-
(เสียงระฆัง)
-
ลึกลงไปฉันรู้สึกถึงแรงขับดันรุนแรง
ที่ควบคุมไม่ได้
-
ทำอย่างไรถึงจะนำมัน
มาใช้ประโยชน์เพื่อผู้อื่นได้
-
นมัสการท่านอาจารย์
สวัสดีญาติธรรมทุกท่าน
-
ดิฉันมีคำถามค่ะ
-
คือบางครั้งลึกลงไปภายใน
-
ดิฉันรู้สึกถึงพลังงานบางอย่างที่แรงกล้ามาก
-
ซึ่งบางครั้งดิฉันก็ควบคุมมันไม่ค่อยได้
-
รู้สึกเหมือนกับว่า ...
ข้างในนี้มีอะไรบางอย่างที่มัน...
-
สว่างไสว หยั่งลึก และรุนแรง
-
และดิฉันก็ควบคุมมันไม่ได้เลย
-
มันพาฉันไปทำนู่นทำนี่
ในแบบที่ฉันจัดการอะไรไม่ได้เลย
-
สุดโต่งมาก
-
และมันมีอิทธิพลมากเสียจน
บางครั้งดิฉันรู้สึกเหมือนเป็นทาสมัน
-
เช่น สมมติว่าถ้าดิฉันอยากรู้อะไรสักอย่าง
ในบนดาวดวงนี้
-
ฉันก็จะออกเดินทาง
พลังอันนี้นำพาฉันไป
-
สุดท้ายพบว่าตัวเองไปโผล่อยู่ในสถานที่
ที่เขารบกันอยู่ หรือที่ที่มันสุดๆ
-
คือฉันยังไม่พร้อมสำหรับอะไรแบบนั้น
แต่ดิฉันก็พอมีคำตอบให้ตัวเองนะคะ
-
พลังนั้นเป็นคนบอกคำตอบมาเอง
-
คือมันซับซ้อนหน่อยนะคะ (เหอๆ)
-
ตอนนี้ฉันแค่อยากจะควบคุม
พลังงานมหาศาลอันนี้ให้...
-
ฉันอยากให้จิตวิญญาณ...
เป็นหนึ่ง...
-
ฉันอยากจะรวมพลังนี้ให้เป็นไปในจุดเดียว
-
แต่ฉันรู้สึกเหมือนตัวเล็กนิดเดียว
เพราะพลังมันยิ่งใหญ่มาก
-
ฉันรู้สึกว่าแรงขับมันกลับตาลปัตร
อยู่ภายใน
-
และฉันไม่รู้ว่าจะควบคุมมันให้ตรงจุด
ได้อย่างไร เมื่อต้องอยู่ในสังคม
-
ควบคุมให้มันตรงเป้า และชัดเจน
เพื่อที่จะทำ...
-
อะไรสักอย่างที่มันเป็นรูปธรรม
-
ฉันพยายามใช้สติในการฝึกฝน
พยายามหายใจเข้าออกลึกๆ
-
และปล่อยให้แรงขับนี้พาไป
-
ทั้งนี้ดิฉันก็ยังอยากรู้เผื่อท่านอาจารย์
มีคำแนะนำอะไรดีๆ บ้างไหมคะ
-
หวังว่าจะไม่งงนะคะ (หัวเราะ)
ขอบคุณค่ะ
-
ทวนหน่อยได้มั้ย?
-
สรุป
-
เพื่อนท่านนี้บอกว่า ลึกลงไปในตัวเธอมี
-
แรงขับดันภายในที่แรงกล้า
-
และบางทีเธอก็รู้สึก
-
เหมือนอยู่ภายใต้การควบคุมของแรงขับดันนี้
-
มันพาเธอไปทำสิ่งต่างๆ
-
ซึ่งบางทีก็ไม่ค่อยเข้าท่านักสำหรับเธอ
-
เธอจึงอยากจะเรียนรู้วิธีที่จะ
ควบคุมแรงขับดันนี้
-
อยากจะมีทางเลือกในการใช้มันด้วยสติ
-
และพามันไปทำงานที่เป็นรูปธรรม
และเป็นประโยชน์
-
และเธอก็พยายามฝึกด้วยสติ
และลมหายใจ
-
แต่ก็ยังไม่สามารถควบคุมแรงขับดันนี้
ได้ดีเท่าที่ควร
-
แรงขับดันนี้อาจมีกำลังมาก
-
และกำลังสติของเราอาจจะ
-
ไม่แข็งแรงพอ
-
และเราก็ต้องการจะควบคุม...
