-
สวัสดีค่ะ วิวจากแชนเนล Point of View ค่ะ
-
วันนี้ฉากหลังดูแปลกตานะคะ
-
เพราะว่าตอนนี้วิวกลับมาอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่นอีกครั้งนึงแล้วค่ะ
-
แล้วตอนนี้ก็ไม่อยู่เมืองเดิมด้วย ตอนนี้ย้ายเมืองใหม่อีกแล้วค่ะ
-
อยู่ที่เมืองนีงะตะนะคะ
-
ถามว่ามาทำอะไรที่นีงะตะ
-
บอกเลยว่าช่วงนี้วิวเห็นหลายๆ คนสนใจหัวข้อๆ นึง
เกี่ยวกับประเทศญี่ปุ่นค่ะ
-
นั่นก็คือเรื่องของ โออิรัน นั่นเอง
-
ดังนั้นวิวก็เลยมาที่นีงะตะนะคะ
-
ซึ่งที่นี่ต้องบอกว่าเป็นย่านๆ นึง
ที่เคยมีโออิรันอยู่จริงในอดีตนะคะ
-
แล้วก็เป็นย่านที่มีชื่อเสียงมากๆ ค่ะ
-
และแถวนี้ไม่ใช่มีแค่โออิรันนะคะ
แต่ว่ามีอะไรที่น่าสนใจอีกเพียบเลยค่ะ
-
ดังนั้นวิวก็เลยอยากพาทุกคนมาเที่ยวที่นี่เนี่ยแหละค่ะ
-
อย่าลืมกดติดตามวิวให้ครบทุกช่องทางนะคะ จะได้ไม่พลาดข่าวสารดีๆ แล้วก็คลิปวิดีโอสนุกๆ จากช่อง Point of View
-
พร้อมจะไปฟังเรื่องราวที่ทั้งสนุกแล้วก็ได้สาระกันหรือยังคะ ถ้าพร้อมกันแล้วก็ไปฟังกันเลยค่ะ
-
นีงะตะเป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่ในภูมิภาคชูบุของญี่ปุ่น
ก็แถวๆ ภาคกลางประเทศเนี่ยแหละค่ะ
-
ซึ่งจังหวัดนี้นะคะ นอกจากจะเป็นบ้านเกิดของ
วง NGT48 วงน้องสาวของวง AKB48 แล้ว
-
ยังถือว่าเป็นจังหวัดที่ข้าวอร่อยที่สุดในประเทศญี่ปุ่น
อีกด้วยนะคะ
-
อย่างไรก็ตาม วันนี้เราไม่ได้จะมาทัวร์กินกันค่ะ
-
ใช่ เราไม่ได้จะมาทัวร์กินนะ
-
แต่!! เราจะมาตามรอยโออิรันหรือว่าโสเภณีชั้นสูงในอดีต
ของญี่ปุ่นกันต่างหาก
-
ดังนั้นไปฟังเรื่องโออิรันกันดีกว่าค่ะ
-
ตอนนี้นะคะ วิวนั่งอยู่ในย่านฟุรุมะจิ
ซึ่งเป็นย่านฮะนะมะจิที่มีชื่อเสียงค่ะ
-
เอาล่ะ ตอนนี้ศัพท์มากมายแล้วนะคะ
-
ฟุรุมะจิเป็นชื่อย่านนะคะ ส่วนฮะนะมะจิเป็นชื่อที่เค้าเอาไว้เรียกพวกย่านสถานเริงรมย์ต่างๆ ค่ะ
-
ก็คือเป็นย่านที่แบบว่า เที่ยวแบบดาร์กๆ นิดนึงของญี่ปุ่นสมัยก่อนเนี่ยนะคะ
-
ซึ่งปกติฮะนะมะจิเนี่ยจะประกอบไปด้วย 3 ส่วนด้วยกันค่ะ
-
อย่างแรกคือ เกอิชายะ หรือว่า บ้านเกอิชา นะคะ
-
สองก็คือ ยูคะคุ หรือว่า ย่านโคมแดง ค่ะ
-
แล้วก็สามก็คือ เรียวเท หรือว่า พวกร้านน้ำชา
ร้านอาหารแบบญี่ปุ่นเนี่ยแหละค่ะ
-
ทีนี้ถามว่า มี 2 อย่างอยู่รวมกันใช่ไหมย่านโคมแดงกับบ้านเกอิชา 2 อย่างนี้ต่างกันยังไงนะคะ
-
ระหว่างเกอิชากับโออิรัน
-
ก็ต้องบอกว่าเอามาเทียบกันไม่ได้ค่ะ
-
เพราะว่าคำว่าโออิรันเป็นลำดับขั้นไม่ใช่เป็นชื่อเรียกนะคะ
แม้ว่าคำว่า โออิรัน จะมีชื่อเสียงก็ตาม
-
จริงๆ แล้วเราจะต้องเทียบระหว่างเกอิชากับยูโจะค่ะ
-
ซึ่งยูโจะเนี่ยคือผู้หญิงที่ขายตัวเนอะ
ในขณะที่เกอิชาจะเป็นผู้หญิงที่ขายศิลปะต่างๆ
-
ความแตกต่างอยู่ตรงนี้นะคะ
-
เกอิชาจะเป็นผู้หญิงที่เชี่ยวชาญด้านการเล่นดนตรี การชงชา แล้วก็ใช้ชีวิตโดยการเอนเตอร์เทรนผู้ชายต่างๆ ค่ะ
-
ถามว่ามีการขายไหม อาจจะมีบ้างนะคะ แต่น้อยมากๆ
เพื่อที่ว่าจะได้มีแบบผู้สนับสนุนอะไรอย่างนี้
-
แล้วก็เกอิชาบางคนที่ประสบความสำเร็จเนี่ย
-
ก็จะสามารถมีผู้ที่มาอุปถัมภ์ตัวเองได้แล้วก็ออกจากการเป็นเกอิชาในที่สุดค่ะ
-
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เราไม่ได้มาพูดถึงเกอิชานะคะ
เรามาพูดถึงโออิรันค่ะ
-
ทีนี้คำว่าโออิรันคืออะไร อ่ะ งงกันมั้ย
-
ก็คือ ยูโจะชั้นสูง นั่นเองนะคะ
-
ซึ่งก่อนที่จะมีคำว่า โออิรัน เนี่ย มันจะมีคำว่า เคอิเช มาก่อนค่ะ
-
คำว่า เคอิเช ก็คือ ยูโจะชั้นสูงที่ทำให้ปราสาทล่มสลาย
-
ก็เรียกได้ว่า สวยจนงามล่มเมืองประมาณนั้นค่ะ
-
คือประมาณว่า เจ้ามงเจ้าเมืองไม่เป็นอันปกครองบ้านเมืองเลยประมาณนั้นนะคะ
-
ทีเนี้ยกว่าจะเป็นโออิรันได้ ถามว่าต้องทำยังไงบ้าง
-
ก็ต้องบอกว่าไม่ใช่อยู่ดีๆ จะเป็นโออิรันแล้วเป็นได้นะคะ
-
จะต้องโดนฝึกตั้งแต่เด็กค่ะ
-
พวกที่อยู่ในธุรกิจค้าบริการเนอะ
ก็ส่วนมากก็จะโดนขายตัวมาตั้งแต่เด็กๆ
-
โดนพ่อแม่เอามาขายให้กับบ้านของยูโจะ
หรือว่าบ้านของเกอิชาใช่มั้ย
-
เหมือนที่เราดูในหนังนั่นแหละค่ะ
-
เสร็จแล้วเค้าก็จะเล็งกันตั้งแต่เด็กค่ะว่า
-
เฮ้ย คนนี้มีแวว คนนี้โตขึ้นมาได้เป็นโออิรันแน่ๆ
-
คอร์สการฝึกของเค้าถามว่าเค้าฝึกอะไร
-
ใจเย็นๆ อย่าเพิ่งคิดถึงเรื่องแบบนั้นนะคะ
-
สิ่งที่เค้าฝึกก็คือ ศิลปะ วิทยาการต่างๆ ค่ะ
-
ไม่ว่าจะเป็นการเล่นหมาก การชงชา การรินของ การวาดภาพ การต่อกลอน เล่นโกะอะไรเหล่านี้นะคะ
-
เรียกได้ว่าต้องได้หมดเลยค่ะ
-
เพราะว่าคนที่จะเป็นโออิรันได้เนี่ยนะคะ
-
ไม่ใช่แค่หน้าสวยอย่างเดียว แต่ว่าสมองต้องดีด้วยนะคะ
-
เพราะว่าความเซ็กซี่ของโออิรันเนี่ย ไม่ใช่แค่แบบว่ามาถึงดูหน้าแล้วก็ซื้อเลยจ้า ประมาณนั้นไม่ได้ค่ะ
-
จะต้องมีการนั่งคุยอะไรกันก่อน
-
แล้วก็แบบ หืม ผู้หญิงคนนี้ใช้ได้เลย ประมาณนั้นนะคะ
-
ทีนี้นอกจากการฝึกพวกศิลปะอะไรต่างๆ คล้ายเกอิชาแล้วเนี่ย
-
อีกอย่างนึงที่เค้าต้องฝึกก็คือ
เรียนรู้เรื่องเกี่ยวกับร่างกายผู้ชายค่ะ
-
ประมาณว่าแบบ เออก็สุดท้าย มันก็งานขายอ่ะนะ
-
พอเรียนรู้จบกระบวนความอะไรต่างๆ ก็จะได้ไปเป็นยูโจะใช่มั้ย
-
ก็จะเริ่มมีการไต่ระดับขึ้นมาเรื่อยๆ ค่ะ
-
ส่วนใครที่ขายดีๆ มากๆ ฮิตมากๆ แล้วก็ค่าตัวแพงมากๆ
ก็จะได้เป็นโออิรันเนี่ยแหละค่ะ
-
ซึ่งเค้าบอกว่าโออิรันเนี่ย ไม่ใช่ใครก็เป็นได้นะคะ
-
ในบรรดายูโจะ 1000 คนเนี่ย
จะมีคนที่ได้เป็นโออิรันแค่ 1 คนเท่านั้นค่ะ
-
เรียกได้ว่าลำดับสูงมากจริงๆ นะ
-
ซึ่งต้องบอกว่าปัจจุบันเนี่ยนะคะ โออิรันเนี่ยผิดกฎหมายแล้วนะ
-
หลังจากที่มันมีกฎหมายห้ามค้าบริการอะไรออกมาค่ะ
-
พอผิดกฎหมายแล้วเกิดอะไรขึ้น
-
ก็เหลือแต่พวกเกอิชาอะไรต่างๆ ใช่มั้ย
-
ซึ่งเนื้องานดั้งเดิมของมันก็หายไปหมดแล้ว เหลือพวกแบบว่าการแต่งกายอะไรต่างๆ เป็นวัฒนธรรมของชาตินะคะ
-
ในฐานะผู้นำแฟชั่นใช่ไหมคะ ที่แบบสมัยเอโดะอะไรแบบนี้
-
โออิรันเป็นผู้นำแฟชั่นด้วยนะคะ ไม่ใช่ขายอย่างเดียว
-
ถือว่าเป็นสตรีชั้นสูง
-
แล้วเค้าก็ชื่นชมไงคะว่า โออิรันเนี่ยสวย
-
ดังนั้นพวกศิลปินต่างๆ ก็มักจะมาวาดรูปโออิรันเก็บไว้กันมากมายค่ะ
-
แล้วก็ส่งไปตามที่ต่างๆในประเทศนะคะ
-
เค้าก็จะดูกันว่า โออิรันที่มีชื่อเสียงคนนี้แต่งตัวแบบนี้
ก็กลายเป็นแฟชั่นตรงนั้นตรงนี้ไปหมดค่ะ
-
เรียกได้ว่าเป็นผู้นำแฟชั่นในยุคนั้นเลยทีเดียวนะคะ
-
ดังนั้นปัจจุบันก็จะมีสตูดิโอให้เราถ่ายภาพสไตล์โออิรันต่างๆ มากมาย
-
เช่นเดียวกับที่ที่วิวนั่งอยู่ตอนนี้เนี่ยแหละค่ะ
-
ก็เป็นสตูดิโอให้เราถ่ายภาพสไตล์แบบโออิรันนะคะ
-
แต่ว่าจะไม่ใช่โออิรันแบบสมัยเอโดะนะ
-
เพราะว่า ความเป็นผู้นำแฟชั่นเนี่ยจะให้ 100 ปีผ่านไป
แฟชั่นเหมือนเดิมก็ไม่ใช่นะคะ
-
ที่นี่ก็ให้เราสามารถมาแต่งกายเป็นโออิรันได้
แต่จะเป็นโออิรันยุคเรวะค่ะ
-
เค้าจะประยุกต์ให้ทันสมัยขึ้นนิดนึงนะคะ
-
เดี๋ยวเราไปดูดีกว่าว่าโออิรันยุคเรวะเนี่ยแต่งกายยังไง
อะไรยังไงบ้าง
-
ซึ่งมันก็ยังมีกลิ่นอายโออิรันในสมัยเอโดะอยู่เนี่ยแหละค่ะ
-
และเครื่องแต่งกายแต่ละชิ้นของโออิรันเนี่ยก็มีความหมายในตัวของมัน
-
เดี๋ยววิวไปอธิบายให้ฟังค่ะ ไปกันดีกว่า
-
ตอนนี้เราก็มาอยู่กับโออิรันของเราแล้วนะคะ
-
หน้าตาคุ้นๆ เหมือนจะใช่เหมือนจะไม่ใช่
-
เอ๊~ โออิรันของเราพูดไทยได้มั้ยคะ
ได้นิดหน่อยค่ะ
-
พอจะพูดฝากช่องตัวเองได้มั้ยคะ
-
ฝากติดตามด้วยนะคะที่ช่อง WIRI นะคะ W I R I ค่ะ
-
พอพูดฝากช่องนี่คล่องเชียวนะคะ
อ่า ได้ประโยคเดียวค่า
-
ตอนนี้เราก็ตามพี่ฝ้าย WIRI นะคะ มาแต่งตัวเป็นโออิรันนะคะ
-
เค้าก็จะจัดท่าจัดทางให้ถ่ายภาพออกมาได้สวยงามที่สุดนะคะ
-
ทำไมเกิดอะไรขึ้น ทำไมต้องใส่เต็มขนาดนี้คะ
-
คือว่า เยอะตั้งแต่การแต่งหน้า แต่งตัว แต่งทรงผมเลย
-
ทรงผมเยอะไหม นี่ถือว่าเยอะไหม
เยอะ
-
เค้าบอกว่า เป็นการบอกลำดับขั้นโออิรันค่ะ
-
คือเป็นการวัดเรทติ้ง เป็นการเช็คเรทติ้ง
-
อย่างอันนี้คือเรทติ้งค่อนข้างดีนะคะ
-
เค้าบอกว่าเครื่องประดับแต่ละชิ้นที่อยู่บนหัวเนี่ยคือผู้ชายซื้อให้
-
ประมาณว่า คนนี้แหละฉันชอบ อ่ะ เอาไป 1 ชิ้น
-
ดังนั้น ทั้งหมดบนหัวของพี่ฝ้ายมีประมาณ 20-30 ชิ้นนะคะ
-
ก็ถือว่า..
