-
อรุณสวัสดิ์ สหายธรรมทุกท่าน วันนี้เราจะสื่อสารกันด้วยภาษาอังกฤษ
-
วันนี้เป็นวันที่ 10 มีนาคม พศ 2556
-
และเราอยู่ในห้องประชุมใหญ่เพื่อการภาวนา ห้องStill-water หมู่บ้านพลัม
-
มีกี่ท่านที่จะรับฟังเป็นภาษาอังกฤษได้โดยตรง
-
คนส่วนใหญ่ยกมือ
-
จะมีคนประมาณ 600 ท่านจะมาร่วมงาน French Retreat ในอีกไม่กีวันข้างหน้า
-
ท่าน ไฮ เหงียม ได้นำเสนอ
-
บางหัวข้อ บางสาระสำคัญของการเรียนการสอนและการปฏิบัติเอาไว้
-
ประการแรกคือ
-
"ความสุขเป็นสิ่งที่เป็นไปได้"
-
ประการที่สองคือ "การรักษาเยียวยาเป็นสิ่งที่เป็นไปได้"
-
เนื่องจากคนจำนวนมากต้องการ การเยียวยา
-
คนส่วนมากที่มาที่นี่ มาเพื่อการเยียวยาบำบัด
-
ดังนั้น ทำอย่างไรให้มีชีวิตอยู่อย่างล้ำลึก ในช่วงเวลาชีวิตหนึ่งของเรา
-
อีกแนวคิดหัวข้อหนึ่งคือ "การกลับบ้าน" (การกลับสู่ใจตน)
-
ไม่ต้องเที่ยวไปหาจากที่อื่น แต่คือการกลับบ้าน
-
นี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญ
-
การฝึกฝนตนเอง
-
และก็
-
"การไหลรวมไปเป็นหนึ่งเดียวกับสายน้ำ"
-
ไม่ใช่การเป็นแค่หยดน้ำ
-
นี่เป็นเรื่องที่สำคัญมากสำหรับนักปฏิบัติ
-
เราไม่สามารถฝึกหัดได้จนกว่าเราจะมี กลุ่มคณะสงฆ์
-
และร่วมกับกลุ่มสงฆ์ เราสามารถไหลรวมกันไปเหมือนสายน้ำเดียวกัน
-
ดังนั้น ไม่ใช่แค่ผู้คนที่จะมาร่วมที่ต้องการสิ่งนั้น
-
แต่เป็นเราทั้งหมดที่อยู่ในหมู่บ้านพลัมแห่งนี้ด้วย
-
เราเองก็ต้องฝึกฝนปฏิบัติเช่นเดียวกัน
-
สำหรับสหายผู้ที่กำลังจะมาร่วมงาน
-
เขากำลังจะเข้าร่วมในการเตรียมงาน
-
เขาจะมาช่วยเหลือด้านการปฏิบัติ การชำระล้าง การทำความสะอาดปัดเป่า และอื่นๆ
-
หลายคนเต็มใจทำ
-
เต็มใจช่วยเหลือคณะสงฆ์ในระหว่างช่วงเวลาแห่งความสงบ
-
ดังนั้นเราต้องแสดงให้เห็นถึงการปฏิบัติ การชำระล้าง การทำความสะอาดปัดเป่า อย่างสงบเย็นเป็นสุข
-
เพราะว่านี่เป็นส่วนหนึ่งของการฝึกหัดและเรียนรู้
-
เราควรจะมีตัวอย่างให้ดู
-
เพราะว่าเราเป็นผู้อยู่อาศัยถาวรใต้ร่มบวรศาสนา
-
ผมจะให้มีการซักถามในภาษาฝรั่งเศษสักสามข้อ
-
อาจจะมีบางคนถามบางคนตอบ
-
ดังนั้นจึงมีสามครั้งที่เราจะร่วมกันเป็นหนึ่งเดียว
-
หรือเรียกอีกอย่างว่าเราเป็นเจ้าบ้าน
-
นอกเหนือจากการสนทนาธรรมและการอภิปราย และอื่นๆ
-
หลังจากการเยียวยาบำบัดแล้ว
-
ผมและคณะสงฆ์จำนวนหนึ่งจะบินไปเอเชีย
-
เรามีตารางงานที่แน่นมากในเกาหลี ฮ่องกง
-
และที่ประเทศไทย
-
เพราะว่าคนที่นั่นต้องการเราเป็นอย่างมากในการปรากฏตัวครั้งนี้ เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด
-
เรารู้ว่าการฝึกหัดที่หมู่บ้านพลัม
-
สามารถเห็นได้เป็นสองแง่มุม
-
มุมแรกคือ เราจะตระหนักรู้ถึงความทุกข์ได้อย่างไร
-
และการโอบกอดรับความรู้สึกนั้นไว้ให้ได้
-
การเปลี่ยนมุมมองของเราที่มีต่อทุกข์นั้น และนี่เป็นเรื่องของศิลปะการดำรงชีวิต
-
เพราะการมีชีวิตนั้น เป็นเรื่องที่ต้องเกี่ยวข้องกับความทุกข์และความสุขอยู่ตลอดเวลา
-
เราไม่สามารถหลีกพ้นเรื่องของความทุกข์ได้
-
ดังนั้นเราก็จึงต้องยอมรับว่ามีความทุกข์เกิด เราต้องเรียนรู้วิธีการรับมือกับความเจ็บปวด
-
ซึ่งถ้าเรารู้วิธีการรับมือได้ จะทำให้เรามีความทุกข์น้อยลง
-
และเราก็จะได้เรียนรู้เป็นอย่างมากจากความทุกข์ที่จรเข้ามา
-
และเรารู้วิธีดับทุกข์และใช้ความทุกข์นั้นให้เกิดประโยชน์
-
เพื่อก่อให้เกิดความสุข
-
เหมือนกับวิธีที่เราปลูกดอกบัว
-
ถ้าเราต้องการให้ดอกบัวเบิกบาน เราต้องมีโคลนตม
-
ความเจ็บปวดหรือความทุกข์ก็เหมือนโคลนตมที่เราต้องการ
-
เพื่อให้เราได้ตระหนักรับรู้ถึงความเบิกบานและความสงบสุข
-
สิ่งแรกของการฝึกปฏิบัติคือทำอย่างไรที่จะให้ตระหนักถึงความทุกข์
-
และทำอย่างไรจึงจะโอบกอดความทุกข์นั้นไว้ได้
-
และแปลงร่างทุกข์นั้นใหม่
-
เราจะพูดถึงเรื่องศิลปะแห่งการจัดการกับความทุกข์
-
ดูเหมือนว่า ท่านดาไลลามะ
-
ได้เขียนหนังสือหัวข้อว่า ศิลปะแห่งความสุข
-
เราต้องมีหนังสืออีกเล่มว่า ศิลปะแห่งการเป็นทุกข์
-
เป็นเพราะว่า ถ้าเรารู้วิธีการจัดการกับความทุกข์ เราจะเจ็บปวดน้อยลง
-
และเราก็จะได้เรียนรู้จากมันด้วย เป็นการใช้ประโยชน์จากความทุกข์นั่นเอง
-
สำหรับนักปฏิบัติที่แท้จริงแล้ว เราตระหนักถึงสิ่งนั้นแล้ว
-
เรามีประสบการณ์ตรงในการจัดการกับความทุกข์
-
เราต้องเรียนรู้วิธีการเป็นทุกข์อย่างมีศิลปะ
-
เราต้องสามารถยิ้มได้กับความทุกข์
-
อย่างสงบร่มเย็น
-
เหมือนเรายิ้มให้กับโคลนตม
-
เมื่อเรารู้แล้วว่าทำอย่างไรให้โคลนตมเป็นประโยชน์
-
เพื่อที่จะให้ดอกบัวได้เบิกบาน
-
เจ็บปวดเพียงเล็กน้อย
-
วิธีการจัดการกับความทุกข์ทรมาน
-
ถ้าเรารู้วิธีการจัดการกับความทุกข์เล็ก ๆ น้อยๆ เราก็ไม่ต้องเจ็บปวด
-
มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
-
เรารู้วิธีการจัดการกับความทุกข์ในทุกห้วงขณะที่มันยังเล็ก ๆ อยู่
-
เราควรได้แบ่งปันประสบการณ์การฝึกฝนของเราให้กับผู้ที่เข้ามาร่วมงาน
-
เราไม่ตื่นกลัวกับความเศร้าสร้อยเพียงเล็กน้อย ความเจ็บปวดเพียงเล็กน้อย เพราะเรารู้วิธีการจัดการกับมัน
-
มันเป็นส่วนหนึ่งของการดำรงชีวิตอยู่ในทุกๆ วัน
-
และเมื่อความรู้สึกเจ็บปวดถูกหยุดไว้ได้
-
เราควรเรียนรู้จากมัน โอบกอดมัน
-
ใช้ประโยชน์จากพลังแห่งคณะสงฆ์
-
เพื่อที่จะกอดรับมันไว้
-
ในฐานะนักฝึกฝนมือใหม่
-
เพิ่งเริ่มต้นการฝึก
-
เราอาจจะไม่สามารถจับความรู้สึกเป็นทุกข์ได้ทัน
-
เพราะจิตใจของเรายังไม่พร้อม
-
ไม่เบิกบาน ไม่มีพลังเพียงพอ
-
ดังนั้น เราสามารถหยิบยืมพลังจากความสงบภายในใจมาเป็นเครื่องช่วย
