สวัสดีค่ะ วิวจากแชนเนล Point of View ค่ะ วันนี้ฉากหลังดูแปลกตานะคะ เพราะว่าตอนนี้วิวกลับมาอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่นอีกครั้งนึงแล้วค่ะ แล้วตอนนี้ก็ไม่อยู่เมืองเดิมด้วย ตอนนี้ย้ายเมืองใหม่อีกแล้วค่ะ อยู่ที่เมืองนีงะตะนะคะ ถามว่ามาทำอะไรที่นีงะตะ บอกเลยว่าช่วงนี้วิวเห็นหลายๆ คนสนใจหัวข้อๆ นึง เกี่ยวกับประเทศญี่ปุ่นค่ะ นั่นก็คือเรื่องของ โออิรัน นั่นเอง ดังนั้นวิวก็เลยมาที่นีงะตะนะคะ ซึ่งที่นี่ต้องบอกว่าเป็นย่านๆ นึง ที่เคยมีโออิรันอยู่จริงในอดีตนะคะ แล้วก็เป็นย่านที่มีชื่อเสียงมากๆ ค่ะ และแถวนี้ไม่ใช่มีแค่โออิรันนะคะ แต่ว่ามีอะไรที่น่าสนใจอีกเพียบเลยค่ะ ดังนั้นวิวก็เลยอยากพาทุกคนมาเที่ยวที่นี่เนี่ยแหละค่ะ อย่าลืมกดติดตามวิวให้ครบทุกช่องทางนะคะ จะได้ไม่พลาดข่าวสารดีๆ แล้วก็คลิปวิดีโอสนุกๆ จากช่อง Point of View พร้อมจะไปฟังเรื่องราวที่ทั้งสนุกแล้วก็ได้สาระกันหรือยังคะ ถ้าพร้อมกันแล้วก็ไปฟังกันเลยค่ะ นีงะตะเป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่ในภูมิภาคชูบุของญี่ปุ่น ก็แถวๆ ภาคกลางประเทศเนี่ยแหละค่ะ ซึ่งจังหวัดนี้นะคะ นอกจากจะเป็นบ้านเกิดของ วง NGT48 วงน้องสาวของวง AKB48 แล้ว ยังถือว่าเป็นจังหวัดที่ข้าวอร่อยที่สุดในประเทศญี่ปุ่น อีกด้วยนะคะ อย่างไรก็ตาม วันนี้เราไม่ได้จะมาทัวร์กินกันค่ะ ใช่ เราไม่ได้จะมาทัวร์กินนะ แต่!! เราจะมาตามรอยโออิรันหรือว่าโสเภณีชั้นสูงในอดีต ของญี่ปุ่นกันต่างหาก ดังนั้นไปฟังเรื่องโออิรันกันดีกว่าค่ะ ตอนนี้นะคะ วิวนั่งอยู่ในย่านฟุรุมะจิ ซึ่งเป็นย่านฮะนะมะจิที่มีชื่อเสียงค่ะ เอาล่ะ ตอนนี้ศัพท์มากมายแล้วนะคะ ฟุรุมะจิเป็นชื่อย่านนะคะ ส่วนฮะนะมะจิเป็นชื่อที่เค้าเอาไว้เรียกพวกย่านสถานเริงรมย์ต่างๆ ค่ะ ก็คือเป็นย่านที่แบบว่า เที่ยวแบบดาร์กๆ นิดนึงของญี่ปุ่นสมัยก่อนเนี่ยนะคะ ซึ่งปกติฮะนะมะจิเนี่ยจะประกอบไปด้วย 3 ส่วนด้วยกันค่ะ อย่างแรกคือ เกอิชายะ หรือว่า บ้านเกอิชา นะคะ สองก็คือ ยูคะคุ หรือว่า ย่านโคมแดง ค่ะ แล้วก็สามก็คือ เรียวเท หรือว่า พวกร้านน้ำชา ร้านอาหารแบบญี่ปุ่นเนี่ยแหละค่ะ ทีนี้ถามว่า มี 2 อย่างอยู่รวมกันใช่ไหมย่านโคมแดงกับบ้านเกอิชา 2 อย่างนี้ต่างกันยังไงนะคะ ระหว่างเกอิชากับโออิรัน ก็ต้องบอกว่าเอามาเทียบกันไม่ได้ค่ะ เพราะว่าคำว่าโออิรันเป็นลำดับขั้นไม่ใช่เป็นชื่อเรียกนะคะ แม้ว่าคำว่า โออิรัน จะมีชื่อเสียงก็ตาม จริงๆ แล้วเราจะต้องเทียบระหว่างเกอิชากับยูโจะค่ะ ซึ่งยูโจะเนี่ยคือผู้หญิงที่ขายตัวเนอะ ในขณะที่เกอิชาจะเป็นผู้หญิงที่ขายศิลปะต่างๆ ความแตกต่างอยู่ตรงนี้นะคะ เกอิชาจะเป็นผู้หญิงที่เชี่ยวชาญด้านการเล่นดนตรี การชงชา แล้วก็ใช้ชีวิตโดยการเอนเตอร์เทรนผู้ชายต่างๆ ค่ะ ถามว่ามีการขายไหม อาจจะมีบ้างนะคะ แต่น้อยมากๆ เพื่อที่ว่าจะได้มีแบบผู้สนับสนุนอะไรอย่างนี้ แล้วก็เกอิชาบางคนที่ประสบความสำเร็จเนี่ย ก็จะสามารถมีผู้ที่มาอุปถัมภ์ตัวเองได้แล้วก็ออกจากการเป็นเกอิชาในที่สุดค่ะ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เราไม่ได้มาพูดถึงเกอิชานะคะ เรามาพูดถึงโออิรันค่ะ ทีนี้คำว่าโออิรันคืออะไร อ่ะ งงกันมั้ย ก็คือ ยูโจะชั้นสูง นั่นเองนะคะ ซึ่งก่อนที่จะมีคำว่า โออิรัน เนี่ย มันจะมีคำว่า เคอิเช มาก่อนค่ะ คำว่า เคอิเช ก็คือ ยูโจะชั้นสูงที่ทำให้ปราสาทล่มสลาย ก็เรียกได้ว่า สวยจนงามล่มเมืองประมาณนั้นค่ะ คือประมาณว่า เจ้ามงเจ้าเมืองไม่เป็นอันปกครองบ้านเมืองเลยประมาณนั้นนะคะ ทีเนี้ยกว่าจะเป็นโออิรันได้ ถามว่าต้องทำยังไงบ้าง ก็ต้องบอกว่าไม่ใช่อยู่ดีๆ จะเป็นโออิรันแล้วเป็นได้นะคะ จะต้องโดนฝึกตั้งแต่เด็กค่ะ พวกที่อยู่ในธุรกิจค้าบริการเนอะ ก็ส่วนมากก็จะโดนขายตัวมาตั้งแต่เด็กๆ โดนพ่อแม่เอามาขายให้กับบ้านของยูโจะ หรือว่าบ้านของเกอิชาใช่มั้ย เหมือนที่เราดูในหนังนั่นแหละค่ะ เสร็จแล้วเค้าก็จะเล็งกันตั้งแต่เด็กค่ะว่า เฮ้ย คนนี้มีแวว คนนี้โตขึ้นมาได้เป็นโออิรันแน่ๆ คอร์สการฝึกของเค้าถามว่าเค้าฝึกอะไร ใจเย็นๆ อย่าเพิ่งคิดถึงเรื่องแบบนั้นนะคะ สิ่งที่เค้าฝึกก็คือ ศิลปะ วิทยาการต่างๆ ค่ะ ไม่ว่าจะเป็นการเล่นหมาก การชงชา การรินของ การวาดภาพ การต่อกลอน เล่นโกะอะไรเหล่านี้นะคะ เรียกได้ว่าต้องได้หมดเลยค่ะ เพราะว่าคนที่จะเป็นโออิรันได้เนี่ยนะคะ ไม่ใช่แค่หน้าสวยอย่างเดียว แต่ว่าสมองต้องดีด้วยนะคะ เพราะว่าความเซ็กซี่ของโออิรันเนี่ย ไม่ใช่แค่แบบว่ามาถึงดูหน้าแล้วก็ซื้อเลยจ้า ประมาณนั้นไม่ได้ค่ะ จะต้องมีการนั่งคุยอะไรกันก่อน แล้วก็แบบ หืม ผู้หญิงคนนี้ใช้ได้เลย ประมาณนั้นนะคะ ทีนี้นอกจากการฝึกพวกศิลปะอะไรต่างๆ คล้ายเกอิชาแล้วเนี่ย อีกอย่างนึงที่เค้าต้องฝึกก็คือ เรียนรู้เรื่องเกี่ยวกับร่างกายผู้ชายค่ะ ประมาณว่าแบบ เออก็สุดท้าย มันก็งานขายอ่ะนะ พอเรียนรู้จบกระบวนความอะไรต่างๆ ก็จะได้ไปเป็นยูโจะใช่มั้ย ก็จะเริ่มมีการไต่ระดับขึ้นมาเรื่อยๆ ค่ะ ส่วนใครที่ขายดีๆ มากๆ ฮิตมากๆ แล้วก็ค่าตัวแพงมากๆ ก็จะได้เป็นโออิรันเนี่ยแหละค่ะ ซึ่งเค้าบอกว่าโออิรันเนี่ย ไม่ใช่ใครก็เป็นได้นะคะ ในบรรดายูโจะ 1000 คนเนี่ย จะมีคนที่ได้เป็นโออิรันแค่ 1 คนเท่านั้นค่ะ เรียกได้ว่าลำดับสูงมากจริงๆ นะ ซึ่งต้องบอกว่าปัจจุบันเนี่ยนะคะ โออิรันเนี่ยผิดกฎหมายแล้วนะ หลังจากที่มันมีกฎหมายห้ามค้าบริการอะไรออกมาค่ะ พอผิดกฎหมายแล้วเกิดอะไรขึ้น ก็เหลือแต่พวกเกอิชาอะไรต่างๆ ใช่มั้ย ซึ่งเนื้องานดั้งเดิมของมันก็หายไปหมดแล้ว เหลือพวกแบบว่าการแต่งกายอะไรต่างๆ เป็นวัฒนธรรมของชาตินะคะ ในฐานะผู้นำแฟชั่นใช่ไหมคะ ที่แบบสมัยเอโดะอะไรแบบนี้ โออิรันเป็นผู้นำแฟชั่นด้วยนะคะ ไม่ใช่ขายอย่างเดียว ถือว่าเป็นสตรีชั้นสูง แล้วเค้าก็ชื่นชมไงคะว่า โออิรันเนี่ยสวย ดังนั้นพวกศิลปินต่างๆ ก็มักจะมาวาดรูปโออิรันเก็บไว้กันมากมายค่ะ แล้วก็ส่งไปตามที่ต่างๆในประเทศนะคะ เค้าก็จะดูกันว่า โออิรันที่มีชื่อเสียงคนนี้แต่งตัวแบบนี้ ก็กลายเป็นแฟชั่นตรงนั้นตรงนี้ไปหมดค่ะ เรียกได้ว่าเป็นผู้นำแฟชั่นในยุคนั้นเลยทีเดียวนะคะ ดังนั้นปัจจุบันก็จะมีสตูดิโอให้เราถ่ายภาพสไตล์โออิรันต่างๆ มากมาย เช่นเดียวกับที่ที่วิวนั่งอยู่ตอนนี้เนี่ยแหละค่ะ ก็เป็นสตูดิโอให้เราถ่ายภาพสไตล์แบบโออิรันนะคะ แต่ว่าจะไม่ใช่โออิรันแบบสมัยเอโดะนะ เพราะว่า ความเป็นผู้นำแฟชั่นเนี่ยจะให้ 100 ปีผ่านไป แฟชั่นเหมือนเดิมก็ไม่ใช่นะคะ ที่นี่ก็ให้เราสามารถมาแต่งกายเป็นโออิรันได้ แต่จะเป็นโออิรันยุคเรวะค่ะ เค้าจะประยุกต์ให้ทันสมัยขึ้นนิดนึงนะคะ เดี๋ยวเราไปดูดีกว่าว่าโออิรันยุคเรวะเนี่ยแต่งกายยังไง อะไรยังไงบ้าง ซึ่งมันก็ยังมีกลิ่นอายโออิรันในสมัยเอโดะอยู่เนี่ยแหละค่ะ และเครื่องแต่งกายแต่ละชิ้นของโออิรันเนี่ยก็มีความหมายในตัวของมัน เดี๋ยววิวไปอธิบายให้ฟังค่ะ ไปกันดีกว่า ตอนนี้เราก็มาอยู่กับโออิรันของเราแล้วนะคะ หน้าตาคุ้นๆ เหมือนจะใช่เหมือนจะไม่ใช่ เอ๊~ โออิรันของเราพูดไทยได้มั้ยคะ ได้นิดหน่อยค่ะ พอจะพูดฝากช่องตัวเองได้มั้ยคะ ฝากติดตามด้วยนะคะที่ช่อง WIRI นะคะ W I R I ค่ะ พอพูดฝากช่องนี่คล่องเชียวนะคะ อ่า ได้ประโยคเดียวค่า ตอนนี้เราก็ตามพี่ฝ้าย WIRI นะคะ มาแต่งตัวเป็นโออิรันนะคะ เค้าก็จะจัดท่าจัดทางให้ถ่ายภาพออกมาได้สวยงามที่สุดนะคะ ทำไมเกิดอะไรขึ้น ทำไมต้องใส่เต็มขนาดนี้คะ คือว่า เยอะตั้งแต่การแต่งหน้า แต่งตัว แต่งทรงผมเลย ทรงผมเยอะไหม นี่ถือว่าเยอะไหม เยอะ เค้าบอกว่า เป็นการบอกลำดับขั้นโออิรันค่ะ คือเป็นการวัดเรทติ้ง เป็นการเช็คเรทติ้ง อย่างอันนี้คือเรทติ้งค่อนข้างดีนะคะ เค้าบอกว่าเครื่องประดับแต่ละชิ้นที่อยู่บนหัวเนี่ยคือผู้ชายซื้อให้ ประมาณว่า คนนี้แหละฉันชอบ อ่ะ เอาไป 1 ชิ้น ดังนั้น ทั้งหมดบนหัวของพี่ฝ้ายมีประมาณ 20-30 ชิ้นนะคะ ก็ถือว่า.. เราว่าเยอะกว่านั้นเอาจริง เอาเป็นว่าเยอะมาก คือปักไม่ยั้งเลยนะคะ คือเนื่องจากคุณป้าที่เป็นคนแต่งให้เค้าชอบพี่ฝ้ายมาก เค้าก็เลยปักให้ไม่ยั้งเลย เค้าแบบเพิ่มเรทติ้งให้เราแบบตัวท็อปมากตอนนี้ ใช่ ก็คือบนหัวเนี่ย ยิ่งเยอะยิ่งตัวท็อปนะคะ นอกจากนั้นค่ะ การแต่งตัวทั้งหลายเนี่ย เค้าบอกว่าจะเน้นให้หน้าเล็ก เพราะยิ่งหน้าเล็กยิ่งแปลว่าสวยนะคะ ก็จะมีผมบังหน้า แล้วก็เล็บเนี่ย เนี่ย ต้องเล็บอย่างนี้ ใช้ชีวิตไม่ได้นะคะ ก็คือต้องมีข้ารับใช้ มีอะไรต่างๆ เพื่อแสดงความว่า ฉันเป็นผู้หญิงสูงศักดิ์จ้า แล้วก็นอกจากนี้ยังสามารถเอาเล็บไว้บังหน้าได้ด้วย จะดูหน้าเรียวเข้าไปอีก เท่านั้นยังไม่พอ เห็นไหล่เซ็กซี่แบบนี้นะคะ จริงๆ ไหล่ไม่ใช่จุดที่เซ็กซี่ จุดที่เซ็กซี่จริงๆ เนี่ย อยู่ตรงนี้ อยู่ที่ขาของเค้านะคะ ซึ่งอาจจะไม่เห็นตรงนี้ อาจจะให้เห็นแบบวับๆ แวมๆ คือปกติชุดญี่ปุ่นเนี่ยมันจะต้องมีการใส่ถุงเท้า ถูกมั้ย เค้าเรียกว่า ทะบิ ใช่มั้ย ถุงเท้าแบบญี่ปุ่น แต่!! โออิรันไม่ใส่ถุงเท้าค่ะ ต่อให้เดินลุยหิมะอะไรก็ตาม ก็จะใส่เกี๊ยะเข้าไปเลยโดยที่ไม่ใส่ถุงเท้า เพราะเค้าถือว่าเท้าเนี่ยเป็นสิ่งที่เซ็กซี่มาก เหมือนจีนนี่แหละ ใครเห็นเท้านี่แบบโป๊ โป๊มาก ให้เห็นข้างบนยังไม่โป๊เท่าเห็นเท้าเลยนะคะ อีกจุดนึงที่แตกต่างกันระหว่างพวกยูโจะหรือว่าอะไรพวกนี้ กับชุดกิโมโนปกติก็คือ ตรงนี้ นี่ โอบิ นะคะ ก็คือปกติเค้าจะผูกไว้ข้างหลังกันใช่ไหม แต่ว่าใครก็ตามที่ขายนะคะ เค้าก็จะผูกไว้ด้านหน้า เป็นนัยยะว่าสามารถแกะออกเองได้จากด้านหน้า ก็ประมาณนี้ก็เป็นเกี่ยวกับชุดของโออิรันนะคะที่เราพามาให้ดูในวันนี้ ตอนนี้ก็ปล่อยพี่ฝ้ายไปถ่ายรูปสวยๆ ต่อค่ะ เดี๋ยวเราแอบโชว์รูปให้ดูค่ะว่าใครมาถ่ายรูปที่นี่จะสวยขนาดไหนนะคะ ไป คนไม่สวยออกไปก่อน ตอนนี้นะคะ โออิรันของเราก็ได้รูปมาเรียบร้อยแล้ว ได้รูปมากี่รูปคะ ได้ท่าละ 1 รูปค่ะ รวมเป็น 4 รูป ท้าด๊า~!! มีความเป็น ตะกี้บอกว่าเหมือนอะไรนะคะ นางพญาจิ้งจอก ใช่ เหมือนที่เพิ่งเล่าไปเลย จิ้งจอกเก้าหางใช่ไหม นั่นแหละค่ะ อย่าลืมไปดูคลิปเก่านะจ๊ะ เล่าเรื่องจิ้งจอกเก้าหางไปแล้ว แอบแทรกโฆษณา แน่นอน ก็จบไปแล้วนะคะกับกิจกรรมถ่ายรูปโออิรันค่ะ ของเรา สาเหตุที่เราต้องมาถ่ายรูปโออิรันแถบนี้นะคะ เพราะจริงๆ ตรงนี้ก็อย่างที่บอกว่า เพราะมันมีโออิรันอาศัยอยู่จริงๆ ในสมัยก่อนนะคะ แล้วก็มีย่านอะไรที่สวยงามต่างๆ มีบ้านเก่า มีอะไรให้ดูอยู่ด้วยนะคะ แต่ว่าเนื่องจากตอนที่เรามาพายุเข้านะคะ ตอนนี้ก็ยังเข้าอยู่ เราก็เลยอดนะคะ แต่ไม่เป็นไร เราจะพาไปดูอย่างอื่นแทน จะบอกว่าบริเวณแถบนี้ยังมีอะไรที่น่าสนใจอีกเพียบ คือเดี๋ยววิวจะพาทุกคนไปดูวิธีทำทองค่ะ ทำทอง หาเงินยังไงมาเปย์โออิรันนะจ๊ะ อ่าฮะ ใช่ๆ ไป เราไปดูวิธีทำทองกันดีกว่า ไป อย่างที่บอกไปเมื่อกี้นะคะว่า เราจบกิจกรรมที่เกี่ยวกับโออิรันกันกันแล้ว แต่ว่าไม่ใช่ว่าทริปเราจะจบ อ่าใช่ เราจะไปต่อ แถวนี้มีอะไรที่น่าสนใจอยู่อีกมากมายเติมไปหมดเลย คือเรากำลังอยู่ที่ท่าเรือจะข้ามไปที่ซาโดะค่ะ ใช่ เป็นเกาะชาโดะนะคะ ที่เกาะซาโดะแห่งนี้ มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน น่าสนใจ แล้วเราก็จะไปคาเฟ่ต่างๆ มากมาย แอบกระซิบนิดนึง สำหรับผู้หญิงทั้งหลายนะคะ เค้าบอกว่า เกาะซาโดะเนี่ย เป็นเกาะที่ฮิตมากๆ ในหมู่ผู้หญิงชาวญี่ปุ่น เดี๋ยวเราข้าวไปที่เกาะซาโดะกันค่ะ ไป เอาล่ะทุกคน เราก็มาถึงเกาะซาโดะ หรือว่า Sado Island แล้วนะคะ เมื่อประมาณ 400 ปีก่อนค่ะ อยู่ดีๆ ก็มีการค้นพบว่า อ้าว ที่นี่มีสิ่งที่น่าสนใจอยู่ค่ะ ก็คือมีทองคำแล้วก็เงินนั่นเองนะคะ มีแร่ทองคำกับแร่เงินค่ะ ดังนั้นจากเดิมที่ไม่มีใครสนใจเนี่ยนะคะ อยู่ดีๆ เค้าก็เลยบอกว่า ไม่ได้ๆๆ นี่มันเป็นแร่ทางเศรษฐกิจที่สำคัญ ก็เลยมีการตั้งเหมืองแร่อะไรต่างๆ ขึ้นค่ะ ดังนั้น เดี๋ยววิวจะพาทุกคนไปดูเหมืองแร่ทองคำของเมืองซาโดะนะคะ ว่าคนญี่ปุ่นสมัยโบราณเนี่ย เวลาเค้าอยากได้ทอง อยากได้อะไรเนี่ย เค้าทำเหมืองกันยังไง ขุดขึ้นมายังไงนะคะ ไป ไปทำเหมืองกันดีกว่าค่ะ ตอนนี้เราก็นั่งรถไป เตรียมจะไปทำทอง