เราว่าเยอะกว่านั้นเอาจริง
-
เอาเป็นว่าเยอะมาก คือปักไม่ยั้งเลยนะคะ
-
คือเนื่องจากคุณป้าที่เป็นคนแต่งให้เค้าชอบพี่ฝ้ายมาก
เค้าก็เลยปักให้ไม่ยั้งเลย
-
เค้าแบบเพิ่มเรทติ้งให้เราแบบตัวท็อปมากตอนนี้
ใช่
-
ก็คือบนหัวเนี่ย ยิ่งเยอะยิ่งตัวท็อปนะคะ
-
นอกจากนั้นค่ะ การแต่งตัวทั้งหลายเนี่ย
-
เค้าบอกว่าจะเน้นให้หน้าเล็ก
เพราะยิ่งหน้าเล็กยิ่งแปลว่าสวยนะคะ
-
ก็จะมีผมบังหน้า
-
แล้วก็เล็บเนี่ย เนี่ย ต้องเล็บอย่างนี้
ใช้ชีวิตไม่ได้นะคะ
-
ก็คือต้องมีข้ารับใช้ มีอะไรต่างๆ
เพื่อแสดงความว่า ฉันเป็นผู้หญิงสูงศักดิ์จ้า
-
แล้วก็นอกจากนี้ยังสามารถเอาเล็บไว้บังหน้าได้ด้วย
จะดูหน้าเรียวเข้าไปอีก
-
เท่านั้นยังไม่พอ เห็นไหล่เซ็กซี่แบบนี้นะคะ
-
จริงๆ ไหล่ไม่ใช่จุดที่เซ็กซี่
-
จุดที่เซ็กซี่จริงๆ เนี่ย อยู่ตรงนี้
-
อยู่ที่ขาของเค้านะคะ
-
ซึ่งอาจจะไม่เห็นตรงนี้ อาจจะให้เห็นแบบวับๆ แวมๆ
-
คือปกติชุดญี่ปุ่นเนี่ยมันจะต้องมีการใส่ถุงเท้า ถูกมั้ย
-
เค้าเรียกว่า ทะบิ ใช่มั้ย ถุงเท้าแบบญี่ปุ่น
-
แต่!! โออิรันไม่ใส่ถุงเท้าค่ะ
-
ต่อให้เดินลุยหิมะอะไรก็ตาม
ก็จะใส่เกี๊ยะเข้าไปเลยโดยที่ไม่ใส่ถุงเท้า
-
เพราะเค้าถือว่าเท้าเนี่ยเป็นสิ่งที่เซ็กซี่มาก
-
เหมือนจีนนี่แหละ
-
ใครเห็นเท้านี่แบบโป๊ โป๊มาก
-
ให้เห็นข้างบนยังไม่โป๊เท่าเห็นเท้าเลยนะคะ
-
อีกจุดนึงที่แตกต่างกันระหว่างพวกยูโจะหรือว่าอะไรพวกนี้ กับชุดกิโมโนปกติก็คือ ตรงนี้
-
นี่ โอบิ นะคะ
-
ก็คือปกติเค้าจะผูกไว้ข้างหลังกันใช่ไหม
-
แต่ว่าใครก็ตามที่ขายนะคะ เค้าก็จะผูกไว้ด้านหน้า
-
เป็นนัยยะว่าสามารถแกะออกเองได้จากด้านหน้า
-
ก็ประมาณนี้ก็เป็นเกี่ยวกับชุดของโออิรันนะคะที่เราพามาให้ดูในวันนี้
-
ตอนนี้ก็ปล่อยพี่ฝ้ายไปถ่ายรูปสวยๆ ต่อค่ะ
-
เดี๋ยวเราแอบโชว์รูปให้ดูค่ะว่าใครมาถ่ายรูปที่นี่จะสวยขนาดไหนนะคะ
-
ไป คนไม่สวยออกไปก่อน
-
ตอนนี้นะคะ โออิรันของเราก็ได้รูปมาเรียบร้อยแล้ว
-
ได้รูปมากี่รูปคะ
ได้ท่าละ 1 รูปค่ะ รวมเป็น 4 รูป
-
ท้าด๊า~!!
-
มีความเป็น ตะกี้บอกว่าเหมือนอะไรนะคะ
-
นางพญาจิ้งจอก
ใช่
-
เหมือนที่เพิ่งเล่าไปเลย จิ้งจอกเก้าหางใช่ไหม นั่นแหละค่ะ
-
อย่าลืมไปดูคลิปเก่านะจ๊ะ เล่าเรื่องจิ้งจอกเก้าหางไปแล้ว
-
แอบแทรกโฆษณา
แน่นอน
-
ก็จบไปแล้วนะคะกับกิจกรรมถ่ายรูปโออิรันค่ะ ของเรา
-
สาเหตุที่เราต้องมาถ่ายรูปโออิรันแถบนี้นะคะ
-
เพราะจริงๆ ตรงนี้ก็อย่างที่บอกว่า เพราะมันมีโออิรันอาศัยอยู่จริงๆ ในสมัยก่อนนะคะ
-
แล้วก็มีย่านอะไรที่สวยงามต่างๆ มีบ้านเก่า
มีอะไรให้ดูอยู่ด้วยนะคะ
-
แต่ว่าเนื่องจากตอนที่เรามาพายุเข้านะคะ
ตอนนี้ก็ยังเข้าอยู่
-
เราก็เลยอดนะคะ
-
แต่ไม่เป็นไร เราจะพาไปดูอย่างอื่นแทน
-
จะบอกว่าบริเวณแถบนี้ยังมีอะไรที่น่าสนใจอีกเพียบ
-
คือเดี๋ยววิวจะพาทุกคนไปดูวิธีทำทองค่ะ
ทำทอง
-
หาเงินยังไงมาเปย์โออิรันนะจ๊ะ
อ่าฮะ ใช่ๆ
-
ไป เราไปดูวิธีทำทองกันดีกว่า ไป
-
อย่างที่บอกไปเมื่อกี้นะคะว่า
-
เราจบกิจกรรมที่เกี่ยวกับโออิรันกันกันแล้ว
-
แต่ว่าไม่ใช่ว่าทริปเราจะจบ
อ่าใช่ เราจะไปต่อ
-
แถวนี้มีอะไรที่น่าสนใจอยู่อีกมากมายเติมไปหมดเลย
-
คือเรากำลังอยู่ที่ท่าเรือจะข้ามไปที่ซาโดะค่ะ
-
ใช่ เป็นเกาะชาโดะนะคะ
-
ที่เกาะซาโดะแห่งนี้ มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน น่าสนใจ
-
แล้วเราก็จะไปคาเฟ่ต่างๆ มากมาย
-
แอบกระซิบนิดนึง สำหรับผู้หญิงทั้งหลายนะคะ
-
เค้าบอกว่า เกาะซาโดะเนี่ย เป็นเกาะที่ฮิตมากๆ ในหมู่ผู้หญิงชาวญี่ปุ่น
-
เดี๋ยวเราข้าวไปที่เกาะซาโดะกันค่ะ ไป
-
เอาล่ะทุกคน เราก็มาถึงเกาะซาโดะ หรือว่า Sado Island
แล้วนะคะ
-
เมื่อประมาณ 400 ปีก่อนค่ะ อยู่ดีๆ ก็มีการค้นพบว่า
อ้าว ที่นี่มีสิ่งที่น่าสนใจอยู่ค่ะ
-
ก็คือมีทองคำแล้วก็เงินนั่นเองนะคะ
-
มีแร่ทองคำกับแร่เงินค่ะ
-
ดังนั้นจากเดิมที่ไม่มีใครสนใจเนี่ยนะคะ
-
อยู่ดีๆ เค้าก็เลยบอกว่า ไม่ได้ๆๆ
นี่มันเป็นแร่ทางเศรษฐกิจที่สำคัญ
-
ก็เลยมีการตั้งเหมืองแร่อะไรต่างๆ ขึ้นค่ะ
-
ดังนั้น เดี๋ยววิวจะพาทุกคนไปดูเหมืองแร่ทองคำของเมืองซาโดะนะคะ
-
ว่าคนญี่ปุ่นสมัยโบราณเนี่ย
เวลาเค้าอยากได้ทอง อยากได้อะไรเนี่ย
-
เค้าทำเหมืองกันยังไง ขุดขึ้นมายังไงนะคะ
-
ไป ไปทำเหมืองกันดีกว่าค่ะ
-
ตอนนี้เราก็นั่งรถไป เตรียมจะไปทำทอง ไปเหมืองทองอะไรกัน
-
แต่ว่าเรามีเวลาเหลือนิดนึง
ดังนั้นเค้าก็เลยจะพาเราไปดูอย่างอื่นก่อน
-
เค้าจะพาเราไปวัดเซซุอิจินะคะ
-
ซึ่งเมื่อกี้เราก็ถามเจ้าหน้าที่อย่างดีค่ะว่า
วัดเซซุอิจิแห่งนี้มีความสำคัญยังไงบ้างคะ
-
ซึ่งคำตอบที่ได้ก็คือ ไม่มี
ไม่มีนะคะ
-
เค้าบอกว่า ไน่(ไม่มี) แปลว่า ไม่สำคัญค่ะ
-
ไม่ๆๆ จริงๆ แล้ววัดเซซุอิจิเนี่ย ถ้าไปดูตัวคันจิอ่ะ
-
มันเขียนเหมือนกับคิโยมิซุเดระที่เกียวโต ใช่มั้ย
-
ก็คือวัดน้ำใสที่เราคุ้นเคยกันนั่นแหละ
-
เค้าบอกว่า คนสมัยก่อน เกาะซาโดะเนี่ยมันไกล
จะไปไหว้ที่เกียวโตมันก็เดินทางยากอะไรยังงี้
-
สำหรับชาวซาโดะที่อยากไหว้ที่วัดคิโยมิซุ
-
เค้าก็สร้างจำลองไว้ให้ที่นี่แล้วจ้า เป็นวัดที่เก่าแก่พอสมควร
-
เดี๋ยวเราไปดูกันว่าเป็นยังไงนะคะ
-
นี่นะคะ เราก็ปีนบันไดขึ้นมาถึงแล้วค่ะ
-
ชันจริงๆ ตามคอนเซ็ปต์ของวัดญี่ปุ่นเลยนะคะ
-
ด้านหลังนี่ก็เป็นโบสถ์ของวัดนี้นะ
-
ก็หน้าตาเหมือนกับคิโยมิซุหรือเปล่านะคะสำหรับคนที่เคยไป
-
ก็จะมีระเบียงด้านบนเหมือนกันนั่นแหละค่ะ
-
นี่นะคะ เราก็เดินขึ้นมาถึงด้านบนระเบียงของวัดที่ทำเลียนแบบวัดน้ำใสแล้วนะ
-
แม้ว่าบรรยากาศจะไม่เหมือนนะคะ
-
แต่ก็จะได้บรรยากาศอีกแบบนึงที่เงียบสงบมากๆ เลยนะ
-
สำหรับใครที่แบบเคยอ่านการ์ตูน ดูซีรี่ย์อะไรของญี่ปุ่น
ที่แบบมีวัดร้างกลางป่านะคะ
-
ที่นี่ก็ได้บรรยากาศประมาณนั้น
เพราะว่าที่นี่ไม่มีพระจำศีลแล้วนะคะ
-
แต่ว่าก็น่าจะมีคนมาเที่ยวเรื่อยๆ แหละ
-
อย่างที่เรามานี่ก็มีคนมาเที่ยวเหมือนกัน
-
แต่จะไม่พลุกพล่านเท่าคิโยมิซุเกียวโตนะคะ
-
อย่างไรก็ตามค่ะ
-
วัดนี้ก็ถือว่าเป็นวัดที่เก่าแก่พอสมควรนะ