-
พลังจากคณะสงฆ์
-
เพื่อที่จะได้รับรู้และตระหนักในการหยุดความทุกข์ที่มีอยู่ในตัวเรา
-
ความเจ็บปวดเหล่านั้น อาจจะถูกแปลงร่างโดยบิดา
-
มารดา หรือบรรพบุรษของเรา
-
ถ้าเรารู้วิธีการ ที่จะตระหนัก รับรู้ และเปลี่ยนมัน
-
เราก็สามารถทำเผื่อให้กับบิดา มารดา และบรรพบุรุษเราได้
-
เป็นสิ่งดีมากที่เราจะทำให้พ่อแม่ของเรา และเพื่อบรรพบุรุษของเรา
-
และเราจะไม่ต้องส่งต่อความทุกข์นี้ผ่านไปให้ลูกหลาน
-
เป็นการจบสิ้นของวัฏสงสาร
-
ผู้คนมากมาย ที่อ่านหนังสือเกี่ยวกับเรื่องความสงบสุขของหมู่บ้านพลัม
-
ได้ยินได้ฟังเรื่องความสงบ เรื่องพลังของนักบวช แม่ชี
-
เมื่อเขาได้มาที่หมู่บ้านพลัมแล้ว อย่างน้อยได้นั่งคุยกับเรา เดินไปกับเรา
-
เขาสามารถรับรู้ถึงพลังสงบอันนั้น ซึ่งเป็นความจริงที่สามารถสัมผัสได้
-
ไม่ใช่เป็นเพียงแค่เรื่องที่คนพูดถึงกันเฉยๆ
-
เมื่อเราอนุญาติให้ตัวเองได้ตระหนัก
-
ได้เก็บเกี่ยวความรู้สึกถึงพลังแห่งความสงบ
-
ท่านจะรู้สึกดีขึ้นมาก
-
ท่านจะรู้สึกว่า ความทุกข์นั้นได้เริ่มต้นเปลี่ยนแปลง
-
ดังนั้นการเป็นหมู่คณะสงฆ์เป็นเรื่องที่สำคัญมาก
-
พระ แม่ชี นักปฏิบัติ ที่นั่งอยู่รวมกัน
-
เขามาด้วยความสงบ และความตระหนักรู้ของเขาเหล่านั้นก็เป็นสิ่งที่มีพลังมาก
-
ถ้าเรารู้วิธีที่จะนั่งอยู่ร่วมกันท่ามกลางท่านเหล่านั้น
-
เราสามารถขจัดทุกข์ได้ด้วยการตระหนักรู้
-
เราจะเหมือนหยดน้ำหยดหนึ่งที่ไหลหลวมไปกับห้วงมหานที และเราจะรู้สึกดีขึ้นมาก
-
เราไม่ต้องทำอะไรเลย
-
แค่อนุญาติให้ตัวเราเองได้เปิดใจยอมรับ
-
อนุญาติให้ความทุกข์ได้เป็นที่ตระหนัก ด้วยการร่วมภาวนาไปกับคณะสงฆ์
-
นั่นเองเป็นสิ่งยอดเยี่ยมที่สุดที่คณะสงฆ์จะให้ได้กับคนทั่วไปที่มาเข้าร่วม
-
แน่นอนว่าเราต้องเตรียมการหลายอย่าง
-
เพื่อการบำบัดรักษา
-
เราต้องทำหลายสิ่งหลายอย่าง
-
เราได้ชำระล้าง เราได้ทำความสะอาด
-
ได้ปฏิบัติ ได้ทำอีกหลายสิ่งเพื่อการบำบัดรักษา
-
เราสามารถเป็นที่พึ่งให้กับผู้คน
-
เราสามารถช่วยเขาได้
-
สิ่งที่สำคัญที่สุดที่เราจะให้เขาได้
-
สิ่งที่มีค่ามากที่สุดที่จะให้เขาได้
-
ไม่ใช่เรื่องของแรงงาน
-
การทำงานหนัก
-
สิ่งที่ดีที่สุดที่เราจะทำให้ได้นั้น
-
คือการสะสมพลังจิตและความสงบ
-
นั่นเป็นเหตุผลทีว่า ระหว่างที่เรานั่งทำสมาธิ เดินจงกรม
-
เราต้องพยายามให้ถึงที่สุดให้อยู่กับปัจจุบันขณะ
-
เพราะการสะสมการปฏิบัตินั้นจะช่วยให้พวกเขาสงบลง
-
ช่วยให้เขาตระหนักรู้ถึงความทุกข์ที่มีอยู่
-
เพื่อให้เขาได้เดิน ได้นั่ง ได้หายใจ
-
หลายคนยังไม่เคยหายใจอย่างถูกต้อง
-
ไม่เคยเดิน ไม่เคยนั่ง
-
และที่เราจะรวมพลังแห่งการมีสติระลึกรู้
-
ในฐานะของกลุ่มสงฆ์
-
เราสามารถช่วยให้พวกเขามีโอกาส
-
ช่วยให้เขาได้ฝึกหายใจเป็น
