พีเตอร์ แอทเทีย (Peter Attia): ถ้าเราผิดในเรื่องของโรคเบาหวาน
-
0:00 - 0:01ผมจะไม่ลืมวันนั้นเลย
-
0:01 - 0:05ย้อนหลังไปในฤดูใบไม้ผลิปี 2006
-
0:05 - 0:07ตอนนั้นผมเป็นแพทย์ศัลยกรรมฝึกหัด
-
0:07 - 0:09ที่โรงพยาบาลจอห์นส์ ฮอพกินส์
(Johns Hopkins) -
0:09 - 0:11คอยรับคนไข้ฉุกเฉิน
-
0:11 - 0:14ผมถูกเรียกมาที่ห้องฉุกเฉินตอนประมาณตีสอง
-
0:14 - 0:16ให้มาดูหญิงคนหนึ่งที่มีแผลเน่าเปื่อย
จากโรคเบาหวาน -
0:16 - 0:18ที่เท้าของเธอ
-
0:18 - 0:22ผมยังคงจำ แบบว่ากลิ่นของเนื้อที่เน่านั้น
-
0:22 - 0:26เมื่อผมดึงม่านออก เพื่อดูเธอ
-
0:26 - 0:28และทุกๆคนที่นั่นก็เห็นพ้องกันว่าหญิงคนนี้ป่วยมาก
-
0:28 - 0:29และเธอจำเป็นต้องอยู่โรงพยาบาล
-
0:29 - 0:31แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่จะต้องถาม
-
0:31 - 0:33คำถามที่ผมจะถามนั้นต่างออกไป
-
0:33 - 0:37ซึ่งก็คือ จำเป็นต้องตัดขาเธอด้วยหรือไม่
-
0:37 - 0:40เมื่อมองย้อนกลับไปในคืนนั้น
-
0:40 - 0:45ผมอยากเหลือเกินที่จะเชื่อว่า
ผมให้การรักษาผู้หญิงคนนั้น -
0:45 - 0:48ในคืนนั้น ด้วยความรู้สึกเข้าใจและเห็นใจ
-
0:48 - 0:52เหมือนเช่น ที่ผมได้แสดงต่อหญิงสาวอายุ 27 ปี
ที่เพิ่งจะแต่งงาน -
0:52 - 0:54ซึ่งมาที่ห้องฉุกเฉิน เมื่อสามคืนก่อนหน้านั้น
-
0:54 - 0:56ด้วยอาการเจ็บโคนหลัง
-
0:56 - 1:00ซึ่งพบว่ามันเป็นโรคมะเร็งตับอ่อน ที่ลุกลามไปมากแล้ว
-
1:00 - 1:02ในกรณีเธอ ผมรู้ว่าผมไม่สามารถทำอะไรได้เลย
-
1:02 - 1:04จะช่วยชีวิตเธอไว้ได้จริงๆ
-
1:04 - 1:06มะเร็งนั้นได้ลุกลามมากเกินไปแล้ว
-
1:06 - 1:09แต่ผมก็มุ่งมั่นที่จะให้แน่ใจได้ว่า
-
1:09 - 1:11ผมจะทำทุกอย่างที่ทำได้ เพื่อให้เธออยู่รอด
-
1:11 - 1:14อย่างสบายกว่านี้ ผมนำผ้าห่มอุ่นมาให้เธอ
-
1:14 - 1:16และกาแฟหนึ่งถ้วย
-
1:16 - 1:19ผมนำกาแฟมาให้พ่อแม่เธอด้วย
-
1:19 - 1:22แต่ที่สำคัญกว่านะครับ
ผมไม่ได้ด่วนตัดสินประณามเธอ -
1:22 - 1:24เพราะว่าเห็นได้ชัดว่า เธอไม่ได้ทำอะไรผิด
-
1:24 - 1:26ที่เอาโรคนี้มาสู่ตัวเธอเอง
-
1:26 - 1:29ดังนั้น ทำไม เพียงแค่สองสามคืนหลังจากนั้น
-
1:29 - 1:32ขณะที่ผมยืนอยู่ในห้องฉุกเฉินเดิม และตัดสินใจ
-
1:32 - 1:35ว่าคนไข้เบาหวานของผม จำเป็นต้องตัดขา
-
1:35 - 1:39ทำไมผมจึงดูถูกดูแคลนเธออย่างขมขื่่นแบบนั้น
-
1:39 - 1:42ไม่เหมือนดั่งเช่นกับผู้หญิงเมื่อคืนก่อนนั้น
-
1:42 - 1:44หญิงคนนี้เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2
-
1:44 - 1:46เธออ้วน
-
1:46 - 1:47และเราทุกคนรู้ว่า นั่นมาจากการกินมากจนเกินไป
-
1:47 - 1:50และไม่ได้ออกกำลังกายอย่างเพียงพอ ใช่ไหมครับ
-
1:50 - 1:52ผมหมายถึงว่า มันจะยากขนาดไหนกันเชียว
-
1:52 - 1:55เมื่อผมก้มลงมองเธอบนเตียง ผมก็คิดในใจว่า
-
1:55 - 1:58ถ้าคุณแค่พยายามเอาใจใส่ แม้เพียงนิดเดียว
-
1:58 - 2:01คุณก็จะไม่ตกอยู่ในสภาพนี้ ในขณะนี้
-
2:01 - 2:02แพทย์ที่คุณไม่เคยพบเห็นมาก่อน
-
2:02 - 2:06กำลังจะตัดเท้าคุณทิ้ง
-
2:06 - 2:10ทำไมผมจึงรู้สึกว่าถูกต้องแล้ว ที่ตัดสินเธออย่างนั้น
-
2:10 - 2:13ผมอยากจะบอกว่า ผมก็ไม่ทราบ
-
