อรุณสวัสดิ์ สหายธรรมทุกท่าน วันนี้เราจะสื่อสารกันด้วยภาษาอังกฤษ วันนี้เป็นวันที่ 10 มีนาคม พศ 2556 และเราอยู่ในห้องประชุมใหญ่เพื่อการภาวนา ห้องStill-water หมู่บ้านพลัม มีกี่ท่านที่จะรับฟังเป็นภาษาอังกฤษได้โดยตรง คนส่วนใหญ่ยกมือ จะมีคนประมาณ 600 ท่านจะมาร่วมงาน French Retreat ในอีกไม่กีวันข้างหน้า ท่าน ไฮ เหงียม ได้นำเสนอ บางหัวข้อ บางสาระสำคัญของการเรียนการสอนและการปฏิบัติเอาไว้ ประการแรกคือ "ความสุขเป็นสิ่งที่เป็นไปได้" ประการที่สองคือ "การรักษาเยียวยาเป็นสิ่งที่เป็นไปได้" เนื่องจากคนจำนวนมากต้องการ การเยียวยา คนส่วนมากที่มาที่นี่ มาเพื่อการเยียวยาบำบัด ดังนั้น ทำอย่างไรให้มีชีวิตอยู่อย่างล้ำลึก ในช่วงเวลาชีวิตหนึ่งของเรา อีกแนวคิดหัวข้อหนึ่งคือ "การกลับบ้าน" (การกลับสู่ใจตน) ไม่ต้องเที่ยวไปหาจากที่อื่น แต่คือการกลับบ้าน นี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญ การฝึกฝนตนเอง และก็ "การไหลรวมไปเป็นหนึ่งเดียวกับสายน้ำ" ไม่ใช่การเป็นแค่หยดน้ำ นี่เป็นเรื่องที่สำคัญมากสำหรับนักปฏิบัติ เราไม่สามารถฝึกหัดได้จนกว่าเราจะมี กลุ่มคณะสงฆ์ และร่วมกับกลุ่มสงฆ์ เราสามารถไหลรวมกันไปเหมือนสายน้ำเดียวกัน ดังนั้น ไม่ใช่แค่ผู้คนที่จะมาร่วมที่ต้องการสิ่งนั้น แต่เป็นเราทั้งหมดที่อยู่ในหมู่บ้านพลัมแห่งนี้ด้วย เราเองก็ต้องฝึกฝนปฏิบัติเช่นเดียวกัน สำหรับสหายผู้ที่กำลังจะมาร่วมงาน เขากำลังจะเข้าร่วมในการเตรียมงาน เขาจะมาช่วยเหลือด้านการปฏิบัติ การชำระล้าง การทำความสะอาดปัดเป่า และอื่นๆ หลายคนเต็มใจทำ เต็มใจช่วยเหลือคณะสงฆ์ในระหว่างช่วงเวลาแห่งความสงบ ดังนั้นเราต้องแสดงให้เห็นถึงการปฏิบัติ การชำระล้าง การทำความสะอาดปัดเป่า อย่างสงบเย็นเป็นสุข เพราะว่านี่เป็นส่วนหนึ่งของการฝึกหัดและเรียนรู้ เราควรจะมีตัวอย่างให้ดู เพราะว่าเราเป็นผู้อยู่อาศัยถาวรใต้ร่มบวรศาสนา ผมจะให้มีการซักถามในภาษาฝรั่งเศษสักสามข้อ อาจจะมีบางคนถามบางคนตอบ ดังนั้นจึงมีสามครั้งที่เราจะร่วมกันเป็นหนึ่งเดียว หรือเรียกอีกอย่างว่าเราเป็นเจ้าบ้าน นอกเหนือจากการสนทนาธรรมและการอภิปราย และอื่นๆ หลังจากการเยียวยาบำบัดแล้ว ผมและคณะสงฆ์จำนวนหนึ่งจะบินไปเอเชีย เรามีตารางงานที่แน่นมากในเกาหลี ฮ่องกง และที่ประเทศไทย เพราะว่าคนที่นั่นต้องการเราเป็นอย่างมากในการปรากฏตัวครั้งนี้ เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด เรารู้ว่าการฝึกหัดที่หมู่บ้านพลัม สามารถเห็นได้เป็นสองแง่มุม มุมแรกคือ เราจะตระหนักรู้ถึงความทุกข์ได้อย่างไร และการโอบกอดรับความรู้สึกนั้นไว้ให้ได้ การเปลี่ยนมุมมองของเราที่มีต่อทุกข์นั้น และนี่เป็นเรื่องของศิลปะการดำรงชีวิต เพราะการมีชีวิตนั้น เป็นเรื่องที่ต้องเกี่ยวข้องกับความทุกข์และความสุขอยู่ตลอดเวลา เราไม่สามารถหลีกพ้นเรื่องของความทุกข์ได้ ดังนั้นเราก็จึงต้องยอมรับว่ามีความทุกข์เกิด เราต้องเรียนรู้วิธีการรับมือกับความเจ็บปวด ซึ่งถ้าเรารู้วิธีการรับมือได้ จะทำให้เรามีความทุกข์น้อยลง และเราก็จะได้เรียนรู้เป็นอย่างมากจากความทุกข์ที่จรเข้ามา และเรารู้วิธีดับทุกข์และใช้ความทุกข์นั้นให้เกิดประโยชน์ เพื่อก่อให้เกิดความสุข เหมือนกับวิธีที่เราปลูกดอกบัว ถ้าเราต้องการให้ดอกบัวเบิกบาน เราต้องมีโคลนตม ความเจ็บปวดหรือความทุกข์ก็เหมือนโคลนตมที่เราต้องการ เพื่อให้เราได้ตระหนักรับรู้ถึงความเบิกบานและความสงบสุข สิ่งแรกของการฝึกปฏิบัติคือทำอย่างไรที่จะให้ตระหนักถึงความทุกข์ และทำอย่างไรจึงจะโอบกอดความทุกข์นั้นไว้ได้ และแปลงร่างทุกข์นั้นใหม่ เราจะพูดถึงเรื่องศิลปะแห่งการจัดการกับความทุกข์ ดูเหมือนว่า ท่านดาไลลามะ ได้เขียนหนังสือหัวข้อว่า ศิลปะแห่งความสุข เราต้องมีหนังสืออีกเล่มว่า ศิลปะแห่งการเป็นทุกข์ เป็นเพราะว่า ถ้าเรารู้วิธีการจัดการกับความทุกข์ เราจะเจ็บปวดน้อยลง และเราก็จะได้เรียนรู้จากมันด้วย เป็นการใช้ประโยชน์จากความทุกข์นั่นเอง สำหรับนักปฏิบัติที่แท้จริงแล้ว เราตระหนักถึงสิ่งนั้นแล้ว เรามีประสบการณ์ตรงในการจัดการกับความทุกข์ เราต้องเรียนรู้วิธีการเป็นทุกข์อย่างมีศิลปะ เราต้องสามารถยิ้มได้กับความทุกข์ อย่างสงบร่มเย็น เหมือนเรายิ้มให้กับโคลนตม เมื่อเรารู้แล้วว่าทำอย่างไรให้โคลนตมเป็นประโยชน์ เพื่อที่จะให้ดอกบัวได้เบิกบาน เจ็บปวดเพียงเล็กน้อย วิธีการจัดการกับความทุกข์ทรมาน ถ้าเรารู้วิธีการจัดการกับความทุกข์เล็ก ๆ น้อยๆ เราก็ไม่ต้องเจ็บปวด มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เรารู้วิธีการจัดการกับความทุกข์ในทุกห้วงขณะที่มันยังเล็ก ๆ อยู่ เราควรได้แบ่งปันประสบการณ์การฝึกฝนของเราให้กับผู้ที่เข้ามาร่วมงาน เราไม่ตื่นกลัวกับความเศร้าสร้อยเพียงเล็กน้อย ความเจ็บปวดเพียงเล็กน้อย เพราะเรารู้วิธีการจัดการกับมัน มันเป็นส่วนหนึ่งของการดำรงชีวิตอยู่ในทุกๆ วัน และเมื่อความรู้สึกเจ็บปวดถูกหยุดไว้ได้ เราควรเรียนรู้จากมัน โอบกอดมัน ใช้ประโยชน์จากพลังแห่งคณะสงฆ์ เพื่อที่จะกอดรับมันไว้ ในฐานะนักฝึกฝนมือใหม่ เพิ่งเริ่มต้นการฝึก เราอาจจะไม่สามารถจับความรู้สึกเป็นทุกข์ได้ทัน เพราะจิตใจของเรายังไม่พร้อม ไม่เบิกบาน ไม่มีพลังเพียงพอ ดังนั้น