WEBVTT 00:00:00.148 --> 00:00:03.530 ฉันจะมาพูดเกี่ยวกับ การมองโลกในแง่ดี 00:00:03.530 --> 00:00:06.013 หรือถ้าจะให้ชัดเจนขึ้น คือ การมองโลกแบบมีอคติในเชิงบวก 00:00:06.013 --> 00:00:07.658 มันเป็นภาพลวงตา ทางความรู้สึกคิด 00:00:07.658 --> 00:00:10.400 ที่เราทำการศึกษาวิจัยในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา 00:00:10.400 --> 00:00:12.135 และพบว่าพวกเราร้อยละ80 มีความคิดแบบนี้ NOTE Paragraph 00:00:12.135 --> 00:00:14.869 เรามีแนวโน้ม ที่จะประเมินในแง่ดีมากเกินไป 00:00:14.869 --> 00:00:17.792 เกี่่ยวกับความเป็นไปได้ที่จะประสบแต่เรื่องดีๆ ในชีวิตของเรา 00:00:17.792 --> 00:00:21.900 แต่ประเมินเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่จะประสบกับเรื่องแย่ๆ ต่ำเกินไป 00:00:21.900 --> 00:00:24.917 เราเลยไม่คิดว่า วันหนึ่งเราจะมีโอกาสป่วยเป็นมะเร็ง 00:00:24.917 --> 00:00:26.423 หรือประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ 00:00:26.423 --> 00:00:29.609 เรานึกแค่การมีชีวิตที่ยืนยาว ประสบความสำเร็จ ในหน้าที่การงาน 00:00:29.609 --> 00:00:33.054 สรุปคือ เรามองโลกในแง่ดี มากกว่ามองโลกตามความเป็นจริง 00:00:33.054 --> 00:00:35.216 และไม่เคยตระหนักถึงข้อเท็จจริงใดๆ NOTE Paragraph 00:00:35.216 --> 00:00:37.443 ยกตัวอย่างเช่น ชีวิตแต่งงาน 00:00:37.443 --> 00:00:40.977 ในสังคมตะวันตกมีอัตราการหย่าร้างสูงถึงร้อยละ40 00:00:40.977 --> 00:00:44.446 นั่นหมายความว่า ในคู่แต่งงาน 5 คู่ 00:00:44.446 --> 00:00:47.167 มี 2 คู่ ที่ต้องจบชีวิตรักด้วยการหย่าร้างแบ่งสมบัติ 00:00:47.167 --> 00:00:50.542 แต่พอเราลองถามคู่รักที่เพิ่งแต่งงานหมาดๆ เกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่จะหย่า 00:00:50.542 --> 00:00:54.234 พวกเขาบอกว่า โอกาสแบบนั้นมีค่าเป็นศูนย์ 00:00:54.234 --> 00:00:57.963 แม้กระทั่งนักกฎหมายที่เชี่ยวชาญด้านการหย่า ที่ควรจะตระหนักได้ถึงความจริงข้อนี้ 00:00:57.963 --> 00:01:01.812 ก็ยังประเมินความเป็นไปได้ เรื่องการหย่าของตัวเอง ต่ำกว่าความเป็นจริง 00:01:01.812 --> 00:01:04.938 กลายเป็นว่า คนที่มองโลกในแง่ดี ไม่ได้มีโอกาสหย่าร้างต่ำกว่าคนอื่นๆ 00:01:04.938 --> 00:01:07.468 แต่เป็นคนที่มีโอกาสมากกว่าในการแต่งงานใหม่ 00:01:07.468 --> 00:01:09.771 ซามูเอล จอห์นสัน ได้กล่าวไว้ว่า 00:01:09.771 --> 00:01:13.768 "การแต่งงานใหม่คือชัยชนะของความหวัง เหนือประสบการณ์" NOTE Paragraph 00:01:13.768 --> 00:01:15.730 (เสียงหัวเราะ) NOTE Paragraph 00:01:15.730 --> 00:01:20.304 ดังนั้น หากเราแต่งงาน เราย่อมมีโอกาสสูงที่จะให้กำเนิดทายาท 00:01:20.304 --> 00:01:23.569 และทุกคนย่อมคิดว่า ลูกหลานของเราจะต้องเป็นเด็กที่มีพรสววรค์เป็นพิเศษ 00:01:23.569 --> 00:01:26.167 ยังไงก็ตาม นี่คือหลานชายวัย 2 ขวบของฉันค่ะ 00:01:26.167 --> 00:01:28.542 ฉันต้องขอบอกให้ชัดเจนตรงนี้เลย 00:01:28.542 --> 00:01:31.313 ว่าหลานฉันคนนี้เป็นตัวอย่างที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ สำหรับการมองโลกแบบมีอคติในเชิงบวก 00:01:31.313 --> 00:01:34.125 เพราะเขาค่อนข้างมีพรสวรรค์พิเศษที่แหวกแนวมาก NOTE Paragraph 00:01:34.125 --> 00:01:35.560 (เสียงหัวเราะ) NOTE Paragraph 00:01:35.560 --> 00:01:37.167 ไม่ได้มีแค่ฉันเท่านั้น 00:01:37.167 --> 00:01:39.642 จากคนอังกฤษ 4 คน มี 3 คนที่พูดว่า 00:01:39.642 --> 00:01:43.381 พวกเขามองโลกในแง่ดี ในเรื่องที่เกี่ยวกับครอบครัวของตัวเองในอนาคต 00:01:43.381 --> 00:01:45.132 คนที่คิดแบบนี้มีอยู่ร้อยละ 75 00:01:45.132 --> 00:01:47.190 แต่ก็ยังมีคนอีกร้อยละ 30 บอกว่า 00:01:47.190 --> 00:01:49.750 เขาคิดว่า ครอบครัวที่เห็นทั่วๆไป 00:01:49.750 --> 00:01:52.162 ใช้ชีวิตดีขึ้นกว่าครอบครัวในไม่กี่รุ่นที่ผ่านมา NOTE Paragraph 00:01:52.162 --> 00:01:54.183 