2:13 - 2:15แต่จริงๆแล้ว ผมรู้
-
2:15 - 2:17ด้วยความอวดดีของคนหนุ่ม
-
2:17 - 2:20ผมจึงคิดว่า ผมรู้จักเธอทะลุปรุโปร่ง
-
2:20 - 2:22เธอกินมากเกินไป และเธอก็โชคไม่ดี
-
2:22 - 2:25เธอก็เป็นโรคเบาหวาน จบเรื่อง
-
2:25 - 2:27ถ้าพูดอย่างประชดประชันแล้ว ช่วงเวลานั้น
-
2:27 - 2:29ผมกำลังทำวิจัยโรคมะเร็งอยู่ด้วย
-
2:29 - 2:31เรื่อง การรักษามะเร็งผิวหนัง (melanoma)
โดยใช้รากฐานภูมิคุ้มกัน -
2:31 - 2:35และในโลกวิจัยนั้น
ผมถูกสอนให้ตั้งคำถามกับทุกๆสิ่ง -
2:35 - 2:37ให้ท้าทายกับสมมติฐานทั้งหมด
-
2:37 - 2:41และรักษามันไว้ ให้ได้มาตรฐานวิทยาศาสตร์
สูงสุดเท่าที่จะเป็นได้ -
2:41 - 2:45แต่เมื่อมาถึงเรื่องโรค เช่น โรคเบาหวาน
-
2:45 - 2:48ที่ฆ่าคนอเมริกันไปมากกว่ามะเร็งผิวหนังถึงแปดเท่า
-
2:48 - 2:52ผมไม่เคยข้องใจแม้แต่สักครั้งเดียว ในความรู้เดิมๆ
-
2:52 - 2:55แท้จริงแล้ว ผมแค่ทึกทักเอาเอง
ว่าลำดับพยาธิวิทยาของโรคนั้น [ลำดับอาการ] -
2:55 - 2:57เป็นศาสตร์ที่คงที่ ไม่เปลี่ยนแปลง
-
2:57 - 3:01สามปีต่อจากนั้น ผมก็พบว่าผมผิดไปมากมายเพียงใด
-
3:01 - 3:03แต่ครั้งนี้ ผมเป็นผู้ป่วยซะเอง
-
3:03 - 3:07แม้จะออกกำลังกายสามหรือสี่ชั่วโมงต่อวัน
-
3:07 - 3:10และแม้จะรับประทานอาหาร
ตามที่กำหนดไว้ในพีระมิดอาหาร ทุกประการ -
3:10 - 3:12นํ้าหนักตัวผมก็เพิ่มขึ้น และพัฒนาเป็นบางอย่าง
-
3:12 - 3:14ที่เรียกว่า โรคอ้วนลงพุง (metabolic syndrome)
-
3:14 - 3:16บางท่านอาจจะเคยได้ยินได้ฟังเรื่องนี้มาแล้ว
-
3:16 - 3:19ผมกลายเป็นโรคภาวะดื้อต่ออินซูลิน (insulin-resistant)
-
3:19 - 3:22คุณสามารถคิดถึงอินซูลินได้ว่า เป็นฮอร์โมนตัวสำคัญ
-
3:22 - 3:26ซึ่งควบคุมว่าร่างกายเรา
จะจัดการกับอาหารที่เรากินเข้าไปอย่างไร -
3:26 - 3:28ว่าเราจะเผาผลาญมันไป หรือจะเก็บสะสมมันไว้
-
3:28 - 3:31สิ่งนี้ศัพท์เฉพาะเรียกกันว่า การแบ่งสันปันส่วนพลังงาน
(fuel partitioning) -
3:31 - 3:34ทีนี้ ความล้มเหลวที่จะผลิตอินซูลินให้ได้เพียงพอ
นั้นขัดต่อการดำรงชีวิต -
3:34 - 3:37และ อย่างที่ชื่อของมันบอก ภาวะดื้อต่ออินซูลิน
-
3:37 - 3:39ก็คือ เมื่อเซลล์ของคุณต้านทานมากขึ้นเรื่อยๆ
-
3:39 - 3:43ต่ออิทธิพลของอินซูลิน
-
3:43 - 3:45ทันทีที่คุณเกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน
-
3:45 - 3:46คุณก็กำลังดำเนินไปสู่การเป็นโรคเบาหวาน
-
3:46 - 3:48ซึ่งก็คือ สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อตับอ่อนของคุณ
-
3:48 - 3:52ทำงานไม่ทันกับความต้านทานนั้น
และสร้างอินซูลินได้ไม่พอเพียง -
3:52 - 3:54ทีนี้ ระดับนํ้าตาลในเลือดของคุณก็จะเริ่มสูงขึ้น
-
3:54 - 3:57และบรรดาอากัปอาการทั้งหลายก็พรั่งพรูเข้ามา
-
3:57 - 4:01ชนิดที่ว่าหมุนหลุดการควบคุม และนำไปสู่การเกิดโรคหัวใจ
-
4:01 - 4:04มะเร็ง หรือแม้โรคสมองเสื่อม (Alzheimer)
-
4:04 - 4:09และการตัดอวัยวะ เหมือนกับผู้หญิงคนนั้น
เมื่อสองสามปีก่อน -
4:09 - 4:12ด้วยความกลัว ผมจึงวุ่นอยู่กับ
การเปลี่ยนแปลงอาหารที่ผมทานอย่างสุดๆ -
4:12 - 4:14โดยการเพิ่มและตัด สิ่งที่ถ้าพวกคุณส่วนใหญ่เห็นแล้ว