สร้างมาประมาณ 300 ปีแล้วค่ะ
-
ก็ช่วงประมาณปลายกรุงศรีอยุธยาประมาณนั้นนะ
-
เอาจริงๆ สมัยนั้นน่ะชาวเกาะซาโดะเดินทางไปเกียวโตน่าจะยากมากนะคะ
-
ขนาดปัจจุบันเนี่ย จะไปยังมีต้องเป็นวันเลยนะคะ
-
นี่ก็คือสาเหตุที่ชาวเกาะซาโดะเลยสร้างวัดคิโยมิซุของตัวเอง
ขึ้นมาที่นี่เนี่ยแหละค่ะ
-
ไป เราไปที่อื่นต่อกัน
-
ในที่สุดนะคะ เราก็มาถึงสถานที่ที่สอนเราเรื่องการขุดทอง
ร่อนทองต่างๆ แล้วค่ะ
-
ก่อนที่เราจะไปดูการทำเหมืองทองในอดีตนะคะ
-
เรามาดูการร่อนทองสมัยปัจจุบันก่อน ว่าเค้าแบบจากแม่น้ำเนี่ย เค้าร่อนๆ ยังไงออกมาให้ได้ทองนะคะ
-
ซึ่งเข้ามาถึงเราก็จะมาเจอนี่ก่อนเลยค่ะ
-
ไดโคะคุเท็น นะคะ
-
เป็นเทพเจ้าแห่งความร่ำรวยอะไรต่างๆ ค่ะ
-
ก็มีความเชื่อกันว่า ถ้าเกิดสมมติว่าลูบพุงท่านนะคะ
ก็จะได้รับความร่ำรวยค่ะ
-
อย่างนี้เป็นต้น
-
นี่เห็นไหม เป็นไง ลูบปุ๊ปได้ทองเข้ามาในมือปั๊ปนะคะ
-
แม้ว่าอันนี้จะดูเหมือนอย่างอื่น
-
อย่าคอมเมนต์มาว่ามันเหมือนอย่างอื่น
-
นี่คือน้องทองนะคะ ก็น้องเป็นก้อนทอง
แล้วด้านล่างก็เป็นถาดที่เราใช้ร่อนทองนั่นเองค่ะ
-
ร่อนๆ
-
เดี๋ยวเราไปร่อนทองกันนะคะ ไป
-
ก่อนที่เราจะเข้าไปร่อนทองกันนะคะ
-
เราต้องมาเรียนรู้เรื่องเกี่ยวกับทองกันก่อนค่ะ
-
ก็เข้ามาด้านในนะ เค้าก็จะมีสิ่งต่างๆ ให้เราดูมากมายเลย
-
ไม่ว่าจะเป็นตัวอย่างทองว่าแบบ
เออ ทองไซส์นี้มันเป็นยังไงนะคะ
-
แต่ละก้อนเนี่ยมันก็จะต้องมีการปั้มตราอะไรอย่างนี้
-
เพื่อที่จะเป็นการยืนยันว่าทองนี้ที่มาจากแหล่งนี้อะไรอย่างนี้
-
เพื่อที่ว่าจะได้เอาไปค้ำประกันอะไรได้นะคะ
-
คือถ้าทองไม่ได้ตีตราเนี่ยนะคะ อาจจะเป็นทองปลอม
หรือว่าทองมันจะได้คุณภาพหรือเปล่า
-
ความบริสุทธิ์ของทองเท่าไหร่ อะไรประมาณนี้นะคะ
-
แล้วก็จุดเด่นของทองที่เราได้เรียนรู้กันที่นี่ก็คือ
-
นี่เลยนะคะ
-
เห็นแผ่นทองใหญ่ๆ ด้านหลังนี่มั้ยคะ
-
ทั้งหมดนี้ตีขึ้นมาจากทองก้อนแค่นี้เอง เท่านั้นเอง
-
เล็กๆ เลยนะคะ
-
เพราะว่าทองเนี่ยเป็นสสารที่มีลักษณะค่อนข้างนิ่มนะคะ
-
ดังนั้น ตีๆๆ ก็แผ่ออกมาได้
คล้ายๆ กับทองคำเปลวประมาณนั้นค่ะ
-
ทองก้อนเล็กๆ นี้นะคะ
-
แค่แบบกรัมเดียวเนี่ย กลายเป็นเส้นแบบดิ้นทองเนี่ย
ยาวถึง 3000 เมตรเลยทีเดียวนะคะ
-
ถามว่าเค้าเอาดิ้นทองไปทำอะไรนอกจากไปปักเสื้อผ้านะคะ
-
ก็คือเอามาทำแบบด้านในแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์นั่นเอง
-
อย่างที่หลายๆ คนน่าจะเห็นข่าวนะคะว่าตอนญี่ปุ่น
จัดกีฬาโอลิมปิกที่จะมีขึ้นปีหน้าเนี่ย
-
เค้าก็รับบริจาคโทรศัพท์มือถือต่างๆ จากทั่วประเทศนะคะ
-
แล้วก็เอาทองที่อยู่ด้านในแผงอิเล็กทรอนิกส์เนี่ยมารวมกัน
-
แล้วก็หลอมออกมาเป็นเหรียญทองโอลิมปิกนั่นเองค่ะ
-
ซึ่งนอกจากนี้นะคะ
-
เราก็ได้เรียนรู้เรื่องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์การขุดทอง
บริเวณแถวนี้ด้วยว่า
-
ที่นี่เค้าเริ่มค้นพบทองกันเมื่อประมาณปีค.ศ.1000 นะคะ
-
เสร็จแล้วหลังจากนั้นประมาณ 600 ปีค่ะ
-
เค้าก็เริ่มตัดสินใจได้ว่า โอเค เรามาทำเหมืองทองกันเถอะจ้า
-
ประมาณปี 1600 ก็เลยเริ่มทำเหมืองทองตั้งแต่นั้นมาค่ะ
-
บริเวณเกาะซาโดะนะ มีแหล่งแร่ทองที่ใหญ่มาก
-
เรียกได้ว่าใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของประเทศญี่ปุ่นเลยที่เดียว
นะคะ
-
เพราะว่าแค่เกาะแค่นี้ มีแหล่งที่สามารถค้นพบทองได้
ทั้งหมดประมาณ 40 จุดด้วยกันค่ะ
-
ก็แบ่งออกเป็น 2 ประเภทด้วยกันนะคะ
-
ประเภทแรกคือ ทองจากภูเขา
-
ส่วนอีกอันนึงก็คือ ทองจากแม่น้ำค่ะ
-
คือทองจากภูเขาก็คือสินแร่ปกติที่มันอยู่ในหินใช่ไหม
-
ก็ต้องไปขุดๆ ออกมา
-
ส่วนที่อยู่ในแม่น้ำเนี่ย
-
ก็คือเหมือนกับว่าเวลาที่น้ำมันซัดโดนหิน
หรือว่าเกิดดินถล่มอะไรอย่างนี้
-
พวกทองเศษๆ ต่างๆ มันก็จะตกลงมาในแม่น้ำใช่มั้ยคะ
-
ทีนี้ถามว่าทิ้งไปเลยจะโอเคเหรอ ก็ไม่โอเคใช่ไหม
-
ดังนั้นก็เลยเกิดการร่อนทองเกิดขึ้นค่ะ
-
ก็คือเอาพวกถาดอะไรเนี่ยค่ะ ไปร่อนๆๆ
-
เอาเศษทองที่อยู่ในแม่น้ำที่ขึ้นมาเป็นผงๆ
-
แล้วก็เอามาหลอมรวมกันได้เป็นทองอีกเหมือนกันค่ะ
-
ก็จะเป็นลักษณะทองที่แตกต่างกัน 2 แบบนะคะ
-
ไป ร่อนทองกันดีกว่า
-
ตอนนี้นะคะ เราก็ได้เวลามาร่อนทองกันแล้วค่ะ
-
ซึ่งอุปกรณ์ก็มีแค่นี้เลย
-
หนึ่งก็คือ หลอดน้อย เอาไว้ใส่ทองของเรานะคะ
-
แล้วก็สองคือ ตะแกรงร่อน ค่ะ
-
ซึ่งวิธีเนี่ย เค้าบอกว่าให้จ้วงลงไปลึกๆ นะคะ
-
เสร็จแล้วก็ตักทรายขึ้นมาใช่มั้ย
-
แล้วก็ร่อนๆๆ นะคะ เอาน้ำล้างไปเรื่อยๆ
-
แล้วค่อยๆ เทค่ะ
-
ซึ่งเห็นด้านในนี้มั้ย มันเป็นชั้นๆ ใช่มั้ย
-
ทองเนี่ยมันเป็นสิ่งที่หนักค่ะ
-
มันหนักกว่าทราย หนักกว่าน้ำ หนักกว่าทุกอย่าง
-
ดังนั้นมันจะตกลงสู้ด้านล่าง
-
แล้วก็ ทรายเนี่ยมันก็จะโดนล้างออกไปๆๆ
-
ดังนั้นทองก็จะเหลืออยู่ด้านในเนี่ยแหละค่ะ
-
เดี๋ยวเราลองทำกันดูว่าสามารถมั้ยนะคะ
-
ไป ลอง
-
โอ๊ย คุณพระ ร่อนจนปวดหลังแล้วนะคะทุกคน
-
ได้ทองมาแบบกระจิดริดมากนะคะ
-
แต่ก็ แต่ก็ได้นะ
-
ก็ทองจริงนะคะ
-
เมื่อกี้เค้าบอกว่า นี่คือทรายที่ตักมาจากแม่น้ำด้านข้างนะคะ
-
ก็คือตักขึ้นมาแล้วก็แค่ทำความสะอาดนะ
-
ก็คือเราอ่ะ ร่อนทองที่มาจากธรรมชาติจริงๆ เลยนะ
-
หลังจากที่ร่อนไปร่อนมาเนี่ยนะคะ ก็ยอมแพ้แล้วนะคะ
-
แล้วก็ได้ทองมาจำนวนเท่านี้
-
ให้ทุกคนดู
-
นี่นะคะ ได้ทองมาจำนวนเท่านี้นะคะ
-
ก็เขย่าดูจะมีเสียงนะคะ
-
ไม่แน่ใจว่าในกล้องจะได้ยินหรือเปล่า
-
แต่ว่าตอนนี้ เราสามารถเอาทองที่เราร่อนได้
มาทำเป็นเครื่องประดับจ้า
-
มันมีนี่เป็นเครื่องประดับต่างๆ นะคะ
-
ซึ่งวิวก็เลือกไว้แล้วนะคะว่า วิวจะเอาเป็นสร้อยคอนะคะ
อันนี่เอง
-
ไป ไปทำสร้อยกันดีกว่า
-
ก็ได้มาเรียบร้อยแล้วนะคะ สร้อยของน้องวิวนะคะ
-
ซึ่งจะบอกว่า ที่นี่ถ้าใครมาทำนะ
-
ราคาจริงๆ ไม่แพงเลยนะคะ
-
ราคาประมาณ 800 เยนเท่านั้นนะคะ
-
ก็ไม่ถึง 300 บาทแหละ
-
แล้วก็มีทั้งหมด 3 คอร์สด้วยกันนะคะ
-
คอร์สที่วิวทำเมื่อกี้นะคะ เป็นคอร์สสำหรับคนที่เพิ่งเริ่มต้น
เลเวลหนึ่งค่ะ