ไปเหมืองทองอะไรกัน แต่ว่าเรามีเวลาเหลือนิดนึง ดังนั้นเค้าก็เลยจะพาเราไปดูอย่างอื่นก่อน เค้าจะพาเราไปวัดเซซุอิจินะคะ ซึ่งเมื่อกี้เราก็ถามเจ้าหน้าที่อย่างดีค่ะว่า วัดเซซุอิจิแห่งนี้มีความสำคัญยังไงบ้างคะ ซึ่งคำตอบที่ได้ก็คือ ไม่มี ไม่มีนะคะ เค้าบอกว่า ไน่(ไม่มี) แปลว่า ไม่สำคัญค่ะ ไม่ๆๆ จริงๆ แล้ววัดเซซุอิจิเนี่ย ถ้าไปดูตัวคันจิอ่ะ มันเขียนเหมือนกับคิโยมิซุเดระที่เกียวโต ใช่มั้ย ก็คือวัดน้ำใสที่เราคุ้นเคยกันนั่นแหละ เค้าบอกว่า คนสมัยก่อน เกาะซาโดะเนี่ยมันไกล จะไปไหว้ที่เกียวโตมันก็เดินทางยากอะไรยังงี้ สำหรับชาวซาโดะที่อยากไหว้ที่วัดคิโยมิซุ เค้าก็สร้างจำลองไว้ให้ที่นี่แล้วจ้า เป็นวัดที่เก่าแก่พอสมควร เดี๋ยวเราไปดูกันว่าเป็นยังไงนะคะ นี่นะคะ เราก็ปีนบันไดขึ้นมาถึงแล้วค่ะ ชันจริงๆ ตามคอนเซ็ปต์ของวัดญี่ปุ่นเลยนะคะ ด้านหลังนี่ก็เป็นโบสถ์ของวัดนี้นะ ก็หน้าตาเหมือนกับคิโยมิซุหรือเปล่านะคะสำหรับคนที่เคยไป ก็จะมีระเบียงด้านบนเหมือนกันนั่นแหละค่ะ นี่นะคะ เราก็เดินขึ้นมาถึงด้านบนระเบียงของวัดที่ทำเลียนแบบวัดน้ำใสแล้วนะ แม้ว่าบรรยากาศจะไม่เหมือนนะคะ แต่ก็จะได้บรรยากาศอีกแบบนึงที่เงียบสงบมากๆ เลยนะ สำหรับใครที่แบบเคยอ่านการ์ตูน ดูซีรี่ย์อะไรของญี่ปุ่น ที่แบบมีวัดร้างกลางป่านะคะ ที่นี่ก็ได้บรรยากาศประมาณนั้น เพราะว่าที่นี่ไม่มีพระจำศีลแล้วนะคะ แต่ว่าก็น่าจะมีคนมาเที่ยวเรื่อยๆ แหละ อย่างที่เรามานี่ก็มีคนมาเที่ยวเหมือนกัน แต่จะไม่พลุกพล่านเท่าคิโยมิซุเกียวโตนะคะ อย่างไรก็ตามค่ะ วัดนี้ก็ถือว่าเป็นวัดที่เก่าแก่พอสมควรนะ สร้างมาประมาณ 300 ปีแล้วค่ะ ก็ช่วงประมาณปลายกรุงศรีอยุธยาประมาณนั้นนะ เอาจริงๆ สมัยนั้นน่ะชาวเกาะซาโดะเดินทางไปเกียวโตน่าจะยากมากนะคะ ขนาดปัจจุบันเนี่ย จะไปยังมีต้องเป็นวันเลยนะคะ นี่ก็คือสาเหตุที่ชาวเกาะซาโดะเลยสร้างวัดคิโยมิซุของตัวเอง ขึ้นมาที่นี่เนี่ยแหละค่ะ ไป เราไปที่อื่นต่อกัน ในที่สุดนะคะ เราก็มาถึงสถานที่ที่สอนเราเรื่องการขุดทอง ร่อนทองต่างๆ แล้วค่ะ ก่อนที่เราจะไปดูการทำเหมืองทองในอดีตนะคะ เรามาดูการร่อนทองสมัยปัจจุบันก่อน ว่าเค้าแบบจากแม่น้ำเนี่ย เค้าร่อนๆ ยังไงออกมาให้ได้ทองนะคะ ซึ่งเข้ามาถึงเราก็จะมาเจอนี่ก่อนเลยค่ะ ไดโคะคุเท็น นะคะ เป็นเทพเจ้าแห่งความร่ำรวยอะไรต่างๆ ค่ะ ก็มีความเชื่อกันว่า ถ้าเกิดสมมติว่าลูบพุงท่านนะคะ ก็จะได้รับความร่ำรวยค่ะ อย่างนี้เป็นต้น นี่เห็นไหม เป็นไง ลูบปุ๊ปได้ทองเข้ามาในมือปั๊ปนะคะ แม้ว่าอันนี้จะดูเหมือนอย่างอื่น อย่าคอมเมนต์มาว่ามันเหมือนอย่างอื่น นี่คือน้องทองนะคะ ก็น้องเป็นก้อนทอง แล้วด้านล่างก็เป็นถาดที่เราใช้ร่อนทองนั่นเองค่ะ ร่อนๆ เดี๋ยวเราไปร่อนทองกันนะคะ ไป ก่อนที่เราจะเข้าไปร่อนทองกันนะคะ เราต้องมาเรียนรู้เรื่องเกี่ยวกับทองกันก่อนค่ะ ก็เข้ามาด้านในนะ เค้าก็จะมีสิ่งต่างๆ ให้เราดูมากมายเลย ไม่ว่าจะเป็นตัวอย่างทองว่าแบบ เออ ทองไซส์นี้มันเป็นยังไงนะคะ แต่ละก้อนเนี่ยมันก็จะต้องมีการปั้มตราอะไรอย่างนี้ เพื่อที่จะเป็นการยืนยันว่าทองนี้ที่มาจากแหล่งนี้อะไรอย่างนี้ เพื่อที่ว่าจะได้เอาไปค้ำประกันอะไรได้นะคะ คือถ้าทองไม่ได้ตีตราเนี่ยนะคะ อาจจะเป็นทองปลอม หรือว่าทองมันจะได้คุณภาพหรือเปล่า ความบริสุทธิ์ของทองเท่าไหร่ อะไรประมาณนี้นะคะ แล้วก็จุดเด่นของทองที่เราได้เรียนรู้กันที่นี่ก็คือ นี่เลยนะคะ เห็นแผ่นทองใหญ่ๆ ด้านหลังนี่มั้ยคะ ทั้งหมดนี้ตีขึ้นมาจากทองก้อนแค่นี้เอง เท่านั้นเอง เล็กๆ เลยนะคะ เพราะว่าทองเนี่ยเป็นสสารที่มีลักษณะค่อนข้างนิ่มนะคะ ดังนั้น ตีๆๆ ก็แผ่ออกมาได้ คล้ายๆ กับทองคำเปลวประมาณนั้นค่ะ ทองก้อนเล็กๆ นี้นะคะ แค่แบบกรัมเดียวเนี่ย กลายเป็นเส้นแบบดิ้นทองเนี่ย ยาวถึง 3000 เมตรเลยทีเดียวนะคะ ถามว่าเค้าเอาดิ้นทองไปทำอะไรนอกจากไปปักเสื้อผ้านะคะ ก็คือเอามาทำแบบด้านในแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์นั่นเอง อย่างที่หลายๆ คนน่าจะเห็นข่าวนะคะว่าตอนญี่ปุ่น จัดกีฬาโอลิมปิกที่จะมีขึ้นปีหน้าเนี่ย เค้าก็รับบริจาคโทรศัพท์มือถือต่างๆ จากทั่วประเทศนะคะ แล้วก็เอาทองที่อยู่ด้านในแผงอิเล็กทรอนิกส์เนี่ยมารวมกัน แล้วก็หลอมออกมาเป็นเหรียญทองโอลิมปิกนั่นเองค่ะ ซึ่งนอกจากนี้นะคะ เราก็ได้เรียนรู้เรื่องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์การขุดทอง บริเวณแถวนี้ด้วยว่า ที่นี่เค้าเริ่มค้นพบทองกันเมื่อประมาณปีค.ศ.1000 นะคะ เสร็จแล้วหลังจากนั้นประมาณ 600 ปีค่ะ เค้าก็เริ่มตัดสินใจได้ว่า โอเค เรามาทำเหมืองทองกันเถอะจ้า ประมาณปี 1600 ก็เลยเริ่มทำเหมืองทองตั้งแต่นั้นมาค่ะ บริเวณเกาะซาโดะนะ มีแหล่งแร่ทองที่ใหญ่มาก เรียกได้ว่าใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของประเทศญี่ปุ่นเลยที่เดียว นะคะ เพราะว่าแค่เกาะแค่นี้ มีแหล่งที่สามารถค้นพบทองได้ ทั้งหมดประมาณ 40 จุดด้วยกันค่ะ ก็แบ่งออกเป็น 2 ประเภทด้วยกันนะคะ ประเภทแรกคือ ทองจากภูเขา ส่วนอีกอันนึงก็คือ ทองจากแม่น้ำค่ะ คือทองจากภูเขาก็คือสินแร่ปกติที่มันอยู่ในหินใช่ไหม ก็ต้องไปขุดๆ ออกมา ส่วนที่อยู่ในแม่น้ำเนี่ย ก็คือเหมือนกับว่าเวลาที่น้ำมันซัดโดนหิน หรือว่าเกิดดินถล่มอะไรอย่างนี้ พวกทองเศษๆ ต่างๆ มันก็จะตกลงมาในแม่น้ำใช่มั้ยคะ ทีนี้ถามว่าทิ้งไปเลยจะโอเคเหรอ ก็ไม่โอเคใช่ไหม ดังนั้นก็เลยเกิดการร่อนทองเกิดขึ้นค่ะ ก็คือเอาพวกถาดอะไรเนี่ยค่ะ ไปร่อนๆๆ เอาเศษทองที่อยู่ในแม่น้ำที่ขึ้นมาเป็นผงๆ แล้วก็เอามาหลอมรวมกันได้เป็นทองอีกเหมือนกันค่ะ ก็จะเป็นลักษณะทองที่แตกต่างกัน 2 แบบนะคะ ไป ร่อนทองกันดีกว่า ตอนนี้นะคะ เราก็ได้เวลามาร่อนทองกันแล้วค่ะ ซึ่งอุปกรณ์ก็มีแค่นี้เลย หนึ่งก็คือ หลอดน้อย เอาไว้ใส่ทองของเรานะคะ แล้วก็สองคือ ตะแกรงร่อน ค่ะ ซึ่งวิธีเนี่ย เค้าบอกว่าให้จ้วงลงไปลึกๆ นะคะ เสร็จแล้วก็ตักทรายขึ้นมาใช่มั้ย แล้วก็ร่อนๆๆ นะคะ เอาน้ำล้างไปเรื่อยๆ แล้วค่อยๆ เทค่ะ ซึ่งเห็นด้านในนี้มั้ย มันเป็นชั้นๆ ใช่มั้ย ทองเนี่ยมันเป็นสิ่งที่หนักค่ะ มันหนักกว่าทราย หนักกว่าน้ำ หนักกว่าทุกอย่าง ดังนั้นมันจะตกลงสู้ด้านล่าง แล้วก็ ทรายเนี่ยมันก็จะโดนล้างออกไปๆๆ ดังนั้นทองก็จะเหลืออยู่ด้านในเนี่ยแหละค่ะ เดี๋ยวเราลองทำกันดูว่าสามารถมั้ยนะคะ ไป ลอง โอ๊ย คุณพระ ร่อนจนปวดหลังแล้วนะคะทุกคน ได้ทองมาแบบกระจิดริดมากนะคะ แต่ก็ แต่ก็ได้นะ ก็ทองจริงนะคะ เมื่อกี้เค้าบอกว่า นี่คือทรายที่ตักมาจากแม่น้ำด้านข้างนะคะ ก็คือตักขึ้นมาแล้วก็แค่ทำความสะอาดนะ ก็คือเราอ่ะ ร่อนทองที่มาจากธรรมชาติจริงๆ เลยนะ หลังจากที่ร่อนไปร่อนมาเนี่ยนะคะ ก็ยอมแพ้แล้วนะคะ แล้วก็ได้ทองมาจำนวนเท่านี้ ให้ทุกคนดู นี่นะคะ ได้ทองมาจำนวนเท่านี้นะคะ ก็เขย่าดูจะมีเสียงนะคะ ไม่แน่ใจว่าในกล้องจะได้ยินหรือเปล่า แต่ว่าตอนนี้ เราสามารถเอาทองที่เราร่อนได้ มาทำเป็นเครื่องประดับจ้า มันมีนี่เป็นเครื่องประดับต่างๆ นะคะ ซึ่งวิวก็เลือกไว้แล้วนะคะว่า วิวจะเอาเป็นสร้อยคอนะคะ อันนี่เอง ไป ไปทำสร้อยกันดีกว่า ก็ได้มาเรียบร้อยแล้วนะคะ สร้อยของน้องวิวนะคะ ซึ่งจะบอกว่า ที่นี่ถ้าใครมาทำนะ ราคาจริงๆ ไม่แพงเลยนะคะ ราคาประมาณ 800 เยนเท่านั้นนะคะ ก็ไม่ถึง 300 บาทแหละ แล้วก็มีทั้งหมด 3 คอร์สด้วยกันนะคะ คอร์สที่วิวทำเมื่อกี้นะคะ เป็นคอร์สสำหรับคนที่เพิ่งเริ่มต้น เลเวลหนึ่งค่ะ ส่วนใครที่สามารถขึ้นมาหน่อยนะคะ เค้าก็มีคอร์สนี้ นี่ เป็นแบบว่าเหมือนจำลองแม่น้ำขึ้นมานะคะ ซึ่งหิน ดิน ทรายทั้งหมดที่อยู่ในนี้ก็คือแม่น้ำจริงนะคะ รวมถึงที่เมื่อกี้เราร่อนด้วย อันนี้จะยากขึ้นมาหน่อย เพราะว่าต้องใช้จอบขุดนะคะ ขุดขึ้นมาแล้วก็มาร่อนค่ะ คืออันนั้นน่ะมันมีแต่ทราย แต่อันนี้มีหินด้วยนะคะ แล้วก็คอร์สที่ยากที่สุดค่ะ ก็คือ ด้านนอกนู่นนะคะ คือนี่ ในแม่น้ำจริงด้านล่างนั้นนะคะ นี่มีทองนะคะทุกคน ก็เป็นคอร์สสำหรับผู้เชี่ยวชาญค่ะ ซึ่งจะต้องมีการขุดหิน ยกหิน อะไรต่างๆ ด้วยนะคะ แต่เค้าบอกว่าวันไหนที่พายุเข้า ไต้ฝุ่นอะไรอย่างนี้เนี่ยนะ ด้านนอกเจอทองมากมายเลยค่ะ ดังนั้นก็ ใครอยากมาทดสอบฝีมือท้าไต้ฝุ่น หาทางรวยทางลัดที่นี่ ก็เชิญด้านนอกนะคะในวันไต้ฝุ่นมา เชิญไปขุดแม่น้ำค่ะ สำหรับวิวก็ ขั้นเริ่มต้นแค่นี้พอแล้วนะจ๊ะ ดิฉันยอมค่ะ แอบเล่าให้ฟังนิดนึงนะคะ เป็นความรู้ค่ะ คือคนสมัยโบราณที่เค้ามาขุดทอง ร่อนทองอะไรแถวนี้นะคะ เนื่องจากว่า แน่นอนว่าทองเป็นสิ่งที่มีมูลค่าสูงมากนะคะ ดังนั้นเค้าก็กลัวมาพวกคนงานเหมืองเนี่ยจะมาขโมยอะไรต่างๆ นะคะ ซึ่งเราเคยเห็นกันใช่ไหมว่าในบางประเทศเค้าจะใช้วิธีค้นตัวก่อนเข้าและค้นตัวหลังเข้า หรือว่าแถบแอฟริกาเวลาเค้าทำเหมืองเพชรเนี่ย เค้าจะต้องมีการเอ็กซ์เรย์ใช่มั้ย ที่คนยังมีปัญหาสุขภาพมาถึงทุกวันนี้เลย แต่ที่นี่เค้าใช้วิธีง่ายกว่านั้นค่ะ คือเค้าใช้วิธีแก้ผ้าค่ะ ก็คือใส่แค่ผ้าเตี่ยวนะคะ แล้วก็ลงไปยืนกลางแม่น้ำ เย็นๆ ร่อนทองไปค่ะ นี่ก็เป็นวิธีร่อนทองสมัยโบราณนะคะ ใครอยากมาลองก็เชิญตามสบายนะคะ ก็สมัครคอร์สเบอร์ 3 นะคะ แล้วก็ลองใส่ผ้าเตี่ยวลงไปร่อนก็ได้นะคะ ไม่ว่ากัน ราคาก็ไม่ได้สูงมานะคะ เป็นประสบการณ์ชีวิตที่ดีค่ะ สำหรับตอนนี้ เราก็ไปที่อื่นกันต่อดีกว่าค่ะ ไป ตอนนี้เรามาอยู่อีกที่นึงแล้วนะคะ เป็นเหมืองทองเก่าค่ะ เป็นเหมืองที่เค้าจะขุดทองเป็นก้อนๆ ออกมา เดี๋ยวเราลงไปดูวิธีกันว่า วิธีขุดแร่ทองจริงๆ ในภูเขา เอาแบบได้เป็นก้อนๆ เป็นกิโลๆ เลยเนี่ย เค้าทำกันยังไงนะคะ ไป เราไปดูกัน การทำเหมืองทองสมัยก่อนต้องขุดลึกเข้าไปในภูเขา คนจะใช้ชีวิตอยู่ในนั้นเป็นส่วนมาก แทบไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวัน ส่วนมากก็จะมีแต่ผู้ชายค่ะ ดังนั้นคนพวกนี้ก็จะเหงามากๆ เลยนะ อย่างตุ๊กตาที่เห็นตอนอยู่นี้ ตอนที่เราเดินผ่าน เค้าก็หันมาพูดกับพวกเราด้วยว่า คิดถึงผู้หญิงจังเลยย ความเป็นอยู่ด้านอื่นก็แย่ไม่แพ้กันนะคะ ด้วยความหนาวและอากาศที่ไม่ถ่ายเทเนี่ย ประกอบกับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา คนงานที่ทำงานอยู่ในเหมืองก็เลยจะมักอายุสั้นค่ะ เรียกได้ว่า 30 กว่าๆ ก็ไปกันหมดแล้ว นอกจากนี้ด้วยความที่เป็นอาชีพที่ค่อนข้างอันตรายนะคะ เลยมีความเชื่อแล้วก็พิธีกรรมค่อนข้างมากค่ะ อย่างในภาพก็เป็นการบูชาเทพเจ้าด้านล่างเหมืองนะคะ ซึ่งเค้าก็จะบูชาเพื่อให้ขุดเหมืองปลอดภัย ให้เจอทองอะไรต่างๆ นะคะ แล้วที่สำคัญนะคะ เค้าเห็นว่าสายแร่ทองเนี่ย หน้าตาเหมือนสัตว์ชนิดนึงค่ะ ก็คือ ตะขาบ นั่นเอง ดังนั้นคนงานเหมืองก็จะบูชาตะขาบ แล้วก็จะไม่ฆ่าตะขาบค่ะ เห็นสิ่งนี้กันมั้ย เราเคยเห็นกันในอินเตอร์เน็ตนะคะ ที่เค้าบอกว่าให้เอาทองออกไปทางรูนั้นให้ได้ ถ้าใครเอาออกไปได้ใน 30 วินะคะก็จะได้รับรางวัลค่ะ แต่ว่าผลของวิวเป็นยังไง ไปดูกันค่ะ คือไม่ใช่ต้องยก ไม่ใช่เอาออกมาได้นะ แค่ยกก็ไม่ขึ้นแล้วค่ะ อือหือ ความงกไม่ช่วยอะไรเราเลย ไม่กระดิกเลยอ่ะ ทุกคนคะ ตอนนี้นะคะ เราก็มาอยู่ที่จุดเด่นอีกจุดนึงของเกาะซาโดะนะคะ ก็คือ เรือทะระอิฟุเนะ นั่นเองนะคะ คือเรือกะละมังที่เห็นอยู่ด้านหลังนี่เองค่ะ เดี๋ยวเราไปนั่งเรือเล่นกันนะคะ เรือทะระอิฟุเนะเป็นเรือที่เหมือนกับอ่างน้ำนะคะ สร้างขึ้นครั้งแรกในช่วงต้นยุคเมจิค่ะ ด้วยความที่ใช้คล่องแคล่ว สามารถใช้หาปลาอะไรต่างๆ เข้าซอกซอนได้นะคะ เลยกลายเป็นเอกลักษณ์ของเกาะซาโดะแห่งนี้เลยค่ะ ซึ่งส่วนมากคนที่พายเรือทะระอิฟุเนะเนี่ยก็จะเป็นผู้หญิงนะคะ เค้าว่ากันว่าเรือชนิดนี้สำคัญกับคนบนเกาะถึงขนาดที่ว่า ธรรมเนียมญี่ปุ่นแต่ก่อนเนี่ยเวลาผู้หญิงจะแต่งงาน ปกติจะต้องมีสินเดิมของตัวเองติดตัวไปใช่มั้ยคะ ของเมืองอื่นก็จะเป็นหมอน เป็นผ้าห่ม เป็นกิโมโนอะไรก็ว่าไป แต่ของเกาะนี้ เจ้าสาวจะต้องหาเรือทะระอิฟุเนะเป็นของตัวเอง เพื่อนำติดตัวไปบ้านเจ้าบ่าวด้วยทีเดียวเลยค่ะ ตอนนี้นะคะ เราก็อยู่บนเรือกะละมังกับคุณป้านะคะ แล้วก็ความเงียบสงบนี้คือ มากัน 2 คนนะคะ แล้วคือข้าพเจ้าคุยกับคุณป้าไม่รู้เรื่องค่ะ ก็ยินดีด้วยนะคะ คนอื่นที่นั่งไปลำอื่นเค้าก็พูดญี่ปุ่นกันได้หมดเลย นี่ก็พูดได้ประโยคเดียวนะคะว่า ฟังไม่ออกค่ะคุณป้า ขอโทษนะคะ แต่ว่าบรรยากาศดีมาก เงียบสงบ น้ำใสแจ๋ว นี่นะคะ ระหว่างนั่งทะระอิฟุเนะไป คุณป้าก็ชี้ให้ดูนะคะว่ามี หอยเหม่น ค่ะ อุนิ นะคะทุกคน เห็นทุกอย่างอยู่ในน้ำชัด ใสแจ๋วเลยนะคะ เอาจริงๆ นะคะ ตรงนี้ที่เรามาพายเรือกันเนี่ย ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีประวัติความเป็นมาอะไรนะคะ ตรงนี้เค้าเรียกว่า ยะจิมะ นะคะ ซึ่ง ยะ ตัวนี้เนี่ยแปลว่า ลูกธนู ค่ะ เพราะว่าตรงนี้นะคะ มีคนชื่อว่า มินะโมะโตะ โนะ โยะริมะสะ เนี่ยนะคะ เค้าเคยใช้ธนูค่ะ ฆ่าโยกะกิ หรือว่าคือปีศาจตามความเชื่อของชินโตเนี่ยไปตัวนึงนะคะ แล้วบังเอิญว่าธนูที่ใช้ฆ่าเนี่ย เป็นธนูที่ใช้ไม้จากแถวนี้ทำเนี่ยแหละค่ะ เค้าก็เลยตั้งชื่อสถานที่นี้ไว้เป็นที่ระลึกวีรกรรมครั้งนั้นนะคะ แหม ทุกที่ก็จะมีตำนานการสร้างของตัวเองเนอะ เป็นแบบว่า เค้าเรียกว่าไร นิทานพื้นบ้าน นิทานประจำถิ่น นิทานอธิบายเหตุ ประมาณนั้นค่ะ ไป ไปเที่ยวกันต่อ ตอนนี้นะคะ เราก็มาอยู่ที่หมู่บ้านชุคุเนะกิค่ะ เป็นหมู่บ้านชาวประมง ช่างต่อเรือ อะไรต่างๆ นะคะ และหมู่บ้านนี้เกี่ยวข้องกับโออิรันของเราด้วย เฮ้ย งงมั้ย หมู่บ้านช่างต่อเรือ หมู่บ้านชาวประมงจะมาเกี่ยวอะไรกับ โออิรันนะคะ คือจะบอกว่าบริเวณเกาะซาโดะแห่งนี้ นอกจากธุรกิจเหมืองทองอะไรต่างๆ ที่ทำให้เค้าร่ำรวยแล้วเนี่ยนะคะ การเดินเรือก็เป็นอีกสิ่งนึงที่ทำให้เค้าร่ำรวยเหมือนกันค่ะ คือที่นี่เค้ามีคนที่เป็นเจ้าของเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่มากๆ เลยนะคะ เรือเดินสมุทรลำนี้จะหนัก57ถึงประมาณ 150 ตันค่ะ แล้วก็ขนสินค้านะคะ ตั้งแต่ฮอกไกโดะไปจนถึงบริเวณโอซากะค่ะ ก็คือเลาะฝั่งตะวันตกของเกาะญี่ปุ่นนะคะ แล้วก็ขนสินค้าจากจังหวัดที่มีชื่อเสียงต่างๆ ไปขายๆๆๆ ค่ะ ซึ่งจะทำให้เจ้าของเรือเนี่ยนะคะจะร่ำรวยมาก เพราะว่าปีนึงเนี่ย ขนสินค้าได้ประมาณ 2-3 รอบนะคะ รอบนึงเนี่ยกำไรเท่ากับเงินปัจจุบันประมาณ 100 ล้านเยน เลยทีเดียว ซึ่งพอร่ำรวยแล้ว นึกสภาพผู้ชายสมัยก่อนค่ะ คิดว่าเค้าจะเอาเงินไปใช้กับอะไรคะ เค้าก็ต้องเอาเงินไปใช้กับสถานเริงรมย์ต่างๆ ค่ะ นี่ก็เป็นสาเหตุทำให้แถวนี้เกิดย่านสถานเริงรมย์ต่างๆ มากมาย เพื่อให้ผู้ชายเหล่านี้ได้ไปใช้เงินที่แหละค่ะ ดังนั้นเราเข้าไปดูเรือเดินสมุทรกันก่อนดีกว่าค่ะ ว่าเรือเดินสมุทรเนี่ยมันใหญ่ขนาดไหน แล้วมันขนสินค้าได้เยอะจริงหรือเปล่า เค้าถึงมีตังค์มาเปย์โออิรันนะคะ ไป ไปดูกัน อย่างตรงเนี่ยนี้นะคะ ก็เป็นท้องเรือนะคะที่เป็นเก็บสินค้าต่างๆ เช่น พวกข้าว เป็นต้นค่ะ เค้าก็จะดูว่าเมืองไหนมีอะไรเด่น เช่น จากฮอกไกโดะนะคะ ก็มีพวกอาหารทะเลตากแห้ง อะไรพวกนี้ที่เด่น ก็ขนมา ที่นีงะตะมีข้าวอร่อยก็ขนข้าวไป โอซากะเนี่ยเป็นแหล่งที่ค่อนข้างทันสมัยใช่มั้ย พวกเครื่องเรือน พวกอะไรที่ทันสมัยก็จะมาจากตรงนั้นค่ะ ก็เหมือนกับว่า เออ ที่ไหนเด่นก็ขนอันนั้นไป ไปขายที่อื่นที่ไม่มี ประมาณนั้น ทำให้เรือลักษณะนี้ก่อให้เกิดกำไรสูงมากจริงๆ ค่ะ อย่างตอนนี้นะคะเราก็พาขึ้นมาดูบนเรือค่ะ ซึ่งเรือนี้เพื่อประหยัดงบที่สุดนะคะ เค้าใช้คนควบคุมเนี่ยทั้งหมดแค่ 7 คนด้วยกันค่ะ เรือลำใหญ่ขนาดนี้ใช้ 7 คนด้วยกันนะ แล้วเค้าก็ใช้ชีวิตอยู่รวมกัน กระจุกอยู่เป็นกลุ่มก้อนตรงนี้ค่ะ นี่ บริเวณทั้งหมดนะคะ ก็จะเป็นที่อยู่ของคนเรือนะคะ ก็แค่นี้เลยจริงๆ ที่เหลือทั้งหมดของเรือที่ใหญ่ถึง 150 ตันเนี่ยนะคะ ก็เป็นที่เก็บสินค้าล้วนๆ เลย ดังนั้นจินตนาการได้นะว่า 1 รอบที่เดินทางเนี่ย สร้างกำไรได้ขนาดไหนค่ะ ดูเรือเดินสมุทรกันไปแล้วนะคะ เราออกมาดูด้านนอกกันบ้างค่ะ เราก็จะเห็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเรือเดินสมุทรมากมายนะคะ อย่างเช่น หินสีขาวด้านหลังนั่นเอง เค้าบอกว่าเป็นหินที่ไม่มีที่เกาะซาโดะแห่งนี้นะคะ แต่ว่าเอามาจากเมืองฮิโรชิมะค่ะ ก็คือเอามาในเรือเดินสมุทรนั่นเอง ส่วนถามว่า แล้วนอกจากหินก้อนนี้ มันเกิดอะไรขึ้นรอบๆ นี้นะคะ แน่นอนว่าเวลามีเดินทางค้าขายอะไรต่างๆ เนี่ย เวลามีการหยุดพักนะคะ บริเวณนั้นนะคะก็จะต้องมีสิ่งของต่างๆ เนี่ยมาตอบสนองคนที่เดินเรือค่ะ ดังนั้นที่นี่นะคะ ก็เลยกลายเป็นหมู่บ้านช่างต่อเรือ หมู่บ้านชาวประมง ประมาณนี้ค่ะ เป็นหมู่บ้านโบราณแหละ อายุประมาณ 200 กว่าปีนะคะ เดี๋ยวเราไปดูกันว่าในหมู่บ้านมีอะไรน่าสนใจบ้างนะคะ ไปดูกัน จุดสังเกตนึงของหมู่บ้านชาวประมงนี้นะคะ ก็คือ หลังคาด้านบน นั่นเอง เห็นมั้ยคะว่ามันมีหินกองอยู่เต็มไปหมดเลยนะคะ งงมั้ยว่ามันเป็นหินอะไรนะคะ คือที่นี่ สมัยก่อนเค้าไม่มีกระเบื้องค่ะ ดังนั้นเวลาเค้าสร้างบ้านสร้าง สร้างอะไรเนี่ย คนสร้างนี่ก็เป็นช่างต่อเรือประมาณนั้นแหละค่ะ ดังนั้นนะคะ เค้าใช้ไม้ในการมุงหลังคาค่ะ พอมุงหลังคาเป็นไม้ ลมพัดก็ปลิวกระจุยกระจายใช่มั้ยคะ เค้าก็เลยต้องใช้หินวางๆๆ ทับหลังคาไว้นั่นเองค่ะ ซึ่งก็เป็นเอกลักษณ์ของบ้านเรือนยุคเอโดะบริเวณแถบๆ นี้นะคะ ไป เราไปดูอย่างอื่นต่อกันค่ะ อีกจุดเด่นนึงของหมู่บ้านนี้นะคะ นอกหินที่วางอยู่บนกำแพง(หลังคา)ก็คือ แผงไม้ไผ่ด้านหลังนี้นี่เอง มันคือ แผงกันลม นะคะ ไม่ให้ลมจากทะเลเนี่ยตีบ้านพังค่ะ ซึ่งฐานด้านล่างนี่ก็คือ ไม้ที่เกิดจากการต่อเรือนะคะ เป็นเศษไม้ว่างั้นเถอะ เอามาปะๆ ก็เพิ่มความแข็งแรงขึ้นค่ะ นี่ เข้ามาทางนี้นะคะ ก็จะเป็นเส้นทาง ที่แบบเป็นทางหินอายุเก่าแก่มากนะคะ ประมาณ 200 ปี สังเกตได้จากพื้นนะคะว่า พื้นมันบุ๋มลงไป เพราะว่ามันมีคนเหยียบๆๆๆ มาประมาณ 200 ร้อยปีแล้วค่ะ ซึ่งบ้านด้านในนะคะก็เป็นบ้านที่มีคนอาศัยอยู่จริงนะคะ ปัจจุบันก็ยังมีคนอาศัยอยู่ค่ะ เดี๋ยวเราเดินเข้าไปดูในหมู่บ้านกันเนอะ ตอนนี้นะคะ เราก็อยู่หน้าบ้านหลังนึงของโอเนอร์ซัง หรือว่าคนที่เป็นเจ้าของเรือเดินสมุทรแล้วค่ะ นี่ อะไร