-
4:14 - 4:17จะแทบช็อกแน่ๆ
-
4:17 - 4:21ผมทำเช่นนั้นและลดนํ้าหนักไป 40 ปอนด์
น่าแปลกนะครับ ในขณะที่ออกกำลังกายน้อยลง -
4:21 - 4:24อย่างที่คุณเห็น ผมคิดว่าผมไม่อ้วนแล้ว
-
4:24 - 4:27แต่ที่สำคัญมากกว่านี้ ผมไม่มีอาการภาวะดื้อต่ออินซูลิน
-
4:27 - 4:29แต่ที่สำคัญที่สุดนั้น ผมยังคงถูกทิ้งไว้กับ
-
4:29 - 4:32คำถามสามข้อที่แผดเผาผมอยู่
แบบไม่มอดดับไปไหน -
4:32 - 4:35สิ่งนี้เกิดกับผมได้อย่างไร ในเมื่อดูเหมือนว่าผม
-
4:35 - 4:38ได้ทำทุกสิ่งอย่างถูกต้องแล้ว
-
4:38 - 4:41ถ้าความรู้เดิมๆเกี่ยวกับโภชนาการ
ทำให้ผมผิดพลาด -
4:41 - 4:44จะเป็นไปได้หรือไม่ ที่มันก็ทำให้คนอื่นผิดพลาดมาเช่นกัน
-
4:44 - 4:46และด้วยพื้นฐานสำคัญที่ซ่อนอยู่ในคำถามเหล่านี้
-
4:46 - 4:50ผมเกือบที่จะหมกมุ่นกับมันอย่างบ้าคลั่ง
-
4:50 - 4:52ในความพยายามที่จะเข้าใจ ความสัมพันธ์ที่แท้จริง
-
4:52 - 4:56ระหว่างโรคอ้วน กับภาวะดื้อต่ออินซูลิน
-
4:56 - 4:59ปัจจุบัน นักวิจัยส่วนมากเชื่่อว่าโรคอ้วน
-
4:59 - 5:02เป็นสาเหตุของภาวะดื้อต่ออินซูลิน
-
5:02 - 5:04โดยตรรกะแล้ว ถ้าคุณต้องการรักษาภาวะดื้อต่ออินซูลิน
-
5:04 - 5:06คุณก็ให้คนลดนํ้าหนัก ใช่หรือไม่ครับ
-
5:06 - 5:09คุณรักษาโรคอ้วน
-
5:09 - 5:12ถ้าเราทำมันย้อนกลับล่ะ
-
5:12 - 5:15แล้วถ้าโรคอ้วน
ไม่ได้เป็นสาเหตุของภาวะดื้อต่ออินซูลินเลย -
5:15 - 5:19แต่ที่จริงแล้ว ถ้ามันเป็นอาการหนึ่ง
ของปัญหาที่อยู่ลึกลงไปมากกว่านั้น -
5:19 - 5:22เป็นดั่ง แค่ปลายยอดของภูเขานํ้าแข็งล่ะ
-
5:22 - 5:24ผมก็รู้ว่า ฟังดูมันไม่เข้าท่า
เพราะเป็นที่ชัดเจนว่าเราอยู่ท่ามกลาง -
5:24 - 5:28การระบาดของโรคอ้วน แต่ฟังผมก่อนนะครับ
-
5:28 - 5:31แล้วถ้าโรคอ้วนเป็นกลไกเพื่อรับมือ
-
5:31 - 5:34กับปัญหาที่ร้ายแรงมากกว่าสิ่งที่กำลังเป็นอยู่
-
5:34 - 5:36ภายในเซลล์นั้นล่ะ
-
5:36 - 5:38ผมไม่ได้แนะว่าโรคอ้วนนั้นไม่เป็นอันตราย
-
5:38 - 5:41แต่สิ่งที่ผมกำลังเสนอแนะอยู่ขณะนี้ก็คือ
มันอาจจะร้ายแรงน้อยกว่า -
5:41 - 5:43เมื่อเทียบกับการเผาผลาญอาหารที่ผิดปกตินั้น
-
5:43 - 5:46คุณอาจคิดถึงภาวะดื้อต่ออินซูลินได้ว่า
เหมือนกับความสามารถที่ลดลง -
5:46 - 5:48ของตัวเราเองในการแบ่งเชื้อพลังงาน
-
5:48 - 5:51ตามที่ได้พูดเป็นนัยไว้แล้วเมื่อครู่นี้
-
5:51 - 5:52เอาพลังงานจากที่เรารับประทานเข้าไป
-
5:52 - 5:56เผาผลาญไปบ้างอย่างพอเหมาะ
และเก็บเอาไว้บ้างอย่างพอเหมาะ -
5:56 - 5:58แต่เมื่อเราเป็นโรคภาวะดื้อต่ออินซูลิน
-
5:58 - 6:01ความสมดุลย์ในร่างกายเบี่ยงเบนไปจากภาวะธำรงดุลย์
(homeostasis) -
6:01 - 6:03ดังนั้น เมื่ออินซูลินบอกกับเซลล์ว่า
-
6:03 - 6:05ฉันต้องการให้คุณเผาผลาญพลังงานให้มากขึ้น
-
6:05 - 6:08มากกว่าที่เซลล์นั้นพิจารณาว่าปลอดภัย
เซลล์ตัวนั้นก็ต้องบอกว่า -
6:08 - 6:12"ไม่ได้ครับ จริงๆผมควรจะสะสมพลังงานนี้ไว้มากกว่า"
-
6:12 - 6:14และเพราะว่า จริงๆแล้วเซลล์ไขมัน (fat cell) จะขาด
-
6:14 - 6:17กลไกเซลล์ที่ซับซ้อนส่วนใหญ่ที่พบได้ในเซลล์อื่นๆ
-
6:17 - 6:19มันจึงน่าจะเป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุด ที่จะเก็บสะสมพลังงานไว้