-
ส่วนใครที่สามารถขึ้นมาหน่อยนะคะ
-
เค้าก็มีคอร์สนี้
-
นี่ เป็นแบบว่าเหมือนจำลองแม่น้ำขึ้นมานะคะ
-
ซึ่งหิน ดิน ทรายทั้งหมดที่อยู่ในนี้ก็คือแม่น้ำจริงนะคะ
-
รวมถึงที่เมื่อกี้เราร่อนด้วย
-
อันนี้จะยากขึ้นมาหน่อย เพราะว่าต้องใช้จอบขุดนะคะ
-
ขุดขึ้นมาแล้วก็มาร่อนค่ะ
-
คืออันนั้นน่ะมันมีแต่ทราย แต่อันนี้มีหินด้วยนะคะ
-
แล้วก็คอร์สที่ยากที่สุดค่ะ ก็คือ
-
ด้านนอกนู่นนะคะ คือนี่ ในแม่น้ำจริงด้านล่างนั้นนะคะ
-
นี่มีทองนะคะทุกคน
-
ก็เป็นคอร์สสำหรับผู้เชี่ยวชาญค่ะ
-
ซึ่งจะต้องมีการขุดหิน ยกหิน อะไรต่างๆ ด้วยนะคะ
-
แต่เค้าบอกว่าวันไหนที่พายุเข้า ไต้ฝุ่นอะไรอย่างนี้เนี่ยนะ
-
ด้านนอกเจอทองมากมายเลยค่ะ
-
ดังนั้นก็ ใครอยากมาทดสอบฝีมือท้าไต้ฝุ่น
หาทางรวยทางลัดที่นี่
-
ก็เชิญด้านนอกนะคะในวันไต้ฝุ่นมา เชิญไปขุดแม่น้ำค่ะ
-
สำหรับวิวก็ ขั้นเริ่มต้นแค่นี้พอแล้วนะจ๊ะ ดิฉันยอมค่ะ
-
แอบเล่าให้ฟังนิดนึงนะคะ เป็นความรู้ค่ะ
-
คือคนสมัยโบราณที่เค้ามาขุดทอง ร่อนทองอะไรแถวนี้นะคะ
-
เนื่องจากว่า แน่นอนว่าทองเป็นสิ่งที่มีมูลค่าสูงมากนะคะ
-
ดังนั้นเค้าก็กลัวมาพวกคนงานเหมืองเนี่ยจะมาขโมยอะไรต่างๆ นะคะ
-
ซึ่งเราเคยเห็นกันใช่ไหมว่าในบางประเทศเค้าจะใช้วิธีค้นตัวก่อนเข้าและค้นตัวหลังเข้า
-
หรือว่าแถบแอฟริกาเวลาเค้าทำเหมืองเพชรเนี่ย
-
เค้าจะต้องมีการเอ็กซ์เรย์ใช่มั้ย
ที่คนยังมีปัญหาสุขภาพมาถึงทุกวันนี้เลย
-
แต่ที่นี่เค้าใช้วิธีง่ายกว่านั้นค่ะ คือเค้าใช้วิธีแก้ผ้าค่ะ
-
ก็คือใส่แค่ผ้าเตี่ยวนะคะ แล้วก็ลงไปยืนกลางแม่น้ำ
-
เย็นๆ ร่อนทองไปค่ะ
-
นี่ก็เป็นวิธีร่อนทองสมัยโบราณนะคะ
-
ใครอยากมาลองก็เชิญตามสบายนะคะ
-
ก็สมัครคอร์สเบอร์ 3 นะคะ
-
แล้วก็ลองใส่ผ้าเตี่ยวลงไปร่อนก็ได้นะคะ ไม่ว่ากัน
-
ราคาก็ไม่ได้สูงมานะคะ เป็นประสบการณ์ชีวิตที่ดีค่ะ
-
สำหรับตอนนี้ เราก็ไปที่อื่นกันต่อดีกว่าค่ะ ไป
-
ตอนนี้เรามาอยู่อีกที่นึงแล้วนะคะ
-
เป็นเหมืองทองเก่าค่ะ
-
เป็นเหมืองที่เค้าจะขุดทองเป็นก้อนๆ ออกมา
-
เดี๋ยวเราลงไปดูวิธีกันว่า
-
วิธีขุดแร่ทองจริงๆ ในภูเขา
-
เอาแบบได้เป็นก้อนๆ เป็นกิโลๆ เลยเนี่ย เค้าทำกันยังไงนะคะ
-
ไป เราไปดูกัน
-
การทำเหมืองทองสมัยก่อนต้องขุดลึกเข้าไปในภูเขา
-
คนจะใช้ชีวิตอยู่ในนั้นเป็นส่วนมาก
แทบไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวัน
-
ส่วนมากก็จะมีแต่ผู้ชายค่ะ
-
ดังนั้นคนพวกนี้ก็จะเหงามากๆ เลยนะ
-
อย่างตุ๊กตาที่เห็นตอนอยู่นี้
-
ตอนที่เราเดินผ่าน เค้าก็หันมาพูดกับพวกเราด้วยว่า
คิดถึงผู้หญิงจังเลยย
-
ความเป็นอยู่ด้านอื่นก็แย่ไม่แพ้กันนะคะ
-
ด้วยความหนาวและอากาศที่ไม่ถ่ายเทเนี่ย
-
ประกอบกับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
-
คนงานที่ทำงานอยู่ในเหมืองก็เลยจะมักอายุสั้นค่ะ
-
เรียกได้ว่า 30 กว่าๆ ก็ไปกันหมดแล้ว
-
นอกจากนี้ด้วยความที่เป็นอาชีพที่ค่อนข้างอันตรายนะคะ
-
เลยมีความเชื่อแล้วก็พิธีกรรมค่อนข้างมากค่ะ
-
อย่างในภาพก็เป็นการบูชาเทพเจ้าด้านล่างเหมืองนะคะ
-
ซึ่งเค้าก็จะบูชาเพื่อให้ขุดเหมืองปลอดภัย
ให้เจอทองอะไรต่างๆ นะคะ
-
แล้วที่สำคัญนะคะ
-
เค้าเห็นว่าสายแร่ทองเนี่ย หน้าตาเหมือนสัตว์ชนิดนึงค่ะ
-
ก็คือ ตะขาบ นั่นเอง
-
ดังนั้นคนงานเหมืองก็จะบูชาตะขาบ แล้วก็จะไม่ฆ่าตะขาบค่ะ
-
เห็นสิ่งนี้กันมั้ย
-
เราเคยเห็นกันในอินเตอร์เน็ตนะคะ
-
ที่เค้าบอกว่าให้เอาทองออกไปทางรูนั้นให้ได้
-
ถ้าใครเอาออกไปได้ใน 30 วินะคะก็จะได้รับรางวัลค่ะ
-
แต่ว่าผลของวิวเป็นยังไง ไปดูกันค่ะ
-
คือไม่ใช่ต้องยก ไม่ใช่เอาออกมาได้นะ แค่ยกก็ไม่ขึ้นแล้วค่ะ
-
อือหือ ความงกไม่ช่วยอะไรเราเลย
ไม่กระดิกเลยอ่ะ
-
ทุกคนคะ ตอนนี้นะคะ
เราก็มาอยู่ที่จุดเด่นอีกจุดนึงของเกาะซาโดะนะคะ
-
ก็คือ เรือทะระอิฟุเนะ นั่นเองนะคะ
-
คือเรือกะละมังที่เห็นอยู่ด้านหลังนี่เองค่ะ
-
เดี๋ยวเราไปนั่งเรือเล่นกันนะคะ
-
เรือทะระอิฟุเนะเป็นเรือที่เหมือนกับอ่างน้ำนะคะ
-
สร้างขึ้นครั้งแรกในช่วงต้นยุคเมจิค่ะ
-
ด้วยความที่ใช้คล่องแคล่ว สามารถใช้หาปลาอะไรต่างๆ
เข้าซอกซอนได้นะคะ
-
เลยกลายเป็นเอกลักษณ์ของเกาะซาโดะแห่งนี้เลยค่ะ
-
ซึ่งส่วนมากคนที่พายเรือทะระอิฟุเนะเนี่ยก็จะเป็นผู้หญิงนะคะ
-
เค้าว่ากันว่าเรือชนิดนี้สำคัญกับคนบนเกาะถึงขนาดที่ว่า
-
ธรรมเนียมญี่ปุ่นแต่ก่อนเนี่ยเวลาผู้หญิงจะแต่งงาน
-
ปกติจะต้องมีสินเดิมของตัวเองติดตัวไปใช่มั้ยคะ
-
ของเมืองอื่นก็จะเป็นหมอน เป็นผ้าห่ม เป็นกิโมโนอะไรก็ว่าไป
-
แต่ของเกาะนี้ เจ้าสาวจะต้องหาเรือทะระอิฟุเนะเป็นของตัวเอง
-
เพื่อนำติดตัวไปบ้านเจ้าบ่าวด้วยทีเดียวเลยค่ะ
-
ตอนนี้นะคะ เราก็อยู่บนเรือกะละมังกับคุณป้านะคะ
-
แล้วก็ความเงียบสงบนี้คือ มากัน 2 คนนะคะ
-
แล้วคือข้าพเจ้าคุยกับคุณป้าไม่รู้เรื่องค่ะ
-
ก็ยินดีด้วยนะคะ
-
คนอื่นที่นั่งไปลำอื่นเค้าก็พูดญี่ปุ่นกันได้หมดเลย
-
นี่ก็พูดได้ประโยคเดียวนะคะว่า
ฟังไม่ออกค่ะคุณป้า ขอโทษนะคะ
-
แต่ว่าบรรยากาศดีมาก เงียบสงบ น้ำใสแจ๋ว
-
นี่นะคะ ระหว่างนั่งทะระอิฟุเนะไป
-
คุณป้าก็ชี้ให้ดูนะคะว่ามี หอยเหม่น ค่ะ อุนิ นะคะทุกคน
-
เห็นทุกอย่างอยู่ในน้ำชัด ใสแจ๋วเลยนะคะ
-
เอาจริงๆ นะคะ ตรงนี้ที่เรามาพายเรือกันเนี่ย
-
ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีประวัติความเป็นมาอะไรนะคะ
-
ตรงนี้เค้าเรียกว่า ยะจิมะ นะคะ
-
ซึ่ง ยะ ตัวนี้เนี่ยแปลว่า ลูกธนู ค่ะ
-
เพราะว่าตรงนี้นะคะ
มีคนชื่อว่า มินะโมะโตะ โนะ โยะริมะสะ เนี่ยนะคะ
-
เค้าเคยใช้ธนูค่ะ
-
ฆ่าโยกะกิ หรือว่าคือปีศาจตามความเชื่อของชินโตเนี่ยไปตัวนึงนะคะ
-
แล้วบังเอิญว่าธนูที่ใช้ฆ่าเนี่ย
-
เป็นธนูที่ใช้ไม้จากแถวนี้ทำเนี่ยแหละค่ะ
-
เค้าก็เลยตั้งชื่อสถานที่นี้ไว้เป็นที่ระลึกวีรกรรมครั้งนั้นนะคะ
-
แหม ทุกที่ก็จะมีตำนานการสร้างของตัวเองเนอะ
-
เป็นแบบว่า เค้าเรียกว่าไร นิทานพื้นบ้าน นิทานประจำถิ่น
นิทานอธิบายเหตุ ประมาณนั้นค่ะ
-
ไป ไปเที่ยวกันต่อ
-