และนี่นับเป็นจุดที่สำคัญมาก 00:01:54.183 --> 00:01:56.071 เพราะหากเรามองเรื่องของตัวเองในแง่ดีแล้ว 00:01:56.071 --> 00:01:57.889 เราก็จะคิดเรื่องลูกหลานของเราในแง่ดีไปด้วย 00:01:57.889 --> 00:01:59.677 เรานึกถึงครอบครัวของเราในแง่ดี 00:01:59.677 --> 00:02:02.860 แต่เราจะไม่คิดในแง่ดีแบบนี้ กับคนที่เราไม่รู้จัก 00:02:02.860 --> 00:02:05.089 และเราค่อนข้างจะมองโลกในแง่ร้าย 00:02:05.089 --> 00:02:08.968 ในเรื่องที่เกี่ยวกับโชคชะตาของประชาชนคนอื่น หรือของประเทศเรา 00:02:08.968 --> 00:02:13.004 แต่การมองโลกในแง่ดีเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับอนาคตของตัวเราเองนั้น 00:02:13.004 --> 00:02:15.015 จะยังคงอยู่เหมือนเดิม 00:02:15.015 --> 00:02:19.081 และนั่นไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่เราคิด จะเกิดขึ้นได้อย่างที่เราต้องการเหมือนเสกคาถา 00:02:19.081 --> 00:02:23.113 แต่มันทำให้เรามีพลัง ที่จะทำให้มันเกิดขึ้น NOTE Paragraph 00:02:23.113 --> 00:02:25.954 ในฐานะที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ ฉันได้ทดลองเรื่องนี้ 00:02:25.954 --> 00:02:27.746 เพื่อจะให้คุณเห็นว่าฉันหมายความว่ายังไง 00:02:27.746 --> 00:02:30.548 ฉันกำลังจะทดลองกับพวกคุณที่นี่ โอเค? 00:02:30.548 --> 00:02:34.398 ฉันจะให้พวกคุณดูรายการความสามารถ และลักษณะส่วนบุคคล 00:02:34.398 --> 00:02:37.292 และฉันอยากให้คุณนึกดู ว่าความสามารถแต่ละข้อที่ให้มานั้น 00:02:37.292 --> 00:02:41.685 คุณยืนอยู่ตรงไหน เมื่อเทียบกับประชากรส่วนที่เหลือ NOTE Paragraph 00:02:41.685 --> 00:02:45.471 ข้อแรก คุณเข้ากับคนอื่นได้ดี 00:02:45.471 --> 00:02:51.123 ใครคิดว่าตัวเองอยู่ในกลุ่ม ร้อยละ 25 จากข้างล่างบ้างคะ 00:02:51.123 --> 00:02:55.445 โอเค ในที่นี้มีอยู่ 10 คนจาก 1,500 00:02:55.445 --> 00:02:59.458 ใครคิดว่าตัวเองอยู่ในกลุ่มร้อยละ 25 ข้างบนคะ 00:02:59.458 --> 00:03:02.168 นั่นคือพวกเราส่วนใหญ่ในที่นี้ 00:03:02.168 --> 00:03:07.098 โอเค ทีนี้เรามาดูความสามารถในการขับรถกันบ้าง 00:03:07.098 --> 00:03:09.681 คุณมีความน่าสนใจแค่ไหน 00:03:09.681 --> 00:03:12.525 คุณมีความดึงดูดใจมากแค่ไหน 00:03:12.525 --> 00:03:15.479 คุณมีความซื่อสัตย์มากเท่าไหร่ 00:03:15.479 --> 00:03:20.479 และสุดท้าย คุณมีความถ่อมตัวแค่ไหน NOTE Paragraph 00:03:20.479 --> 00:03:23.167 เห็นได้เลยว่า พวกเราส่วนมากจะตีค่าตัวเองสูงกว่าค่าเฉลี่ย 00:03:23.167 --> 00:03:25.196 เกี่ยวกับความสามารถที่กล่าวมา 00:03:25.196 --> 00:03:27.327 ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้เลย ในทางสถิติ 00:03:27.327 --> 00:03:30.556 ที่พวกเราทั้งหมด จะเก่งกว่าคนอื่น ๆ ทุก ๆ คนได้ 00:03:30.556 --> 00:03:32.198 (เสียงหัวเราะ) 00:03:32.198 --> 00:03:34.875 แต่ถ้าเราคิดว่า เราดีกว่าคนอื่นอยู่ดี 00:03:34.875 --> 00:03:38.958 นั่นหมายความว่า เรามีแนวโน้มที่จะได้รับโปรโมชั่นเหล่านั้น เพื่อรักษาการแต่งงาน 00:03:38.958 --> 00:03:41.556 เพราะเราเข้าสังคมเก่ง และเป็นคนน่าสนใจ NOTE Paragraph 00:03:41.556 --> 00:03:43.719 และทั้งหมดนี้ เป็นปรากฏการณ์ของโลก 00:03:43.719 --> 00:03:46.187 การมองโลกแบบมีอคติในเชิงบวกนั้นถูกตั้งข้อสังเกต 00:03:46.187 --> 00:03:47.906 ในหลายๆประเทศที่แตกต่างกัน 00:03:47.906 --> 00:03:51.010 ทั้งในวัฒนธรรมตะวันตก และวัฒนธรรมอื่นนอกเหนือจากนี้ 00:03:51.010 --> 00:03:52.516 ทั้งในผู้หญิง และผู้ชาย 00:03:52.516 --> 00:03:54.240 ในเด็ก หรือคนแก่ 00:03:54.240 --> 00:03:56.023 ความคิดแบบนี้แพร่หลายในวงกว้าง NOTE Paragraph 00:03:56.023 --> 00:03:59.523 แต่คำถามก็คือ การคิดแบบนี้มันดีกับเรารึเปล่า 00:03:59.523 --> 00:04:01.977 บางคนปฏิเสธ 00:04:01.977 --> 00:04:04.495 บางคนบอกว่า เคล็ดลับสู่ความสุข จริงๆแล้ว 00:04:04.495 --> 00:04:07.248 คือการใช้ชีวิต แบบไม่ต้องคาดหวังมากต่างหาก 00:04:07.248 --> 00:04:09.752 ฉันคิดว่า ฟังดูก็เป็นเหตุเป็นผลกันดี: 00:04:09.752 --> 00:04:12.010 คือถ้าเราไม่ได้คาดหวังอะไรที่ดีมาก 00:04:12.010 --> 00:04:15.890 ถ้าเราไม่ได้คาดหวังในความรัก มีสุขภาพที่ดี และประสบความสำเร็จ 00:04:15.890 --> 00:04:18.988 เราก็จะไม่ผิดหวัง หากเรื่องเหล่านี้ไม่เกิดขึ้น 00:04:18.988 --> 00:04:22.396 และหากเราไม่ผิดหวัง เมื่อสิ่งดีๆยังไม่เกิดขึ้น 00:04:22.396 --> 00:04:24.375 และเรามีความสุขแสนประหลาดเมื่อมันเกิดขึ้น 00:04:24.375 --> 00:04:26.156 เราก็จะมีความสุข NOTE Paragraph 00:04:26.156 --> 00:04:27.858 ดังนั้น มันจึงเป็นทฤษฎีที่เข้าท่ามาก 00:04:27.858 --> 00:04:30.885 แต่มันผิดพลาด ด้วยเหตุผลสามข้อ 00:04:30.885 --> 00:04:35.500 ข้อแรก ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ไม่ว่าคุณประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว 00:04:35.500 --> 00:04:39.358 คนที่ตั้งความหวังไว้สูงจะยังคงรู้สึกดีกว่า 00:04:39.358 --> 00:04:43.290 เพราะการที่เราจะรู้สึกแบบไหน เวลาเราพลาด หรือได้รางวัลพนักงานดีเด่นประจำเดือน 00:04:43.290 --> 00:04:46.320 ขึ้นอยู่กับเราตีความเหตุการณ์นั้นอย่างไร NOTE Paragraph 00:04:46.320 --> 00:04:50.370 นักจิตวิทยาชื่อ มาร์กาเร็ต มาร์แชลล์ และ จอห์น บราวน์ 00:04:50.370 --> 00:04:53.364 ทำการศึกษาในกลุ่มนักเรียนที่มีความคาดหวังสูงและความคาดหวังต่ำ 00:04:53.364 --> 00:04:57.548 พวกเขาพบว่า เมื่อเด็กที่มีความคาดหวังสูง ทำงานสำเร็จ 00:04:57.548 --> 00:05:00.458 พวกเขาเข้าใจว่า ความสำเร็จเหล่านั้นมาจากความสามารถของพวกเขาเอง 00:05:00.458 --> 00:05:02.654 "ฉันเป็นอัจฉริยะ ดังนั้น ฉันจึงได้เกรดเอ 00:05:02.654 --> 00:05:05.329 ดังนั้น ฉันจะได้เกรดเออีกครั้ง และอีกครั้ง ในอนาคต" 00:05:05.329 --> 00:05:08.302 และเมื่อพวกเขาทำพลาด นั่นไม่ได้เป็นเพราะพวกเขาโง่ 00:05:08.302 --> 00:05:11.475 แต่เป็นเพราะว่า การสอบครั้งนี้มีอะไรที่ไม่เป็นธรรม 00:05:11.475 --> 00:05:13.758 ครั้งต่อไป เขาจะต้องทำได้ดีกว่า 00:05:13.758 --> 00:05:16.835 คนที่มีความคาดหวังต่ำ จะทำสิ่งที่ตรงกันข้าม 00:05:16.835 --> 00:05:19.667 ดังนั้น เมื่อพวกเขาสอบตก นั่นเป็นเพราะว่าพวกเขาโง่ 00:05:19.667 --> 00:05:21.167 และเมื่อพวกเขาสอบผ่าน 00:05:21.167 --> 00:05:24.484 นั่นเป็นเพราะการสอบนั้นค่อนข้างง่าย 00:05:24.484 --> 00:05:26.885 พวกเขาคงทำไม่ได้เหมือนเดิม ในการสอบครั้งต่อไป 00:05:26.885 --> 00:05:28.958 นั่นทำให้พวกเขารู้สึกแย่กว่าเดิม NOTE Paragraph 00:05:28.958 --> 00:05:32.198 เหตุผลข้อที่สอง หากไม่ใส่ใจในผลที่จะเกิดขึ้น 00:05:32.198 --> 00:05:36.245 การคาดหวัง ทำให้เรามีความสุข 00:05:36.245 --> 00:05:39.421 นักเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม จอร์จ โลเวนสเตน 00:05:39.421 --> 00:05:41.140 ตั้งคำถามต่อลูกศิษย์ในมหาวิทยาลัย 00:05:41.140 --> 00:05:45.502 ให้ลองจินตนาการ ถึงการได้จูบอย่างดูดดื่ม กับเซเลบคนดัง คนไหนก็ได้ 00:05:45.502 --> 00:05:48.387 จากนั้นเขาถามลูกศิษย์ว่า คุณคิดว่าคุณยินดีจะจ่ายเท่าไหร่ 00:05:48.387 --> 00:05:50.375 เพื่อให้ได้จูบกับบรรดาคนดัง 00:05:50.375 --> 00:05:52.602 หากคุณจะได้รับจูบนั้นในทันทีทันใด 00:05:52.602 --> 00:05:57.625 ภายใน 3 ชั่วโมง, 24 ชั่วโมง, ภายใน 3 วัน 00:05:57.625 --> 00:06:00.058 ภายใน 1 ปี และ ภายใน10 ปี 00:06:00.058 --> 00:06:03.188 เขาพบว่า ลูกศิษย์ของเขาเต็มใจจะจ่ายเงินแพงที่สุด 00:06:03.188 --> 00:06:05.187 ไม่ใช่สำหรับการได้รับจูบในทันที 00:06:05.187 --> 00:06:08.167 แต่ให้กับการได้รับจูบภายใน 3 วัน 00:06:08.167 --> 00:06:12.414 พวกเขายินดีจะจ่ายแพงขึ้น สำหรับการรอคอย 00:06:12.414 --> 00:06:15.417 แต่พวกเขาไม่ยินดีที่จะรอไปอีก 