-
6:19 - 6:24ดังนั้น สำหรับพวกเราจำนวนมาก
คนอเมริกันประมาณ 75 ล้านคน -
6:24 - 6:28การตอบรับที่เหมาะสม ต่อภาวะดื้อต่ออินซูลิน
-
6:28 - 6:33ที่่จริงแล้ว อาจเป็นการเก็บสะสมพลังงานไว้
ในรูปไขมัน ไม่ใช่ในทางกลับกัน -
6:33 - 6:38กล่าวคือ การเป็นโรคภาวะดื้อต่ออินซูลิน
เพื่อตอบสนองต่ออาการอ้วนขึ้น -
6:38 - 6:40สิ่งนี้เป็น ที่จริงแล้วไม่ได้ชัดเจนนัก
-
6:40 - 6:44แต่ผลจากมันอาจเป็นอะไรที่ลึกซึ้ง
-
6:44 - 6:46ลองพิจารณาการเปรียบเทียบต่อไปนี้ดู
-
6:46 - 6:49คิดถึงรอยฟกชํ้าที่หน้าแข้งของคุณ
-
6:49 - 6:53เมื่อคุณเลินเล่อเอาขาไปกระแทกกับโต๊ะกาแฟ
-
6:53 - 6:56แน่นอน รอยฟกชํ้านั้นเจ็บปวดนัก
และค่อนข้างจะแน่ใจได้ว่า -
6:56 - 6:59คุณคงไม่ชอบสีที่เปลี่ยนไปนั้น แต่เราทุกคนรู้ว่า
-
6:59 - 7:02รอยฟกชํ้าโดยตัวของมันเองแล้ว ไม่ใช่ปัญหา
-
7:02 - 7:06ความจริง มันตรงกันข้าม
มันเป็นการตอบรับที่ดีต่ออาการบาดเจ็บ -
7:06 - 7:09เซลล์ภูมิคุ้มกันทั้งหลายนั้น
รีบเร่งไปยังที่ที่ได้รับบาดเจ็บ -
7:09 - 7:12เพื่อกอบกู้เศษชิ้นส่วนของเซลล์
และป้องกันการแพร่กระจาย -
7:12 - 7:14ของการอักเสบไปยังส่วนอื่นของร่างกาย
-
7:14 - 7:18เอาละ ลองจินตนาการดูว่า
ถ้าเราคิดว่ารอยฟกชํ้าเป็นปัญหา -
7:18 - 7:21และเราได้พัฒนาสถาบันทางการแพทย์ที่ยิ่งใหญ่
-
7:21 - 7:24และแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการรักษาโรคฟกชํ้า ซึ่งได้แก่
-
7:24 - 7:27การพอกด้วยครีม ทานยาแก้ปวด และอื่นๆ
-
7:27 - 7:30ในขณะที่ไม่สนใจกับข้อเท็จจริงที่ว่า ผู้คนนั้น
-
7:30 - 7:33ก็ยังคงเอาหน้าแข้งไปกระแทกกับโต๊ะกาแฟ
อยู่เหมือนเดิม -
7:33 - 7:36มันดีกว่าเพียงใด ถ้าเรารักษาที่ต้นเหตุ--
-
7:36 - 7:38ด้วยการบอกผู้คนให้เอาใจใส่
-
7:38 - 7:40เมื่อพวกเขาเดินอยู่ในห้องนั่งเล่น--
-
7:40 - 7:43มากกว่าจะสนใจแผลฟกช้ำที่เกิดนั้น
-
7:43 - 7:45การได้มาซึ่งสาเหตุและผลที่ถูกต้อง
-
7:45 - 7:47ทำให้เกิดความแตกต่างขึ้นในโลกนี้
-
7:47 - 7:50ถ้ามันไม่ถูกต้อง อุตสาหกรรมยา
-
7:50 - 7:53ก็ยังคงทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำให้กับผู้ถือหุ้นในบริษัท
-
7:53 - 7:57แต่สำหรับคนที่หน้าแข้งฟกชํ้าแล้ว มันไม่มีอะไรดีขึ้นเลย
-
7:57 - 8:00เหตุและผล
-
8:00 - 8:02ดังนั้นสิ่งที่ผมกำลังจะแนะก็คือ
-
8:02 - 8:04มันอาจเป็นไปได้ว่า เราได้มาซึ่งเหตุและผลที่ไม่ถูกต้อง
-
8:04 - 8:07ในเรื่องโรคอ้วนและโรคภาวะดื้อต่ออินซูลิน
-
8:07 - 8:09บางที่ เราควรจะถามตัวเองว่า
-
8:09 - 8:13เป็นไปได้หรือไม่ที่ ภาวะดื้อต่ออินซูลิน
ทำให้เกิดนํ้าหนักตัวเพิ่มขึ้น -
8:13 - 8:15และทำให้เกิดโรคที่เกี่ยวข้องกับโรคอ้วน
-
8:15 - 8:16อย่างน้อยที่สุดก็กับผู้คนส่วนมาก
-
8:16 - 8:19ถ้าหากการเป็นโรคอ้วนนั้น
เป็นเพียงการเผาผลาญในร่างกายที่ตอบรับ -
8:19 - 8:22ต่อบางสิ่งบางอย่างที่มีผลคุกคามกว่านั้นมาก
-
8:22 - 8:24โรคระบาดที่ซ่อนอยู่
-
8:24 - 8:26ที่เราควรจะปริวิตกกับมัน
-
8:26 - 8:28เราลองมาดูข้อเท็จจริงเชิงเสนอแนะบางข้อ
-
8:28 - 8:30เราทราบว่า ในสหรัฐอเมริกา