-
อย่างไรก็ตาม การฝึกของหมูบ้านพลัม
-
ไม่ใช่เพื่อจะควบคุม
-
เพราะเมื่อเราอยากจะควบคุม
-
เรากำลังกดข่มบังคับ
-
ในสิ่งที่อยากจะไปควบคุม
-
การมีสตินี่
เพียงแต่มาระลึกรู้ในสิ่งที่มันเป็น
-
โดยไม่พยายามจะควบคุม
-
ก่อนอื่น เราใช้สติ
-
ในการหายใจ ในการเดิน
-
มาระลึกรู้มัน
-
มาทักทายมันเท่านั้น
-
ไม่ใช่มาจัดการมัน
-
หรือมากดข่ม
-
และสิ่งที่เราพึงรู้คือ พลังงานนั้น
-
อาจจะตกทอดมาจากพ่อเรา
-
แม่เรา หรือบรรพบุรุษเรา
-
นี่เป็นเหตุผลที่เราได้รับมันมา
-
ทั้งจากคนรุ่นก่อน และจากสังคมก็เช่นกัน
-
ดังนั้นเราจึงต้องการจะมาทำความรู้จัก
-
ต้นตอของมัน
-
มันมาจากไหน
-
เราจึงได้สนใจที่จะมาระลึกรู้ มาสังเกต
-
และทำความเข้าใจมัน
มากกว่าที่จะไปควบคุมมัน
-
กำลังอย่างนั้นบางที
อาจเป็นกำลังของความเคยชินก็เป็นได้
-
ความเคยชินที่ก่อร่างสร้างตัว
-
มาหลายรุ่น
-
ยาวนานตั้งแต่ก่อนเราจะเกิด
-
ความเคยชินอย่างนั้น
แบบแผนของความคิด
-
แบบแผนคำพูด หรือการกระทำ
บางที...
-
อาจจะมีอยู่อย่างนั้นมานานแล้ว
-
แล้วเราก็ได้มันมาจากพ่อแม่
-
ปู่ย่าตายาย
-
สิ่งที่เราพึงทำ คือ การมาระลึกรู้
-
และยอมรับมันอย่างที่มันเป็น
-
และเมื่อเรารู้วิธียอมรับมันอย่างที่มันเป็น
-
เราจะรู้สึกดีขึ้นทันทีเลย
-
ไม่มีความอยากจะควบคุม
-
การมาระลึกรู้ เรียกว่า "รู้ซื่อๆ"
-
หายใจเข้า ระลึกรู้
-
เมื่อเราระลึกรู้มันอย่างที่มันเป็นแล้ว
-
มันจะไม่มีอิทธิพลผลักดัน
-
ให้เราไปทำสิ่งที่เราไม่อยากทำอีกต่อไป
-
เราไม่จำเป็นต้องไปกำจัดมัน
-
เราไม่จำเป็นต้องไปควบคุมมัน
-
ไม่ได้อยากจะไปกดข่มบังคับอะไรมัน
-
จริงๆ แล้วเพียงแค่มารับรู้
ว่ามันเป็นแค่ความเคยชิน
-
เท่านี้ใจก็เป็นอิสระแล้ว
-
20 ปีก่อน มีหนุ่มอเมริกันคนนึง
-
มาภาวนาอยู่ที่วิหารบน (Upper Hamlet)
-
วันหนึ่งเขาก็ได้รับมอบหมายจากสหธรรมิก
-
ให้ไปช็อปปิ้งซื้อของให้หน่อย
-
พวกเรากำลังเตรียมงานวันขอบคุณพระเจ้า
-
ในงานนั้นกำหนดว่า กลุ่มไหนมาจากประเทศอะไร
-
ก็ให้เตรียมอาหารประจำชาตินั้นๆ
-
เพื่อรำลึกนึกถึงบรรพบุรุษ
-
เช่น กลุ่มอเมริกันตกลงกันว่าจะทำ
-
พายฟักทอง ซึ่งเป็นอะไรที่
-
ก็อเมริกันดี
-
หรือกลุ่มชาวอิตาเลียน ก็จะทำเมนูอิตาเลียน
-
แล้วก็นำไปวางบนแท่นสักการะบรรพบุรุษ
-
และใน...ระหว่างพิธี เราก็จะสื่อสารกับ
-
บรรพบุรุษที่อยู่ภายในเรา
