< Return to Video

ทาลิ ชารอท : การมองโลกแบบมีอคติในเชิงบวก

  • 0:00 - 0:04
    ฉันจะมาพูดเกี่ยวกับ การมองโลกในแง่ดี
  • 0:04 - 0:06
    หรือถ้าจะให้ชัดเจนขึ้น คือ การมองโลกแบบมีอคติในเชิงบวก
  • 0:06 - 0:08
    มันเป็นภาพลวงตา ทางความรู้สึกคิด
  • 0:08 - 0:10
    ที่เราทำการศึกษาวิจัยในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา
  • 0:10 - 0:12
    และพบว่าพวกเราร้อยละ80 มีความคิดแบบนี้
  • 0:12 - 0:15
    เรามีแนวโน้ม ที่จะประเมินในแง่ดีมากเกินไป
  • 0:15 - 0:18
    เกี่่ยวกับความเป็นไปได้ที่จะประสบแต่เรื่องดีๆ ในชีวิตของเรา
  • 0:18 - 0:22
    แต่ประเมินเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่จะประสบกับเรื่องแย่ๆ ต่ำเกินไป
  • 0:22 - 0:25
    เราเลยไม่คิดว่า วันหนึ่งเราจะมีโอกาสป่วยเป็นมะเร็ง
  • 0:25 - 0:26
    หรือประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์
  • 0:26 - 0:30
    เรานึกแค่การมีชีวิตที่ยืนยาว
    ประสบความสำเร็จ ในหน้าที่การงาน
  • 0:30 - 0:33
    สรุปคือ เรามองโลกในแง่ดี
    มากกว่ามองโลกตามความเป็นจริง
  • 0:33 - 0:35
    และไม่เคยตระหนักถึงข้อเท็จจริงใดๆ
  • 0:35 - 0:37
    ยกตัวอย่างเช่น ชีวิตแต่งงาน
  • 0:37 - 0:41
    ในสังคมตะวันตกมีอัตราการหย่าร้างสูงถึงร้อยละ40
  • 0:41 - 0:44
    นั่นหมายความว่า ในคู่แต่งงาน 5 คู่
  • 0:44 - 0:47
    มี 2 คู่ ที่ต้องจบชีวิตรักด้วยการหย่าร้างแบ่งสมบัติ
  • 0:47 - 0:51
    แต่พอเราลองถามคู่รักที่เพิ่งแต่งงานหมาดๆ
    เกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่จะหย่า
  • 0:51 - 0:54
    พวกเขาบอกว่า โอกาสแบบนั้นมีค่าเป็นศูนย์
  • 0:54 - 0:58
    แม้กระทั่งนักกฎหมายที่เชี่ยวชาญด้านการหย่า
    ที่ควรจะตระหนักได้ถึงความจริงข้อนี้
  • 0:58 - 1:02
    ก็ยังประเมินความเป็นไปได้ เรื่องการหย่าของตัวเอง
    ต่ำกว่าความเป็นจริง
  • 1:02 - 1:05
    กลายเป็นว่า คนที่มองโลกในแง่ดี
    ไม่ได้มีโอกาสหย่าร้างต่ำกว่าคนอื่นๆ
  • 1:05 - 1:07
    แต่เป็นคนที่มีโอกาสมากกว่าในการแต่งงานใหม่
  • 1:07 - 1:10
    ซามูเอล จอห์นสัน ได้กล่าวไว้ว่า
  • 1:10 - 1:14
    "การแต่งงานใหม่คือชัยชนะของความหวัง
    เหนือประสบการณ์"
  • 1:14 - 1:16
    (เสียงหัวเราะ)
  • 1:16 - 1:20
    ดังนั้น หากเราแต่งงาน
    เราย่อมมีโอกาสสูงที่จะให้กำเนิดทายาท
  • 1:20 - 1:24
    และทุกคนย่อมคิดว่า
    ลูกหลานของเราจะต้องเป็นเด็กที่มีพรสววรค์เป็นพิเศษ
  • 1:24 - 1:26
    ยังไงก็ตาม นี่คือหลานชายวัย 2 ขวบของฉันค่ะ
  • 1:26 - 1:29
    ฉันต้องขอบอกให้ชัดเจนตรงนี้เลย
  • 1:29 - 1:31
    ว่าหลานฉันคนนี้เป็นตัวอย่างที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่
    สำหรับการมองโลกแบบมีอคติในเชิงบวก
  • 1:31 - 1:34
    เพราะเขาค่อนข้างมีพรสวรรค์พิเศษที่แหวกแนวมาก
  • 1:34 - 1:36
    (เสียงหัวเราะ)
  • 1:36 - 1:37
    ไม่ได้มีแค่ฉันเท่านั้น
  • 1:37 - 1:40
    จากคนอังกฤษ 4 คน มี 3 คนที่พูดว่า
  • 1:40 - 1:43
    พวกเขามองโลกในแง่ดี
    ในเรื่องที่เกี่ยวกับครอบครัวของตัวเองในอนาคต
  • 1:43 - 1:45
    คนที่คิดแบบนี้มีอยู่ร้อยละ 75
  • 1:45 - 1:47
    แต่ก็ยังมีคนอีกร้อยละ 30 บอกว่า
  • 1:47 - 1:50
    เขาคิดว่า ครอบครัวที่เห็นทั่วๆไป
  • 1:50 - 1:52
    ใช้ชีวิตดีขึ้นกว่าครอบครัวในไม่กี่รุ่นที่ผ่านมา
  • 1:52 - 1:54
    และนี่นับเป็นจุดที่สำคัญมาก
  • 1:54 - 1:56
    เพราะหากเรามองเรื่องของตัวเองในแง่ดีแล้ว
  • 1:56 - 1:58
    เราก็จะคิดเรื่องลูกหลานของเราในแง่ดีไปด้วย
  • 1:58 - 2:00
    เรานึกถึงครอบครัวของเราในแง่ดี
  • 2:00 - 2:03
    แต่เราจะไม่คิดในแง่ดีแบบนี้ กับคนที่เราไม่รู้จัก
  • 2:03 - 2:05
    และเราค่อนข้างจะมองโลกในแง่ร้าย
  • 2:05 - 2:09
    ในเรื่องที่เกี่ยวกับโชคชะตาของประชาชนคนอื่น หรือของประเทศเรา
  • 2:09 - 2:13
    แต่การมองโลกในแง่ดีเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับอนาคตของตัวเราเองนั้น
  • 2:13 - 2:15
    จะยังคงอยู่เหมือนเดิม
  • 2:15 - 2:19
    และนั่นไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่เราคิด
    จะเกิดขึ้นได้อย่างที่เราต้องการเหมือนเสกคาถา
  • 2:19 - 2:23
    แต่มันทำให้เรามีพลัง ที่จะทำให้มันเกิดขึ้น
  • 2:23 - 2:26
    ในฐานะที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ ฉันได้ทดลองเรื่องนี้
  • 2:26 - 2:28
    เพื่อจะให้คุณเห็นว่าฉันหมายความว่ายังไง
  • 2:28 - 2:31
    ฉันกำลังจะทดลองกับพวกคุณที่นี่ โอเค?