ตอนนี้นะคะ เราก็มาอยู่ที่หมู่บ้านชุคุเนะกิค่ะ
-
เป็นหมู่บ้านชาวประมง ช่างต่อเรือ อะไรต่างๆ นะคะ
-
และหมู่บ้านนี้เกี่ยวข้องกับโออิรันของเราด้วย
-
เฮ้ย งงมั้ย
-
หมู่บ้านช่างต่อเรือ หมู่บ้านชาวประมงจะมาเกี่ยวอะไรกับ
โออิรันนะคะ
-
คือจะบอกว่าบริเวณเกาะซาโดะแห่งนี้
-
นอกจากธุรกิจเหมืองทองอะไรต่างๆ
ที่ทำให้เค้าร่ำรวยแล้วเนี่ยนะคะ
-
การเดินเรือก็เป็นอีกสิ่งนึงที่ทำให้เค้าร่ำรวยเหมือนกันค่ะ
-
คือที่นี่เค้ามีคนที่เป็นเจ้าของเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่มากๆ
เลยนะคะ
-
เรือเดินสมุทรลำนี้จะหนัก57ถึงประมาณ 150 ตันค่ะ
-
แล้วก็ขนสินค้านะคะ
ตั้งแต่ฮอกไกโดะไปจนถึงบริเวณโอซากะค่ะ
-
ก็คือเลาะฝั่งตะวันตกของเกาะญี่ปุ่นนะคะ
-
แล้วก็ขนสินค้าจากจังหวัดที่มีชื่อเสียงต่างๆ ไปขายๆๆๆ ค่ะ
-
ซึ่งจะทำให้เจ้าของเรือเนี่ยนะคะจะร่ำรวยมาก
-
เพราะว่าปีนึงเนี่ย ขนสินค้าได้ประมาณ 2-3 รอบนะคะ
-
รอบนึงเนี่ยกำไรเท่ากับเงินปัจจุบันประมาณ 100 ล้านเยน
เลยทีเดียว
-
ซึ่งพอร่ำรวยแล้ว
-
นึกสภาพผู้ชายสมัยก่อนค่ะ คิดว่าเค้าจะเอาเงินไปใช้กับอะไรคะ
-
เค้าก็ต้องเอาเงินไปใช้กับสถานเริงรมย์ต่างๆ ค่ะ
-
นี่ก็เป็นสาเหตุทำให้แถวนี้เกิดย่านสถานเริงรมย์ต่างๆ มากมาย
-
เพื่อให้ผู้ชายเหล่านี้ได้ไปใช้เงินที่แหละค่ะ
-
ดังนั้นเราเข้าไปดูเรือเดินสมุทรกันก่อนดีกว่าค่ะ
-
ว่าเรือเดินสมุทรเนี่ยมันใหญ่ขนาดไหน
แล้วมันขนสินค้าได้เยอะจริงหรือเปล่า
-
เค้าถึงมีตังค์มาเปย์โออิรันนะคะ
-
ไป ไปดูกัน
-
อย่างตรงเนี่ยนี้นะคะ ก็เป็นท้องเรือนะคะที่เป็นเก็บสินค้าต่างๆ เช่น พวกข้าว เป็นต้นค่ะ
-
เค้าก็จะดูว่าเมืองไหนมีอะไรเด่น
-
เช่น จากฮอกไกโดะนะคะ ก็มีพวกอาหารทะเลตากแห้ง
อะไรพวกนี้ที่เด่น ก็ขนมา
-
ที่นีงะตะมีข้าวอร่อยก็ขนข้าวไป
-
โอซากะเนี่ยเป็นแหล่งที่ค่อนข้างทันสมัยใช่มั้ย
-
พวกเครื่องเรือน พวกอะไรที่ทันสมัยก็จะมาจากตรงนั้นค่ะ
-
ก็เหมือนกับว่า เออ ที่ไหนเด่นก็ขนอันนั้นไป ไปขายที่อื่นที่ไม่มี ประมาณนั้น
-
ทำให้เรือลักษณะนี้ก่อให้เกิดกำไรสูงมากจริงๆ ค่ะ
-
อย่างตอนนี้นะคะเราก็พาขึ้นมาดูบนเรือค่ะ
-
ซึ่งเรือนี้เพื่อประหยัดงบที่สุดนะคะ
-
เค้าใช้คนควบคุมเนี่ยทั้งหมดแค่ 7 คนด้วยกันค่ะ
-
เรือลำใหญ่ขนาดนี้ใช้ 7 คนด้วยกันนะ
-
แล้วเค้าก็ใช้ชีวิตอยู่รวมกัน กระจุกอยู่เป็นกลุ่มก้อนตรงนี้ค่ะ
-
นี่ บริเวณทั้งหมดนะคะ ก็จะเป็นที่อยู่ของคนเรือนะคะ
-
ก็แค่นี้เลยจริงๆ
-
ที่เหลือทั้งหมดของเรือที่ใหญ่ถึง 150 ตันเนี่ยนะคะ
ก็เป็นที่เก็บสินค้าล้วนๆ เลย
-
ดังนั้นจินตนาการได้นะว่า 1 รอบที่เดินทางเนี่ย
สร้างกำไรได้ขนาดไหนค่ะ
-
ดูเรือเดินสมุทรกันไปแล้วนะคะ เราออกมาดูด้านนอกกันบ้างค่ะ
-
เราก็จะเห็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเรือเดินสมุทรมากมายนะคะ
-
อย่างเช่น หินสีขาวด้านหลังนั่นเอง
-
เค้าบอกว่าเป็นหินที่ไม่มีที่เกาะซาโดะแห่งนี้นะคะ
-
แต่ว่าเอามาจากเมืองฮิโรชิมะค่ะ
-
ก็คือเอามาในเรือเดินสมุทรนั่นเอง
-
ส่วนถามว่า แล้วนอกจากหินก้อนนี้ มันเกิดอะไรขึ้นรอบๆ นี้นะคะ
-
แน่นอนว่าเวลามีเดินทางค้าขายอะไรต่างๆ เนี่ย
-
เวลามีการหยุดพักนะคะ
-
บริเวณนั้นนะคะก็จะต้องมีสิ่งของต่างๆ เนี่ยมาตอบสนองคนที่เดินเรือค่ะ
-
ดังนั้นที่นี่นะคะ ก็เลยกลายเป็นหมู่บ้านช่างต่อเรือ
หมู่บ้านชาวประมง ประมาณนี้ค่ะ
-
เป็นหมู่บ้านโบราณแหละ อายุประมาณ 200 กว่าปีนะคะ
-
เดี๋ยวเราไปดูกันว่าในหมู่บ้านมีอะไรน่าสนใจบ้างนะคะ
-
ไปดูกัน
-
จุดสังเกตนึงของหมู่บ้านชาวประมงนี้นะคะ
ก็คือ หลังคาด้านบน นั่นเอง
-
เห็นมั้ยคะว่ามันมีหินกองอยู่เต็มไปหมดเลยนะคะ
-
งงมั้ยว่ามันเป็นหินอะไรนะคะ
-
คือที่นี่ สมัยก่อนเค้าไม่มีกระเบื้องค่ะ
-
ดังนั้นเวลาเค้าสร้างบ้านสร้าง สร้างอะไรเนี่ย
-
คนสร้างนี่ก็เป็นช่างต่อเรือประมาณนั้นแหละค่ะ
-
ดังนั้นนะคะ เค้าใช้ไม้ในการมุงหลังคาค่ะ
-
พอมุงหลังคาเป็นไม้ ลมพัดก็ปลิวกระจุยกระจายใช่มั้ยคะ
-
เค้าก็เลยต้องใช้หินวางๆๆ ทับหลังคาไว้นั่นเองค่ะ
-
ซึ่งก็เป็นเอกลักษณ์ของบ้านเรือนยุคเอโดะบริเวณแถบๆ นี้นะคะ
-
ไป เราไปดูอย่างอื่นต่อกันค่ะ
-
อีกจุดเด่นนึงของหมู่บ้านนี้นะคะ
-
นอกหินที่วางอยู่บนกำแพง(หลังคา)ก็คือ
แผงไม้ไผ่ด้านหลังนี้นี่เอง
-
มันคือ แผงกันลม นะคะ
-
ไม่ให้ลมจากทะเลเนี่ยตีบ้านพังค่ะ
-
ซึ่งฐานด้านล่างนี่ก็คือ ไม้ที่เกิดจากการต่อเรือนะคะ
-
เป็นเศษไม้ว่างั้นเถอะ
-
เอามาปะๆ ก็เพิ่มความแข็งแรงขึ้นค่ะ
-
นี่ เข้ามาทางนี้นะคะ
-
ก็จะเป็นเส้นทาง ที่แบบเป็นทางหินอายุเก่าแก่มากนะคะ ประมาณ 200 ปี
-
สังเกตได้จากพื้นนะคะว่า พื้นมันบุ๋มลงไป
-
เพราะว่ามันมีคนเหยียบๆๆๆ มาประมาณ 200 ร้อยปีแล้วค่ะ
-
ซึ่งบ้านด้านในนะคะก็เป็นบ้านที่มีคนอาศัยอยู่จริงนะคะ
-
ปัจจุบันก็ยังมีคนอาศัยอยู่ค่ะ
-
เดี๋ยวเราเดินเข้าไปดูในหมู่บ้านกันเนอะ
-
ตอนนี้นะคะ เราก็อยู่หน้าบ้านหลังนึงของโอเนอร์ซัง
หรือว่าคนที่เป็นเจ้าของเรือเดินสมุทรแล้วค่ะ
-
นี่ อะไร ดูไม่เห็นไฮโซเลย จะมาเปย์โออิรงโออิรันอะไรฉันใช่มั้ย
-
เค้าบอกว่ามันเป็นความใส่ใจค่ะ
-
ที่คนสมัยก่อนเนี่ย เค้าพยายามสร้างให้มันดูภายนอกเนียนๆ
กันไปหมด
-
ประมาณว่า บ้านฉันก็ไม่ได้ต่างจากบ้านคนอื่นจ้า
-
แต่พอเดินเข้าไปข้างในนะ
-
อูว! ประมาณว่าผ้าขี้ริ้วห่อทองค่ะ ประมาณนั้นค่ะ
-
แต่อย่างไรก็ตาม เราไม่ได้เข้าไปดูข้างในนะคะ
-
เดี๋ยวเราไปต่อกัน ไป
-
การมาเที่ยวหมู่บ้านต่อเรือนี้นะคะ จะทำให้เราเข้าใจทุกอย่างที่ผ่านมาตลอดทริปเลยค่ะ
-
เมื่อกี้เล่าไปแล้วใช่มั้ย เรื่องว่าทำไมที่นี่ถึงมีโออิรัน
-
มันมีคำตอบเรื่องทำไมที่นี่ถึงมีวัดคิโยมิซุด้วยนะคะ
-
เพราะว่าการมาของเรือคิตะมะเอะฟุเนะ
หรือว่าเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่เนี่ยค่ะ
-
มันไม่ได้ขนมาแค่สินค้าค่ะ
-
แต่ว่ามันมีการแชร์ศิลปวัฒนธรรมต่างๆ ด้วยนะคะ
-
อย่างแรกที่เราดูไปแล้วก็คือ วัดคิโยมิซุใช่มั้ย
-
เค้าไปเห็นที่นั่น เค้าก็ เฮ้ย รู้สึกว่าอยากเอามาไหว้ที่นี่บ้าง