ดูไม่เห็นไฮโซเลย จะมาเปย์โออิรงโออิรันอะไรฉันใช่มั้ย เค้าบอกว่ามันเป็นความใส่ใจค่ะ ที่คนสมัยก่อนเนี่ย เค้าพยายามสร้างให้มันดูภายนอกเนียนๆ กันไปหมด ประมาณว่า บ้านฉันก็ไม่ได้ต่างจากบ้านคนอื่นจ้า แต่พอเดินเข้าไปข้างในนะ อูว! ประมาณว่าผ้าขี้ริ้วห่อทองค่ะ ประมาณนั้นค่ะ แต่อย่างไรก็ตาม เราไม่ได้เข้าไปดูข้างในนะคะ เดี๋ยวเราไปต่อกัน ไป การมาเที่ยวหมู่บ้านต่อเรือนี้นะคะ จะทำให้เราเข้าใจทุกอย่างที่ผ่านมาตลอดทริปเลยค่ะ เมื่อกี้เล่าไปแล้วใช่มั้ย เรื่องว่าทำไมที่นี่ถึงมีโออิรัน มันมีคำตอบเรื่องทำไมที่นี่ถึงมีวัดคิโยมิซุด้วยนะคะ เพราะว่าการมาของเรือคิตะมะเอะฟุเนะ หรือว่าเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่เนี่ยค่ะ มันไม่ได้ขนมาแค่สินค้าค่ะ แต่ว่ามันมีการแชร์ศิลปวัฒนธรรมต่างๆ ด้วยนะคะ อย่างแรกที่เราดูไปแล้วก็คือ วัดคิโยมิซุใช่มั้ย เค้าไปเห็นที่นั่น เค้าก็ เฮ้ย รู้สึกว่าอยากเอามาไหว้ที่นี่บ้าง ก็เลยมาสร้างที่นี่ใช่มั้ยคะ เท่านั้นยังไม่พอค่ะ บนเกาะซาโดะเนี่ย รู้มั้ยเค้าพูดสำเนียงอะไรกัน เค้าพูดสำเนียงเหน่อแบบคันไซค่ะ สำเนียงเหน่อคันไซนี่ ถ้าใครติดตามเรื่อง ยอดนักสืบจิ๋วโคนัน ก็จะรู้นะว่า ฮัตโตริ เฮย์จิ เนี่ยพูดเหน่อ พูดเป็นแบบสำเนียงคันไซใช่ป้ะ ที่นี่ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้อยู่คันไซอะไรเลยนะ แต่ว่าเค้าก็พูดสำเนียงคันไซ เพราะว่าติดมาจากคนโอซากะเนี่ยแหละค่ะ เท่านั้นยังไม่พอนะคะ การร่ายรำประจำถิ่นของซาโดะเนี่ยนะ เค้าก็ได้รับอิทธิพลมาจากเกาะคิวชูค่ะ เพราะว่าเรือเดินสมุทรเนี่ย ก็เดินทางค้าขายไปถึงเกาะคิวชูเหมือนกันค่ะ ดังนั้นพวกการค้าขายอะไรต่างๆ ก็คือการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมไปในตัวนะคะ ที่นี่ก็เลยเป็นจุดนึงที่มีความเจริญมากๆ เมื่อประมาณ 200 ปีก่อนค่ะ เพราะว่ารวบรวมทุกอย่างมาไว้ด้วยกัน ประมาณนี้เลยนะคะ ทุกคนคะ ใครมาหมู่บ้านชาวประมงแล้วนะคะ อย่าเพิ่งเที่ยวเสร็จแล้วสะบัดก้นกลับไปนะคะ มันมีสิ่งที่น่าสนใจอยู่ในนี้ อาจจะไม่ได้มีประวัติศาสตร์อะไรแฟนซีนะ แต่ว่าสายถ่ายรูปชอบแน่นอนค่ะ เดี๋ยวเราเข้าไปถ่ายรูปเล่นกันในถ้ำ งงล่ะสิ ในถ้ำจะมีอะไร ไป เดินไปดูกัน เดินออกจากถ้ำมาแล้วค่ะ ถึงแล้วนะคะ ภูมิประเทศด้านหลังก็เหมาะแก่การถ่ายรูปนะคะ เค้าบอกว่าเหมือนออกมาอยู่นอกโลกนะคะ เหมือนอยู่บริเวณดวงจันทร์อะไรอย่างนี้นะ ก็ให้เดานะคะ น่าจะเกิดจากลาวานะคะ เพราะว่าที่ดินบริเวณเกาะซาโดะเนี่ยมีลาวาค่อนข้างเยอะ อย่างเมื่อวานที่เราไปก็มีพวกลาวาผุด อะไรอย่างงี้ ซึ่งทำให้หินมันจะเป็นลักษณะแปลกๆ ค่ะ มา เดี๋ยวเราไปถ่ายรูปเล่นกัน ไหนๆ เราก็พูดถึงโออิรันกันมาทั้งทริปแล้วเนอะ จะแบบว่าปล่อยจบเบลอๆ ไปเที่ยวหมู่บ้านชาวประมง ไปขุดทองอะไร มันก็ไม่ใช่มั้ย ไม่ใช่ มันยังไม่จบค่ะ ใช่ เพราะเรากำลังจะพาทุกคนไปดูบ้านของโออิรันของจริง เลยนะคะ สถานที่ปฏิบัติการของเค้า ด้านในมีอะไรยังไงบ้าง มีประวัติศาสตร์มีเรื่องน่ารู้อยู่ในนั้นด้วย ใช่ ดังนั้นไปดูกันค่ะ ตอนนี้นะคะ เราก็มาอยู่ในย่านฟุรุมะจิแล้วค่ะ เป็นย่านโคมแดงเดิมนะคะ เห็นถนนเส้นนี้มั้ย ปัจจุบันเป็นบ้านคนปกตินะคะ แต่ว่าแต่ก่อนเนี่ย สองข้างทางเนี่ย เต็มไปด้วยบ้านโออิรัน ย่านโคมแดงนู่นนี่นั่น เต็มไปทั้งถนนเลยค่ะ แล้วก็สุดทางถนนเนี่ย จะเห็นเป็นศาลเจ้านะคะ ซึ่งเกี่ยวข้องกับโออิรัน เดี๋ยวหลังจากนี้วิวจะพาไปดูค่ะ แต่ตอนนี้เรามาเยี่ยมชมถนนเส้นนี้ก่อนเนอะ เค้าบอกว่า ถนนเส้นนี้เนี่ยนะคะ อย่างที่บอกไปมันเต็มไปด้วยบ้านโออิรันใช่มั้ย ในสมัยประมาณเอโดะค่ะ ซึ่งตอนนั้นแต่เดิมเนี่ยย่านโคมแดงอยู่อีกทีนึงเนอะ แต่ว่าย้ายมาที่นี่เพราะว่าที่เดิมเนี่ยไฟไหม้ค่ะ พอย้ายมาตรงนี้แล้วเนี่ยนะคะ เค้าก็มีการทำธุรกิจโคมแดงอะไรกันต่างๆ มากมายค่ะ แล้วก็มีการเก็บภาษีกันด้วยนะ ความสุดยอดของย่านนี้นะคะ ก็คือ ภาษีของย่านนี้ย่านเดียวเนี่ยนะคะถือเป็น 1 ใน 3 ของภาษีทั้งหมดที่เมืองนีงะตะเก็บได้เลยนะ เรียกได้ว่าเยอะมากๆ เลยนะคะ แทบจะเลี้ยงทั้งหมดเลยทีเดียว เท่านั้นยังไม่พอค่ะ พูดถึงสาวๆ ที่อยู่ย่านนี้ที่เป็นโออิรันบ้าง ยูโจะบ้าง ก็คือไม่ใช่แค่โออิรันอย่างเดียวเนอะ เพราะว่าโออิรันคือถือว่าเป็นชั้นสูง มี 1 ใน 1000 ใช่มั้ย ดังนั้นต้องมียูโจะธรรมดาอยู่ด้วย พวกนี้เนี่ยนะคะส่วนใหญ่ก็จะมาจากภูมิภาคโทะโฮะคุค่ะ ก็คือประมาณภาคอีสานของญี่ปุ่นเนี่ยแหละค่ะ บริเวณนั้นเนี่ยเป็นบริเวณเขตเกษตรกรรมต่างๆ การใช้ชีวิตเนี่ยยากลำบากมาก ดังนั้นเมื่อไม่มีทางเลือกนะคะ สาวๆ ก็เลยเลือกจะเดินทางจากบ้านเกิดมาอยู่ที่นี่ค่ะ แล้วก็มาทำงานในย่านโคมแดงเนี่ยละค่ะ แล้วก็มาใช้ชีวิตอยู่ตรงนี้นะคะ ดังนั้นเวลากลางคืนเนี่ย เค้าบอกถนนเส้นนี้เนี่ยสว่างไสวเหมือนเวลากลางวันเลย ก็คือเป็นเหมือนเมืองที่แทบจะไม่หลับ ว่าอย่างนั้นเถอะค่ะ เค้าก็ออกมาเดินจ่ายตลาดแบบด๊องแด๊งๆ แถวนี้เป็นปกตินะคะ แล้วที่สำคัญนะคะ สาวๆ พวกนี้ไม่ได้ทำกันอยู่ตลอดชีวิตเนอะ ส่วนมากก็ทำอาชีพนี้ถึงอายุแค่ประมาณ 30 ปีเท่านั้นค่ะ หลังจากนั้นส่วนมากก็เกษียณตัวเองด้วยการแต่งงานนะคะ ถามว่าใครมาแต่งด้วย เออ ทำงานแบบนี้มา ก็ต้องบอกว่า คือสาวๆ พวกนี้จะต้องสวยเป็นพิเศษ นึกออกป้ะ แล้วก็โดนเทรนมาเป็นพิเศษ ดังนั้นส่วนมากก็ลูกค้าเนี่ยแหละค่ะ ก็จะพาตัวออกไปแต่งงานด้วย หรือบางคนก็เดินทางกลับบ้านเกิด ไปแต่งงานกับหนุ่มๆ ที่บ้านเกิดค่ะ ถึงแม้ว่าปัจจุบันตรงนี้จะไม่ใช่ย่านโคมแดงแล้วนะคะ แต่มันยังเหลือบ้านโออิรันค่ะ ที่เค้ายังคงเก็บรักษาไว้ทั้งหมด 1 หลังด้วยกัน เดี๋ยวเราเข้าไปดูด้านในนะคะว่า ข้างในจะเป็นยังไงค่ะ ไป ไปดูกัน ตอนนี้นะคะเราก็เดินทางมาถึงร้านโตยะแล้วค่ะ เป็นหนึ่งในร้านย่านโคมแดงนะคะ ที่ยังหลงเหลืออยู่ในปัจจุบันเนอะ ซึ่งเค้าบอกว่าที่นี่ไม่ได้หรูหราอะไรขนาดนั้นนะ ไม่ใช่แบบอันดับต้นๆ ของสมัยก่อน อยู่ประมาณกลางๆ ค่ะ ค่ะ แต่ว่ามันก็เป็นอันที่หลงเหลืออยู่นะ แอบบอกนิดนึง เดี๋ยวหลายคนจะแบบทำไมมาดูโออิรันต้องมาดูที่นีงาตะนะคะ ต้องบอกว่าในสมัยโบราณเนี่ย ที่นี่มันเป็นจุดที่แบบคนเดินทางมาลง มาค้าขายอะไรต่างๆ แล้วมันไม่ใช่แค่ทางทะเลนะคะ แต่บริเวณที่นีงะตะเนี่ย มันมีแม่น้ำที่สามารถเดินทางมาจากจังหวัดอื่น เช่น จังหวัดนางะโนะ ได้ด้วย ดังนั้นมันเป็นศูนย์กลางการค้าขายมากๆ ค่ะ เมื่อคนมารวมตัวกันอยู่เยอะๆ การค้ามันก็จะเฟื่องฟู และย่านโคมแดงก็เป็นหนึ่งในการค้านั้นนะคะ ก็สร้างขึ้นเพื่อรองรับคนจำนวนมากมายที่มาเนี่ย ดังนั้นในสมัยนึงเนี่ยนะคะ เค้ามีการจัดอันดับว่าย่านโคมแดงในประเทศ ตรงไหนฟรุ้งฟริ้งที่สุดนะคะ 3 ที่ที่ติด Top 3 ตลอดเลยนั่นก็คือ 1.