  • 2:31 - 2:34
    ฉันจะให้พวกคุณดูรายการความสามารถ และลักษณะส่วนบุคคล
  • 2:34 - 2:37
    และฉันอยากให้คุณนึกดู ว่าความสามารถแต่ละข้อที่ให้มานั้น
  • 2:37 - 2:42
    คุณยืนอยู่ตรงไหน เมื่อเทียบกับประชากรส่วนที่เหลือ
  • 2:42 - 2:45
    ข้อแรก คุณเข้ากับคนอื่นได้ดี
  • 2:45 - 2:51
    ใครคิดว่าตัวเองอยู่ในกลุ่ม ร้อยละ 25 จากข้างล่างบ้างคะ
  • 2:51 - 2:55
    โอเค ในที่นี้มีอยู่ 10 คนจาก 1,500
  • 2:55 - 2:59
    ใครคิดว่าตัวเองอยู่ในกลุ่มร้อยละ 25 ข้างบนคะ
  • 2:59 - 3:02
    นั่นคือพวกเราส่วนใหญ่ในที่นี้
  • 3:02 - 3:07
    โอเค ทีนี้เรามาดูความสามารถในการขับรถกันบ้าง
  • 3:07 - 3:10
    คุณมีความน่าสนใจแค่ไหน
  • 3:10 - 3:13
    คุณมีความดึงดูดใจมากแค่ไหน
  • 3:13 - 3:15
    คุณมีความซื่อสัตย์มากเท่าไหร่
  • 3:15 - 3:20
    และสุดท้าย คุณมีความถ่อมตัวแค่ไหน
  • 3:20 - 3:23
    เห็นได้เลยว่า พวกเราส่วนมากจะตีค่าตัวเองสูงกว่าค่าเฉลี่ย
  • 3:23 - 3:25
    เกี่ยวกับความสามารถที่กล่าวมา
  • 3:25 - 3:27
    ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้เลย ในทางสถิติ
  • 3:27 - 3:31
    ที่พวกเราทั้งหมด จะเก่งกว่าคนอื่น ๆ ทุก ๆ คนได้
  • 3:31 - 3:32
    (เสียงหัวเราะ)
  • 3:32 - 3:35
    แต่ถ้าเราคิดว่า เราดีกว่าคนอื่นอยู่ดี
  • 3:35 - 3:39
    นั่นหมายความว่า เรามีแนวโน้มที่จะได้รับโปรโมชั่นเหล่านั้น
    เพื่อรักษาการแต่งงาน
  • 3:39 - 3:42
    เพราะเราเข้าสังคมเก่ง และเป็นคนน่าสนใจ
  • 3:42 - 3:44
    และทั้งหมดนี้ เป็นปรากฏการณ์ของโลก
  • 3:44 - 3:46
    การมองโลกแบบมีอคติในเชิงบวกนั้นถูกตั้งข้อสังเกต
  • 3:46 - 3:48
    ในหลายๆประเทศที่แตกต่างกัน
  • 3:48 - 3:51
    ทั้งในวัฒนธรรมตะวันตก และวัฒนธรรมอื่นนอกเหนือจากนี้
  • 3:51 - 3:53
    ทั้งในผู้หญิง และผู้ชาย
  • 3:53 - 3:54
    ในเด็ก หรือคนแก่
  • 3:54 - 3:56
    ความคิดแบบนี้แพร่หลายในวงกว้าง
  • 3:56 - 4:00
    แต่คำถามก็คือ การคิดแบบนี้มันดีกับเรารึเปล่า
  • 4:00 - 4:02
    บางคนปฏิเสธ
  • 4:02 - 4:04
    บางคนบอกว่า เคล็ดลับสู่ความสุข จริงๆแล้ว
  • 4:04 - 4:07
    คือการใช้ชีวิต แบบไม่ต้องคาดหวังมากต่างหาก
  • 4:07 - 4:10
    ฉันคิดว่า ฟังดูก็เป็นเหตุเป็นผลกันดี:
  • 4:10 - 4:12
    คือถ้าเราไม่ได้คาดหวังอะไรที่ดีมาก
  • 4:12 - 4:16
    ถ้าเราไม่ได้คาดหวังในความรัก มีสุขภาพที่ดี
    และประสบความสำเร็จ
  • 4:16 - 4:19
    เราก็จะไม่ผิดหวัง หากเรื่องเหล่านี้ไม่เกิดขึ้น
  • 4:19 - 4:22
    และหากเราไม่ผิดหวัง เมื่อสิ่งดีๆยังไม่เกิดขึ้น
  • 4:22 - 4:24
    และเรามีความสุขแสนประหลาดเมื่อมันเกิดขึ้น
  • 4:24 - 4:26
    เราก็จะมีความสุข
  • 4:26 - 4:28
    ดังนั้น มันจึงเป็นทฤษฎีที่เข้าท่ามาก
  • 4:28 - 4:31
    แต่มันผิดพลาด ด้วยเหตุผลสามข้อ
  • 4:31 - 4:36
    ข้อแรก ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
    ไม่ว่าคุณประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว
  • 4:36 - 4:39
    คนที่ตั้งความหวังไว้สูงจะยังคงรู้สึกดีกว่า
  • 4:39 - 4:43
    เพราะการที่เราจะรู้สึกแบบไหน เวลาเราพลาด
    หรือได้รางวัลพนักงานดีเด่นประจำเดือน
  • 4:43 - 4:46
    ขึ้นอยู่กับเราตีความเหตุการณ์นั้นอย่างไร
  • 4:46 - 4:50
    นักจิตวิทยาชื่อ มาร์กาเร็ต มาร์แชลล์ และ จอห์น บราวน์
  • 4:50 - 4:53
