ซึ่งเป็นเกาะกักกันโรคระบาดค่ะ ชื่อว่า The North Brother Island นะคะ เป็นเกาะเล็ก ๆ เกาะนึง ไปถึงเนี่ยนะคะ แมรี่ก็โดนบังคับค่ะ ให้จับตรวจตัวอย่างอุจจาระ ปัสสาวะอะไรต่าง ๆ ตรวจไปครั้งแรก เอ้า ไม่เจอ ตรวจครั้งที่สอง ไม่เจอ ตรวจครั้งที่สาม บังเอิญว่าเจอนะคะ เจอว่าแมรี่เนี่ย มีเชื้อของไทฟอยด์อยู่ในตัวจริง ๆ ดังนั้น แมรี่ก็เลยโดนจับขังไว้ในเกาะแห่งนั้น เพื่อกักกันโรคค่ะ เพราะว่าในสมัยนั้นก็ยังรักษาไม่ได้ไง ก็ไม่รู้ว่าจะรักษายังไง คือถ้าเป็นไทฟอยด์ปกติก็รักษาตามอาการ แต่นี่มันไม่มีอาการไง ดังนั้น แมรี่ก็โดนขังไว้ตรงนั้นเรื่อย ๆ ค่ะ ซึ่งถามว่าระหว่างเวลาที่โดนขังเนี่ย แมรี่รู้สึกโอเคไหม แมรี่ไม่โอเคนะคะ แมรี่รู้สึกว่าทำไมฉันต้องโดนขังด้วย คือ ฉันก็ไม่ได้เป็นอะไร ฉันไม่เข้าใจ มาบอกว่าฉันเป็นตัวเชื้อโรค พาหะนำโรค ฉันไม่ได้เป็นอะไร ดังนั้น แมรี่ก็เลยจัดการเขียนจดหมายมากมายเลยนะคะ ออกมาจากแดนกักกันค่ะ แล้วก็รู้สึกว่าแบบ ทำไมฉันต้องมาอยู่เหมือนเป็นนักโทษ อะไรต่าง ๆ เขียนออกไป เขียน ๆ ๆ ๆ นะคะ เล่าถึงความอยุติธรรมที่ตัวเองได้รับค่ะ รวมไปถึงแมรี่นี่ก็มีการฟ้องด้วยนะ ฟ้องร้องศาลเลย ประมาณว่า คุณมาจำกัดสิทธิเสรีภาพฉันไม่ได้ อะไรต่าง ๆ นะคะ และถามว่าเรื่องนี้จะเป็นที่สนใจของนักข่าวไหม แน่นอนนะคะ เรื่องนี้มีตั้งหลายประเด็นที่นักข่าวจะสนใจ 1. เรื่องของตัวเชื้อโรคที่เป็นคนแพร่เชื้อให้คนไปทั่ว 2. เรื่องของผู้หญิงที่ไม่ได้เป็นอะไร แต่โดนจำกัดอิสรภาพ แล้วก็ไม่ได้รู้ว่าเมื่อไหร่จะโดนปล่อยออกมา ดังนั้น นักข่าวนะคะก็ขุดคุ้ยเรื่องนี้กันใหญ่โตเลยค่ะ จนกระทั่งปี 1909 นะคะ หนังสือพิมพ์ The New York American เนี่ย ก็ให้ฉายาแมรี่ค่ะว่า ไทฟอยด์ แมรี่ (Typhoid Mary) นะคะ และชื่อนี้ก็ติดตัวแมรี่มาตั้งแต่นั้นเลย ทุกคนก็เรียกตามหนังสือพิมพ์ อารมณ์คล้าย ๆ คลิปที่วิวเคยทำเล่าเรื่องชื่อคนที่กลายเป็นคำด่า นึกออกปะ พอมันเป็นชื่อในหนังสือพิมพ์แล้ว บางทีมันก็ติดตัวไป แล้วก็แก้ไม่ได้ ประมาณนั้นเลยค่ะ นอกจากจะได้ชื่อใหม่แล้วเนี่ย แมรี่ก็มีการ์ตูนล้อของตัวเองด้วยนะ ก็เป็นการ์ตูนภาพแมรี่ แพร่เชื้ออะไรต่าง ๆ ซึ่งกลายเป็นกระแสไวรัลหนักมากนะคะ คนก็จำภาพนั้นไปเลย แมรี่นี่ก็ฟ้อง แล้วก็ยื้อยุดฉุดกระชาก กับสถานที่กักกันมาอยู่หลายปีด้วยกันนะคะ แม้ว่าจะพยายามฟ้องศาลขนาดไหนนะ ศาลก็ตัดสินบอกว่า แมรี่ไม่ควรจะได้รับอิสรภาพ เพราะว่าเธอจะไปแพร่เชื้อให้คนอื่น คนอื่นก็มีสิทธิเสรีภาพที่จะไม่ได้รับเชื้อเหมือนกันนะคะ อย่างไรก็ตามนะคะ ในปี 1910 ค่ะ หลังจากที่แมรี่โดนกักกันโรคอยู่ทั้งหมด 3 ปีนะคะ ผู้อำนวยการศูนย์กักกันโรค อะไรอย่างนี้ มันก็มีการเปลี่ยนตัว แล้วก็เปลี่ยนนโยบายค่ะ ก็เหมือนกับว่าเชื่อใจแมรี่มากขึ้นนะ ก็เลยให้แมรี่เนี่ยสาบานค่ะ ประมาณว่า แมรี่ ในเมื่อเธอไม่มีอาการ เธอไม่มีอะไรต่าง ๆ เนี่ย เธอสาบานได้ไหมว่า ถ้าฉันปล่อยเธอออกไป เธอจะเลิกเป็นแม่ครัวนะ แล้วเธอไปทำอาชีพอื่น อยากไปทำอะไรก็ไปทำ แต่อย่าทำอาหาร เพราะเธอจะไปแพร่เชื้อต่อ ถามว่าแมรี่โดนขังมา 3 ปี ยอมไหม แมรี่ก็บอกว่า ได้จ้า โอเคจ้า จะไม่ทำอาหารอีกแล้วจ้า ปล่อยฉันออกไปเถอะจ้ะ เหมือนว่าจะจบคดีนะคะ เรื่องราวของแมรี่ มาล์ลอน ปิดคดีได้เรียบร้อย ไม่มีอะไรเกิดขึ้นนะคะ แต่มันไม่จบค่ะ เพราะว่า 5 ปีถัดมานะคะ ที่โรงพยาบาล Sloane Maternity Hospital เนี่ยนะคะ อยู่ดี ๆ ก็มีเคสไทฟอยด์ระบาดขึ้นมาอีกรอบนึงค่ะ และเฉพาะที่โรงพยาบาลนี้โรงพยาบาลเดียวเนี่ยนะ มีคนติดไปทั้งหมด 25 คนด้วยกันค่ะ ดังนั้น โรงพยาบาลนี้ก็เลยตัดสินใจว่า เอ๊ โรงพยาบาลฉัน สุขอนามัยก็ดีนะ มันมีอะไรตรงไหนที่มันผิดปกติ ก็เลยไปจ้างคนที่เชี่ยวชาญด้านโรคไทฟอยด์มานะคะ คนคนนั้นก็คือ โซเปอร์ นั่นเองค่ะ โซเปอร์ก็เดินทางมาที่โรงพยาบาลนี้นะคะ แล้วก็มาเช็คนู่นเช็คนี่ตามปกติค่ะ เช็คไปเช็คมา ไปเจอหน้าแม่ครัวค่ะ เห็นหน้าปุ๊บ แบบ เฮ้ย! เธอไม่ใช่มิสซิสบราวน์ (Mrs.Brown) เธอคือ แมรี่ มาล์ลอน เธอกลับมาเป็นแม่ครัวอีกแล้วเหรอ คือเดาว่านะคะ 5 ปีที่ผ่านมาเนี่ย