-
ก็เลยมาสร้างที่นี่ใช่มั้ยคะ
-
เท่านั้นยังไม่พอค่ะ
-
บนเกาะซาโดะเนี่ย รู้มั้ยเค้าพูดสำเนียงอะไรกัน
-
เค้าพูดสำเนียงเหน่อแบบคันไซค่ะ
-
สำเนียงเหน่อคันไซนี่
-
ถ้าใครติดตามเรื่อง ยอดนักสืบจิ๋วโคนัน
-
ก็จะรู้นะว่า ฮัตโตริ เฮย์จิ เนี่ยพูดเหน่อ
-
พูดเป็นแบบสำเนียงคันไซใช่ป้ะ
-
ที่นี่ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้อยู่คันไซอะไรเลยนะ
-
แต่ว่าเค้าก็พูดสำเนียงคันไซ
เพราะว่าติดมาจากคนโอซากะเนี่ยแหละค่ะ
-
เท่านั้นยังไม่พอนะคะ
-
การร่ายรำประจำถิ่นของซาโดะเนี่ยนะ
-
เค้าก็ได้รับอิทธิพลมาจากเกาะคิวชูค่ะ
-
เพราะว่าเรือเดินสมุทรเนี่ย
ก็เดินทางค้าขายไปถึงเกาะคิวชูเหมือนกันค่ะ
-
ดังนั้นพวกการค้าขายอะไรต่างๆ
ก็คือการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมไปในตัวนะคะ
-
ที่นี่ก็เลยเป็นจุดนึงที่มีความเจริญมากๆ
เมื่อประมาณ 200 ปีก่อนค่ะ
-
เพราะว่ารวบรวมทุกอย่างมาไว้ด้วยกัน ประมาณนี้เลยนะคะ
-
ทุกคนคะ ใครมาหมู่บ้านชาวประมงแล้วนะคะ
-
อย่าเพิ่งเที่ยวเสร็จแล้วสะบัดก้นกลับไปนะคะ
-
มันมีสิ่งที่น่าสนใจอยู่ในนี้
-
อาจจะไม่ได้มีประวัติศาสตร์อะไรแฟนซีนะ
-
แต่ว่าสายถ่ายรูปชอบแน่นอนค่ะ
-
เดี๋ยวเราเข้าไปถ่ายรูปเล่นกันในถ้ำ
-
งงล่ะสิ ในถ้ำจะมีอะไร
-
ไป เดินไปดูกัน
-
เดินออกจากถ้ำมาแล้วค่ะ ถึงแล้วนะคะ
-
ภูมิประเทศด้านหลังก็เหมาะแก่การถ่ายรูปนะคะ
-
เค้าบอกว่าเหมือนออกมาอยู่นอกโลกนะคะ
-
เหมือนอยู่บริเวณดวงจันทร์อะไรอย่างนี้นะ
-
ก็ให้เดานะคะ น่าจะเกิดจากลาวานะคะ
-
เพราะว่าที่ดินบริเวณเกาะซาโดะเนี่ยมีลาวาค่อนข้างเยอะ
-
อย่างเมื่อวานที่เราไปก็มีพวกลาวาผุด อะไรอย่างงี้
-
ซึ่งทำให้หินมันจะเป็นลักษณะแปลกๆ ค่ะ
-
มา เดี๋ยวเราไปถ่ายรูปเล่นกัน
-
ไหนๆ เราก็พูดถึงโออิรันกันมาทั้งทริปแล้วเนอะ
-
จะแบบว่าปล่อยจบเบลอๆ
-
ไปเที่ยวหมู่บ้านชาวประมง ไปขุดทองอะไร มันก็ไม่ใช่มั้ย
-
ไม่ใช่ มันยังไม่จบค่ะ
ใช่
-
เพราะเรากำลังจะพาทุกคนไปดูบ้านของโออิรันของจริง
เลยนะคะ
-
สถานที่ปฏิบัติการของเค้า ด้านในมีอะไรยังไงบ้าง
-
มีประวัติศาสตร์มีเรื่องน่ารู้อยู่ในนั้นด้วย
-
ใช่ ดังนั้นไปดูกันค่ะ
-
ตอนนี้นะคะ เราก็มาอยู่ในย่านฟุรุมะจิแล้วค่ะ
-
เป็นย่านโคมแดงเดิมนะคะ
-
เห็นถนนเส้นนี้มั้ย
-
ปัจจุบันเป็นบ้านคนปกตินะคะ
-
แต่ว่าแต่ก่อนเนี่ย
-
สองข้างทางเนี่ย เต็มไปด้วยบ้านโออิรัน ย่านโคมแดงนู่นนี่นั่น เต็มไปทั้งถนนเลยค่ะ
-
แล้วก็สุดทางถนนเนี่ย จะเห็นเป็นศาลเจ้านะคะ
ซึ่งเกี่ยวข้องกับโออิรัน
-
เดี๋ยวหลังจากนี้วิวจะพาไปดูค่ะ
-
แต่ตอนนี้เรามาเยี่ยมชมถนนเส้นนี้ก่อนเนอะ
-
เค้าบอกว่า ถนนเส้นนี้เนี่ยนะคะ
-
อย่างที่บอกไปมันเต็มไปด้วยบ้านโออิรันใช่มั้ย
-
ในสมัยประมาณเอโดะค่ะ
-
ซึ่งตอนนั้นแต่เดิมเนี่ยย่านโคมแดงอยู่อีกทีนึงเนอะ
-
แต่ว่าย้ายมาที่นี่เพราะว่าที่เดิมเนี่ยไฟไหม้ค่ะ
-
พอย้ายมาตรงนี้แล้วเนี่ยนะคะ
-
เค้าก็มีการทำธุรกิจโคมแดงอะไรกันต่างๆ มากมายค่ะ
-
แล้วก็มีการเก็บภาษีกันด้วยนะ
-
ความสุดยอดของย่านนี้นะคะ
-
ก็คือ ภาษีของย่านนี้ย่านเดียวเนี่ยนะคะถือเป็น 1 ใน 3
ของภาษีทั้งหมดที่เมืองนีงะตะเก็บได้เลยนะ
-
เรียกได้ว่าเยอะมากๆ เลยนะคะ
-
แทบจะเลี้ยงทั้งหมดเลยทีเดียว
-
เท่านั้นยังไม่พอค่ะ
-
พูดถึงสาวๆ ที่อยู่ย่านนี้ที่เป็นโออิรันบ้าง ยูโจะบ้าง
-
ก็คือไม่ใช่แค่โออิรันอย่างเดียวเนอะ
-
เพราะว่าโออิรันคือถือว่าเป็นชั้นสูง มี 1 ใน 1000 ใช่มั้ย
-
ดังนั้นต้องมียูโจะธรรมดาอยู่ด้วย
-
พวกนี้เนี่ยนะคะส่วนใหญ่ก็จะมาจากภูมิภาคโทะโฮะคุค่ะ
-
ก็คือประมาณภาคอีสานของญี่ปุ่นเนี่ยแหละค่ะ
-
บริเวณนั้นเนี่ยเป็นบริเวณเขตเกษตรกรรมต่างๆ
-
การใช้ชีวิตเนี่ยยากลำบากมาก
-
ดังนั้นเมื่อไม่มีทางเลือกนะคะ
-
สาวๆ ก็เลยเลือกจะเดินทางจากบ้านเกิดมาอยู่ที่นี่ค่ะ
-
แล้วก็มาทำงานในย่านโคมแดงเนี่ยละค่ะ
-
แล้วก็มาใช้ชีวิตอยู่ตรงนี้นะคะ
-
ดังนั้นเวลากลางคืนเนี่ย
-
เค้าบอกถนนเส้นนี้เนี่ยสว่างไสวเหมือนเวลากลางวันเลย
-
ก็คือเป็นเหมือนเมืองที่แทบจะไม่หลับ ว่าอย่างนั้นเถอะค่ะ
-
เค้าก็ออกมาเดินจ่ายตลาดแบบด๊องแด๊งๆ แถวนี้เป็นปกตินะคะ
-
แล้วที่สำคัญนะคะ สาวๆ พวกนี้ไม่ได้ทำกันอยู่ตลอดชีวิตเนอะ
-
ส่วนมากก็ทำอาชีพนี้ถึงอายุแค่ประมาณ 30 ปีเท่านั้นค่ะ
-
หลังจากนั้นส่วนมากก็เกษียณตัวเองด้วยการแต่งงานนะคะ
-
ถามว่าใครมาแต่งด้วย
-
เออ ทำงานแบบนี้มา
-
ก็ต้องบอกว่า คือสาวๆ พวกนี้จะต้องสวยเป็นพิเศษ
-
นึกออกป้ะ
-
แล้วก็โดนเทรนมาเป็นพิเศษ
-
ดังนั้นส่วนมากก็ลูกค้าเนี่ยแหละค่ะ
ก็จะพาตัวออกไปแต่งงานด้วย
-
หรือบางคนก็เดินทางกลับบ้านเกิด
-
ไปแต่งงานกับหนุ่มๆ ที่บ้านเกิดค่ะ
-
ถึงแม้ว่าปัจจุบันตรงนี้จะไม่ใช่ย่านโคมแดงแล้วนะคะ
-
แต่มันยังเหลือบ้านโออิรันค่ะ
ที่เค้ายังคงเก็บรักษาไว้ทั้งหมด 1 หลังด้วยกัน
-
เดี๋ยวเราเข้าไปดูด้านในนะคะว่า ข้างในจะเป็นยังไงค่ะ
-
ไป ไปดูกัน
-
ตอนนี้นะคะเราก็เดินทางมาถึงร้านโตยะแล้วค่ะ
-
เป็นหนึ่งในร้านย่านโคมแดงนะคะ
ที่ยังหลงเหลืออยู่ในปัจจุบันเนอะ
-
ซึ่งเค้าบอกว่าที่นี่ไม่ได้หรูหราอะไรขนาดนั้นนะ
-
ไม่ใช่แบบอันดับต้นๆ ของสมัยก่อน อยู่ประมาณกลางๆ ค่ะ
-
ค่ะ แต่ว่ามันก็เป็นอันที่หลงเหลืออยู่นะ
-
แอบบอกนิดนึง
-
เดี๋ยวหลายคนจะแบบทำไมมาดูโออิรันต้องมาดูที่นีงาตะนะคะ
-
ต้องบอกว่าในสมัยโบราณเนี่ย
-
ที่นี่มันเป็นจุดที่แบบคนเดินทางมาลง มาค้าขายอะไรต่างๆ
-
แล้วมันไม่ใช่แค่ทางทะเลนะคะ
-
แต่บริเวณที่นีงะตะเนี่ย
-
มันมีแม่น้ำที่สามารถเดินทางมาจากจังหวัดอื่น
เช่น จังหวัดนางะโนะ ได้ด้วย
-
ดังนั้นมันเป็นศูนย์กลางการค้าขายมากๆ ค่ะ
-
เมื่อคนมารวมตัวกันอยู่เยอะๆ การค้ามันก็จะเฟื่องฟู
-
และย่านโคมแดงก็เป็นหนึ่งในการค้านั้นนะคะ
-
ก็สร้างขึ้นเพื่อรองรับคนจำนวนมากมายที่มาเนี่ย
-
ดังนั้นในสมัยนึงเนี่ยนะคะ
-
เค้ามีการจัดอันดับว่าย่านโคมแดงในประเทศ
ตรงไหนฟรุ้งฟริ้งที่สุดนะคะ
-
3 ที่ที่ติด Top 3 ตลอดเลยนั่นก็คือ