    ทำการศึกษาในกลุ่มนักเรียนที่มีความคาดหวังสูงและความคาดหวังต่ำ
  • 4:53 - 4:58
    พวกเขาพบว่า เมื่อเด็กที่มีความคาดหวังสูง ทำงานสำเร็จ
  • 4:58 - 5:00
    พวกเขาเข้าใจว่า ความสำเร็จเหล่านั้นมาจากความสามารถของพวกเขาเอง
  • 5:00 - 5:03
    "ฉันเป็นอัจฉริยะ ดังนั้น ฉันจึงได้เกรดเอ
  • 5:03 - 5:05
    ดังนั้น ฉันจะได้เกรดเออีกครั้ง และอีกครั้ง ในอนาคต"
  • 5:05 - 5:08
    และเมื่อพวกเขาทำพลาด นั่นไม่ได้เป็นเพราะพวกเขาโง่
  • 5:08 - 5:11
    แต่เป็นเพราะว่า การสอบครั้งนี้มีอะไรที่ไม่เป็นธรรม
  • 5:11 - 5:14
    ครั้งต่อไป เขาจะต้องทำได้ดีกว่า
  • 5:14 - 5:17
    คนที่มีความคาดหวังต่ำ จะทำสิ่งที่ตรงกันข้าม
  • 5:17 - 5:20
    ดังนั้น เมื่อพวกเขาสอบตก นั่นเป็นเพราะว่าพวกเขาโง่
  • 5:20 - 5:21
    และเมื่อพวกเขาสอบผ่าน
  • 5:21 - 5:24
    นั่นเป็นเพราะการสอบนั้นค่อนข้างง่าย
  • 5:24 - 5:27
    พวกเขาคงทำไม่ได้เหมือนเดิม ในการสอบครั้งต่อไป
  • 5:27 - 5:29
    นั่นทำให้พวกเขารู้สึกแย่กว่าเดิม
  • 5:29 - 5:32
    เหตุผลข้อที่สอง หากไม่ใส่ใจในผลที่จะเกิดขึ้น
  • 5:32 - 5:36
    การคาดหวัง ทำให้เรามีความสุข
  • 5:36 - 5:39
    นักเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม จอร์จ โลเวนสเตน
  • 5:39 - 5:41
    ตั้งคำถามต่อลูกศิษย์ในมหาวิทยาลัย
  • 5:41 - 5:46
    ให้ลองจินตนาการ ถึงการได้จูบอย่างดูดดื่ม กับเซเลบคนดัง
    คนไหนก็ได้
  • 5:46 - 5:48
    จากนั้นเขาถามลูกศิษย์ว่า คุณคิดว่าคุณยินดีจะจ่ายเท่าไหร่
  • 5:48 - 5:50
    เพื่อให้ได้จูบกับบรรดาคนดัง
  • 5:50 - 5:53
    หากคุณจะได้รับจูบนั้นในทันทีทันใด
  • 5:53 - 5:58
    ภายใน 3 ชั่วโมง, 24 ชั่วโมง, ภายใน 3 วัน
  • 5:58 - 6:00
    ภายใน 1 ปี และ ภายใน10 ปี
  • 6:00 - 6:03
    เขาพบว่า ลูกศิษย์ของเขาเต็มใจจะจ่ายเงินแพงที่สุด
  • 6:03 - 6:05
    ไม่ใช่สำหรับการได้รับจูบในทันที
  • 6:05 - 6:08
    แต่ให้กับการได้รับจูบภายใน 3 วัน
  • 6:08 - 6:12
    พวกเขายินดีจะจ่ายแพงขึ้น สำหรับการรอคอย
  • 6:12 - 6:15
    แต่พวกเขาไม่ยินดีที่จะรอไปอีก 1 ปี หรือ 10 ปี
  • 6:15 - 6:17
    ไม่มีใครต้องการคนดังแก่ๆ
  • 6:17 - 6:22
    แต่ 3 วัน เห็นได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม
  • 6:22 - 6:24
    แล้วทำไมถึงเป็นเช่นนั้น
  • 6:24 - 6:27
    หากคุณได้รับจูบในตอนนี้ มันก็จะเกิดขึ้น และหายไปในทันที
  • 6:27 - 6:29
    แต่หากคุณจะได้รับจูบในอีก 3 วันข้างหน้า
  • 6:29 - 6:33
    นั่นก็จะเป็น 3 วัน แห่งการรอคอยที่แสนตื่นเต้น
  • 6:33 - 6:35
    ลูกศิษย์ของเขาต้องการช่วงเวลาในการรอคอยเช่นนั้น
  • 6:35 - 6:38
    ให้พวกเขาได้วาดฝันว่ามันจะเกิดขึ้นที่ไหน
  • 6:38 - 6:39
    ว่ามันจะเกิดขึ้นอย่างไร
  • 6:39 - 6:42
    การรอคอยอย่างมีหวัง ทำให้พวกเขามีความสุข
  • 6:42 - 6:45
    นี่ก็คือเหตุผลว่าทำไมคนจึงชอบวันศุกร์มากกว่าวันอาทิตย์
  • 6:45 - 6:48
    มันเป็นข้อเท็จจริงที่ประหลาดมาก
  • 6:48 - 6:51
    เพราะวันศุกร์ เป็นวันทำงาน แต่วันอาทิตย์เป็นวันแห่งความสุข
  • 6:51 - 6:54
    ซึ่งคุณจะสันนิษฐานได้ว่าผู้คนน่าจะชอบวันอาทิตย์มากกว่า
  • 6:54 - 6:56
    แต่ไม่ใช่
  • 6:56 - 6:58
    มันไม่ใช่เพราะว่าจริง ๆ แล้วพวกเขาชอบไปทำงานมาก
  • 6:58 - 7:00
    และพวกเขาไม่สามารถทนที่จะเดินเล่นในสวนสาธารณะ
  • 7:00 - 7:02