-
เดินเป็น นั่งเป็น
-
นี่เป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เราในฐานะสงฆ์จะกระทำได้
-
มันจึงไม่ใช่เรื่องของการใช้แรงงาน
-
แต่เป็นสิ่งที่ดีที่สุดทีเราจะทำให้ได้
-
พลังแห่งความสงบและเบิกบานของนักบวช
-
ผู้คนที่มาร่วมนั้นเป็นคนที่โชคดีมาก
-
เพราะว่าเขาสามารถที่จะจัดการเวลาในชีวิตได้
-
เพื่อมาเข้าร่วมพิธีกับเรา
-
หลายคนอาจจะอยากมา
-
แต่ไม่สามารถมาได้
-
ไม่มีเวลา ไม่มีปัจจัย
-
ดังนั้นคนที่จะมาร่วมนั้น
-
เป็นกลุ่มคนที่โชคดีแล้ว
-
ที่จะได้เข้าร่วมพิธีกับคณะสงฆ์ถึงเจ็ดวัน
-
เราต้องตระหนักในข้อนี้
-
เราต้องพยายามให้ถึงที่สุดที่จะ
-
มอบโอกาสในการเปลี่ยนแปลงชีวิตและบำบัดรักษาจิตใจ
-
ผมจะบอกพวกเขาว่า
-
ในวันแรกของการบำบัด
-
การเยียวยาเป็นสิ่งที่เป็นไปได้
-
ในห้วงขณะที่ได้กระทำทันที
-
มิใช่หลังจากกระทำแต่เป็นขณะที่ได้กระทำ
-
เพราะว่าถ้าเขารู้วิธีการทำตาม
-
การหายใจ การนั่ง การเดิน
-
การบำบัดจะเกิดขึ้นได้ในทุกอิริยาบถ
-
การบำบัดปลดทุกข์สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกลมหายใจ
-
และนี่เป็นสัจธรรมความจริง
-
ไม่มีทางอื่นในการปลดทุกข์ การบำบัดเป็นหนทางเดียว
-
เราต้องบอกเขาว่า เพื่อให้การปลดทุกข์เป็นไปได้ เขาต้องหยุด
-
ถ้าเขาไม่หยุด ก็ไม่มีหวังที่จะได้บำบัดรักษา
-
เขาไม่ได้ชำระจิตใจอะไรเลยถ้าเขาไม่หยุด
-
ดังนั้นการสอนห้าบัญญัติ การมีสติสัมปชัญญะจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก
-
เพื่อให้เกิดการหยุด
-
การกระทำต่างๆ การคิดที่จะก่อให้เกิดการปรุงแต่ง
-
การเป็นผู้ป่วย
-
ความเจ็บป่วย
-
บัญญัติการฝึกห้าประการ ยังเป็นเรื่องของกระบวนการคิดและการกระทำ
-
ที่จะมีผลต่อการบำบัดรักษา
-
ดังนั้นจึงเลี่ยงการฝึกฝนห้าประการนี้ไม่ได้
-
การหยุด เป็นเรื่องที่สำคัญมาก
-
หยุด และ บำบัด
-
นั่นก็เป็นหัวข้อใหญ่ที่เราอยากนำเสนอ ในการสอนที่เกาหลีใต้
-
ถ้าเรารู้วิธีหยุด วิธีการรักษาสามารถเกิดขึ้นได้เลยทันที
-
ในทุกช่วงของการฝึกปฏิบัติ
-
ทุกลมหายใจเข้าออก
-
เราต้องให้เขาเชื่อให้ได้
-
ให้เขาหยุด
-
หยุดในทุกการกระทำทุกอย่างที่ดำเนินไป
-
ที่จะนำไปสู่
-
ความเจ็บปวด
-
ความโกรธเคือง ความผิดหวัง
-
เขาต้องรู้ว่าจะหยุดอะไร
-
เพื่อการบำบัดเยียวยา
-
เราจะเป็นผู้บอกหนทาง
-
เราได้เคยหยุดมาแล้ว
-
และได้เริ่มการบำบัดรักษา
-
เราต้องแบ่งปันประสบการณ์
-
ในขณะที่เราตัดสินใจที่จะหยุดทันที เราจะรู้สึกสงบเบาบาง
-
การบำบัดรักษาก็เกิดขึ้นทันใด
-
เป็นช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยม
-
การตัดสินใจที่จะหยุด
-
แล้วเราก็จะบอกพวกเขาว่า
-
เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ที่จะสร้างปัจจุบันขณะแห่งความสงบร่มเย็นในชีวิตปกติประจำวัน