เราสามารถหยิบยืมพลังจากความสงบภายในใจมาเป็นเครื่องช่วย พลังจากคณะสงฆ์ เพื่อที่จะได้รับรู้และตระหนักในการหยุดความทุกข์ที่มีอยู่ในตัวเรา ความเจ็บปวดเหล่านั้น อาจจะถูกแปลงร่างโดยบิดา มารดา หรือบรรพบุรษของเรา ถ้าเรารู้วิธีการ ที่จะตระหนัก รับรู้ และเปลี่ยนมัน เราก็สามารถทำเผื่อให้กับบิดา มารดา และบรรพบุรุษเราได้ เป็นสิ่งดีมากที่เราจะทำให้พ่อแม่ของเรา และเพื่อบรรพบุรุษของเรา และเราจะไม่ต้องส่งต่อความทุกข์นี้ผ่านไปให้ลูกหลาน เป็นการจบสิ้นของวัฏสงสาร ผู้คนมากมาย ที่อ่านหนังสือเกี่ยวกับเรื่องความสงบสุขของหมู่บ้านพลัม ได้ยินได้ฟังเรื่องความสงบ เรื่องพลังของนักบวช แม่ชี เมื่อเขาได้มาที่หมู่บ้านพลัมแล้ว อย่างน้อยได้นั่งคุยกับเรา เดินไปกับเรา เขาสามารถรับรู้ถึงพลังสงบอันนั้น ซึ่งเป็นความจริงที่สามารถสัมผัสได้ ไม่ใช่เป็นเพียงแค่เรื่องที่คนพูดถึงกันเฉยๆ เมื่อเราอนุญาติให้ตัวเองได้ตระหนัก ได้เก็บเกี่ยวความรู้สึกถึงพลังแห่งความสงบ ท่านจะรู้สึกดีขึ้นมาก ท่านจะรู้สึกว่า ความทุกข์นั้นได้เริ่มต้นเปลี่ยนแปลง ดังนั้นการเป็นหมู่คณะสงฆ์เป็นเรื่องที่สำคัญมาก พระ แม่ชี นักปฏิบัติ ที่นั่งอยู่รวมกัน เขามาด้วยความสงบ และความตระหนักรู้ของเขาเหล่านั้นก็เป็นสิ่งที่มีพลังมาก ถ้าเรารู้วิธีที่จะนั่งอยู่ร่วมกันท่ามกลางท่านเหล่านั้น เราสามารถขจัดทุกข์ได้ด้วยการตระหนักรู้ เราจะเหมือนหยดน้ำหยดหนึ่งที่ไหลหลวมไปกับห้วงมหานที และเราจะรู้สึกดีขึ้นมาก เราไม่ต้องทำอะไรเลย แค่อนุญาติให้ตัวเราเองได้เปิดใจยอมรับ อนุญาติให้ความทุกข์ได้เป็นที่ตระหนัก ด้วยการร่วมภาวนาไปกับคณะสงฆ์ นั่นเองเป็นสิ่งยอดเยี่ยมที่สุดที่คณะสงฆ์จะให้ได้กับคนทั่วไปที่มาเข้าร่วม แน่นอนว่าเราต้องเตรียมการหลายอย่าง เพื่อการบำบัดรักษา เราต้องทำหลายสิ่งหลายอย่าง เราได้ชำระล้าง เราได้ทำความสะอาด ได้ปฏิบัติ ได้ทำอีกหลายสิ่งเพื่อการบำบัดรักษา เราสามารถเป็นที่พึ่งให้กับผู้คน เราสามารถช่วยเขาได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดที่เราจะให้เขาได้ สิ่งที่มีค่ามากที่สุดที่จะให้เขาได้ ไม่ใช่เรื่องของแรงงาน การทำงานหนัก สิ่งที่ดีที่สุดที่เราจะทำให้ได้นั้น คือการสะสมพลังจิตและความสงบ นั่นเป็นเหตุผลทีว่า ระหว่างที่เรานั่งทำสมาธิ เดินจงกรม เราต้องพยายามให้ถึงที่สุดให้อยู่กับปัจจุบันขณะ เพราะการสะสมการปฏิบัตินั้นจะช่วยให้พวกเขาสงบลง ช่วยให้เขาตระหนักรู้ถึงความทุกข์ที่มีอยู่ เพื่อให้เขาได้เดิน ได้นั่ง ได้หายใจ หลายคนยังไม่เคยหายใจอย่างถูกต้อง ไม่เคยเดิน ไม่เคยนั่ง และที่เราจะรวมพลังแห่งการมีสติระลึกรู้ ในฐานะของกลุ่มสงฆ์ เราสามารถช่วยให้พวกเขามีโอกาส ช่วยให้เขาได้ฝึกหายใจเป็น เดินเป็น นั่งเป็น นี่เป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เราในฐานะสงฆ์จะกระทำได้ มันจึงไม่ใช่เรื่องของการใช้แรงงาน แต่เป็นสิ่งที่ดีที่สุดทีเราจะทำให้ได้ พลังแห่งความสงบและเบิกบานของนักบวช ผู้คนที่มาร่วมนั้นเป็นคนที่โชคดีมาก เพราะว่าเขาสามารถที่จะจัดการเวลาในชีวิตได้ เพื่อมาเข้าร่วมพิธีกับเรา หลายคนอาจจะอยากมา แต่ไม่สามารถมาได้ ไม่มีเวลา ไม่มีปัจจัย ดังนั้นคนที่จะมาร่วมนั้น เป็นกลุ่มคนที่โชคดีแล้ว ที่จะได้เข้าร่วมพิธีกับคณะสงฆ์ถึงเจ็ดวัน เราต้องตระหนักในข้อนี้ เราต้องพยายามให้ถึงที่สุดที่จะ มอบโอกาสในการเปลี่ยนแปลงชีวิตและบำบัดรักษาจิตใจ ผมจะบอกพวกเขาว่า ในวันแรกของการบำบัด การเยียวยาเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ ในห้วงขณะที่ได้กระทำทันที มิใช่หลังจากกระทำแต่เป็นขณะที่ได้กระทำ เพราะว่าถ้าเขารู้วิธีการทำตาม การหายใจ การนั่ง การเดิน การบำบัดจะเกิดขึ้นได้ในทุกอิริยาบถ การบำบัดปลดทุกข์สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกลมหายใจ และนี่เป็นสัจธรรมความจริง ไม่มีทางอื่นในการปลดทุกข์ การบำบัดเป็นหนทางเดียว เราต้องบอกเขาว่า เพื่อให้การปลดทุกข์เป็นไปได้ เขาต้องหยุด ถ้าเขาไม่หยุด ก็ไม่มีหวังที่จะได้บำบัดรักษา เขาไม่ได้ชำระจิตใจอะไรเลยถ้าเขาไม่หยุด ดังนั้นการสอนห้าบัญญัติ การมีสติสัมปชัญญะจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพื่อให้เกิดการหยุด การกระทำต่างๆ การคิดที่จะก่อให้เกิดการปรุงแต่ง การเป็นผู้ป่วย ความเจ็บป่วย บัญญัติการฝึกห้าประการ ยังเป็นเรื่องของกระบวนการคิดและการกระทำ ที่จะมีผลต่อการบำบัดรักษา ดังนั้นจึงเลี่ยงการฝึกฝนห้าประการนี้ไม่ได้ การหยุด เป็นเรื่องที่สำคัญมาก หยุด และ บำบัด นั่นก็เป็นหัวข้อใหญ่ที่เราอยากนำเสนอ ในการสอนที่เกาหลีใต้ ถ้าเรารู้วิธีหยุด วิธีการรักษาสามารถเกิดขึ้นได้เลยทันที ในทุกช่วงของการฝึกปฏิบัติ ทุกลมหายใจเข้าออก เราต้องให้เขาเชื่อให้ได้ ให้เขาหยุด หยุดในทุกการกระทำทุกอย่างที่ดำเนินไป ที่จะนำไปสู่ ความเจ็บปวด ความโกรธเคือง ความผิดหวัง เขาต้องรู้ว่าจะหยุดอะไร เพื่อการบำบัดเยียวยา เราจะเป็นผู้บอกหนทาง เราได้เคยหยุดมาแล้ว และได้เริ่มการบำบัดรักษา เราต้องแบ่งปันประสบการณ์ ในขณะที่เราตัดสินใจที่จะหยุดทันที เราจะรู้สึกสงบเบาบาง การบำบัดรักษาก็เกิดขึ้นทันใด เป็นช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยม การตัดสินใจที่จะหยุด แล้วเราก็จะบอกพวกเขาว่า เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ที่จะสร้างปัจจุบันขณะแห่งความสงบร่มเย็นในชีวิตปกติประจำวัน มี ความสุข เล็ก ๆ ที่เราสามารถสร้างได้ในชีวิตประจำวัน เป็นศิลปะ ศิลปะ แห่งความสุข ไม่ว่าท่านจะดื่มชาสักถ้วย หรือท่านจะเดินไปตามทาง หรือนั่งลง และจ้องมอง ท่านสามารถที่จะมีความสุขได้ในทุกช่วงเวลา องค์ประกอบที่จะทำให้เกิดช่วงขณะแห่งความเบิกบาน สามารถสังเกตุได้ เรารู้ว่าการมีสติเป็นจุดเริ่มต้นของความสดชื่นเบิกบาน เป็นจุดเริ่มต้นของความสุข ผู้คนชอบบ่นว่า เขาไม่มีความสุข เราต้องสามารถบอกกล่าวแก่เขาได้ ว่าเขามีเงื่อนไขในการทำให้ตัวเองมีความสุข เราสามารถช่วยเขาให้จดจำสภาวะแห่งความสุข ดอกไม้ในใจจะเบิกบาน แต่เขาไม่สามารถ พินิจพิจารณา มีความสุขเบิกบาน แสงอาทิตย์สาดส่องอยู่ตรงนั้น ฤดูใบไม้ผลิที่กำลังเข้ามา สิ่งเหล่านี้ คือปาฏิหารย์แห่งชีวิต เขาถูกตรึงอยู่ในบางสิ่งบางอย่าง เขาไม่สามารถที่จะ ตระหนักรู้ได้ ถึงเงื่อนไขแห่งความสุข เขามีร่างกาย แต่ไม่สามารถเข้าถึงการมีของกายเนื้อได้ มันน่าขำ เธอมีร่างกาย แต่เข้าไม่ถึงเนื้อกาย เธอไม่สามารถเข้าถึงบ้านอันเป็นร่างกายของเธอได้ เธอไม่สามารถที่จะแตะกายแล้วบอกได้ ว่านี่คือกายของฉัน เพราะเขาไม่มีความตื่่นรู้ ในขณะที่เขานั่งอยู่ที่หน้าคอมพิวเตอร์ เขาลืมว่าเขามีร่างกาย เขาตกอยู่ใน ห้วงแห่ง โลกสมมุติ และนี่คือเหตุผลว่าทำไมหมู่บ้านพลัม พี่น้องผองเรา จึงมีความปรารถนาที่จะปลุกความตื่นรู้หน้าจอคอมพิวเตอร์ เพื่อที่ว่าในแต่ละขณะเวลา เราได้คอยเตือน ให้เขาหยุด และกลับไปยังการตระหนักของการมีอยู่ของกาย มีลมหายใจเข้า โดยใช้การมีสติในการหายใจเพื่อที่จะ จดจำได้ว่าเรายังมีร่ายกาย และสามารถรู้ถึงการมีอยู่ บางครั้งร่างกายอาจจะร้องเตือนอะไรบางอย่าง แต่เราไม่ได้ยิน กายของเราต้องการให้เราดูแล แต่เราไม่ได้ยิน ถ้าเราสามารถเข้าถึงการมีอยู่ของกายได้ เราก็สามารถเข้าถึงความรู้สึกได้ด้วย มีความรู้สึกอยู่หลายอย่างที่เรียกร้องความสนใจจากเรา ความเจ็บปวดทุกข์ทรมานเหมือนเสียงของเด็กน้อยที่เรียกร้องให้เราสนใจ แต่เรากลับเพิกเฉยเสียงเด็กคนนั้น เพราะความรู้สึกทุกอย่างที่เกิดขึ้นเปรียบเหมือนเด็กน้อย ดังนั้นการตื่นรู้จึงช่วยให้เราเข้าถึง ไม่เฉพาะแค่ความทุกข์ แต่เพื่อที่จะเรียนรู้กับมันและเปลี่ยนแปลง สติจะช่วยเราบรรเทาทุกข์ ตระหนักรู้ถึงปาฏิหารย์ของชีวิต รวมถึงกายของเรา การหายใจเข้า สามารถเป็นเรื่องที่ชื่นบานได้ การหายใจออก ก็เป็นเรื่องที่น่ายินดี เธอสามารถรื่นรมย์กับลมหายใจ ลองนึกภาพพระสงฆ์ที่่นั่งอยู่บนพื้นหญ้า