1 ปี หรือ 10 ปี 00:06:15.417 --> 00:06:16.838 ไม่มีใครต้องการคนดังแก่ๆ 00:06:16.838 --> 00:06:21.627 แต่ 3 วัน เห็นได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม NOTE Paragraph 00:06:21.627 --> 00:06:23.930 แล้วทำไมถึงเป็นเช่นนั้น 00:06:23.930 --> 00:06:27.354 หากคุณได้รับจูบในตอนนี้ มันก็จะเกิดขึ้น และหายไปในทันที 00:06:27.354 --> 00:06:29.304 แต่หากคุณจะได้รับจูบในอีก 3 วันข้างหน้า 00:06:29.304 --> 00:06:33.458 นั่นก็จะเป็น 3 วัน แห่งการรอคอยที่แสนตื่นเต้น 00:06:33.458 --> 00:06:35.327 ลูกศิษย์ของเขาต้องการช่วงเวลาในการรอคอยเช่นนั้น 00:06:35.327 --> 00:06:37.708 ให้พวกเขาได้วาดฝันว่ามันจะเกิดขึ้นที่ไหน 00:06:37.708 --> 00:06:39.337 ว่ามันจะเกิดขึ้นอย่างไร 00:06:39.337 --> 00:06:41.548 การรอคอยอย่างมีหวัง ทำให้พวกเขามีความสุข NOTE Paragraph 00:06:41.548 --> 00:06:45.417 นี่ก็คือเหตุผลว่าทำไมคนจึงชอบวันศุกร์มากกว่าวันอาทิตย์ 00:06:45.417 --> 00:06:47.500 มันเป็นข้อเท็จจริงที่ประหลาดมาก 00:06:47.500 --> 00:06:50.917 เพราะวันศุกร์ เป็นวันทำงาน แต่วันอาทิตย์เป็นวันแห่งความสุข 00:06:50.917 --> 00:06:53.821 ซึ่งคุณจะสันนิษฐานได้ว่าผู้คนน่าจะชอบวันอาทิตย์มากกว่า 00:06:53.821 --> 00:06:55.542 แต่ไม่ใช่ 00:06:55.542 --> 00:06:58.417 มันไม่ใช่เพราะว่าจริง ๆ แล้วพวกเขาชอบไปทำงานมาก 00:06:58.417 --> 00:07:00.384 และพวกเขาไม่สามารถทนที่จะเดินเล่นในสวนสาธารณะ 00:07:00.384 --> 00:07:02.045 หรือทานอาหารสาย ๆ แบบขี้เกียจ ๆ ได้ 00:07:02.045 --> 00:07:04.181 พวกเรารู้ดี เพราะเมื่อคุณถามใครซักคน 00:07:04.181 --> 00:07:06.885 ว่าเค้าชอบวันไหนในสัปดาห์มากที่สุด 00:07:06.885 --> 00:07:09.705 น่าประหลาดใจมากว่าวันเสาร์มาเป็นอันดับแรก 00:07:09.705 --> 00:07:12.625 ตามมาด้วย วันศุกร์และวันอาทิตย์ 00:07:12.625 --> 00:07:14.494 ผู้คนชื่นชอบวันศุกร์ 00:07:14.494 --> 00:07:18.458 เพราะวันศุกร์นำมาซึ่งความหวังในการรอคอย วันหยุดที่กำลังจะมาถึง 00:07:18.458 --> 00:07:20.375 และแผนการทุกอย่างที่คุณวางไว้ 00:07:20.375 --> 00:07:23.079 สำหรับวันอาทิตย์ สิ่งเดียวที่คุณมองเห็น 00:07:23.079 --> 00:07:25.333 คือวันทำงานของสัปดาห์ต่อไป NOTE Paragraph 00:07:25.333 --> 00:07:30.210 ดังนััน ผู้มองโลกในแง่ดีก็คือคนที่คาดหวัง การได้รับจูบอีกครั้งในอนาคต 00:07:30.210 --> 00:07:32.131 หวังจะเดินเล่นในสวนมากขึ้น 00:07:32.131 --> 00:07:36.038 และความสุขที่ได้รอคอยนั้นช่วยทำให้คุณภาพชีวิตของพวกเขาให้ดีขึ้น 00:07:36.038 --> 00:07:39.002 ในความเป็นจริง หากไม่มีการมองโลกแบบมีอคติในเชิงบวกแล้ว 00:07:39.002 --> 00:07:41.752 เราทุกคนอาจมีความซึมเศร้าหดหู่เล็กน้อย 00:07:41.752 --> 00:07:44.019 คนที่มีภาวะซึมเศร้าเล็กน้อยนั้น 00:07:44.019 --> 00:07:46.998 พวกเขาจะไม่มีอคติ เมื่อเขามองออกไปในอนาคต 00:07:46.998 --> 00:07:51.220 จริง ๆ แล้ว พวกเขาอยู่กับโลกแห่งความเป็นจริง มากกว่าคนที่สุขภาพจิตดีซะอีก 00:07:51.220 --> 00:07:53.321 แต่คนที่ซึมเศร้าขั้นรุนแรง 00:07:53.321 --> 00:07:55.150 พวกเขามีอคติและมองโลกในแง่ร้าย 00:07:55.150 --> 00:07:57.613 นั่นทำให้พวกเขาคิดว่าอนาคต 00:07:57.613 --> 00:08:00.090 จะต้องเลวร้ายกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ NOTE Paragraph 00:08:00.090 --> 00:08:03.333 ดังนั้น การมองโลกในแง่ดีจึงเปลี่ยนสิ่งที่เราเห็นในความคิดของเรา 00:08:03.333 --> 00:08:07.083 สิ่งที่พวกเราคาดหวังต่อโลกนี้จึงเปลี่ยนมุมมองที่เรามองโลก 00:08:07.083 --> 00:08:10.325 แต่มันก็ได้เปลี่ยนสิ่งที่เราเห็นในความเป็นจริงด้วย 00:08:10.325 --> 00:08:13.052 มันเป็นเหมือนการพยากรณ์อนาคตของตนเอง 00:08:13.052 --> 00:08:15.120 และนั่นคือเหตุผลข้อที่สาม 00:08:15.120 --> 00:08:18.300 ว่าทำไมการคาดหวังต่ำลงไม่ช่วยทำให้คุณมีความสุขมากขึ้น 