    หรือทานอาหารสาย ๆ แบบขี้เกียจ ๆ ได้
  • 7:02 - 7:04
    พวกเรารู้ดี เพราะเมื่อคุณถามใครซักคน
  • 7:04 - 7:07
    ว่าเค้าชอบวันไหนในสัปดาห์มากที่สุด
  • 7:07 - 7:10
    น่าประหลาดใจมากว่าวันเสาร์มาเป็นอันดับแรก
  • 7:10 - 7:13
    ตามมาด้วย วันศุกร์และวันอาทิตย์
  • 7:13 - 7:14
    ผู้คนชื่นชอบวันศุกร์
  • 7:14 - 7:18
    เพราะวันศุกร์นำมาซึ่งความหวังในการรอคอย
    วันหยุดที่กำลังจะมาถึง
  • 7:18 - 7:20
    และแผนการทุกอย่างที่คุณวางไว้
  • 7:20 - 7:23
    สำหรับวันอาทิตย์ สิ่งเดียวที่คุณมองเห็น
  • 7:23 - 7:25
    คือวันทำงานของสัปดาห์ต่อไป
  • 7:25 - 7:30
    ดังนััน ผู้มองโลกในแง่ดีก็คือคนที่คาดหวัง
    การได้รับจูบอีกครั้งในอนาคต
  • 7:30 - 7:32
    หวังจะเดินเล่นในสวนมากขึ้น
  • 7:32 - 7:36
    และความสุขที่ได้รอคอยนั้นช่วยทำให้คุณภาพชีวิตของพวกเขาให้ดีขึ้น
  • 7:36 - 7:39
    ในความเป็นจริง หากไม่มีการมองโลกแบบมีอคติในเชิงบวกแล้ว
  • 7:39 - 7:42
    เราทุกคนอาจมีความซึมเศร้าหดหู่เล็กน้อย
  • 7:42 - 7:44
    คนที่มีภาวะซึมเศร้าเล็กน้อยนั้น
  • 7:44 - 7:47
    พวกเขาจะไม่มีอคติ เมื่อเขามองออกไปในอนาคต
  • 7:47 - 7:51
    จริง ๆ แล้ว พวกเขาอยู่กับโลกแห่งความเป็นจริง
    มากกว่าคนที่สุขภาพจิตดีซะอีก
  • 7:51 - 7:53
    แต่คนที่ซึมเศร้าขั้นรุนแรง
  • 7:53 - 7:55
    พวกเขามีอคติและมองโลกในแง่ร้าย
  • 7:55 - 7:58
    นั่นทำให้พวกเขาคิดว่าอนาคต
  • 7:58 - 8:00
    จะต้องเลวร้ายกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้
  • 8:00 - 8:03
    ดังนั้น การมองโลกในแง่ดีจึงเปลี่ยนสิ่งที่เราเห็นในความคิดของเรา
  • 8:03 - 8:07
    สิ่งที่พวกเราคาดหวังต่อโลกนี้จึงเปลี่ยนมุมมองที่เรามองโลก
  • 8:07 - 8:10
    แต่มันก็ได้เปลี่ยนสิ่งที่เราเห็นในความเป็นจริงด้วย
  • 8:10 - 8:13
    มันเป็นเหมือนการพยากรณ์อนาคตของตนเอง
  • 8:13 - 8:15
    และนั่นคือเหตุผลข้อที่สาม
  • 8:15 - 8:18
    ว่าทำไมการคาดหวังต่ำลงไม่ช่วยทำให้คุณมีความสุขมากขึ้น
  • 8:18 - 8:20
    การทดลองภายใต้การควบคุม แสดงให้เราเห็นว่า
  • 8:20 - 8:23
    การมองโลกในแง่ดี
    ไม่ใช่แค่เชื่อมโยงกับความสำเร็จ
  • 8:23 - 8:25
    แต่มันนำเราไปสู่ความสำเร็จ
  • 8:25 - 8:30
    การมองโลกในแง่ดี นำพาเราไปสู่ความสำเร็จ
    ในด้านการศึกษา กีฬา และการเมือง
  • 8:30 - 8:34
    และประโยชน์ที่น่าแปลกใจที่สุดของการมองโลกในแง่ดี
    อาจจะเป็นในเรื่องของสุขภาพ
  • 8:34 - 8:38
    หากเราคาดหวังถึงอนาคตที่สดใส
  • 8:38 - 8:40
    ความตึงเครียด และความกังวลก็จะลดลงไป
  • 8:40 - 8:44
    สรุปทั้งหมดแล้ว
    การมองโลกแง่ดีมีประโยชน์อย่างมาก
  • 8:44 - 8:48
    แต่ก็ยังมีคำถามที่ทำให้ฉันสับสน
  • 8:48 - 8:52
    ว่าเราจะมองโลกแง่ดี
    ขณะเผชิญหน้าโลกแห่งความจริงอย่างไร
  • 8:52 - 8:55
    ในฐานะที่ฉันเป็นนักประสาทวิทยา นี่เป็นเรื่องที่สับสนอย่างมาก
  • 8:55 - 8:58
    เพราะตามทฤษฎีทั้งหมดที่กล่าวมาแล้วนั้น
  • 8:58 - 9:02
    เมื่อคุณไม่ได้ตามสิ่งที่คุณคาดหวัง
    คุณก็ควรเปลี่ยนสิ่งที่คุณหวัง
  • 9:02 - 9:04
    แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่เราค้นพบ
  • 9:04 - 9:07
    เราขอให้คนกลุ่มนึง มาที่ห้องวิจัยของเรา
  • 9:07 - 9:10
    เพื่อทดลอง และค้นหาว่าจะเกิดอะไรขึ้น
  • 9:10 - 9:13
    เราขอให้พวกเขาประเมินความเป็นไปได้