ท่านไม่ได้ทำอะไรเลย แค่หายใจเข้า และเบิกบานกับลมหายใจนั้น แต่ท่านกลับเป็นอิสระ อิสระจากความกังวลทั้งปวง อิสระจากความโกรธเคือง อิสระจากความโหยหา ท่านสามารถตระหนักรู้ถึงการมีอยู่ของร่างกาย และตระหนักรู้ถึงการมีอยู่ของท้องฟ้าสีคราม สีเขียวขจีของใบไม้ ในฤดูใบไม้ผลิที่กำลังย่างกรายเข้ามา เราสามารถฝึกแบบนั้นได้ เพื่อที่จะตักเตือนผู้คนที่จะเข้าร่วมกิจการ เพื่อให้เขาเข้าถึงช่วงขณะแห่งความเป็นสุข เรียนรู้วิธีการมีความรื่นรมย์ เรียนรู้วิธีที่จะมีความสุขเบิกบานเล็ก ๆ น้อย ๆ ในกิจกรรมประจำวัน และเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ มีคนที่มีพรสวรรค์มากมาย ที่ไม่สามารถเรียนหนังสือจนรับปริญญา เขากลับสามารถสร้างสรรค์เครื่องมือเครื่องจักร เขาสามารถทำอะไรได้หลายอย่าง เราจะถามเขาว่า คุณสามารถสร้างสรรค์ห้วงเวลาแห่งความสุขได้หรือไม่ คุณสามารถใช้ประโยชน์จากร่างกายได้ไหม คุณใช้ประโยชน์จากลมหายใจได้หรือเปล่า คุณหาประโยชน์จากสติเป็นไหม เพื่อให้เขาได้สร้างขณะแห่งการตื่นรู้ สร้างความรู้สึกเป็นสุข เหมือนเรารู้วิธีการ ปรุงอาหาร เพื่อทีจะได้น้ำแกงสักถ้วย เราต้องมีน้ำ มีผัก เต้าหู้ และอื่นๆ หลายคนทำน้ำแกงได้ การสร้างความสุขก็เหมือนกัน เหมือนการปรุงน้ำแกง และด้วยเครื่องปรุงต่าง ๆ เราสามารถทำได้ สร้างขณะแห่งความเป็นสุข ทั้งสำหรับตัวเองและผู้อื่น เราสามารถยื่นน้ำแกงที่ปรุงแล้วให้ผู้อื่นทาน ถ้าเรารู้วิธีปรุง เราจะสามารถรื่นรมย์กับความเป็นสุข และสามารถหยิบยื่นให้ผู้อื่นได้ด้วย และนี่คือศิลปะ ศิลปะแห่งความเบิกบาน คุณต้องเรียนรู้วิธีที่จะทำให้มีความสุข เราสามารถสร้างสรรค์ได้ ความรู้สึกเบิกบานและเป็นสุขนี้ในชีวิตประจำวัน ต้องเรียนรู้วิธีรักษามันไว้ ความสุขเล็ก ๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวัน และสร้างมันขึ้นมา และเรารู้ วิธีที่จะหยุด หยุดความคิดที่ฟุ้งซ่าน เพื่อที่จะจดจ่อ ถ้าไม่สามารถหยุดความคิดฟุ้งซ่านได้ เราไม่สามารถเบิกบานกับอะไรได้เลย เพราะจะมีเสียงเห่าหอนก้องไปมาอยู่ในหัวของเราตลอดวัน คิดถึงอดีตที่ผ่านไปแล้ว นั่งกลัวถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึง และความคิดก็ฟุ้งซ่านไปมา และมันก็ครอบครองจิตวิญญาณของเราไป เราจึงไม่มีเวลามากนักในการมีชีวิตอยู่ เป็นเรื่องสำคัญนะ ที่จะหยุดสัญญาสังขารปรุงแต่งเหล่านั้น หยุดคิด เพราะนั่นเป็นการฝึกจิต เป็นการฝึกตรึกตรองจดจ่อ จิตเราเสวยความทุกข์เพราะคิดครั้งแล้วครั้งเล่า ความทรมาน ความกังวล และนั่นเป็นสิ่งที่ไม่ดีต่อสุขภาพร่างกาย ดังนั้นเราต้องช่วย