ตอนออกจากสถานที่กักกันใหม่ ๆ แมรี่ มาล์ลอน ก็น่าจะไปทำอาชีพอื่นแหละค่ะ ไปซักรีด ไปนู่นไปนี่ แต่ว่า เงินมันไม่ดีไงทุกคน เข้าใจไหม อาชีพแม่ครัวมันเป็นอาชีพที่เงินดีที่สุด แล้วแมรี่ มาล์ลอน ก็มีความสามารถจริง ๆ ดังนั้น อยู่ดี ๆ เจ๊แกก็เลยเปลี่ยนชื่อเป็น มิสซิสบราวน์ แล้วก็ไปเป็นแม่ครัวอีกรอบนึงซะอย่างงั้นนะคะ แล้วถามว่าระหว่างนั้นไปเป็นแม่ครัวที่ไหน ก็ไปเป็นแม่ครัวที่ นิวเจอร์ซีย์ นิวยอร์ก อะไรต่าง ๆ ทำอาหารให้กับร้านอาหารในโรงละครบรอดเวย์ คนเป็นร้อยเป็นพัน สปา โรงพยาบาล ร้านอาหาร โรงแรมอะไร โอ้โห เจ๊แกนี่เป็นแม่ครัวไปทั่วเลยนะคะ คือถ้าสมมติว่าเริ่มสงสัยว่ามีคนจำตัวเองได้ เจ๊แกก็จะลาออกจากงาน แล้วก็ไปทำงานที่อื่น ๆ ๆ ด้วยความเชื่อที่ว่า ฉันไม่ได้เป็นอะไร ฉันไม่ได้เป็นโรค จะมาหาว่าฉันเป็นตัวแพร่โรคไม่ได้ นะคะ พอโซเปอร์เห็นอย่างนั้น โซเปอร์แบบ โอ๊ย! แมรี่ เธออีกแล้ว ทำไมเธอถึงต้องกลับมาเป็นแม่ครัวด้วยนะ เธอรู้ไหม ที่ฉันไปสืบ ๆ มาเนี่ย ว่าเธอไปทำงานที่นั่นที่นี่มาเนี่ย เอาเท่าที่สืบได้นะ ไม่เอาเคสที่สืบไม่ได้เนี่ย มีคนติดไทฟอยด์เพราะเธอไปอีก 51 คน และมีคนตายไป 3 คน แมรี่ เธออยู่อย่างนี้ไม่ได้แล้ว สุดท้ายนะคะ แมรี่ มาล์ลอน ก็เลยจะต้อง โดนจับกลับไปที่สถานกักกันโรคที่เดิมค่ะ แล้วก็โดนกักอยู่ที่นั่นทั้งหมด 23 ปีนะคะ จนกระทั่งเสียชีวิตในปี 1938 ในที่สุดค่ะ ซึ่งเอาจริง ๆ นะ จนถึงวันที่แมรี่ตายเนี่ย เจ๊แกก็ไม่เข้าใจเลยนะว่าตัวเองเป็นพาหะนำโรคอะไรต่าง ๆ ก็ยังคิดแต่ว่า ฉันไม่ผิด ฉันไม่มีอาการ ฉันจะป่วยได้ยังไง ฉันจะไปแพร่เชื้อโรคให้ได้ยังไง เธอน่ะเหยียดคนไอร์แลนด์ อย่ามาหาว่าฉันเป็นตัวแพร่เชื้อโรคนะ ประมาณนี้ค่ะ ซึ่งเอาจริง ๆ เนี่ย แมรี่ก็ไม่ใช่คนที่แพร่เชื้อโรคมากที่สุดหรอกค่ะ มันยังมีอีกหลายเคสที่แพร่เชื้อมากกว่าแมรี่มาก ๆ เลย อย่างเช่นในปี 1922 นะคะ ก็มีผู้ชายคนนึงชื่อว่า โทนี่ ลาเบลลา (Tony Labella) นะคะ เขาเป็นชาวนิวยอร์ก คนนี้นี่ก็เป็นพาหะนำโรคที่ไม่แสดงอาการเหมือนกัน