-
8:30 - 8:33คนอเมริกัน30 ล้านคนที่อ้วน ไม่ได้เป็นโรคภาวะดื้อต่ออินซูลิน
-
8:33 - 8:35และอีกอย่าง พวกเขานั้น ดูเหมือนจะไม่ได้มี
-
8:35 - 8:38ความเสี่ยงต่อโรคอะไรไปมากกว่าคนที่ผอมเลย
-
8:38 - 8:41ในทางกลับกัน เราทราบว่าคนผอมหกล้านคน
-
8:41 - 8:45ในสหรัฐอเมริกา เป็นโรคภาวะดื้อต่ออินซูลิน
-
8:45 - 8:48และ พวกเขาดูเหมือนจะมีความเสี่ยง
-
8:48 - 8:50กับโรคเกี่ยวกับการเผาผลาญพวกนั้น
ที่ผมได้กล่าวถึงเมื่อสักครู่นี้ -
8:50 - 8:52ยิ่งกว่าเพื่อนๆที่อ้วนของเขาเสียอีก
-
8:52 - 8:54ขณะนี้ ผมไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร แต่อาจเป็นเพราะว่า
-
8:54 - 8:57ในกรณีของเขาเหล่านั้น เซลล์ของเขา จริงๆมิอาจรู้
-
8:57 - 9:00ว่าจะปฎิบัติให้ถูกต้องอย่างไรกับพลังงานที่มากเกินไปนั้น
-
9:00 - 9:03ดังนั้น ถ้าคุณอ้วน
โดยไม่เป็นโรคภาวะดื้อต่ออินซูลิน -
9:03 - 9:05และคุณผอมแต่เป็นโรคนั้น
-
9:05 - 9:09สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่า โรคอ้วนอาจจะเป็นแค่เพียงตัวแทน
ที่ทำให้เห็น -
9:09 - 9:12ว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นอยู่
-
9:12 - 9:15ดังนั้น เป็นไปได้ไหมที่เรากำลังทำสงครามผิดเป้าหมาย
-
9:15 - 9:19ต่อสู้โรมรันกับโรคอ้วน
แทนที่จะไปต่อสู้กับภาวะดื้อต่ออินซูลิน -
9:19 - 9:22ที่แย่ไปกว่านั้น
ถ้าการกล่าวโทษความอ้วน -
9:22 - 9:25คือการที่เรากำลังกล่าวโทษเหยื่อที่เป็นโรคนั้นล่ะ
-
9:25 - 9:28ถ้าแนวคิดพื้นฐานของเราเรื่องโรคอ้วนนั้น
-
9:28 - 9:30มันเป็นเพียงความผิดพลาดล่ะ
-
9:30 - 9:34โดยส่วนตัวแล้ว ผมไม่สามารถ
ที่จะมีความหยิ่งยะโสอย่างสุดโต่งได้อีกต่อไปแล้ว -
9:34 - 9:37อย่าว่าแต่ความความแน่ใจอันสุดโต่งเลย
-
9:37 - 9:40ผมมีแนวคิดของตัวเอง เกี่ยวกับสิ่งที่อาจเป็น
หัวใจสำคัญของเรื่องนี้ -
9:40 - 9:42แต่ผมก็เปิดกว้างต่อความคิดอื่นๆด้วย
-
9:42 - 9:44เพราะว่าทุกๆคนถามผมอยู่เสมอ
สมมติฐานของผม -
9:44 - 9:46ก็คือ
-
9:46 - 9:49ถ้าคุณถามตัวเองว่า เซลล์พยายามจะปกป้องตัวมันเองจากอะไร
-
9:49 - 9:51เมื่อมันเป็นโรคภาวะดื้อต่ออินซูลิน
-
9:51 - 9:54คำตอบไม่น่าจะเป็น อาหารที่มากเกินไป
-
9:54 - 9:57น่าจะเป็น กลูโคสที่มากเกินไป เช่น นํ้าตาลในเลือด
-
9:57 - 9:59ทีนี้ เราทราบว่าข้าวที่สีจนขาว และแป้ง
-
9:59 - 10:02ทำให้นํ้าตาลในเลือดสูงขึ้นในเวลาสั้นๆ
-
10:02 - 10:03และมีเหตุผลที่จะเชื่อได้เสียด้วยว่า นํ้าตาล
-
10:03 - 10:06อาจจะนำไปสู่ภาวะดื้อต่ออินซูลินโดยตรง
-
10:06 - 10:10ดังนั้น ถ้าให้กระบวนการสรีรวิทยาพวกนี้ทำหน้าที่
-
10:10 - 10:14ผมก็จะตั้งสมมติฐานว่า อาจเป็นการบริโภคที่เพิ่มขึ้น
-
10:14 - 10:17ในอาหารจำพวก เมล็ดพืชที่ขัดจนขาว นํ้าตาลและแป้ง
ที่ผลักดันให้เกิด -
10:17 - 10:21การระบาดของโรคอ้วน และโรคเบาหวาน
-
10:21 - 10:23แต่โดยผ่านทางภาวะดื้อต่ออินซูลิน
-
10:23 - 10:27ครับ และไม่จำเป็นต้อง แค่โดยการกินมากเกินไป
และออกกำลังกายน้อยเกินไป -
10:27 - 10:30ตอนที่ผมนํ้าหนักลดลงไป 40 ปอนด์
เมื่อสองสามปีก่อนนั้น -