  • 9:13 - 9:15
    ที่จะพบเจอเหตุการณ์ร้ายๆ ที่อาจเกิดในชีวิตพวกเขา
  • 9:15 - 9:20
    ตัวอย่างเช่น ความเป็นไปได้ที่คุณอาจป่วยเป็นมะเร็ง
  • 9:20 - 9:22
    และเราค่อยบอกค่าเฉลี่ยของความเป็นไปได้
  • 9:22 - 9:25
    สำหรับบุคคลอย่างพวกเขาที่จะประสบโชคร้ายเช่นนั้น
  • 9:25 - 9:28
    ตัวอย่างเช่น สำหรับโรคมะเร็ง ผลออกมาที่ร้อยละ 30
  • 9:28 - 9:31
    จากนั้นเราถามพวกเขาอีกครั้งว่า
  • 9:31 - 9:34
    "คุณมีโอกาสเป็นมะเร็ง มากแค่ไหน"
  • 9:34 - 9:36
    สิ่งที่เราอยากรู้คือ
  • 9:36 - 9:39
    ผู้คนจะใช้ข้อมูลที่เราบอกพวกเขา
  • 9:39 - 9:41
    เพื่อเปลี่ยนความเชื่อของเขาหรือไม่
  • 9:41 - 9:44
    และความจริงคือ พวกเขาก็ทำอย่างนั้น
  • 9:44 - 9:46
    แต่ส่วนมากเฉพาะเมื่อข้อมูลที่เราบอก
  • 9:46 - 9:49
    ดีกว่าสิ่งที่พวกเขาคาดหวังเอาไว้เท่านั้น
  • 9:49 - 9:50
    ยกตัวอย่างเช่น
  • 9:50 - 9:53
    ถ้ามีคนนึงพูดว่า "โอกาสที่ฉันอาจป่วยเป็นมะเร็ง
  • 9:53 - 9:56
    อยู่ที่ร้อยละ 50"
  • 9:56 - 9:58
    และเราพูดว่า "เฮ ข่าวดีก็คือ
  • 9:58 - 10:01
    ค่าเฉลี่ย อยู่เพียงแค่ร้อยละ 30 เท่านั้น"
  • 10:01 - 10:03
    ครั้งต่อไป พวกเขาก็จะพูดว่า
  • 10:03 - 10:06
    บางที โอกาสที่พวกเขาอาจจะป่วย น่าจะอยู่ที่ร้อยละ 35
  • 10:06 - 10:08
    เห็นได้ว่าพวกเราเรียนรู้ได้เร็วและมีประสิทธิภาพ
  • 10:08 - 10:11
    แต่ถ้าใครคนนึง เริ่มต้นพูดว่า
  • 10:11 - 10:14
    "โอกาสป่วยเป็นมะเร็งของฉันอยู่ที่ ร้อยละ 10"
  • 10:14 - 10:17
    และเราพูดว่า "เฮ ข่าวร้ายก็คือ
  • 10:17 - 10:20
    ค่าเฉลี่ย อยู่ที่ร้อยละ 30 ต่างหาก"
  • 10:20 - 10:22
    ครั้งต่อไป พวกเขาก็จะพูดว่า
  • 10:22 - 10:25
    "ฉันลองคิด ๆ ดูแล้ว มันน่าจะเป็นประมาณร้อยละ 11"
  • 10:25 - 10:27
    (เสียงหัวเราะ)
  • 10:27 - 10:30
    ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่ได้เรียนรู้อะไร --พวกเขาเรียนรู้--
  • 10:30 - 10:32
    แต่ค่อนข้างน้อยกว่าตอนที่เราให้
  • 10:32 - 10:35
    ข้อมูลเชิงบวกเกี่ยวกับอนาคตแก่พวกเขา
  • 10:35 - 10:38
    และไม่ใช่ว่าพวกเขาจำตัวเลขที่เราบอกให้ไม่ได้
  • 10:38 - 10:41
    ทุกๆคนจำได้ว่าค่าเฉลี่ยความเป็นไปได้ของการเป็นมะเร็ง
  • 10:41 - 10:43
    อยู่ที่ร้อยละ 30
  • 10:43 - 10:45
    และค่าเฉลี่ยความเป็นไปได้ของการหย่าร้างอยู่ที่ร้อยละ 40
  • 10:45 - 10:50
    แต่พวกเขาไม่ได้คิดว่าตัวเลขเหล่านั้นจะเกี่ยวข้องกับเขา
  • 10:50 - 10:54
    สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า สัญญาณเตือนในลักษณะนี้
  • 10:54 - 10:57
    มีผลกับคนจำนวนไม่มาก
  • 10:57 - 11:01
    ใช่ การสูบบุหรี่ทำให้ตาย แต่คนที่ตายส่วนใหญ่คือคนอื่นๆ
  • 11:01 - 11:03
    สิ่งที่ฉันต้องการรู้คือ
  • 11:03 - 11:06
    เกิดอะไรขึ้น ภายในสมองของมนุษย์
  • 11:06 - 11:10
    ที่กีดขวางเราจากการรับรู้สัญญาณเตือนเหล่านั้น
  • 11:10 - 11:11
    แต่ในขณะเดียวกัน
  • 11:11 - 11:13
    เมื่อเราได้ยินว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์กำลังเฟื่องฟู
  • 11:13 - 11:18
    เราก็คิดว่า "ดีจัง ราคาบ้านของฉันจะต้องสูงเป็นสองเท่าแน่ๆ"
  • 11:18 - 11:20
    เพื่อพยายามศึกษาเรื่องนี้
  • 11:20 - 11:22
    ฉันขอให้ผู้เข้าร่วมคนนึง ทำการทดลอง
  • 11:22 - 11:24
    โดยเข้าเครื่องสแกนสมอง