แล้วก็แพร่เชื้อไทฟอยด์ให้คนอื่นไปถึงประมาณ 100 คน มีคนตายไปประมาณ 5 คนเลยทีเดียวค่ะ แต่อย่างไรก็ตาม เนื่องจากแมรี่นี่เป็นเคสแรก แมรี่ก็เลยดังที่สุดนะคะ ซึ่งเรื่องนี้ส่งผลอะไรคะ เรื่องนี้ส่งผลให้คำว่า Typhoid Mary เนี่ย กลายเป็นศัพท์ที่ชาวอเมริกันเนี่ยใช้กันนะคะ หมายถึงคนที่แพร่เชื้อให้กับคนอื่น ที่สำคัญนะ เธอดังถึงขนาดที่ว่า การ์ตูนมาร์เวล เนี่ย เวอร์ชันคอมมิกบุ๊กเนี่ยนะ มีตัวละครตัวนึงนะคะที่ชื่อว่า Typhoid Mary นะ เป็นนักฆ่าอะไรอย่างนี้ ประมาณนั้นเลยทีเดียว ก็เรียกได้ว่า ดังมาก ๆ เลยค่ะ แล้วถามว่าเราเนี่ยได้อะไรจากการฟังเรื่องนี้ สิ่งนึงเนี่ยที่โซเปอร์ฝากไว้ หลังจากที่จบเคสทั้งหมดแล้วเนี่ยนะคะ โซเปอร์ก็บอกว่า มันสำคัญมากเลยนะที่เราจะต้องให้ความรู้กับคน เพื่อให้คนเนี่ยเข้าใจเรื่องโรคระบาดมากที่สุด ให้คนเข้าใจว่าการเป็นพาหะนำโรคเนี่ยมันคืออะไรยังไง มันจะได้ไม่มีเคสเหมือน แมรี่ มาล์ลอน อีก ที่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นพาหะนำโรค แล้วก็ไม่เข้าใจว่าพาหะนำโรคนี่คืออะไร ทำให้แพร่เชื้อไปทั่วค่ะ แต่ถามว่าสิ่งที่แพทย์คนอื่น ๆ ได้เรียนรู้อะไรจากเคสนี้นะคะ แพทย์คนอื่น ๆ เนี่ยก็ได้เรียนรู้ว่า เออ จริง ๆ เคสแมรี่เนี่ยไม่ใช่เคสเดียวนะคะ หลังจากแมรี่นี่ก็มีเคสพาหะนำโรคที่ไม่แสดงอาการ ในสหรัฐอเมริกาเนี่ย มากกว่า 400 เคสเกิดขึ้นค่ะ แต่ว่าไม่มีใครเนี่ยโดนกักกันโรคเหมือนแมรี่อีก ไม่มีใครโดนขังจนตายนะคะ เพราะว่ามันเป็นเรื่องของสิทธิมนุษยชนค่ะ แต่สิ่งที่ทำให้เขาสามารถอาศัยอยู่ร่วมกับคนในสังคมได้เนี่ยก็คือ ความรู้นั่นเองนะคะ การให้ความรู้คนว่า เออ ถ้าคุณเป็นพาหะนำโรค คุณก็ต้องกักกันโรคตัวเองนะ คุณเป็นพาหะนำโรคที่เกิดจากอาหารการกิน คุณก็จะต้องไม่เป็นทำอาชีพอะไรที่เกี่ยวกับอาหารการกิน คุณเนี่ยต้องระวังตัวเอง เพื่อที่คุณจะได้ไม่ไปแพร่เชื้อให้กับคนอื่น และเมื่อคุณทำแบบนั้นก็จะทำให้ คุณสามารถกลับมาใช้ชีวิตร่วมกับคนในสังคมได้ตามปกติค่ะ เป็นยังไงบ้างทุกคน ฟังเรื่องนี้ไป นึกถึง Covid-19 ในปัจจุบันไหมคะ ส่วนตัววิวเนี่ยนึกถึง Covid-19 ในปัจจุบันมาก ๆ เลยนะว่า เออ มันก็เป็นโรคที่คนที่เป็นพาหะนำโรค ตอนที่มันยังไม่แสดงอาการเนี่ย เราก็ไม่รู้ตัวเหมือนกันค่ะ ว่าเราเนี่ยจะเป็นคนแพร่เชื้อให้คนอื่นเมื่อไหร่อะไรยังไง และเคสนี้ดูเหมือนจะหนักกว่าไทฟอยด์ด้วย เพราะว่าไทฟอยด์มันเป็นเรื่องของอาหารการกิน มันยังระวังได้ แต่ว่า Covid-19 เนี่ย มันมีการแพร่กระจายหลายทางมากนะคะ รวมถึงการแบบ แตะสารคัดหลั่ง การอะไร ซึ่งมันร้ายแรงกว่าไทฟอยด์พอสมควรค่ะ ดังนั้นส่วนตัววิวเนี่ย วิวคิดว่าสิ่งที่ทุกคนทำได้นะคะก็คือ ป้องกันตัวเอง แล้วก็ป้องกันคนอื่นค่ะ ด้วยการดูว่าเราเนี่ยมีโอกาสเสี่ยงที่จะติดโรคไหม ถ้าสมมติว่าเราเนี่ยมีโอกาสเข้าไปในที่ที่มันสุ่มเสี่ยงจะติดโรค มีการไปสัมผัสกับคนที่ติดโรคอะไรต่าง ๆ เราสามารถป้องกันคนอื่น ไม่ให้ติดโรคจากเราไปด้วยได้ รวมถึงทำให้เรามั่นใจในตัวเองได้ด้วยการกักกันโรคตัวเองค่ะ ดังนั้น กฎที่เขาบอกว่าให้กักโรค 14 วันนี่ก็ อย่าไปแหกกฎกันเลยนะทุกคน เอาเป็นว่าช่วงนี้ทุกคนก็พยายาม อย่าไปรวมตัวกันในที่ชุมชนอะไรต่าง ๆ ลองห่างกันซักพักละกันค่ะ เพื่อช่วยให้เจ้าหน้าที่ หมอ พยาบาล อะไรต่าง ๆ เนี่ย เขาลดภาระหน้าที่ลงนะคะ เราจะได้ผ่านพ้นวิกฤตนี้กันไปได้อย่างรวดเร็วค่ะ สำหรับวันนี้ถ้าใครฟังเรื่องนี้ไปนะคะ แล้วมีความเห็นเพิ่มเติมอะไรยังไง ก็คอมเมนต์มาด้านล่างได้เลยค่ะ ส่วนใครชื่นชอบคลิปนี้อย่าลืม กด Like เป็นกำลังใจให้วิว แล้วก็กด Share เพื่อชวนเพื่อน ๆ มาดูด้วยกันค่ะ แล้วพบกันใหม่โอกาสหน้านะคะทุกคน บาย ๆ สวัสดีค่ะ เป็นอีกคลิปนึงนะคะ ที่ตั้งใจจะเล่าสั้น ๆ แต่ว่าสุดท้ายก็ยาวอีกแล้วนะทุกคน แต่ว่าเชื่อว่าเป็นข้อมูลที่น่าจะเป็นประโยชน์กับใครหลาย ๆ คน ดังนั้นฟังเรื่องในอดีตแล้วก็ลองมานึกถึง เรื่องในปัจจุบันของเราเนอะว่า เออมันเหมือนมันต่างอะไรกับในอดีตยังไงค่ะ สำหรับวันนี้ลาไปก่อนนะคะ บาย ๆ สวัสดีค่ะ