00:08:18.300 --> 00:08:20.135 การทดลองภายใต้การควบคุม แสดงให้เราเห็นว่า 00:08:20.135 --> 00:08:23.052 การมองโลกในแง่ดี ไม่ใช่แค่เชื่อมโยงกับความสำเร็จ 00:08:23.052 --> 00:08:24.859 แต่มันนำเราไปสู่ความสำเร็จ 00:08:24.859 --> 00:08:29.729 การมองโลกในแง่ดี นำพาเราไปสู่ความสำเร็จ ในด้านการศึกษา กีฬา และการเมือง 00:08:29.729 --> 00:08:34.204 และประโยชน์ที่น่าแปลกใจที่สุดของการมองโลกในแง่ดี อาจจะเป็นในเรื่องของสุขภาพ 00:08:34.204 --> 00:08:37.529 หากเราคาดหวังถึงอนาคตที่สดใส 00:08:37.529 --> 00:08:40.269 ความตึงเครียด และความกังวลก็จะลดลงไป NOTE Paragraph 00:08:40.269 --> 00:08:44.489 สรุปทั้งหมดแล้ว การมองโลกแง่ดีมีประโยชน์อย่างมาก 00:08:44.489 --> 00:08:47.500 แต่ก็ยังมีคำถามที่ทำให้ฉันสับสน 00:08:47.500 --> 00:08:52.169 ว่าเราจะมองโลกแง่ดี ขณะเผชิญหน้าโลกแห่งความจริงอย่างไร 00:08:52.169 --> 00:08:55.187 ในฐานะที่ฉันเป็นนักประสาทวิทยา นี่เป็นเรื่องที่สับสนอย่างมาก 00:08:55.187 --> 00:08:58.083 เพราะตามทฤษฎีทั้งหมดที่กล่าวมาแล้วนั้น 00:08:58.083 --> 00:09:02.271 เมื่อคุณไม่ได้ตามสิ่งที่คุณคาดหวัง คุณก็ควรเปลี่ยนสิ่งที่คุณหวัง 00:09:02.271 --> 00:09:03.823 แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่เราค้นพบ 00:09:03.823 --> 00:09:07.306 เราขอให้คนกลุ่มนึง มาที่ห้องวิจัยของเรา 00:09:07.306 --> 00:09:10.116 เพื่อทดลอง และค้นหาว่าจะเกิดอะไรขึ้น NOTE Paragraph 00:09:10.116 --> 00:09:12.663 เราขอให้พวกเขาประเมินความเป็นไปได้ 00:09:12.663 --> 00:09:15.167 ที่จะพบเจอเหตุการณ์ร้ายๆ ที่อาจเกิดในชีวิตพวกเขา 00:09:15.167 --> 00:09:19.542 ตัวอย่างเช่น ความเป็นไปได้ที่คุณอาจป่วยเป็นมะเร็ง 00:09:19.542 --> 00:09:21.894 และเราค่อยบอกค่าเฉลี่ยของความเป็นไปได้ 00:09:21.894 --> 00:09:24.875 สำหรับบุคคลอย่างพวกเขาที่จะประสบโชคร้ายเช่นนั้น 00:09:24.875 --> 00:09:28.440 ตัวอย่างเช่น สำหรับโรคมะเร็ง ผลออกมาที่ร้อยละ 30 00:09:28.440 --> 00:09:31.375 จากนั้นเราถามพวกเขาอีกครั้งว่า 00:09:31.375 --> 00:09:34.250 "คุณมีโอกาสเป็นมะเร็ง มากแค่ไหน" NOTE Paragraph 00:09:34.250 --> 00:09:36.498 สิ่งที่เราอยากรู้คือ 00:09:36.498 --> 00:09:39.167 ผู้คนจะใช้ข้อมูลที่เราบอกพวกเขา 00:09:39.167 --> 00:09:41.298 เพื่อเปลี่ยนความเชื่อของเขาหรือไม่ 00:09:41.298 --> 00:09:43.667 และความจริงคือ พวกเขาก็ทำอย่างนั้น 00:09:43.667 --> 00:09:46.248 แต่ส่วนมากเฉพาะเมื่อข้อมูลที่เราบอก 00:09:46.248 --> 00:09:49.079 ดีกว่าสิ่งที่พวกเขาคาดหวังเอาไว้เท่านั้น 00:09:49.079 --> 00:09:50.440 ยกตัวอย่างเช่น 00:09:50.440 --> 00:09:53.350 ถ้ามีคนนึงพูดว่า "โอกาสที่ฉันอาจป่วยเป็นมะเร็ง 00:09:53.350 --> 00:09:55.731 อยู่ที่ร้อยละ 50" 00:09:55.731 --> 00:09:58.252 และเราพูดว่า "เฮ ข่าวดีก็คือ 00:09:58.252 --> 00:10:00.833 ค่าเฉลี่ย อยู่เพียงแค่ร้อยละ 30 เท่านั้น" 00:10:00.833 --> 00:10:02.879 ครั้งต่อไป พวกเขาก็จะพูดว่า 00:10:02.879 --> 00:10:05.594 บางที โอกาสที่พวกเขาอาจจะป่วย น่าจะอยู่ที่ร้อยละ 35 00:10:05.594 --> 00:10:08.230 เห็นได้ว่าพวกเราเรียนรู้ได้เร็วและมีประสิทธิภาพ 00:10:08.230 --> 00:10:10.780 แต่ถ้าใครคนนึง เริ่มต้นพูดว่า 00:10:10.780 --> 00:10:14.183 "โอกาสป่วยเป็นมะเร็งของฉันอยู่ที่ ร้อยละ 10" 00:10:14.183 --> 00:10:16.875 และเราพูดว่า "เฮ ข่าวร้ายก็คือ 00:10:16.875 --> 00:10:19.948 ค่าเฉลี่ย อยู่ที่ร้อยละ 30 ต่างหาก" 00:10:19.948 --> 00:10:22.006 ครั้งต่อไป พวกเขาก็จะพูดว่า 00:10:22.006 --> 00:10:25.125 "ฉันลองคิด ๆ ดูแล้ว มันน่าจะเป็นประมาณร้อยละ 11" NOTE Paragraph 00:10:25.125 --> 00:10:26.815 (เสียงหัวเราะ) NOTE Paragraph 00:10:26.815 --> 00:10:30.134 ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่ได้เรียนรู้อะไร --พวกเขาเรียนรู้-- 00:10:30.134 --> 00:10:32.470 แต่ค่อนข้างน้อยกว่าตอนที่เราให้ 00:10:32.470 --> 00:10:34.943 ข้อมูลเชิงบวกเกี่ยวกับอนาคตแก่พวกเขา 00:10:34.943 --> 00:10:37.977 และไม่ใช่ว่าพวกเขาจำตัวเลขที่เราบอกให้ไม่ได้ 00:10:37.977 --> 00:10:41.050 ทุกๆคนจำได้ว่าค่าเฉลี่ยความเป็นไปได้ของการเป็นมะเร็ง 00:10:41.050 --> 00:10:42.550 อยู่ที่ร้อยละ 30 00:10:42.550 --> 00:10:45.329 และค่าเฉลี่ยความเป็นไปได้ของการหย่าร้างอยู่ที่ร้อยละ 40 00:10:45.329 --> 00:10:49.960 แต่พวกเขาไม่ได้คิดว่าตัวเลขเหล่านั้นจะเกี่ยวข้องกับเขา NOTE Paragraph 00:10:49.960 --> 00:10:54.108 สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า สัญญาณเตือนในลักษณะนี้ 00:10:54.108 --> 00:10:57.000 มีผลกับคนจำนวนไม่มาก 00:10:57.000 --> 00:11:01.159 ใช่ การสูบบุหรี่ทำให้ตาย แต่คนที่ตายส่วนใหญ่คือคนอื่นๆ NOTE Paragraph 00:11:01.159 --> 00:11:03.042 สิ่งที่ฉันต้องการรู้คือ 00:11:03.042 --> 00:11:05.902 เกิดอะไรขึ้น ภายในสมองของมนุษย์ 00:11:05.902 --> 00:11:09.996 ที่กีดขวางเราจากการรับรู้สัญญาณเตือนเหล่านั้น 00:11:09.996 --> 00:11:11.483 แต่ในขณะเดียวกัน 00:11:11.483 --> 00:11:13.461 เมื่อเราได้ยินว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์กำลังเฟื่องฟู 00:11:13.461 --> 00:11:17.577 เราก็คิดว่า "ดีจัง ราคาบ้านของฉันจะต้องสูงเป็นสองเท่าแน่ๆ" 00:11:17.577 --> 00:11:19.662 เพื่อพยายามศึกษาเรื่องนี้ 00:11:19.662 --> 00:11:22.135 ฉันขอให้ผู้เข้าร่วมคนนึง ทำการทดลอง 00:11:22.135 --> 00:11:24.296 โดยเข้าเครื่องสแกนสมอง 00:11:24.296 --> 00:11:25.823 ที่เหมือนเครื่องนี้ 00:11:25.823 --> 00:11:28.854 และใช้วิธีที่เราเรียกว่า เอ็ม อาร์ ไอ 00:11:28.854 --> 00:11:32.460 เราสามารถระบุส่วนของสมอง 00:11:32.460 --> 00:11:35.277 ที่ตอบสนองต่อข้อมูลเชิงบวก NOTE Paragraph 00:11:35.277 --> 00:11:38.856 ส่วนนี้ของสมองเรียกว่า หยักสมองส่วนหน้า ด้านล่างซ้าย 00:11:38.856 --> 00:11:42.644 ดังนั้นเมื่อใครซักคนพูดว่า "ฉันมีโอกาสป่วยเป็นมะเร็ง ร้อยละ 50" 00:11:42.644 --> 00:11:44.500 และเราบอกว่า " เฮ ข่าวดีคือ 00:11:44.500 --> 00:11:46.790 ค่าเฉลี่ยความเป็นไปได้นั้นอยู่ที่ร้อยละ 30 เท่านั้น" 00:11:46.790 --> 00:11:50.362 หยักสมองส่วนหน้า ด้านล่างซ้าย จะตอบสนองอย่างรุนแรง 00:11:50.362 --> 00:11:55.094 และนั่นไม่ได้สำคัญว่าคุณเป็นคนมองโลกแง่ดี มากหรือน้อย 00:11:55.094 --> 00:11:56.915 หรือค่อนข้างมองโลกแง่ร้าย 00:11:56.915 --> 00:11:59.500 หยักสมองส่วนหน้า ด้านล่างซ้าย ของทุกๆคน 00:11:59.500 --> 00:12:01.344 ทำงานได้เป็นอย่างดี 00:12:01.344 --> 00:12:04.250 ไม่ว่าคุณจะเป็น บารัค โอบามา หรือ วู้ดดี้ อัลเลน NOTE Paragraph 00:12:04.250 --> 00:12:05.894 ในอีกด้านหนึ่งของสมอง 00:12:05.894 --> 00:12:10.680 หยักสมองส่วนหน้า ด้านล่างขวา จะตอบสนองต่อข่าวร้าย 00:12:10.680 --> 00:12:14.406 และนี่ก็เป็นประเด็นอีกว่า : มันทำงานได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ 00:12:14.406 --> 00:12:16.421 ยิ่งคุณเป็นคนมองโลกในแง่ดีมากเท่าไหร่ 00:12:16.421 --> 00:12:18.758 ยิ่งมีโอกาสน้อยมากเท่านั้นที่สมองส่วนนี้ 00:12:18.758 --> 00:12:21.740 จะตอบสนองต่อข้อมูลเชิงลบที่คุณไม่ได้คาดคิดเอาไว้ 00:12:21.740 --> 00:12:24.798 และหากสมองของคุณล้มเหลว 00:12:24.798 --> 00:12:28.023 ในการเชื่อมโยงข่าวร้ายในเรื่องอนาคต 00:12:28.023 --> 00:12:32.646 ตอนนั้นก็เหมือนคุณสวมแว่นที่ทำให้คุณมองโลกเป็นสีชมพูอยู่ตลอดเวลา NOTE Paragraph 00:12:32.646 --> 00:12:37.615 ดังนั้นพวกเราจึงต้องการรู้ว่า เราจะเปลี่ยนสิ่งนี้ได้หรือไม่ 00:12:37.615 --> 00:12:41.058 เราจะเปลี่ยนการมองโลกแบบมีอคติในเชิงบวกของผู้คนได้หรือไม่ 00:12:41.058 --> 00:12:44.990 โดยรบกวนการทำงานของสมองตรงส่วนเหล่านี้ 00:12:44.990 --> 00:12:47.585 และ มันมีวิธีที่เราสามารถทำได้ NOTE Paragraph 00:12:47.585 --> 00:12:50.212 นี่คือผู้ร่วมงานของฉัน เรียวตะ คานาอิ 00:12:50.212 --> 00:12:54.167 และสิ่งที่เขากำลังทำคือ ส่งผ่านคลื่นความถี่ 00:12:54.167 --> 00:12:56.286 ผ่านกระโหลกศีรษะของผู้เข้าร่วมในการศึกษาของเรา 00:12:56.286 --> 00:12:58.531 เข้าไปในหยักสมองส่วนหน้า 00:12:58.531 --> 00:13:00.458 และผลที่ได้คือ 00:13:00.458 --> 00:13:03.362 เขาสามารถเปลี่ยนแปลงการทำงานของสมองส่วนนี้ได้ 00:13:03.362 --> 00:13:04.577 ในช่วงระยะเวลาประมาณครึ่งชั่วโมง 00:13:04.577 --> 00:13:07.498 หลังจากนั้น ทุกอย่างก็กลับสู่ความปกติ คุณมั่นใจได้ NOTE Paragraph 00:13:07.498 --> 00:13:09.491 (เสียงหัวเราะ) NOTE Paragraph 00:13:09.491 --> 00:13:12.645 มาดูกันค่ะ ว่าเกิดอะไรขึ้น 00:13:12.645 --> 00:13:14.742 ก่อนอื่น ฉันอยากให้คุณเห็น 00:13:14.742 --> 00:13:17.446 ค่าเฉลี่ยของปริมาณอคติที่เราเห็น 00:13:17.446 --> 00:13:20.269 ดังนั้น ถ้าฉันจะทดสอบพวกคุณทุกคนตอนนี้ 00:13:20.269 --> 00:13:22.063 นี่คือปริมาณที่คุณจะได้เรียนรู้ 00:13:22.063 --> 00:13:25.183 เกี่ยวกับข่าวดีมากกว่าข่าวร้าย 00:13:25.183 --> 00:13:27.667 ตอนนี้พวกเรารบกวนการทำงานของสมองส่วนนี้ 00:13:27.667 --> 00:13:32.134 โดยเราตั้งใจเพิ่มข้อมูลเชิงลบเข้าไป 00:13:32.134 --> 00:13:35.698 และทำให้อคติเชิงบวก ขยายตัวใหญ่ขึ้น 00:13:35.698 --> 00:13:41.168 เราทำให้ผู้คน มีอคติมากขึ้น เวลาที่รับฟังข้อมูล 00:13:41.168 --> 00:13:44.065 จากนั้นเราได้เข้ารบกวนการทำงานของสมอง 00:13:44.065 --> 00:13:47.583 โดยการสอดแทรกข่าวดีลงไป 00:13:47.583 --> 00:13:52.054 ซึ่งทำให้อคติเชิงบวกหายไป 00:13:52.054 --> 00:13:54.062 ผลการทดลองทำให้เราประหลาดใจมาก 00:13:54.062 --> 00:13:56.254 เพราะเราไม่สามารถกำจัด 00:13:56.254 --> 00:13:59.450 อคติที่หยั่งรากลึกลงในสมองมนุษย์ NOTE Paragraph 00:13:59.450 --> 00:14:04.223 และจุดนี้ ทำให้เราหยุดการทดลอง และถามตัวเองว่า 00:14:04.223 --> 00:14:09.325 เรายังต้องการแยกภาพลวงตาเชิงบวก ออกเป็นส่วนย่อยๆอีกหรือไม่ 00:14:09.325 --> 00:14:14.369 ถ้าเราสามารถทำสิ่งนั้นได้ เราจะต้องการขจัดอคติเชิงบวกของมนุษย์ออกไปหรือไม่ 00:14:14.369 --> 00:14:18.969 เราได้บอกคุณไปแล้วเกี่ยวกับผลดีของอคติเชิงบวก 00:14:18.969 --> 00:14:23.290 ซึ่งอาจทำให้คุณอยากมีอคติแบบนั้นในชีวิตของคุณ 00:14:23.290 --> 00:14:25.375 แต่แน่นอน มันยังมีข้อผิดพลาด 00:14:25.375 --> 00:14:28.495 และคงจะเป็นเรื่องโง่มาก ถ้าเรามองข้ามจุดนี้ไป NOTE Paragraph 00:14:28.495 --> 00:14:32.041 ยกตัวอย่างอีเมล์หนึ่งที่ฉันได้รับ 00:14:32.041 --> 00:14:34.735 จากนักผจญเพลิงคนหนึ่ง ในแคลิฟอร์เนีย 00:14:34.735 --> 00:14:38.039 เขาเขียนว่า "การตรวจสอบสาเหตุการตายสำหรับนักผจญเพลิง 00:14:38.039 --> 00:14:42.181 มักรวมถึง 'เราไม่คิดว่าไฟสามารถทำแบบนั้นได้' 00:14:42.181 --> 00:14:44.483 แม้แต่เวลาที่เรามีข้อมูลทุกอย่าง 00:14:44.483 --> 00:14:46.738 อยู่ตรงหน้าเพื่อการตัดสินใจที่ปลอดภัย" 00:14:46.738 --> 00:14:50.612 หัวหน้าทีมคนนี้จะใช้สิ่งที่เราค้นพบจากการมองโลกแบบมีอคติในเชิงบวก 00:14:50.612 --> 00:14:52.804 เพื่อพยายามอธิบายแก่บรรดานักผจญเพลิง 00:14:52.804 --> 00:14:55.013 ว่าพวกเขาทำแบบนั้นไปทำไม 00:14:55.013 --> 00:15:02.139 เพื่อทำให้พวกเขาตระหนักถึงการมองโลกอย่างมีอคติในเชิงบวกของมนุษย์ NOTE Paragraph 00:15:02.139 --> 00:15:07.258 ดังนั้น การที่คนมองโลกสวยงามกว่าความเป็นจริง สามารถนำไปสู่พฤติกรรมที่เสี่ยง 00:15:07.258 --> 00:15:10.896 สู่การล้มของตลาดการเงิน สู่ความผิดพลาดของการวางแผน 00:15:10.896 --> 00:15:13.034 ตัวอย่างเช่น รัฐบาลอังกฤษ 00:15:13.034 --> 00:15:15.708 ได้รู้ว่า อคติในเชิงบวกนั้น 