  • 11:24 - 11:26
    ที่เหมือนเครื่องนี้
  • 11:26 - 11:29
    และใช้วิธีที่เราเรียกว่า เอ็ม อาร์ ไอ
  • 11:29 - 11:32
    เราสามารถระบุส่วนของสมอง
  • 11:32 - 11:35
    ที่ตอบสนองต่อข้อมูลเชิงบวก
  • 11:35 - 11:39
    ส่วนนี้ของสมองเรียกว่า หยักสมองส่วนหน้า ด้านล่างซ้าย
  • 11:39 - 11:43
    ดังนั้นเมื่อใครซักคนพูดว่า
    "ฉันมีโอกาสป่วยเป็นมะเร็ง ร้อยละ 50"
  • 11:43 - 11:44
    และเราบอกว่า " เฮ ข่าวดีคือ
  • 11:44 - 11:47
    ค่าเฉลี่ยความเป็นไปได้นั้นอยู่ที่ร้อยละ 30 เท่านั้น"
  • 11:47 - 11:50
    หยักสมองส่วนหน้า ด้านล่างซ้าย จะตอบสนองอย่างรุนแรง
  • 11:50 - 11:55
    และนั่นไม่ได้สำคัญว่าคุณเป็นคนมองโลกแง่ดี มากหรือน้อย
  • 11:55 - 11:57
    หรือค่อนข้างมองโลกแง่ร้าย
  • 11:57 - 12:00
    หยักสมองส่วนหน้า ด้านล่างซ้าย ของทุกๆคน
  • 12:00 - 12:01
    ทำงานได้เป็นอย่างดี
  • 12:01 - 12:04
    ไม่ว่าคุณจะเป็น บารัค โอบามา หรือ วู้ดดี้ อัลเลน
  • 12:04 - 12:06
    ในอีกด้านหนึ่งของสมอง
  • 12:06 - 12:11
    หยักสมองส่วนหน้า ด้านล่างขวา จะตอบสนองต่อข่าวร้าย
  • 12:11 - 12:14
    และนี่ก็เป็นประเด็นอีกว่า : มันทำงานได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่
  • 12:14 - 12:16
    ยิ่งคุณเป็นคนมองโลกในแง่ดีมากเท่าไหร่
  • 12:16 - 12:19
    ยิ่งมีโอกาสน้อยมากเท่านั้นที่สมองส่วนนี้
  • 12:19 - 12:22
    จะตอบสนองต่อข้อมูลเชิงลบที่คุณไม่ได้คาดคิดเอาไว้
  • 12:22 - 12:25
    และหากสมองของคุณล้มเหลว
  • 12:25 - 12:28
    ในการเชื่อมโยงข่าวร้ายในเรื่องอนาคต
  • 12:28 - 12:33
    ตอนนั้นก็เหมือนคุณสวมแว่นที่ทำให้คุณมองโลกเป็นสีชมพูอยู่ตลอดเวลา
  • 12:33 - 12:38
    ดังนั้นพวกเราจึงต้องการรู้ว่า เราจะเปลี่ยนสิ่งนี้ได้หรือไม่
  • 12:38 - 12:41
    เราจะเปลี่ยนการมองโลกแบบมีอคติในเชิงบวกของผู้คนได้หรือไม่
  • 12:41 - 12:45
    โดยรบกวนการทำงานของสมองตรงส่วนเหล่านี้
  • 12:45 - 12:48
    และ มันมีวิธีที่เราสามารถทำได้
  • 12:48 - 12:50
    นี่คือผู้ร่วมงานของฉัน เรียวตะ คานาอิ
  • 12:50 - 12:54
    และสิ่งที่เขากำลังทำคือ ส่งผ่านคลื่นความถี่
  • 12:54 - 12:56
    ผ่านกระโหลกศีรษะของผู้เข้าร่วมในการศึกษาของเรา
  • 12:56 - 12:59
    เข้าไปในหยักสมองส่วนหน้า
  • 12:59 - 13:00
    และผลที่ได้คือ
  • 13:00 - 13:03
    เขาสามารถเปลี่ยนแปลงการทำงานของสมองส่วนนี้ได้
  • 13:03 - 13:05
    ในช่วงระยะเวลาประมาณครึ่งชั่วโมง
  • 13:05 - 13:07
    หลังจากนั้น ทุกอย่างก็กลับสู่ความปกติ คุณมั่นใจได้
  • 13:07 - 13:09
    (เสียงหัวเราะ)
  • 13:09 - 13:13
    มาดูกันค่ะ ว่าเกิดอะไรขึ้น
  • 13:13 - 13:15
    ก่อนอื่น ฉันอยากให้คุณเห็น
  • 13:15 - 13:17
    ค่าเฉลี่ยของปริมาณอคติที่เราเห็น
  • 13:17 - 13:20
    ดังนั้น ถ้าฉันจะทดสอบพวกคุณทุกคนตอนนี้
  • 13:20 - 13:22
    นี่คือปริมาณที่คุณจะได้เรียนรู้
  • 13:22 - 13:25
    เกี่ยวกับข่าวดีมากกว่าข่าวร้าย
  • 13:25 - 13:28
    ตอนนี้พวกเรารบกวนการทำงานของสมองส่วนนี้
  • 13:28 - 13:32
    โดยเราตั้งใจเพิ่มข้อมูลเชิงลบเข้าไป
  • 13:32 - 13:36
    และทำให้อคติเชิงบวก ขยายตัวใหญ่ขึ้น
  • 13:36 - 13:41
    เราทำให้ผู้คน มีอคติมากขึ้น เวลาที่รับฟังข้อมูล
  • 13:41 - 13:44
    จากนั้นเราได้เข้ารบกวนการทำงานของสมอง
  • 13:44 - 13:48