เพื่อไม่ให้เขาครุ่นคิดต่อ นี่เป็นเรื่องของ สาระสำคัญหรือส่วนประกอบการปรุง การทำให้เกิดสติ ในการมีสติระลึกรู้เราจะเห็นความทุกข์ ความเสียใจ ความทรมาน เราต้องปลุกให้ตื่น ปลุกจิตสำนึกให้ตื่น ปลุกแล้วปลุกอีกเฝ้าปลุกอยู่อย่างนั้น นี่เป็นเรื่องไม่ดี เป็นอาหารขยะแก่จิตใจ ต้องหยุด การชำระจิตเป็นเรื่องที่สำคัญในการฝึก มันน่าขำ ที่หมู่บ้านพลัมเราไม่อนุญาติให้ดื่มเหล้า กินเนื้อ แต่เราแนะนำให้หยุดพูด หยุดคิดอีกด้วย เพราะในระหว่างที่เราเดิน ถ้าเราพูด หรือคิด เราก็ยังปล่อยให้ความคิดวิ่งไปมา สุดท้ายเราก็เป็นเหยื่อความคิด เป็นเหยื่อของอดีต ของอนาคต ของความกังวล เราไม่ได้อยู่กับปัจจุบัน เพื่อให้เรามีชีวิตอยู่จริงๆ เราต้องหยุดความคิดข้างใน ถ้าอย่างนั้นแล้ว เราจะเบิกบานในขั้นตอนได้อย่างไร ถ้าเรายังยอมให้ความคิดเกิด นั้นเป็นเรื่องสำคัญมาก ที่จะหยุดคิด แต่ให้รู้สึก มากกว่าที่จะคิด เราสามารถรับรู้ถึงพื้นสัมผัสเมื่อเราก้าวเดิน เราต้องรู้สึกได้ และความรู้สึกสามารถนำมาซึ่งความตระหนักรู้ เราเพ่งเห็นถึงความรู้สึก ว่าเรากำลังเหยียบอยู่บนแม่พระธรณี ด้วยขาข้างซ้ายของเรา และไม่มีซักห้วงเลยที่จะไม่รู้ถึงปาฏิหารย์นั้น นั่นเป็นสิ่งที่มีอยู่ ในขณะที่เท้าซ้ายย่างเหยียบ เรารู้สึกถึงสัมผัส สัมผัสได้ถึงความเบิกบาน ของความดีงาม และในขณะนั้นเราหยุดคิดได้ หยุดคิดเพื่อให้รู้สึก รู้สึกเพื่อให้หยุดคิด ดังนั้นการเน้นให้รู้สึกจึงเป็นเรื่องสำคัญในการฝึก ฝึกให้รู้สึก รู้ได้ในทุกขณะสัมผัส รับรู้มัน นั่นคือสิ่งที่ต้องฝึก การบำบัดเป็นเรื่องทีเป็นไปได้ เราเตรียมตัวเองให้พร้อมเพื่อการปรุงนั้น เราจะไม่คิดแล้วคิดอีก หรือ เศร้า กลัว โกรธ เพราะไม่ดีต่อสุขภาพ เราจะเริ่มมีสุขภาพดีขึ้น อาหารใจเป็นเรื่องที่เราควรได้รับ และกลุ่มสงฆ์ ได้อยู่ที่ตรงนั้นเพื่อเตือนให้เราได้รู้ว่าต้องฝึก ได้เรียนรู้ ในการเดินอย่างเบิกบาน การเดินจงกรมไม่ใช่งานหนัก ไม่ใช่หน้าที่ แต่เป็นโอกาส ที่จะสร้างความสุขเบิกบาน เป็นเรื่องดีที่จะสร้างปัจจุบันขณะแห่งความสุข เพื่อที่จะรักษา การเดินจงกรม ไม่ว่าจะเดินกับกลุ่มสงฆ์หรือเดินคนเดียว เดินกับคณะสงฆ์คุณจะได้บุญกุศล ได้พลังงานบวกจากกลุ่มคณะสงฆ์ เดินคนเดียว คุณก็ได้พลังแห่งความสงบและมีสติ และคุณก็ได้ย้ำเตือนผู้คน ให้เดินเหมือนพวกคุณ การฝึกในขณะต่างๆ สามารถช่วยเยียวยาผู้คนได้ ไม่เพียงต่อตัวเอง แต่ยังช่วยผู้คนได้ เป็นเรื่องน่ายินดี ที่จะเห็นพี่น้องผองเพื่อนเดินร่วมกันอย่างมีสติและเบิกบาน ในหมู่บ้าน นั่นเป็นเรื่องน่าเบ่งบานและช่วยเยียวยา