-
1.ย่านกิองของเกียวโต ใช่มั้ยคะ อันนี้ทุกคนรู้จัก
-
อันที่ 2 ก็คือ ย่านในโตเกียวนะคะ
-
และที่ 3 ก็คือ นีงะตะ เนี่ยแหละค่ะ
-
ไม่ใช่เรียง 1 2 3 นะคะ
-
คือ 3 ที่นี้ลำดับเดียวกันหมดเลยนะคะ
-
นึกภาพว่าความเฟื่องฟูระดับเดียวกับกิองของเกียวโตเนี่ย
-
ที่นี่เฟื่องฟูขนาดไหนนะคะ
-
แต่ว่ากิจการทั้งหมดเนี่ยก็หยุดให้บริการไป
ในประมาณปี 1960 ค่ะ
-
ก็คือในยุคโชวะนะคะ ก็ไม่นานมานี้เนี่ยแหละ
-
แล้วเค้าบอกว่าประวัติศาสตร์หน้าทั้งหมดของอันนี้
-
เคยเกือบโดนลบทิ้งไปตอนที่สั่งยกเลิกใหม่ๆ นะคะ
-
แต่ว่าอย่างไรก็ตาม
-
สุดท้ายเค้าก็นึกได้แล้วกลับมาอนุรักษ์ดีกว่าค่ะ
-
ดังนั้นไป เข้าไปดูข้างในกันนะ
-
ทีนี้ถามว่าขั้นตอนการรับลูกค้าของเค้าเป็นยังไงนะคะ
-
คืออย่างแรกเนี่ยนะคะ
-
ลูกค้าจะต้องมีความสนิทสนมกับโออิรันก่อนค่ะ
-
จะต้องมีการส่งของขงส่งของขวัญอะไรกันมา
ทำความรู้จัก เหมือนแนะนำตัวก่อน
-
ประมาณว่ารู้จักฉันไว้ซะ ฉันจะมาเป็นลูกค้าเธอนะ ทำนองนี้ค่ะ
-
หลังจากนั้นนะคะ เวลาวันไหนที่เค้าอยากใช้บริการเนี่ย
-
เค้าก็จะไปที่ร้านอาหารนะคะ
-
ไปถึงเค้าก็จะมีการเลือกโออิรันค่ะ
-
ว่าแบบ เออ คนนี้ฉันเล็งไว้แล้ว คนนี้ฉันไปทำความรู้จักไว้แล้ว
-
เลือกๆๆ
-
พอเลือกเสร็จนะคะก็จะส่งข่าวไปบอกที่บ้านโออิรันแห่งนี้
เนี่ยแหละค่ะ
-
ประมาณว่า อ่ะ ฉันเลือกเธอแล้ว แต่งตัวมาหาฉันซะ นะคะ
-
ระหว่างนั้นเนี่ย เค้าก็จะนั่งอยู่ที่ร้านอาหารใช่มั้ย
-
ก็จะมีการเรียกเกอิชา เรียกอะไรที่ไม่ได้ขาย ที่ขายศิลปะเนี่ย
-
มาให้ความบันเทิงตัวเองรอนะคะ
-
เกอิชาก็จะเริงระบำอะไรไปให้ความบันเทิงรอโออิรันแต่งตัวค่ะ
-
ซึ่งจะแต่งนานมากกกนะคะ
-
หลังจากแต่งตัวเสร็จเนี่ย
โออิรันก็จะทำพิธีเดินแห่ไปตามถนนค่ะ
-
ค่อยๆ แห่
-
ก็จะมีเป็นขบวนเลยแล้วค่อยๆ แห่ไป
-
ไม่เดินเร็วๆ เดินช้าๆ เดินแบบ อ่ะ รอฉันซะ
-
เธอจะแบบว่าต้องอดทนเพื่อฉันอะไรอย่างนี้
-
เล่นตัวว่ายังงั้นเถอะนะคะ
-
เล่นตัวๆๆ ไปกระทั่งถึงร้านอาหารค่ะ
-
ไปถึงก็ไม่ใช่ว่าจะได้เลยนะคะ
-
ส่วนใหญ่โออิรันเป็นยูโจะชั้นสูงมากๆ ค่ะ
ดังนั้นมีสิทธิ์เลือกลูกค้าค่ะ
-
ถ้าสมมติว่าไปถึงแล้วแบบโหงวเฮ้งเธอไม่ดีเลย
โออิรันก็มีสิทธิ์ปฏิเสธนะคะ
-
ซึ่งถ้าสมมติว่าโออิรันปฏิเสธปุ๊ปเนี่ย
-
ภารกิจทุกอย่างก็จะจบนะคะ
-
คือโออิรันก็จะกลับบ้าน ลูกค้าก็ อ่ะ กลับบ้านนะจ๊ะ
-
มีเงินอย่างเดียวไม่สามารถซื้อโออิรันได้
-
ที่นี้เค้าบอกว่า
-
ตามปกติเนี่ยไม่ใช่ว่าโออิรันจะตอบรับลูกค้าทุกคนนะคะ
-
เค้าบอกว่าเป็นเรื่องปกติ เบสิคมากๆ เลยที่
โออิรันเนี่ยจะปฏิเสธก่อนทั้งหมด 3 ครั้ง
-
คือเรียกไปเนี่ย แห่ไป 3 ครั้ง
-
โออิรันบอก โนจ้า แล้วก็แยกย้ายค่ะ
-
เพื่อให้เห็นว่า เธอต้องอดทนมากๆ เพื่อที่จะได้ฉันมาค่ะ
-
หลังจาก 3 ครั้งไปแล้วเนี่ยนะคะ
-
ถ้าสมมติว่าโออิรันโอเค โออิรันถึงจะตกลงเนอะ
-
แต่ว่าบางครั้งก็อาจจะแบบ ก็ไม่โอเคจริงๆ อ่ะ
-
ฉันไม่เอา ก็ไม่เอาก็คือไม่เอานะคะ ก็จะแยกย้ายกันไปค่ะ
-
ทีนี้สมมติว่าครั้งไหนโออิรันตกลงนะคะ
-
เค้าก็จะพาลูกค้าค่ะ
-
แห่กลับมาที่บ้านแห่งนี้นะคะ แล้วก็พาขึ้นบันไดมา
-
มาที่ห้องแถวๆ นี้นี่แหละนะคะ
-
แล้วก็ปฏิบัติภารกิจต่างๆ กันค่ะ
-
หลังจากที่ปฏิบัติภารกิจต่างๆ เสร็จนะคะ
-
ถามว่าทำไมต้องมีบันไดใหญ่ 2 ข้างคะ
-
มีบันไดใหญ่ด้านหน้ากับมีบันไดเล็กด้านหลัง
-
คือเค้าบอกว่า คือถ้าสมมติว่าถ้าไม่ลงบันไดเล็กด้านหลังเนี่ย
-
คือห้องพวกนี้มันไม่ใช่มีแค่โออิรันใช้ใช่มั้ย
-
แต่ว่ามันมียูโจะใช้ด้วย
-
คือคนที่เดินเข้ามาแล้วซื้อเลย
-
ดังนั้นถ้าไม่ลงบันไดเล็กด้านหลังเนี่ย
-
เดี๋ยวแบบเดินกลับไปแล้วป๊ะกับลูกค้าคนถัดไป
-
แล้วเดี๋ยวจะมีปัญหากันนะคะ
-
ก็เลยต้องแบบว่า อ่ะ เสร็จแล้วไปด้านนู้นจ้า
-
คนใหม่เข้ามาทางนี้จ้า ประมาณนี้นะคะ
-
นี่ก็เป็นขั้นตอนการใช้บริการโออิรันโดยทั่วไปนะคะ
-
ก็บรรยากาศก็เป็นประมาณนี้ค่ะ
-
ตอนนี้นะคะเราก็เดินออกจากบ้านของยูโจะหรือบ้านโออิรัน
ที่เราไปเมื่อกี้นี่แหละค่ะ
-
เมื่อกี้วิวบอกว่ามันเป็นศาลเจ้า จริงๆ แล้วไม่ใช่นะคะ
-
มันเป็นวัดค่ะ
-
ซึ่งวัดแห่งนี้เค้าบอกว่าในสมัยโชวะที่ 5 นะคะ
-
บริเวณย่านโคมแดงทั้งหมดเนี่ย
-
มีบ้านของยูโจะที่ลงทะเบียนทั้งหมด 64 หลังนะคะ
-
ประกอบไปด้วยยูโจะ หรือว่าพวกค้าบริการที่ถูกกฎหมายนะ
ที่มีการลงทะเบียนเนี่ย
-
ทั้งหมด 370 นางด้วยกันค่ะ
-
ไม่นับนางที่ไม่ได้ลงทะเบียนค้าเถื่อนอยู่รอบๆ นอกนะคะ
-
เค้าบอกว่าทั้ง 370 นางเนี่ย
-
ทุกเช้าจะต้องเดินทางมาที่วัดค่ะ มาไหว้พระขอพรนะคะ
-
เออ เค้าขอพระอะไรกัน
-
เดี๋ยวเราเข้าไปดูด้านในกันดีกว่าค่ะ
-
เข้ามาในวัดนะคะ
-
เห็นตุ๊กตารูปปั้นแบบนี้ คุ้นๆ กันมั้ยคะ เหมือนที่วิวเคยเล่าไปเลย
-
นี่คือโอะจิโซซังหรือว่าพระโพธิสัตว์จิโซนะคะ
-
ซึ่งก็เป็นความเชื่อเกี่ยวกับเด็กค่ะ
-
คือความเชื่อของเด็กของญี่ปุ่นเนี่ย ใช่มั้ยคะ
-
เค้าก็จะบอกว่าเวลาที่เด็กเสียชีวิต
โดยเฉพาะเด็กที่เล็กมากๆ เนี่ยนะคะ
-
เสียชีวิตไป เค้าจะไปติดค้างอยู่บริเวณริมแม่น้ำที่ทางไปนรกไง
-
จำได้ใช่มั้ย ที่วิวเล่าเรื่องนรกแบบญี่ปุ่นไป
ว่ามันต้องจะมีแม่น้ำที่ทุกคนต้องข้ามไปนะคะ
-
พอเด็กไปติดอยู่ตรงนั้นเนี่ย
-
เค้าก็เหมือนแบบว่า
-
คือเวลาคนที่โตแล้วตายเนี่ย ญาติๆ ก็จะทำบุญให้ส่งไปให้
-
ทำบุญส่งไปให้เพราะว่าตั้งสติได้
-
แต่เวลาที่เด็กมากๆ ตายเนี่ย พ่อแม่เนี่ยจะเสียใจมาก
-
แล้วก็ไม่สามารถที่จะตั้งสติพอที่จะทำบุญไปให้ได้
-
ดังนั้นเด็กก็เลยจะต้องพยายามก่อศาลเจ้าของตัวเองค่ะ
-
เพื่อแบบว่าส่งพลังไปถึงพ่อแม่ว่าแบบ
-
ส่งบุญมาให้ฉันเถอะ ส่งของ ทำบุญมาให้ฉันหน่อย
อะไรอย่างงี้นะคะ
-
ซึ่งการสร้างศาลเจ้าของเด็กเนี่ย
-
ก็เกิดจากการเอาหินบริเวณริมแม่น้ำค่ะ มาเรียงๆๆ กัน
-
ทีนี้บังเอิญว่าบริเวณริมแม่น้ำนั้นนะคะ
-
มันเป็นที่อยู่ของสิ่งนึงค่ะ
-
ก็คือ ยักษ์ นั่นเอง
-
ทีนี้ พอยักษ์เห็นเด็กๆ ก่อศาลเจ้านะคะ
-
ตอนกลางคืนยักษ์ก็จะออกมาค่ะ แล้วก็มาถล่มศาลเจ้า
-
ปึ้ง!