    โดยการสอดแทรกข่าวดีลงไป
  • 13:48 - 13:52
    ซึ่งทำให้อคติเชิงบวกหายไป
  • 13:52 - 13:54
    ผลการทดลองทำให้เราประหลาดใจมาก
  • 13:54 - 13:56
    เพราะเราไม่สามารถกำจัด
  • 13:56 - 13:59
    อคติที่หยั่งรากลึกลงในสมองมนุษย์
  • 13:59 - 14:04
    และจุดนี้ ทำให้เราหยุดการทดลอง และถามตัวเองว่า
  • 14:04 - 14:09
    เรายังต้องการแยกภาพลวงตาเชิงบวก
    ออกเป็นส่วนย่อยๆอีกหรือไม่
  • 14:09 - 14:14
    ถ้าเราสามารถทำสิ่งนั้นได้ เราจะต้องการขจัดอคติเชิงบวกของมนุษย์ออกไปหรือไม่
  • 14:14 - 14:19
    เราได้บอกคุณไปแล้วเกี่ยวกับผลดีของอคติเชิงบวก
  • 14:19 - 14:23
    ซึ่งอาจทำให้คุณอยากมีอคติแบบนั้นในชีวิตของคุณ
  • 14:23 - 14:25
    แต่แน่นอน มันยังมีข้อผิดพลาด
  • 14:25 - 14:28
    และคงจะเป็นเรื่องโง่มาก ถ้าเรามองข้ามจุดนี้ไป
  • 14:28 - 14:32
    ยกตัวอย่างอีเมล์หนึ่งที่ฉันได้รับ
  • 14:32 - 14:35
    จากนักผจญเพลิงคนหนึ่ง ในแคลิฟอร์เนีย
  • 14:35 - 14:38
    เขาเขียนว่า
    "การตรวจสอบสาเหตุการตายสำหรับนักผจญเพลิง
  • 14:38 - 14:42
    มักรวมถึง 'เราไม่คิดว่าไฟสามารถทำแบบนั้นได้'
  • 14:42 - 14:44
    แม้แต่เวลาที่เรามีข้อมูลทุกอย่าง
  • 14:44 - 14:47
    อยู่ตรงหน้าเพื่อการตัดสินใจที่ปลอดภัย"
  • 14:47 - 14:51
    หัวหน้าทีมคนนี้จะใช้สิ่งที่เราค้นพบจากการมองโลกแบบมีอคติในเชิงบวก
  • 14:51 - 14:53
    เพื่อพยายามอธิบายแก่บรรดานักผจญเพลิง
  • 14:53 - 14:55
    ว่าพวกเขาทำแบบนั้นไปทำไม
  • 14:55 - 15:02
    เพื่อทำให้พวกเขาตระหนักถึงการมองโลกอย่างมีอคติในเชิงบวกของมนุษย์
  • 15:02 - 15:07
    ดังนั้น การที่คนมองโลกสวยงามกว่าความเป็นจริง
    สามารถนำไปสู่พฤติกรรมที่เสี่ยง
  • 15:07 - 15:11
    สู่การล้มของตลาดการเงิน สู่ความผิดพลาดของการวางแผน
  • 15:11 - 15:13
    ตัวอย่างเช่น รัฐบาลอังกฤษ
  • 15:13 - 15:16
    ได้รู้ว่า อคติในเชิงบวกนั้น
  • 15:16 - 15:19
    สามารถทำให้ปัจเจกชน มีโอกาสที่จะ
  • 15:19 - 15:23
    ประเมินค่าใช้จ่ายและระยะเวลาของโครงการต่ำกว่าความจริง
  • 15:23 - 15:27
    ดังนั้น พวกเขาจึงได้จัดสรร
    งบประมาณใหม่สำหรับโอลิมปิก 2012
  • 15:27 - 15:29
    สำหรับอคติในเชิงบวก
  • 15:29 - 15:32
    เพื่อนของฉันที่กำลังจะเข้าพิธีแต่งงานในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า
  • 15:32 - 15:34
    ได้ทำสิ่งเดียวกัน ต่องบประมาณที่ใช้ในงานแต่งงานของเขา
  • 15:34 - 15:37
    อย่างไรก็ตาม เมื่อฉันถามเขา
    เกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่เขาจะหย่า
  • 15:37 - 15:41
    เขาก็ตอบว่าเขาค่อนข้างมั่นใจว่ามันต้องเป็นศูนย์
  • 15:41 - 15:43
    ดังนั้น สิ่งที่เราควรทำมากที่สุด
  • 15:43 - 15:47
    คือต้องคอยดูแลตัวเราเอง
    จากอันตรายที่อาจเกิดจากการมองโลกในแง่ดีเกินไป
  • 15:47 - 15:50
    แต่ขณะเดียวกัน ก็ต้องไม่ลืมดำรงไว้ซึ่งความหวัง
  • 15:50 - 15:53
    อันเป็นประโยชน์จากการมองโลกในแง่ดีด้วย
  • 15:53 - 15:56
    และฉันเชื่อว่า มันมีทางที่เราสามารถจะทำมันได้
  • 15:56 - 15:58
    กุญแจสำคัญของทั้งหมดนี้คือ ความรู้
  • 15:58 - 16:01
    เราไม่ได้เกิดมา แล้วจะเข้าใจอคติที่เรามีได้ในทันที
  • 16:01 - 16:05
    ทั้งหมดนี้ จำต้องถูกระบุด้วยผลการตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์
  • 16:05 - 16:09