ย่านกิองของเกียวโต ใช่มั้ยคะ อันนี้ทุกคนรู้จัก อันที่ 2 ก็คือ ย่านในโตเกียวนะคะ และที่ 3 ก็คือ นีงะตะ เนี่ยแหละค่ะ ไม่ใช่เรียง 1 2 3 นะคะ คือ 3 ที่นี้ลำดับเดียวกันหมดเลยนะคะ นึกภาพว่าความเฟื่องฟูระดับเดียวกับกิองของเกียวโตเนี่ย ที่นี่เฟื่องฟูขนาดไหนนะคะ แต่ว่ากิจการทั้งหมดเนี่ยก็หยุดให้บริการไป ในประมาณปี 1960 ค่ะ ก็คือในยุคโชวะนะคะ ก็ไม่นานมานี้เนี่ยแหละ แล้วเค้าบอกว่าประวัติศาสตร์หน้าทั้งหมดของอันนี้ เคยเกือบโดนลบทิ้งไปตอนที่สั่งยกเลิกใหม่ๆ นะคะ แต่ว่าอย่างไรก็ตาม สุดท้ายเค้าก็นึกได้แล้วกลับมาอนุรักษ์ดีกว่าค่ะ ดังนั้นไป เข้าไปดูข้างในกันนะ ทีนี้ถามว่าขั้นตอนการรับลูกค้าของเค้าเป็นยังไงนะคะ คืออย่างแรกเนี่ยนะคะ ลูกค้าจะต้องมีความสนิทสนมกับโออิรันก่อนค่ะ จะต้องมีการส่งของขงส่งของขวัญอะไรกันมา ทำความรู้จัก เหมือนแนะนำตัวก่อน ประมาณว่ารู้จักฉันไว้ซะ ฉันจะมาเป็นลูกค้าเธอนะ ทำนองนี้ค่ะ หลังจากนั้นนะคะ เวลาวันไหนที่เค้าอยากใช้บริการเนี่ย เค้าก็จะไปที่ร้านอาหารนะคะ ไปถึงเค้าก็จะมีการเลือกโออิรันค่ะ ว่าแบบ เออ คนนี้ฉันเล็งไว้แล้ว คนนี้ฉันไปทำความรู้จักไว้แล้ว เลือกๆๆ พอเลือกเสร็จนะคะก็จะส่งข่าวไปบอกที่บ้านโออิรันแห่งนี้ เนี่ยแหละค่ะ ประมาณว่า อ่ะ ฉันเลือกเธอแล้ว แต่งตัวมาหาฉันซะ นะคะ ระหว่างนั้นเนี่ย เค้าก็จะนั่งอยู่ที่ร้านอาหารใช่มั้ย ก็จะมีการเรียกเกอิชา เรียกอะไรที่ไม่ได้ขาย ที่ขายศิลปะเนี่ย มาให้ความบันเทิงตัวเองรอนะคะ เกอิชาก็จะเริงระบำอะไรไปให้ความบันเทิงรอโออิรันแต่งตัวค่ะ ซึ่งจะแต่งนานมากกกนะคะ หลังจากแต่งตัวเสร็จเนี่ย โออิรันก็จะทำพิธีเดินแห่ไปตามถนนค่ะ ค่อยๆ แห่ ก็จะมีเป็นขบวนเลยแล้วค่อยๆ แห่ไป ไม่เดินเร็วๆ เดินช้าๆ เดินแบบ อ่ะ รอฉันซะ เธอจะแบบว่าต้องอดทนเพื่อฉันอะไรอย่างนี้ เล่นตัวว่ายังงั้นเถอะนะคะ เล่นตัวๆๆ ไปกระทั่งถึงร้านอาหารค่ะ ไปถึงก็ไม่ใช่ว่าจะได้เลยนะคะ ส่วนใหญ่โออิรันเป็นยูโจะชั้นสูงมากๆ ค่ะ ดังนั้นมีสิทธิ์เลือกลูกค้าค่ะ ถ้าสมมติว่าไปถึงแล้วแบบโหงวเฮ้งเธอไม่ดีเลย โออิรันก็มีสิทธิ์ปฏิเสธนะคะ ซึ่งถ้าสมมติว่าโออิรันปฏิเสธปุ๊ปเนี่ย ภารกิจทุกอย่างก็จะจบนะคะ คือโออิรันก็จะกลับบ้าน ลูกค้าก็ อ่ะ กลับบ้านนะจ๊ะ มีเงินอย่างเดียวไม่สามารถซื้อโออิรันได้ ที่นี้เค้าบอกว่า ตามปกติเนี่ยไม่ใช่ว่าโออิรันจะตอบรับลูกค้าทุกคนนะคะ เค้าบอกว่าเป็นเรื่องปกติ เบสิคมากๆ เลยที่ โออิรันเนี่ยจะปฏิเสธก่อนทั้งหมด 3 ครั้ง คือเรียกไปเนี่ย แห่ไป 3 ครั้ง โออิรันบอก โนจ้า แล้วก็แยกย้ายค่ะ เพื่อให้เห็นว่า เธอต้องอดทนมากๆ เพื่อที่จะได้ฉันมาค่ะ หลังจาก 3 ครั้งไปแล้วเนี่ยนะคะ ถ้าสมมติว่าโออิรันโอเค โออิรันถึงจะตกลงเนอะ แต่ว่าบางครั้งก็อาจจะแบบ ก็ไม่โอเคจริงๆ อ่ะ ฉันไม่เอา ก็ไม่เอาก็คือไม่เอานะคะ ก็จะแยกย้ายกันไปค่ะ ทีนี้สมมติว่าครั้งไหนโออิรันตกลงนะคะ เค้าก็จะพาลูกค้าค่ะ แห่กลับมาที่บ้านแห่งนี้นะคะ แล้วก็พาขึ้นบันไดมา มาที่ห้องแถวๆ นี้นี่แหละนะคะ แล้วก็ปฏิบัติภารกิจต่างๆ กันค่ะ หลังจากที่ปฏิบัติภารกิจต่างๆ เสร็จนะคะ ถามว่าทำไมต้องมีบันไดใหญ่ 2 ข้างคะ มีบันไดใหญ่ด้านหน้ากับมีบันไดเล็กด้านหลัง คือเค้าบอกว่า คือถ้าสมมติว่าถ้าไม่ลงบันไดเล็กด้านหลังเนี่ย คือห้องพวกนี้มันไม่ใช่มีแค่โออิรันใช้ใช่มั้ย แต่ว่ามันมียูโจะใช้ด้วย คือคนที่เดินเข้ามาแล้วซื้อเลย ดังนั้นถ้าไม่ลงบันไดเล็กด้านหลังเนี่ย เดี๋ยวแบบเดินกลับไปแล้วป๊ะกับลูกค้าคนถัดไป แล้วเดี๋ยวจะมีปัญหากันนะคะ ก็เลยต้องแบบว่า อ่ะ เสร็จแล้วไปด้านนู้นจ้า คนใหม่เข้ามาทางนี้จ้า ประมาณนี้นะคะ นี่ก็เป็นขั้นตอนการใช้บริการโออิรันโดยทั่วไปนะคะ ก็บรรยากาศก็เป็นประมาณนี้ค่ะ ตอนนี้นะคะเราก็เดินออกจากบ้านของยูโจะหรือบ้านโออิรัน ที่เราไปเมื่อกี้นี่แหละค่ะ เมื่อกี้วิวบอกว่ามันเป็นศาลเจ้า จริงๆ แล้วไม่ใช่นะคะ มันเป็นวัดค่ะ ซึ่งวัดแห่งนี้เค้าบอกว่าในสมัยโชวะที่ 5 นะคะ บริเวณย่านโคมแดงทั้งหมดเนี่ย มีบ้านของยูโจะที่ลงทะเบียนทั้งหมด 64 หลังนะคะ ประกอบไปด้วยยูโจะ หรือว่าพวกค้าบริการที่ถูกกฎหมายนะ ที่มีการลงทะเบียนเนี่ย ทั้งหมด 370 นางด้วยกันค่ะ ไม่นับนางที่ไม่ได้ลงทะเบียนค้าเถื่อนอยู่รอบๆ นอกนะคะ เค้าบอกว่าทั้ง 370 นางเนี่ย ทุกเช้าจะต้องเดินทางมาที่วัดค่ะ มาไหว้พระขอพรนะคะ เออ เค้าขอพระอะไรกัน เดี๋ยวเราเข้าไปดูด้านในกันดีกว่าค่ะ เข้ามาในวัดนะคะ เห็นตุ๊กตารูปปั้นแบบนี้ คุ้นๆ กันมั้ยคะ เหมือนที่วิวเคยเล่าไปเลย นี่คือโอะจิโซซังหรือว่าพระโพธิสัตว์จิโซนะคะ ซึ่งก็เป็นความเชื่อเกี่ยวกับเด็กค่ะ คือความเชื่อของเด็กของญี่ปุ่นเนี่ย ใช่มั้ยคะ เค้าก็จะบอกว่าเวลาที่เด็กเสียชีวิต โดยเฉพาะเด็กที่เล็กมากๆ เนี่ยนะคะ เสียชีวิตไป เค้าจะไปติดค้างอยู่บริเวณริมแม่น้ำที่ทางไปนรกไง จำได้ใช่มั้ย ที่วิวเล่าเรื่องนรกแบบญี่ปุ่นไป ว่ามันต้องจะมีแม่น้ำที่ทุกคนต้องข้ามไปนะคะ พอเด็กไปติดอยู่ตรงนั้นเนี่ย เค้าก็เหมือนแบบว่า คือเวลาคนที่โตแล้วตายเนี่ย ญาติๆ ก็จะทำบุญให้ส่งไปให้ ทำบุญส่งไปให้เพราะว่าตั้งสติได้ แต่เวลาที่เด็กมากๆ ตายเนี่ย พ่อแม่เนี่ยจะเสียใจมาก แล้วก็ไม่สามารถที่จะตั้งสติพอที่จะทำบุญไปให้ได้ ดังนั้นเด็กก็เลยจะต้องพยายามก่อศาลเจ้าของตัวเองค่ะ เพื่อแบบว่าส่งพลังไปถึงพ่อแม่ว่าแบบ ส่งบุญมาให้ฉันเถอะ ส่งของ ทำบุญมาให้ฉันหน่อย อะไรอย่างงี้นะคะ ซึ่งการสร้างศาลเจ้าของเด็กเนี่ย ก็เกิดจากการเอาหินบริเวณริมแม่น้ำค่ะ มาเรียงๆๆ กัน ทีนี้บังเอิญว่าบริเวณริมแม่น้ำนั้นนะคะ มันเป็นที่อยู่ของสิ่งนึงค่ะ ก็คือ ยักษ์ นั่นเอง ทีนี้ พอยักษ์เห็นเด็กๆ ก่อศาลเจ้านะคะ ตอนกลางคืนยักษ์ก็จะออกมาค่ะ แล้วก็มาถล่มศาลเจ้า ปึ้ง! ประมาณว่า เธอรบกวนที่อยู่ฉัน อะไรประมาณนี้นะคะ ดังนั้นเด็กๆ ก็เลยเหมือนจะเป็นศัตรูกับยักษ์ค่ะ แล้วก็สร้างศาลเจ้าไม่เสร็จสักที แล้วก็กลัวยักษ์อีกต่างหาก ซึ่งคนที่จะเข้ามาตรงนี้ก็คือ พระโพธิสัตว์จิโซ นั่นเอง พระโพธิสัตว์จิโซเนี่ยก็จะลงมา แล้วก็มาปกป้องเด็กๆ จากยักษ์นะคะ โดยที่เอาวิญญาณของเด็กๆ เนี่ยซุกเข้าไปในจีวรของท่านค่ะ เพื่อแบบปกป้องไว้ ประมาณว่า ยักษ์อย่ามาทำอะไรเด็กๆ พวกนี้นะ วิญญาณเด็กๆ ยังบริสุทธิ์อยู่ ประมาณนั้นนะคะ ซึ่งนี่เป็นสาเหตุที่เค้าเชื่อกันว่า เวลาใครมีลูกที่เสียชีวิตเร็วหรือะไรอย่างนี้ ก็จะมาไหว้พระโพธิสัตว์จิโซค่ะ หรือประมาณว่าแบบพระโพธิสัตว์จิโซ คือคนที่ดูแลเด็กนั่นเองค่ะ ซึ่งถามว่าเกี่ยวอะไรกับโออิรันหรือยูโจะของพวกเรานะคะ ก็คือ ก็รู้กันใช่มั้ยว่าอาชีพเค้าขายอะไรแบบนี้ ซึ่งสมัยก่อนการคุมกำเนิดอะไรมันก็ไม่ค่อยดี ดังนั้นถามว่าพลาดท้องบ่อยมั้ย ก็ค่อนข้างบ่อยนะคะ พลาดบ้าง หรือว่าตั้งใจท้องเพื่อที่จะจับลูกค้าบ้างก็มีนะคะ อาชีพพวกนี้ถามว่าท้องได้มั้ย ไม่ได้นะคะ เท่าที่วิวเคยอ่านมาเนี่ยก็เลยจะต้องทำแท้งกันค่อนข้างบ่อยค่ะ คือบางครั้งตัวเองก็ทำแท้งเองบ้าง บางครั้งคนที่คุมเนี่ย ก็บังคับให้แท้งบ้างนะคะ โดยการแบบว่าให้กินยา หรือว่าทำอะไรต่างๆ ให้แท้ง ดังนั้นมันก็เลยจะมีความรู้สึกผิดอยู่ในใจค่ะ ก็เลยมักจะมาไหว้ที่วัดแห่งนี้นะคะ เพื่อขอให้พระโพธิสัตว์จิโซคอยดูแลวิญญาณเด็กๆ เหล่านั้น ที่เป็นลูกของพวกเธอที่ตายจากไปค่ะ ก็เป็นเรื่องน่าเศร้านิดนึงนะคะ ตอนนี้นะคะ เราก็มาถึงศาลเจ้ามินะโตะแล้วค่ะ ก็คือศาลเจ้าที่วิวพูดถึงมาตั้งแต่ต้นอ่ะนะ ซึ่งศาลเจ้าที่นี่ เค้าถือว่าเป็นแบบแหล่งบันเทิงเริงใจของ เหล่าโออิรันหรือเหล่ายูโจะทั้งหลายค่ะ คือเมื่อกี้ตอนที่เราไปวัดอาจจะเป็นการขอพรอะไรที่ เออ เรื่องสุขภาพ เรื่องลูก เรื่องอะไรที่แบบจริงจังนิดนึง แต่ว่าที่นี่เรื่องการค้าล้วนๆ เลยค่ะ แล้วก็เป็นเหมือนแบบว่าความบันเทิงเล็กๆ ของเค้าด้วย เพราะว่าที่นี่ของเล่นเยอะนะคะ เดี๋ยวเราเข้าไปดูด้านในกัน มาๆ ค่ะ สิ่งแรกที่เราจะเจอก็คือ เสาโทะริอิ นั่นเอง บอกว่าเรากำลังเข้าไปสู่ดินแดนแห่งเทพเจ้าแล้วนะ ไม่ใช่ดินแดนของมนุษย์ทั่วไปแล้วนะคะ เข้ามาถึงก็เจอเหมือนเดิมเลย ก็คือที่ล้างมือ ล้างทุกอย่างให้เราสะอาด เพื่อที่เราจะได้เข้าสู่ดินแดนแห่งเทพเจ้าเนอะ เข้ามาเรื่อยๆ นะ ก็จะเจอกับ สิ่งนี้คือ โคะมะอินุ นะคะ โคะมะอินุก็คือลูกครึ่งระหว่างสิงโตกับสุนัข ประมาณนั้นนะคะ เค้าบอกว่าเป็นที่ที่ให้มาขอพร ศักดิ์สิทธิ์มากนะคะ เป็นแท่นหินที่สามารถหมุนซ้ายหมุนขวาได้ค่ะ ผู้หญิงเนี่ยให้หมุนด้านซ้าย ส่วนผู้ชายให้หมุนด้านขวา ปัจจุบันเนี่ยขอพรอะไรก็ได้ แต่ถามว่าพวกยูโจะกับโออิรันเนี่ยมาขอพรอะไร อ่ะ เดากันได้มั้ย เค้าบอกว่า เค้าจะมาขอพรนะคะ หมุนๆๆ แล้วก็ขอพรว่า ให้ลมตะวันตกพัดแรงๆ หน่อยจ้า ลมตะวันตกพัดแรงๆ เกี่ยวอะไร คือลมตะวันตกเนี่ยนะคะ เวลาพัดมา ทะเลมันจะคลั่งค่ะ ทะเลแบบคลั่ง บ้าคลั่งเลยนะ ออกเรือไม่ได้ ดังนั้นคนที่มากับเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ก็จะออกเรือไม่ได้ ใครที่ค้าขายต่างๆ ออกเรือไม่ได้ ก็ว่าง ติดอยู่ที่เมืองนี้ทำไรอะไรคะ ใช้บริการยูโจะนั่นเอง ดังนั้นถ้าช่วงทะเลคลั่งลูกค้าก็จะเยอะนะคะ ก็จะมาขอพรอะไรประมาณนี้กันค่ะ เท่านั้นยังไม่พอ ยังมีพรต่างๆ ที่ขอกันอีกมากมายเลย ที่วิวบอกค่ะว่าจะมีเทพเข้าจิ้งจอกเนอะ เค้าก็จะมาขอพรแล้วก็ผูกๆ ขาไว้ต่างๆ ค่ะ ซึ่งคนสมัยปัจจุบันเนี่ย อยากขออะไรก็ขอไปเถอะ แต่คนสมัยนั้นเนี่ย ยูโจะทั้งหลายถามว่ามาผูกทำไมนะคะ ก็คือถ้าสมมติว่าอยากได้ลูกค้าคนนี้มากๆ เลย ประมาณว่า ฉันอยากเกษียณแล้วจ้า มาแต่งงานกับฉันเถอะจ้า มาติดฉันตลอดไป เค้าก็จะเขียนชื่ออะไรอย่างนี้ แล้วเอามาผูกที่ขาของจิ้งจอกนะคะ ผูกปึ๊บก็เรียกได้ว่าผูกลูกค้าไว้กับตัวเอง ประมาณนั้นเลยค่ะ ก็เป็นความเชื่อของคนสมัยนั้นเนอะ เข้าไปด้านในนะคะ ก็จะเป็นเทพเจ้าเหมือนปกติ ซึ่งเราจะไม่ถ่ายให้เห็นเทพเจ้านะคะ เพราะว่าคนสมัยก่อนไม่ให้มองเทพเจ้าโดยตรงเนอะ แต่ว่าสิ่งที่พิเศษสิ่งนึงในศาลเจ้านี้คือ มันมีของเล่นเยอะมาก อย่างที่เห็นภาพอยู่ตอนนี้เนอะก็จะเป็น มีเซียมซีหลากหลายชนิด เรียกได้ว่าทำนายดวงชะตาต่างๆ มีคำอวยพรจากเทพเจ้าให้เล่น มีการแบบว่า คำอวยพรจากเทพเจ้าที่เป็นตกปลา มีเครื่องรางของขลังอะไรต่างๆ มากมาย ก็น่าจะเป็นความบันเทิงเริงใจแบบยึดเหนี่ยวทางจิตใจ ของคนที่ทำงานแบบเป็นยูโจะหรือเป็นโออิรันประมาณนั้นนะคะ ก็ศาลเจ้านี้ก็ประมาณนี้ค่ะ เป็นยังไงบ้างคะที่เราไปดูมาทั้งหมดเกี่ยวกับโออิรัน เหมืองทอง แล้วก็การเดินเรือนะคะ จะเห็นว่าทุกอย่างมันดูเกี่ยวพันกันไปหมดเลยนะ มันมีเหตุมีผลของตัวเองว่าแบบทำไมอะไรจะต้องมาตั้งอยู่ตรงนี้ ทำไมอะไรต้องตั้งอยู่ตรงนั้นนะคะ ก็เป็นว่าใครสนเรื่องพวกนี้อย่าลืมมาเที่ยวที่เกาะซาโดะ แล้วก็เมืองนีงะตะนะคะ สำหรับตอนนี้ถ้าใครอยากให้วิวพาไปเที่ยวที่ไหนอีก ก็อย่าลืมคอมเมนต์มาด้านล่างค่ะ แล้วก็กดไลก์เป็นกำลังใจให้วิว แล้วก็กดแชร์เพื่อชวนเพื่อนๆ มาดูด้วยกันนะคะ แล้วพบกันใหม่โอกาสหน้าค่ะทุกคน บ้าย บาย สวัสดีค่า แอบเกริ่นไปนิดนึงว่าเกาะซาโดะเนี่ยคาเฟ่สวย เดี๋ยวจะไม่เชื่อกันนะคะ วันนี้พามาดูชิมะฟุมิค่ะ คาเฟ่ริมทะเลที่เกาะซาโดะ บอกเลยว่าเก๋มากๆ และในเกาะนี้มีคาเฟ่แบบนี้อีกเพียบเลยค่ะ ดังนั้นอย่าพลาดนะจ๊ะทุกคน วันนี้ลาไปก่อนค่ะ บ้าย บาย สวัสดีค่ะ