-
ประมาณว่า เธอรบกวนที่อยู่ฉัน อะไรประมาณนี้นะคะ
-
ดังนั้นเด็กๆ ก็เลยเหมือนจะเป็นศัตรูกับยักษ์ค่ะ
-
แล้วก็สร้างศาลเจ้าไม่เสร็จสักที
-
แล้วก็กลัวยักษ์อีกต่างหาก
-
ซึ่งคนที่จะเข้ามาตรงนี้ก็คือ พระโพธิสัตว์จิโซ นั่นเอง
-
พระโพธิสัตว์จิโซเนี่ยก็จะลงมา
แล้วก็มาปกป้องเด็กๆ จากยักษ์นะคะ
-
โดยที่เอาวิญญาณของเด็กๆ เนี่ยซุกเข้าไปในจีวรของท่านค่ะ เพื่อแบบปกป้องไว้
-
ประมาณว่า ยักษ์อย่ามาทำอะไรเด็กๆ พวกนี้นะ
วิญญาณเด็กๆ ยังบริสุทธิ์อยู่ ประมาณนั้นนะคะ
-
ซึ่งนี่เป็นสาเหตุที่เค้าเชื่อกันว่า
-
เวลาใครมีลูกที่เสียชีวิตเร็วหรือะไรอย่างนี้
-
ก็จะมาไหว้พระโพธิสัตว์จิโซค่ะ
-
หรือประมาณว่าแบบพระโพธิสัตว์จิโซ
คือคนที่ดูแลเด็กนั่นเองค่ะ
-
ซึ่งถามว่าเกี่ยวอะไรกับโออิรันหรือยูโจะของพวกเรานะคะ
-
ก็คือ ก็รู้กันใช่มั้ยว่าอาชีพเค้าขายอะไรแบบนี้
-
ซึ่งสมัยก่อนการคุมกำเนิดอะไรมันก็ไม่ค่อยดี
-
ดังนั้นถามว่าพลาดท้องบ่อยมั้ย
-
ก็ค่อนข้างบ่อยนะคะ
-
พลาดบ้าง หรือว่าตั้งใจท้องเพื่อที่จะจับลูกค้าบ้างก็มีนะคะ
-
อาชีพพวกนี้ถามว่าท้องได้มั้ย
-
ไม่ได้นะคะ
-
เท่าที่วิวเคยอ่านมาเนี่ยก็เลยจะต้องทำแท้งกันค่อนข้างบ่อยค่ะ
-
คือบางครั้งตัวเองก็ทำแท้งเองบ้าง
-
บางครั้งคนที่คุมเนี่ย ก็บังคับให้แท้งบ้างนะคะ
-
โดยการแบบว่าให้กินยา หรือว่าทำอะไรต่างๆ ให้แท้ง
-
ดังนั้นมันก็เลยจะมีความรู้สึกผิดอยู่ในใจค่ะ
-
ก็เลยมักจะมาไหว้ที่วัดแห่งนี้นะคะ
-
เพื่อขอให้พระโพธิสัตว์จิโซคอยดูแลวิญญาณเด็กๆ เหล่านั้น
ที่เป็นลูกของพวกเธอที่ตายจากไปค่ะ
-
ก็เป็นเรื่องน่าเศร้านิดนึงนะคะ
-
ตอนนี้นะคะ เราก็มาถึงศาลเจ้ามินะโตะแล้วค่ะ
-
ก็คือศาลเจ้าที่วิวพูดถึงมาตั้งแต่ต้นอ่ะนะ
-
ซึ่งศาลเจ้าที่นี่ เค้าถือว่าเป็นแบบแหล่งบันเทิงเริงใจของ
เหล่าโออิรันหรือเหล่ายูโจะทั้งหลายค่ะ
-
คือเมื่อกี้ตอนที่เราไปวัดอาจจะเป็นการขอพรอะไรที่
-
เออ เรื่องสุขภาพ เรื่องลูก เรื่องอะไรที่แบบจริงจังนิดนึง
-
แต่ว่าที่นี่เรื่องการค้าล้วนๆ เลยค่ะ
-
แล้วก็เป็นเหมือนแบบว่าความบันเทิงเล็กๆ ของเค้าด้วย
-
เพราะว่าที่นี่ของเล่นเยอะนะคะ
-
เดี๋ยวเราเข้าไปดูด้านในกัน มาๆ
-
ค่ะ สิ่งแรกที่เราจะเจอก็คือ เสาโทะริอิ นั่นเอง
-
บอกว่าเรากำลังเข้าไปสู่ดินแดนแห่งเทพเจ้าแล้วนะ
-
ไม่ใช่ดินแดนของมนุษย์ทั่วไปแล้วนะคะ
-
เข้ามาถึงก็เจอเหมือนเดิมเลย ก็คือที่ล้างมือ
ล้างทุกอย่างให้เราสะอาด
-
เพื่อที่เราจะได้เข้าสู่ดินแดนแห่งเทพเจ้าเนอะ
-
เข้ามาเรื่อยๆ นะ ก็จะเจอกับ
-
สิ่งนี้คือ โคะมะอินุ นะคะ
-
โคะมะอินุก็คือลูกครึ่งระหว่างสิงโตกับสุนัข ประมาณนั้นนะคะ
-
เค้าบอกว่าเป็นที่ที่ให้มาขอพร ศักดิ์สิทธิ์มากนะคะ
-
เป็นแท่นหินที่สามารถหมุนซ้ายหมุนขวาได้ค่ะ
-
ผู้หญิงเนี่ยให้หมุนด้านซ้าย ส่วนผู้ชายให้หมุนด้านขวา
-
ปัจจุบันเนี่ยขอพรอะไรก็ได้
-
แต่ถามว่าพวกยูโจะกับโออิรันเนี่ยมาขอพรอะไร
-
อ่ะ เดากันได้มั้ย
-
เค้าบอกว่า เค้าจะมาขอพรนะคะ หมุนๆๆ
-
แล้วก็ขอพรว่า ให้ลมตะวันตกพัดแรงๆ หน่อยจ้า
-
ลมตะวันตกพัดแรงๆ เกี่ยวอะไร
-
คือลมตะวันตกเนี่ยนะคะ
-
เวลาพัดมา ทะเลมันจะคลั่งค่ะ ทะเลแบบคลั่ง บ้าคลั่งเลยนะ
-
ออกเรือไม่ได้
-
ดังนั้นคนที่มากับเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ก็จะออกเรือไม่ได้
-
ใครที่ค้าขายต่างๆ ออกเรือไม่ได้ ก็ว่าง
-
ติดอยู่ที่เมืองนี้ทำไรอะไรคะ
-
ใช้บริการยูโจะนั่นเอง
-
ดังนั้นถ้าช่วงทะเลคลั่งลูกค้าก็จะเยอะนะคะ
-
ก็จะมาขอพรอะไรประมาณนี้กันค่ะ
-
เท่านั้นยังไม่พอ ยังมีพรต่างๆ ที่ขอกันอีกมากมายเลย
-
ที่วิวบอกค่ะว่าจะมีเทพเข้าจิ้งจอกเนอะ
-
เค้าก็จะมาขอพรแล้วก็ผูกๆ ขาไว้ต่างๆ ค่ะ
-
ซึ่งคนสมัยปัจจุบันเนี่ย อยากขออะไรก็ขอไปเถอะ
-
แต่คนสมัยนั้นเนี่ย ยูโจะทั้งหลายถามว่ามาผูกทำไมนะคะ
-
ก็คือถ้าสมมติว่าอยากได้ลูกค้าคนนี้มากๆ เลย
-
ประมาณว่า ฉันอยากเกษียณแล้วจ้า มาแต่งงานกับฉันเถอะจ้า มาติดฉันตลอดไป
-
เค้าก็จะเขียนชื่ออะไรอย่างนี้ แล้วเอามาผูกที่ขาของจิ้งจอกนะคะ
-
ผูกปึ๊บก็เรียกได้ว่าผูกลูกค้าไว้กับตัวเอง ประมาณนั้นเลยค่ะ
-
ก็เป็นความเชื่อของคนสมัยนั้นเนอะ
-
เข้าไปด้านในนะคะ ก็จะเป็นเทพเจ้าเหมือนปกติ
-
ซึ่งเราจะไม่ถ่ายให้เห็นเทพเจ้านะคะ
-
เพราะว่าคนสมัยก่อนไม่ให้มองเทพเจ้าโดยตรงเนอะ
-
แต่ว่าสิ่งที่พิเศษสิ่งนึงในศาลเจ้านี้คือ มันมีของเล่นเยอะมาก
-
อย่างที่เห็นภาพอยู่ตอนนี้เนอะก็จะเป็น
-
มีเซียมซีหลากหลายชนิด เรียกได้ว่าทำนายดวงชะตาต่างๆ
-
มีคำอวยพรจากเทพเจ้าให้เล่น
-
มีการแบบว่า คำอวยพรจากเทพเจ้าที่เป็นตกปลา
-
มีเครื่องรางของขลังอะไรต่างๆ มากมาย
-
ก็น่าจะเป็นความบันเทิงเริงใจแบบยึดเหนี่ยวทางจิตใจ
ของคนที่ทำงานแบบเป็นยูโจะหรือเป็นโออิรันประมาณนั้นนะคะ
-
ก็ศาลเจ้านี้ก็ประมาณนี้ค่ะ
-
เป็นยังไงบ้างคะที่เราไปดูมาทั้งหมดเกี่ยวกับโออิรัน เหมืองทอง แล้วก็การเดินเรือนะคะ
-
จะเห็นว่าทุกอย่างมันดูเกี่ยวพันกันไปหมดเลยนะ
-
มันมีเหตุมีผลของตัวเองว่าแบบทำไมอะไรจะต้องมาตั้งอยู่ตรงนี้ ทำไมอะไรต้องตั้งอยู่ตรงนั้นนะคะ
-
ก็เป็นว่าใครสนเรื่องพวกนี้อย่าลืมมาเที่ยวที่เกาะซาโดะ
แล้วก็เมืองนีงะตะนะคะ
-
สำหรับตอนนี้ถ้าใครอยากให้วิวพาไปเที่ยวที่ไหนอีก
ก็อย่าลืมคอมเมนต์มาด้านล่างค่ะ
-
แล้วก็กดไลก์เป็นกำลังใจให้วิว
-
แล้วก็กดแชร์เพื่อชวนเพื่อนๆ มาดูด้วยกันนะคะ
-
แล้วพบกันใหม่โอกาสหน้าค่ะทุกคน บ้าย บาย สวัสดีค่า
-
แอบเกริ่นไปนิดนึงว่าเกาะซาโดะเนี่ยคาเฟ่สวย
-
เดี๋ยวจะไม่เชื่อกันนะคะ
-
วันนี้พามาดูชิมะฟุมิค่ะ
-
คาเฟ่ริมทะเลที่เกาะซาโดะ
-
บอกเลยว่าเก๋มากๆ
-
และในเกาะนี้มีคาเฟ่แบบนี้อีกเพียบเลยค่ะ
-
ดังนั้นอย่าพลาดนะจ๊ะทุกคน
-
วันนี้ลาไปก่อนค่ะ บ้าย บาย สวัสดีค่ะ