10:30 - 10:32ผมทำเพียงแค่จำกัดสิ่งเหล่านั้น
-
10:32 - 10:36ซึ่งเป็นนัยให้ยอมรับว่า ผมมีอคติ
-
10:36 - 10:38จากพื้นฐานประสบการณ์ส่วนตัวของผม
-
10:38 - 10:41แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า อคติของผมนั้นผิด
-
10:41 - 10:45และที่สำคัญที่สุด ทุกอย่างนี้สามารถทดสอบได้
ทางวิทยาศาสตร์ -
10:45 - 10:48แต่ขั้นแรกคือ การยอมรับความเป็นไปได้
-
10:48 - 10:50ว่าความเชื่อในปัจจุบันของเราเรื่องโรคอ้วน
-
10:50 - 10:53โรคเบาหวาน และภาวะดื้อต่ออินซูลิน อาจจะผิดก็ได้
-
10:53 - 10:56ด้วยเหตุนี้ จึงต้องมีการทดสอบ
-
10:56 - 10:58ผมขอเอาอาชีพของผมเป็นเดิมพัน
-
10:58 - 11:03ทุกวันนี้ ผมอุทิศเวลาทั้งหมดของผม
ในการทำงานแก้ปัญหานี้ -
11:03 - 11:06และผมจะย่างไม่ว่าที่ใดก็ตามที่วิทยาศาสตร์พาผมไป
-
11:06 - 11:09ผมได้ตัดสินใจแล้วว่า สิ่งที่ผมทำไม่ได้
และจะไม่ทำอีกต่อไปนั้น -
11:09 - 11:12คือ แสร้งทำเป็นว่าผมมีคำตอบ
ในขณะที่ผมไม่มี -
11:12 - 11:16ผมได้ถูกทำให้อ่อนน้อมถ่อมตัวเพียงพอแล้ว
โดยทุกๆคนที่ผมไม่รู้จัก -
11:16 - 11:19ในปีที่แล้ว ผมโชคดีเพียงพอ
-
11:19 - 11:22ที่ได้ทำงานแก้ปัญหานี้ กับกลุ่มวิจัยที่น่าทึ่งที่สุดในประเทศ
-
11:22 - 11:25เรื่องโรคเบาหวานและโรคอ้วน
-
11:25 - 11:27และส่วนที่ดีที่สุดก็คือ
-
11:27 - 11:31เหมือนกับอับราฮัม ลินคอล์น
ที่ล้อมรอบตัวเองด้วยทีมคู่แข่ง -
11:31 - 11:32เราก็ได้ทำสิ่งเดียวกันนั้น
-
11:32 - 11:35เรารับกลุ่มคู่แข่งทางวิทยาศาสตร์ เข้ามาทำงาน
-
11:35 - 11:39คนที่ดีที่สุดและฉลาดที่สุด
ซึ่งทั้งหมดมีสมมติฐานที่แตกต่างกัน -
11:39 - 11:40ต่อเรื่องที่เป็นหัวใจสำคัญของโรคระบาดนี้
-
11:40 - 11:43บางคนคิดว่า มันเป็นการบริโภคแคลอรี่มากเกินไป
-
11:43 - 11:45คนอื่นๆคิดว่า มันเป็นไขมันในอาหารที่มากเกินไป
-
11:45 - 11:49คนอื่นๆคิดว่า เป็นเมล็ดพืชที่ขัดจนขาวและแป้งที่มากเกินไป
-
11:49 - 11:51แต่กลุ่มที่มาจากหลากหลายสาขาวิชา
-
11:51 - 11:54นักวิจัยที่ช่างสงสัย
และมีพรสวรรค์มากเหลือเกินนี้ -
11:54 - 11:57เห็นตรงกันได้ในสองเรื่อง
-
11:57 - 12:00ประการแรก ปัญหานี้สำคัญเกินกว่า
-
12:00 - 12:03จะเพิกเฉยต่อไปอีก เพราะว่าเราคิดว่าเรารู้คำตอบแล้ว
-
12:03 - 12:06ประการที่สอง ถ้าเราเต็มใจยอมรับว่ามันผิด
-
12:06 - 12:08ถ้าเราเต็มใจที่จะท้าทายความรู้แบบเดิมๆนั้น
-
12:08 - 12:11ด้วยการทดลองที่ดีที่สุด ที่วิทยาศาตร์นั้นจะมีให้
-
12:11 - 12:14เราก็จะสามารถแก้ปัญหานี้ได้
-
12:14 - 12:17ผมทราบว่า มันเย้ายวนใจที่เอาคำตอบในตอนนี้
-
12:17 - 12:21ในรูปแบบของการปฏิบัติหรือนโยบาย
คำสั่งควบคุมอาหารจากแพทย์ บางอย่าง เช่น -
12:21 - 12:23กินนี่สิ นั่นกินไม่ได้
-
12:23 - 12:25แต่ถ้าเราต้องการที่จะได้คำตอบที่ถูกต้อง
-
12:25 - 12:27เราจะต้องทำงานวิทยาศาสตร์ที่เคร่งครัดยิ่งกว่านี้มาก
-
12:27 - 12:30ก่อนที่เราจะสามารถเขียนใบสั่งยาได้
-
12:30 - 12:32โดนสรุป เพื่อจัดการปัญหานี้ โครงการวิจัยของเรา
-
12:32 - 12:35จึงเน้นไปยังแนวคิดหลัก หรือคำถามสามข้อ
-
12:35 - 12:38ข้อแรก อาหารต่างๆที่เราบริโภคเข้าไป