ดังนั้นไม่ว่าจะเดินกลับกลุ่มหรือเดินคนเดียว การก้าวย่างเป็นเรื่องที่สำคัญ ผู้คนที่มาหาเรา เมื่อได้เห็นย่างก้าวของเรา เขาจะเกิดศรัทธาในการฝึก ในธรรมะ เวลาที่เราฉันท์อาหารกลางวัน ต้องมีวิธีการกิน เพื่อให้แต่ละขณะ สามารถบำบัด และเบิกบานได้ด้วย ไม่ใช่เพียงแค่การรับประทานสารอาหารเท่านั้น จากกลุ่มสงฆ์ การอยู่ร่วมกัน การนั่ง การรับประทาน เราต้องฝึกสติ รวมพลัง ซึ่งทำให้สุขภาพดีมาก ทำให้เกิดการบำบัดรักษา การรับประทานแบบนั้น ทำให้เราหยุดคิด ทำให้เรารู้ถึงการมีอยู่ของคณะสงฆ์รอบตัว ทุกท่านมีส่วนในการทำให้เกิดพลังแห่งความสงบ เป็นการบำบัด เป็นอาหารใจที่ดี การรับประทานอาหารร่วมกันจึงถือเป็นการฝึก ไม่ใช่งานหนักใช้แรง ไม่ใช่หน้าที่ที่ต้องกระทำให้สำเร็จ และ การนั่งสมาธิ เป็น โอกาสแห่งการบำบัดด้วย เพื่อให้เกิดขณะแห่งความเบิกบาน ไม่ใช่เรื่องของ การนั่งรอเพื่อให้กระดิ่งบอกเวลาหยุดได้สั่นขึ้น นั่นเป็นการนั่งที่เสียเวลา เป็นเรื่อง ที่หาได้ยาก ช่วงเวลาแห่งความเบิกบาน คนส่วนใหญ่บนโลกใบนี้ไม่ค่อยมีเวลาที่จะนั่งและไม่ทำกิจกรรม เขามองว่าเป็นเรื่องที่ไร้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ เป็นความเปล่าประโยชน์ เวลาเป็นเงินเป็นทอง แต่เรารู้ว่าการนั่ง เป็นเรื่องที่ช่วยได้มาก ดังนั้นเราต้องรู้วิธีการนั่งที่จะทำให้ตื่นรู้เบิกบาน หายใจอย่างไร นั่งอย่างไร เพื่อให้ทุกขณะนั้น เป็นขณะแห่งการขัดเกลาและบำบัด ถ้าได้รู้ ว่าการวางกิจวัตรให้ตัวเรา ไม่ใช่ให้คนอื่นกำหนดตารางให้ หรือแม้แต่ให้พระเจ้าแผ่นดินมากำหนดให้ คณะสงฆ์เองต้องกำหนดเวลาปฏิบัติ เพื่อให้เกิดประโยชน์ในการวางแผนฝึกฝน ในการเปลี่ยนแปลงขัดเกลาตนเอง ตารางการนั่งสมาธิต้องทำเองไม่ใช่ให้เรามาคอยบอก ต้องมีการออกแบบเวลาโดยคณะสงฆ์ร่วมกัน เพื่อให้ทุกคนได้มีโอกาสเท่าเทียมกัน เพื่อเปลี่ยนแปลง ฝึกฝน ขัดเกลา ดังนั้นเราต้องไม่บ่น ก่นด่า ว่าตารางแน่นเกินไป พวกฝึกหัดใหม่เท่านั้นที่จะมีตารางแน่นเอ๊ยด นั่นเป็น เรื่องของผู้ฝึกหัด ที่ต้องมีตารางกิจกรรม เรารู้ดีว่าการร่วมทำปฏิบัติกับกลุ่มสงฆ์ ได้ทำร่วมกัน เป็นเรื่องที่ดีกว่า ง่ายกว่า น่ารื่นรมย์กว่า ดังนั้นเมื่อเสียงระฆังดัง กลุ่มสงฆ์มารวมกันเพื่อนั่งสมาธิ จะเป็นเรื่องที่เข้ามาช่วยเรา ทำให้เราได้ร่วมนั่งสมาธิได้ดีขึ้น เรากำลังนั่ง ซึ่งเป็นเรื่องธรรมชาติมากๆ ไม่ต้องพยายามนั่ง มีคำพูดมากมายในคำภีร์พระสูตร ว่าธรรมะนั้น เป็นเรื่องที่ดีงาม น่ารื่นรมย์ ในเบื้องต้น ในท่ามกลาง และในบั้นปลาย ดังนั้นทุกนาทีในการฝึกฝน ควรเป็นช่วงเวลาแห่งความรื่นรมย์ และขัดเกลาเพื่อเปลี่ยนแปลง