00:15:15.708 --> 00:15:18.995 สามารถทำให้ปัจเจกชน มีโอกาสที่จะ 00:15:18.995 --> 00:15:23.021 ประเมินค่าใช้จ่ายและระยะเวลาของโครงการต่ำกว่าความจริง 00:15:23.021 --> 00:15:27.275 ดังนั้น พวกเขาจึงได้จัดสรร งบประมาณใหม่สำหรับโอลิมปิก 2012 00:15:27.275 --> 00:15:29.386 สำหรับอคติในเชิงบวก NOTE Paragraph 00:15:29.386 --> 00:15:31.573 เพื่อนของฉันที่กำลังจะเข้าพิธีแต่งงานในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า 00:15:31.573 --> 00:15:34.007 ได้ทำสิ่งเดียวกัน ต่องบประมาณที่ใช้ในงานแต่งงานของเขา 00:15:34.007 --> 00:15:37.069 อย่างไรก็ตาม เมื่อฉันถามเขา เกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่เขาจะหย่า 00:15:37.069 --> 00:15:40.629 เขาก็ตอบว่าเขาค่อนข้างมั่นใจว่ามันต้องเป็นศูนย์ NOTE Paragraph 00:15:40.629 --> 00:15:43.046 ดังนั้น สิ่งที่เราควรทำมากที่สุด 00:15:43.046 --> 00:15:47.207 คือต้องคอยดูแลตัวเราเอง จากอันตรายที่อาจเกิดจากการมองโลกในแง่ดีเกินไป 00:15:47.207 --> 00:15:50.435 แต่ขณะเดียวกัน ก็ต้องไม่ลืมดำรงไว้ซึ่งความหวัง 00:15:50.435 --> 00:15:53.279 อันเป็นประโยชน์จากการมองโลกในแง่ดีด้วย 00:15:53.279 --> 00:15:56.083 และฉันเชื่อว่า มันมีทางที่เราสามารถจะทำมันได้ 00:15:56.083 --> 00:15:58.143 กุญแจสำคัญของทั้งหมดนี้คือ ความรู้ 00:15:58.143 --> 00:16:01.454 เราไม่ได้เกิดมา แล้วจะเข้าใจอคติที่เรามีได้ในทันที 00:16:01.454 --> 00:16:05.295 ทั้งหมดนี้ จำต้องถูกระบุด้วยผลการตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์ 00:16:05.295 --> 00:16:09.479 แต่ข่าวดีก็คือ การที่เราตระหนักได้ถึงการมองโลกแบบมีอคติในเชิงบวกนั้ 00:16:09.479 --> 00:16:11.254 ไม่ได้ทำให้ภาพลวงตานั้นแตกสลายไป 00:16:11.254 --> 00:16:12.802 มันเหมือนภาพลวงตาที่เรามองเห็นได้ 00:16:12.802 --> 00:16:16.292 ซึ่งการทำความเข้าใจสิ่งเหล่านี้ ไม่ได้ทำให้มันหายไป 00:16:16.292 --> 00:16:18.529 และนี่ถือเป็นเรื่องดีเพราะมันหมายความว่า 00:16:18.529 --> 00:16:21.002 เราสามารถที่จะควบคุมความสมดุล 00:16:21.002 --> 00:16:23.429 วางแผนการและกฎเกณฑ์ต่าง ๆ 00:16:23.429 --> 00:16:26.212 เพื่อปกป้องตัวเราเองจาก การมองโลกในแง่บวกโดยไม่คิดถึงความเป็นจริง 00:16:26.212 --> 00:16:29.364 แต่ในขณะเดียวกันก็ยังคงไว้ซึ่งความหวัง NOTE Paragraph 00:16:29.364 --> 00:16:32.788 ฉันคิดว่า การ์ตูนรูปนี้สื่อออกมาได้ดีมาก 00:16:32.788 --> 00:16:36.314 เพราะหากคุณคือคนนึงในกลุ่มเพนกวินที่มองโลกในแง่ร้าย ที่อยู่ข้างบนนั้น 00:16:36.314 --> 00:16:38.433 ที่อย่างไรก็ไม่เชื่อว่าพวกเขาสามารถบินได้ 00:16:38.433 --> 00:16:40.792 คุณย่อมไม่สามารถทำได้ตลอดกาล 00:16:40.792 --> 00:16:42.623 เพราะการก่อเกิดความก้าวหน้าใด ๆ 00:16:42.623 --> 00:16:44.973 เราจำเป็นต้องจินตนาการถึงความเป็นจริงในอีกด้านที่แตกต่าง 00:16:44.973 --> 00:16:48.704 และจากนั้น เราจำเป็นต้องเชื่อว่ามันสามารถเป็นจริงขึ้นมาได้ 00:16:48.714 --> 00:16:52.238 แต่ถ้าคุณเป็นหนึ่งในเพนกวินที่มองโลกในแง่ดีมากๆ 00:16:52.238 --> 00:16:55.000 ที่หลับหูหลับตากระโดดลงมา คาดหวังถึงการโบยบิน 00:16:55.000 --> 00:16:59.781 คุณก็อาจรู้ตัวว่าคุณบินไม่ได้ เมื่อคุณกระแทกกับพื้นดิน 00:16:59.781 --> 00:17:01.670 แต่หากคุณยังเป็นเพนกวินที่มองโลกในแง่ดี 00:17:01.670 --> 00:17:03.466 ที่เชื่อว่าคุณสามารถบินได้ 00:17:03.466 --> 00:17:06.129 แต่ก็พกพาร่มชูชีพไปบนหลังของคุณด้วย 00:17:06.129 --> 00:17:09.146 เผื่อในกรณีที่ทุกอย่างไม่ได้เป็นไปตามที่คุณวางแผนไว้ 00:17:09.146 --> 00:17:11.009 คุณก็ยังร่อนทะยานได้อย่างนกอินทรี 00:17:11.009 --> 00:17:14.058 แม้ว่าคุณจะเป็นแค่เพนกวินก็ตาม NOTE Paragraph 00:17:14.058 --> 00:17:15.820 ขอบคุณค่ะ NOTE Paragraph 00:17:15.820 --> 00:17:18.756 (เสียงปรบมือ)