-
มี
-
ความสุข
-
เล็ก ๆ
-
ที่เราสามารถสร้างได้ในชีวิตประจำวัน
-
เป็นศิลปะ
-
ศิลปะ
-
แห่งความสุข
-
ไม่ว่าท่านจะดื่มชาสักถ้วย
-
หรือท่านจะเดินไปตามทาง หรือนั่งลง และจ้องมอง
-
ท่านสามารถที่จะมีความสุขได้ในทุกช่วงเวลา
-
องค์ประกอบที่จะทำให้เกิดช่วงขณะแห่งความเบิกบาน
-
สามารถสังเกตุได้
-
เรารู้ว่าการมีสติเป็นจุดเริ่มต้นของความสดชื่นเบิกบาน เป็นจุดเริ่มต้นของความสุข
-
ผู้คนชอบบ่นว่า
-
เขาไม่มีความสุข
-
เราต้องสามารถบอกกล่าวแก่เขาได้
-
ว่าเขามีเงื่อนไขในการทำให้ตัวเองมีความสุข
-
เราสามารถช่วยเขาให้จดจำสภาวะแห่งความสุข
-
ดอกไม้ในใจจะเบิกบาน
-
แต่เขาไม่สามารถ
-
พินิจพิจารณา มีความสุขเบิกบาน
-
แสงอาทิตย์สาดส่องอยู่ตรงนั้น
-
ฤดูใบไม้ผลิที่กำลังเข้ามา สิ่งเหล่านี้
-
คือปาฏิหารย์แห่งชีวิต
-
เขาถูกตรึงอยู่ในบางสิ่งบางอย่าง
-
เขาไม่สามารถที่จะ
-
ตระหนักรู้ได้
-
ถึงเงื่อนไขแห่งความสุข
-
เขามีร่างกาย
-
แต่ไม่สามารถเข้าถึงการมีของกายเนื้อได้
-
มันน่าขำ เธอมีร่างกาย แต่เข้าไม่ถึงเนื้อกาย
-
เธอไม่สามารถเข้าถึงบ้านอันเป็นร่างกายของเธอได้
-
เธอไม่สามารถที่จะแตะกายแล้วบอกได้
-
ว่านี่คือกายของฉัน
-
เพราะเขาไม่มีความตื่่นรู้
-
ในขณะที่เขานั่งอยู่ที่หน้าคอมพิวเตอร์
-
เขาลืมว่าเขามีร่างกาย
-
เขาตกอยู่ใน
-
ห้วงแห่ง
-
โลกสมมุติ
-
และนี่คือเหตุผลว่าทำไมหมู่บ้านพลัม
-
พี่น้องผองเรา
-
จึงมีความปรารถนาที่จะปลุกความตื่นรู้หน้าจอคอมพิวเตอร์
-
เพื่อที่ว่าในแต่ละขณะเวลา เราได้คอยเตือน
-
ให้เขาหยุด และกลับไปยังการตระหนักของการมีอยู่ของกาย
-
มีลมหายใจเข้า
-
โดยใช้การมีสติในการหายใจเพื่อที่จะ
-
จดจำได้ว่าเรายังมีร่ายกาย และสามารถรู้ถึงการมีอยู่
-
บางครั้งร่างกายอาจจะร้องเตือนอะไรบางอย่าง
-
แต่เราไม่ได้ยิน
-
กายของเราต้องการให้เราดูแล แต่เราไม่ได้ยิน
-
ถ้าเราสามารถเข้าถึงการมีอยู่ของกายได้
-
เราก็สามารถเข้าถึงความรู้สึกได้ด้วย
-
มีความรู้สึกอยู่หลายอย่างที่เรียกร้องความสนใจจากเรา
-
ความเจ็บปวดทุกข์ทรมานเหมือนเสียงของเด็กน้อยที่เรียกร้องให้เราสนใจ
-
แต่เรากลับเพิกเฉยเสียงเด็กคนนั้น
-
เพราะความรู้สึกทุกอย่างที่เกิดขึ้นเปรียบเหมือนเด็กน้อย
-
ดังนั้นการตื่นรู้จึงช่วยให้เราเข้าถึง
-
ไม่เฉพาะแค่ความทุกข์ แต่เพื่อที่จะเรียนรู้กับมันและเปลี่ยนแปลง
-
สติจะช่วยเราบรรเทาทุกข์
-
ตระหนักรู้ถึงปาฏิหารย์ของชีวิต รวมถึงกายของเรา
-
การหายใจเข้า
-
สามารถเป็นเรื่องที่ชื่นบานได้
-
การหายใจออก ก็เป็นเรื่องที่น่ายินดี
-
เธอสามารถรื่นรมย์กับลมหายใจ
-
ลองนึกภาพพระสงฆ์ที่่นั่งอยู่บนพื้นหญ้า
-
ท่านไม่ได้ทำอะไรเลย แค่หายใจเข้า และเบิกบานกับลมหายใจนั้น แต่ท่านกลับเป็นอิสระ