    แต่ข่าวดีก็คือ
    การที่เราตระหนักได้ถึงการมองโลกแบบมีอคติในเชิงบวกนั้
  • 16:09 - 16:11
    ไม่ได้ทำให้ภาพลวงตานั้นแตกสลายไป
  • 16:11 - 16:13
    มันเหมือนภาพลวงตาที่เรามองเห็นได้
  • 16:13 - 16:16
    ซึ่งการทำความเข้าใจสิ่งเหล่านี้ ไม่ได้ทำให้มันหายไป
  • 16:16 - 16:19
    และนี่ถือเป็นเรื่องดีเพราะมันหมายความว่า
  • 16:19 - 16:21
    เราสามารถที่จะควบคุมความสมดุล
  • 16:21 - 16:23
    วางแผนการและกฎเกณฑ์ต่าง ๆ
  • 16:23 - 16:26
    เพื่อปกป้องตัวเราเองจาก การมองโลกในแง่บวกโดยไม่คิดถึงความเป็นจริง
  • 16:26 - 16:29
    แต่ในขณะเดียวกันก็ยังคงไว้ซึ่งความหวัง
  • 16:29 - 16:33
    ฉันคิดว่า การ์ตูนรูปนี้สื่อออกมาได้ดีมาก
  • 16:33 - 16:36
    เพราะหากคุณคือคนนึงในกลุ่มเพนกวินที่มองโลกในแง่ร้าย
    ที่อยู่ข้างบนนั้น
  • 16:36 - 16:38
    ที่อย่างไรก็ไม่เชื่อว่าพวกเขาสามารถบินได้
  • 16:38 - 16:41
    คุณย่อมไม่สามารถทำได้ตลอดกาล
  • 16:41 - 16:43
    เพราะการก่อเกิดความก้าวหน้าใด ๆ
  • 16:43 - 16:45
    เราจำเป็นต้องจินตนาการถึงความเป็นจริงในอีกด้านที่แตกต่าง
  • 16:45 - 16:49
    และจากนั้น เราจำเป็นต้องเชื่อว่ามันสามารถเป็นจริงขึ้นมาได้
  • 16:49 - 16:52
    แต่ถ้าคุณเป็นหนึ่งในเพนกวินที่มองโลกในแง่ดีมากๆ
  • 16:52 - 16:55
    ที่หลับหูหลับตากระโดดลงมา คาดหวังถึงการโบยบิน
  • 16:55 - 17:00
    คุณก็อาจรู้ตัวว่าคุณบินไม่ได้ เมื่อคุณกระแทกกับพื้นดิน
  • 17:00 - 17:02
    แต่หากคุณยังเป็นเพนกวินที่มองโลกในแง่ดี
  • 17:02 - 17:03
    ที่เชื่อว่าคุณสามารถบินได้
  • 17:03 - 17:06
    แต่ก็พกพาร่มชูชีพไปบนหลังของคุณด้วย
  • 17:06 - 17:09
    เผื่อในกรณีที่ทุกอย่างไม่ได้เป็นไปตามที่คุณวางแผนไว้
  • 17:09 - 17:11
    คุณก็ยังร่อนทะยานได้อย่างนกอินทรี
  • 17:11 - 17:14
    แม้ว่าคุณจะเป็นแค่เพนกวินก็ตาม
  • 17:14 - 17:16
    ขอบคุณค่ะ
  • 17:16 - 17:19
    (เสียงปรบมือ)
Title:
ทาลิ ชารอท : การมองโลกแบบมีอคติในเชิงบวก
Speaker:
Tali Sharot
Description:

จริงหรือไม่ที่เราเกิดมาเพื่อมองโลกในแง่ดี มากกว่ามองโลกตามความเป็นจริง? ทาลิ ชารอท ร่วมแบ่งปันผลวิจัยชิ้นใหม่ที่แสดงให้เราเห็นว่า มีสายใยเชื่อมโยงสมองของเราให้มองเห็นสิ่งต่าง ๆ ในด้านดี -- และมันสามารถก่อให้เกิดทั้งอันตรายและประโยชน์ต่อเราได้อย่างไร

more » « less
Video Language:
English
Team:
closed TED
Project:
TEDTalks
Duration:
17:40
Jenny Zurawell approved Thai subtitles for The optimism bias Aug 9, 2012, 7:59 PM
Duangrutai Boonyasatian accepted Thai subtitles for The optimism bias Jul 31, 2012, 2:27 PM
Duangrutai Boonyasatian edited Thai subtitles for The optimism bias Jul 31, 2012, 12:51 PM
Duangrutai Boonyasatian edited Thai subtitles for The optimism bias Jul 31, 2012, 12:51 PM
Duangrutai Boonyasatian edited Thai subtitles for The optimism bias Jul 31, 2012, 6:23 AM
Duangrutai Boonyasatian edited Thai subtitles for The optimism bias Jul 31, 2012, 6:23 AM
Chonnipa Kanchaikham edited Thai subtitles for The optimism bias Jul 28, 2012, 1:08 PM
Chonnipa Kanchaikham edited Thai subtitles for The optimism bias Jul 28, 2012, 1:08 PM
Show all

Thai subtitles

Revisions

  • Duangrutai Boonyasatian Jul 31, 2012, 12:51 PM