-
12:38 - 12:41ส่งผลกระทบต่อการเผาผลาญ ฮอร์โมนและเอ็นไซม์ อย่างไร
-
12:41 - 12:44และผ่านทางกลไกระดับโมเลกุลแตกต่างกันอย่างไรบ้าง
-
12:44 - 12:46ข้อสอง จากพื้นฐานความเข้าใจอย่างถ่องแท้เหล่านี้
-
12:46 - 12:49ผู้คนจะสามารถทำการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ
ในเรื่องอาหารที่รับประทาน -
12:49 - 12:53ในวิธีการที่ปลอดภัยและนำไปปฏิบัติได้จริงหรือไม่
-
12:53 - 12:56และข้อสุดท้าย ทันทีที่เราระบุได้ว่า
อะไรที่ปลอดภัย -
12:56 - 12:59และสามารถนำไปใช้
ในการควบคุมอาหารของตนได้แล้ว -
12:59 - 13:03เราจะทำอย่างไรจึงจะเปลี่ยนพฤติกรรมของพวกเขา
ให้ไปในทิศทางนั้นได้ -
13:03 - 13:05เพื่อที่มันจะได้เป็นมาตราฐาน
-
13:05 - 13:07มากกว่าที่จะเป็นข้อยกเว้น
-
13:07 - 13:09เพียงแค่เพราะว่าคุณรู้ว่าจะทำอะไร
ไม่ได้หมายความว่า -
13:09 - 13:11คุณจะทำสิ่งนั้นอยู่เสมอๆ
-
13:11 - 13:13บางครั้งเราต้องเอาสิ่งกระตุ้นทั้งหลายไว้รอบๆผู้คน
-
13:13 - 13:15เพื่อให้ง่ายขึ้น และเชื่่อหรือไม่ครับ
-
13:15 - 13:19ว่าสิ่งนั้นสามารถศึกษาได้ในเชิงวิทยาศาสตร์
-
13:19 - 13:21ผมไม่รู้ว่า การเดินทางครั้งนี้จะสิ้นสุดลงอย่างไร
-
13:21 - 13:26แต่สิ่งนี้ อย่างน้อยที่สุดก็
ดูจะชัดเจนอย่างมากสำหรับผม -
13:26 - 13:31เราจะกล่าวโทษคนไข้ของเรา ที่อ้วนเกินไป
และเป็นเบาหวานไม่ได้อีกต่อไป -
13:31 - 13:33เหมือนที่ผมเคยทำมาแล้ว
-
13:33 - 13:36จริงๆแล้ว พวกเขาส่วนมากต้องการทำในสิ่งที่ถูกต้อง
-
13:36 - 13:39แต่พวกเขาต้องรู้ว่า สิ่งนั้นคืออะไร
-
13:39 - 13:42และมันจะต้องใช้ได้ผล
-
13:42 - 13:47ผมฝันว่า สักวันหนึ่งเมื่อคนไข้ของเราสามารถ
-
13:47 - 13:49สลัดนํ้าหนักที่มากเกินไปของเขาทิ้งไป
-
13:49 - 13:51และรักษาตัวเองจากภาวะดื้อต่ออินซูลินได้
-
13:51 - 13:54เพราะว่า ในฐานะที่เป็นผู้ประกอบวิชาชีพทางการแพทย์
-
13:54 - 13:56เราได้สลัดความเชื่อและทัศนคติในอดึต
ที่มากเกินของเราทิ้งไปแล้ว -
13:56 - 13:59และรักษาตัวเราเองจากการต่อต้านความคิดใหม่ๆ
ได้อย่างพอเพียงแล้ว -
13:59 - 14:03เพื่อที่จะกลับไปยังอุดมการณ์ดั้งเดิมของเรา ซึ่งก็คือ
-
14:03 - 14:07ใจที่เปิดกว้าง มีความกล้าที่จะโยนทิ้งความคิดเก่าๆ
ของวันวานไปเสีย -
14:07 - 14:10เมื่อสิ่งเหล่านั้นดูจะใช้การไม่ได้แล้ว
-
14:10 - 14:13และความเข้าใจที่ว่าความถูกต้องทางวิทยาศาสตร์นั้น
ไม่ได้เป็นจุดสิ้นสุด -
14:13 - 14:16แต่มันค่อยๆเปลี่ยนไปตลอดเวลา
-
14:16 - 14:19การคงไว้ซึ่งความเชื่อมั่นในแนวทางนี้
จะเป็นประโยชน์กว่าต่อคนไข้ของเรา -
14:19 - 14:23และต่อวิทยาศาสตร์
-
14:23 - 14:26ถ้าโรคอ้วนไม่ใช่อะไรที่มากไปกว่า เป็นตัวแทนของอาการ
-
14:26 - 14:28เจ็บป่วยเกี่ยวกับการเผาผลาญของร่างกาย
-
14:28 - 14:33มันจะดีอย่างไร ที่จะไปลงโทษ
คนที่มีอาการนั้น -
14:33 - 14:37บางครั้ง ผมก็คิดย้อนกลับไปในคืนนั้น ในห้องฉุกเฉิน
-
14:37 - 14:40เมื่อเจ็ดปีที่แล้ว
-
14:40 - 14:43ผมหวังว่าจะได้พูดกับผู้หญิงคนนั้นอีก
-
14:43 - 14:47ผมอยากจะบอกเธอให้รู้ว่า ผมเสียใจเพียงใด
-
14:47 - 14:50ในฐานะที่เป็นแพทย์ ผมอยากจะพูดว่า ผมได้ให้
-
14:50 - 14:53การรักษาในสถานพยาบาลอย่างดีที่สุด
เท่าที่ผมจะทำได้ -
14:53 - 14:57แต่ในฐานะที่เป็นมนุษย์
-
14:57 - 14:59ผมทำให้คุณผิดหวัง
-
14:59 - 15:04คุณไม่ต้องการการตัดสิน และการดูแคลนจากผม
-
15:04 - 15:08คุณต้องการความเข้าใจ และความเห็นอกเห็นใจจากผม
-
15:08 - 15:10และเหนือสิ่งอื่นใด คุณต้องการแพทย์
-
15:10 - 15:13ที่เต็มใจที่จะพิจารณาว่า
-
15:13 - 15:16บางทีคุณไม่ได้ทำให้ระบบนั้นผิดหวัง
-
15:16 - 15:19บางทีระบบนั้น ซึ่งผมเป็นส่วนหนึ่ง
-
15:19 - 15:22ทำให้คุณผิดหวัง
-
15:22 - 15:24ถ้าคุณกำลังดูอยู่ในขณะนี้
-
15:24 - 15:29ผมหวังว่าคุณจะยกโทษให้ผมนะครับ
-
15:29 - 15:33(เสียงปรบมือ)
- Title:
- พีเตอร์ แอทเทีย (Peter Attia): ถ้าเราผิดในเรื่องของโรคเบาหวาน
- Speaker:
- Peter Attia
- Description:
-
ในฐานะแพทย์ผ่าตัดหนุ่ม พีเตอร์ แอทเทีย รู้สึกดูถูกคนไข้ที่เป็นโรคเบาหวานคนหนึ่ง เขาคิดว่า เธอนํ้าหนักตัวมากเกินไป ดังนั้นจึงต้องรับผิดชอบกับความเป็นจริงที่ว่า เธอต้องถูกตัดเท้าทิ้ง แต่หลายปีหลังจากนั้น แอทเทียได้รับเรื่องแปลกใจทางการแพทย์ที่ไม่น่าสบายใจ ซึ่งได้นำเขาไปสู่ความฉงนสงสัยว่า
ความเข้าใจเรื่องโรคเบาหวานของเรานั้นถูกต้องแล้วหรือ
ลางบอกสาเหตุของโรคเบาหวานคือโรคอ้วนใช่หรือ และไม่ใช่ในทางกลับกันหรือ
มาดูกันว่า สมมติฐานที่มีอยู่อาจจะนำเราไปสู่การทำสงครามทางการแพทย์ที่ผิดๆได้อย่างไร - Video Language:
- English
- Team:
closed TED
- Project:
- TEDTalks
- Duration:
- 15:58
![]() |
Kelwalin Dhanasarnsombut approved Thai subtitles for Is the obesity crisis hiding a bigger problem? | |
![]() |
Kelwalin Dhanasarnsombut accepted Thai subtitles for Is the obesity crisis hiding a bigger problem? | |
![]() |
Kelwalin Dhanasarnsombut edited Thai subtitles for Is the obesity crisis hiding a bigger problem? | |
![]() |
Kelwalin Dhanasarnsombut commented on Thai subtitles for Is the obesity crisis hiding a bigger problem? | |
![]() |
Kelwalin Dhanasarnsombut edited Thai subtitles for Is the obesity crisis hiding a bigger problem? | |
![]() |
Kelwalin Dhanasarnsombut edited Thai subtitles for Is the obesity crisis hiding a bigger problem? | |
![]() |
yamela areesamarn edited Thai subtitles for Is the obesity crisis hiding a bigger problem? | |
![]() |
yamela areesamarn edited Thai subtitles for Is the obesity crisis hiding a bigger problem? |
Kelwalin Dhanasarnsombut
Thanks for your translation ka. I love it lots, especially the tone ka :)
I have made few changes, basically cut it down to make it simple, correct some word functions and order, and some that I know the specific technical terms (such as fat cell = เซลล์ไขมัน ka). Let me know what do you think na ka. It's good work ka. I hope you don't mind my change na ka :)
Best :)