-
อิสระจากความกังวลทั้งปวง
-
อิสระจากความโกรธเคือง
-
อิสระจากความโหยหา
-
ท่านสามารถตระหนักรู้ถึงการมีอยู่ของร่างกาย
-
และตระหนักรู้ถึงการมีอยู่ของท้องฟ้าสีคราม
-
สีเขียวขจีของใบไม้ ในฤดูใบไม้ผลิที่กำลังย่างกรายเข้ามา
-
เราสามารถฝึกแบบนั้นได้ เพื่อที่จะตักเตือนผู้คนที่จะเข้าร่วมกิจการ
-
เพื่อให้เขาเข้าถึงช่วงขณะแห่งความเป็นสุข
-
เรียนรู้วิธีการมีความรื่นรมย์
-
เรียนรู้วิธีที่จะมีความสุขเบิกบานเล็ก ๆ น้อย ๆ
-
ในกิจกรรมประจำวัน
-
และเป็นเรื่องที่เป็นไปได้
-
มีคนที่มีพรสวรรค์มากมาย
-
ที่ไม่สามารถเรียนหนังสือจนรับปริญญา
-
เขากลับสามารถสร้างสรรค์เครื่องมือเครื่องจักร
-
เขาสามารถทำอะไรได้หลายอย่าง
-
เราจะถามเขาว่า
-
คุณสามารถสร้างสรรค์ห้วงเวลาแห่งความสุขได้หรือไม่
-
คุณสามารถใช้ประโยชน์จากร่างกายได้ไหม
-
คุณใช้ประโยชน์จากลมหายใจได้หรือเปล่า
-
คุณหาประโยชน์จากสติเป็นไหม
-
เพื่อให้เขาได้สร้างขณะแห่งการตื่นรู้
-
สร้างความรู้สึกเป็นสุข
-
เหมือนเรารู้วิธีการ
-
ปรุงอาหาร
-
เพื่อทีจะได้น้ำแกงสักถ้วย เราต้องมีน้ำ มีผัก เต้าหู้ และอื่นๆ
-
หลายคนทำน้ำแกงได้
-
การสร้างความสุขก็เหมือนกัน เหมือนการปรุงน้ำแกง
-
และด้วยเครื่องปรุงต่าง ๆ เราสามารถทำได้
-
สร้างขณะแห่งความเป็นสุข ทั้งสำหรับตัวเองและผู้อื่น
-
เราสามารถยื่นน้ำแกงที่ปรุงแล้วให้ผู้อื่นทาน
-
ถ้าเรารู้วิธีปรุง
-
เราจะสามารถรื่นรมย์กับความเป็นสุข และสามารถหยิบยื่นให้ผู้อื่นได้ด้วย
-
และนี่คือศิลปะ
-
ศิลปะแห่งความเบิกบาน
-
คุณต้องเรียนรู้วิธีที่จะทำให้มีความสุข
-
เราสามารถสร้างสรรค์ได้
-
ความรู้สึกเบิกบานและเป็นสุขนี้ในชีวิตประจำวัน
-
ต้องเรียนรู้วิธีรักษามันไว้
-
ความสุขเล็ก ๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวัน
-
และสร้างมันขึ้นมา
-
และเรารู้
-
วิธีที่จะหยุด
-
หยุดความคิดที่ฟุ้งซ่าน
-
เพื่อที่จะจดจ่อ
-
ถ้าไม่สามารถหยุดความคิดฟุ้งซ่านได้
-
เราไม่สามารถเบิกบานกับอะไรได้เลย
-
เพราะจะมีเสียงเห่าหอนก้องไปมาอยู่ในหัวของเราตลอดวัน
-
คิดถึงอดีตที่ผ่านไปแล้ว
-
นั่งกลัวถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึง
-
และความคิดก็ฟุ้งซ่านไปมา
-
และมันก็ครอบครองจิตวิญญาณของเราไป
-
เราจึงไม่มีเวลามากนักในการมีชีวิตอยู่
-
เป็นเรื่องสำคัญนะ
-
ที่จะหยุดสัญญาสังขารปรุงแต่งเหล่านั้น
-
หยุดคิด
-
เพราะนั่นเป็นการฝึกจิต
-
เป็นการฝึกตรึกตรองจดจ่อ
-
จิตเราเสวยความทุกข์เพราะคิดครั้งแล้วครั้งเล่า
-
ความทรมาน
-
ความกังวล และนั่นเป็นสิ่งที่ไม่ดีต่อสุขภาพร่างกาย
-
ดังนั้นเราต้องช่วย
-
เพื่อไม่ให้เขาครุ่นคิดต่อ
-
นี่เป็นเรื่องของ
-
สาระสำคัญหรือส่วนประกอบการปรุง
-
การทำให้เกิดสติ
-
ในการมีสติระลึกรู้เราจะเห็นความทุกข์
-
ความเสียใจ ความทรมาน
-
เราต้องปลุกให้ตื่น
-
ปลุกจิตสำนึกให้ตื่น ปลุกแล้วปลุกอีกเฝ้าปลุกอยู่อย่างนั้น
-
นี่เป็นเรื่องไม่ดี
-
เป็นอาหารขยะแก่จิตใจ
-
ต้องหยุด
-
การชำระจิตเป็นเรื่องที่สำคัญในการฝึก
-
มันน่าขำ
-
ที่หมู่บ้านพลัมเราไม่อนุญาติให้ดื่มเหล้า
-
กินเนื้อ แต่เราแนะนำให้หยุดพูด หยุดคิดอีกด้วย
-
เพราะในระหว่างที่เราเดิน ถ้าเราพูด หรือคิด
-
เราก็ยังปล่อยให้ความคิดวิ่งไปมา
-
สุดท้ายเราก็เป็นเหยื่อความคิด
-
เป็นเหยื่อของอดีต ของอนาคต ของความกังวล
-
เราไม่ได้อยู่กับปัจจุบัน
-
เพื่อให้เรามีชีวิตอยู่จริงๆ เราต้องหยุดความคิดข้างใน
-
ถ้าอย่างนั้นแล้ว เราจะเบิกบานในขั้นตอนได้อย่างไร
-
ถ้าเรายังยอมให้ความคิดเกิด
-
นั้นเป็นเรื่องสำคัญมาก ที่จะหยุดคิด
-
แต่ให้รู้สึก
-
มากกว่าที่จะคิด
-
เราสามารถรับรู้ถึงพื้นสัมผัสเมื่อเราก้าวเดิน
-
เราต้องรู้สึกได้
-
และความรู้สึกสามารถนำมาซึ่งความตระหนักรู้
-
เราเพ่งเห็นถึงความรู้สึก
-
ว่าเรากำลังเหยียบอยู่บนแม่พระธรณี
-
ด้วยขาข้างซ้ายของเรา
-
และไม่มีซักห้วงเลยที่จะไม่รู้ถึงปาฏิหารย์นั้น
-
นั่นเป็นสิ่งที่มีอยู่
-
ในขณะที่เท้าซ้ายย่างเหยียบ
-
เรารู้สึกถึงสัมผัส
-
สัมผัสได้ถึงความเบิกบาน
-
ของความดีงาม
-
และในขณะนั้นเราหยุดคิดได้
-
หยุดคิดเพื่อให้รู้สึก รู้สึกเพื่อให้หยุดคิด
-
ดังนั้นการเน้นให้รู้สึกจึงเป็นเรื่องสำคัญในการฝึก
-
ฝึกให้รู้สึก
-
รู้ได้ในทุกขณะสัมผัส
-
รับรู้มัน
-
นั่นคือสิ่งที่ต้องฝึก
-
การบำบัดเป็นเรื่องทีเป็นไปได้
-
เราเตรียมตัวเองให้พร้อมเพื่อการปรุงนั้น
-
เราจะไม่คิดแล้วคิดอีก หรือ เศร้า กลัว โกรธ
-
เพราะไม่ดีต่อสุขภาพ
-
เราจะเริ่มมีสุขภาพดีขึ้น อาหารใจเป็นเรื่องที่เราควรได้รับ
-
และกลุ่มสงฆ์
-
ได้อยู่ที่ตรงนั้นเพื่อเตือนให้เราได้รู้ว่าต้องฝึก
-
ได้เรียนรู้
-
ในการเดินอย่างเบิกบาน
-
การเดินจงกรมไม่ใช่งานหนัก
-
ไม่ใช่หน้าที่
-
แต่เป็นโอกาส
-
ที่จะสร้างความสุขเบิกบาน
-
เป็นเรื่องดีที่จะสร้างปัจจุบันขณะแห่งความสุข
-
เพื่อที่จะรักษา
-
การเดินจงกรม
-
ไม่ว่าจะเดินกับกลุ่มสงฆ์หรือเดินคนเดียว
-
เดินกับคณะสงฆ์คุณจะได้บุญกุศล
-
ได้พลังงานบวกจากกลุ่มคณะสงฆ์
-
เดินคนเดียว
-
คุณก็ได้พลังแห่งความสงบและมีสติ
-
และคุณก็ได้ย้ำเตือนผู้คน
-
ให้เดินเหมือนพวกคุณ
-
การฝึกในขณะต่างๆ
-
สามารถช่วยเยียวยาผู้คนได้
-
ไม่เพียงต่อตัวเอง แต่ยังช่วยผู้คนได้
-
เป็นเรื่องน่ายินดี ที่จะเห็นพี่น้องผองเพื่อนเดินร่วมกันอย่างมีสติและเบิกบาน
-
ในหมู่บ้าน
-
นั่นเป็นเรื่องน่าเบ่งบานและช่วยเยียวยา
-
ดังนั้นไม่ว่าจะเดินกลับกลุ่มหรือเดินคนเดียว
-
การก้าวย่างเป็นเรื่องที่สำคัญ
-
ผู้คนที่มาหาเรา เมื่อได้เห็นย่างก้าวของเรา
-
เขาจะเกิดศรัทธาในการฝึก ในธรรมะ
-
เวลาที่เราฉันท์อาหารกลางวัน
-
ต้องมีวิธีการกิน
-
เพื่อให้แต่ละขณะ สามารถบำบัด และเบิกบานได้ด้วย
-
ไม่ใช่เพียงแค่การรับประทานสารอาหารเท่านั้น
-
จากกลุ่มสงฆ์
-
การอยู่ร่วมกัน การนั่ง การรับประทาน
-
เราต้องฝึกสติ รวมพลัง
-
ซึ่งทำให้สุขภาพดีมาก ทำให้เกิดการบำบัดรักษา
-
การรับประทานแบบนั้น ทำให้เราหยุดคิด
-
ทำให้เรารู้ถึงการมีอยู่ของคณะสงฆ์รอบตัว
-
ทุกท่านมีส่วนในการทำให้เกิดพลังแห่งความสงบ
-
เป็นการบำบัด เป็นอาหารใจที่ดี
-
การรับประทานอาหารร่วมกันจึงถือเป็นการฝึก
-
ไม่ใช่งานหนักใช้แรง ไม่ใช่หน้าที่ที่ต้องกระทำให้สำเร็จ
-
และ
-
การนั่งสมาธิ
-
เป็น
-
โอกาสแห่งการบำบัดด้วย
-
เพื่อให้เกิดขณะแห่งความเบิกบาน
-
ไม่ใช่เรื่องของ
-
การนั่งรอเพื่อให้กระดิ่งบอกเวลาหยุดได้สั่นขึ้น
-
นั่นเป็นการนั่งที่เสียเวลา
-
เป็นเรื่อง
-
ที่หาได้ยาก ช่วงเวลาแห่งความเบิกบาน
-
คนส่วนใหญ่บนโลกใบนี้ไม่ค่อยมีเวลาที่จะนั่งและไม่ทำกิจกรรม
-
เขามองว่าเป็นเรื่องที่ไร้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ
-
เป็นความเปล่าประโยชน์
-
เวลาเป็นเงินเป็นทอง
-
แต่เรารู้ว่าการนั่ง
-
เป็นเรื่องที่ช่วยได้มาก
-
ดังนั้นเราต้องรู้วิธีการนั่งที่จะทำให้ตื่นรู้เบิกบาน
-
หายใจอย่างไร นั่งอย่างไร เพื่อให้ทุกขณะนั้น
-
เป็นขณะแห่งการขัดเกลาและบำบัด
-
ถ้าได้รู้
-
ว่าการวางกิจวัตรให้ตัวเรา
-
ไม่ใช่ให้คนอื่นกำหนดตารางให้
-
หรือแม้แต่ให้พระเจ้าแผ่นดินมากำหนดให้
-
คณะสงฆ์เองต้องกำหนดเวลาปฏิบัติ
-
เพื่อให้เกิดประโยชน์ในการวางแผนฝึกฝน
-
ในการเปลี่ยนแปลงขัดเกลาตนเอง
-
ตารางการนั่งสมาธิต้องทำเองไม่ใช่ให้เรามาคอยบอก
-
ต้องมีการออกแบบเวลาโดยคณะสงฆ์ร่วมกัน
-
เพื่อให้ทุกคนได้มีโอกาสเท่าเทียมกัน
-
เพื่อเปลี่ยนแปลง ฝึกฝน ขัดเกลา
-
ดังนั้นเราต้องไม่บ่น ก่นด่า
-
ว่าตารางแน่นเกินไป
-
พวกฝึกหัดใหม่เท่านั้นที่จะมีตารางแน่นเอ๊ยด
-
นั่นเป็น
-
เรื่องของผู้ฝึกหัด ที่ต้องมีตารางกิจกรรม
-
เรารู้ดีว่าการร่วมทำปฏิบัติกับกลุ่มสงฆ์
-
ได้ทำร่วมกัน
-
เป็นเรื่องที่ดีกว่า ง่ายกว่า น่ารื่นรมย์กว่า
-
ดังนั้นเมื่อเสียงระฆังดัง กลุ่มสงฆ์มารวมกันเพื่อนั่งสมาธิ
-
จะเป็นเรื่องที่เข้ามาช่วยเรา
-
ทำให้เราได้ร่วมนั่งสมาธิได้ดีขึ้น
-
เรากำลังนั่ง ซึ่งเป็นเรื่องธรรมชาติมากๆ
-
ไม่ต้องพยายามนั่ง
-
มีคำพูดมากมายในคำภีร์พระสูตร
-
ว่าธรรมะนั้น
-
เป็นเรื่องที่ดีงาม น่ารื่นรมย์
-
ในเบื้องต้น ในท่ามกลาง และในบั้นปลาย
-
ดังนั้นทุกนาทีในการฝึกฝน ควรเป็นช่วงเวลาแห่งความรื่นรมย์
-
และขัดเกลาเพื่อเปลี่ยนแปลง