-
ดังนั้นพ่อหนุ่มคนนั้นก็ได้รับมอบหมาย
-
ให้ไปซื้อของในเมืองใกล้ๆ
-
หลังจากนั้น เขากลับมาเล่าให้ฟังว่า
-
ตอนเขาไปซื้อของใน
Sainte-Foy-la-Grande
-
อยู่ๆ เขาก็เห็นว่า
-
เขาพยายามจะซื้อๆๆ อย่างรวดเร็ว
-
เพื่อให้งานเสร็จ
-
กระตือรือร้นที่จะทำอย่างรีบเร่ง
-
ให้งานมันเสร็จๆ ไป
-
แต่ประมาณ 2-3 สัปดาห์ก่อนหน้านี้
-
เขาไม่ได้รู้สึกอย่างนี้
-
เพราะตอนเขาอยู่ที่วิหารบน
-
ก็อยู่ภายใต้แวดล้อมบรรยากาศของการภาวนา
-
ค่อยๆ ทำนั่นทำนีช้าๆ ด้วยความมีสติ
-
และเบิกบาน
-
ก็คือในระหว่าง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา
เขาภาวนาได้ดีมาก
-
ไม่ว่าจะเดิน นั่ง ทำอาหาร
-
ไปพร้อมๆ กับทุกคนในวิหารบน
-
เขาทำกิจกรรมด้วยความใจเย็น อย่างมีสติ
-
ทุกอย่างราบรื่น
-
แต่พอถูกส่งไป Sainte Foy La Grande
-
ไปตัวคนเดียว
-
ปราศจากตัวช่วยจากส่วนรวม
-
ที่จะชี้นำและแวดล้อมให้เกิดสติ
-
เขาก็เลยลืมตัวไป
-
ความเคยชินเก่าๆ ก็กลับมามีอิทธิพล
-
ให้เขาทำซื้อของเร็วๆ
-
ให้มันเสร็จๆ ไป
-
ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกขึ้นมา
-
ถึงแรงที่ผลักดันให้เขา
ทำอะไรเร่งรีบอย่างนี้
-
แล้วก็ระลึกได้ว่า
-
นี่มันแม่เขาเลยนี่นา
-
นางเป็นอย่างนั้นเสมอๆ เลย
-
ขณะนั้นเขาจึงกลับมาที่ลมหายใจ
-
รับรู้ถึงแรงดันแห่งความเคยชิน
แล้วพูดว่า
-
"สวัสดีครับ แม่"
-
"ผมรู้ว่าเป็นแม่นะ ทำอะไรรีบๆ อย่างนี้"
-
ทันใดนั้น เขาก็กลับสู่ความสงบอีกครั้ง
-
ซื้อของต่อไป
-
อย่างมีสติ และเบิกบาน
-
นี่ก็แปลว่า แรงดันจากความเคยชินนั้น
-
เมื่อเราระลึกรู้ถึงมัน
มันจะไม่มีอิทธิพลต่อเราอีก
-
ไม่สามารถผลักดันให้เราทำอะไร
ที่เราไม่อยากจะทำ
-
ให้พูดในสิ่งที่เราไม่อยากจะพูด
-
พวกเราหลายคนตกเป็นทาสของความเคยชิน
-
หลายอย่างเราไม่ได้อยากจะพูด
-
หลายอย่างเราไม่ได้อยากจะทำ
-
เรารู้ด้วยว่าพูดออกไปแล้ว
ทำออกไปแล้ว
-
จะทำให้ไม่สบายใจ
-
ทั้งเราทั้งอีกฝ่าย
-
รู้ทั้งรู้
-
เราไม่ได้อยากจะพูดหรือทำอย่างนั้นเลย
-
แต่พอเกิดเรื่อง
-
ความเคยชินก็จะดันหลังเรา
ให้พูดหรือทำออกไปอย่างนั้น
-
และพอทำไปแล้ว
-
พอพูดไปแล้ว
-
ก็มาเสียใจ
-
ตีอกชกตัว แถมบ่น
-
รู้ทั้งรู้ว่าไม่ควรทำ
-
รู้ทั้งรู้ว่าไม่น่าพูด
แล้วทำไมเรายังทำอย่างนั้น ยังพูดอย่างนั้น
-
แล้วก็สัญญิงสัญญากับตัวเองเสร็จสรรพ
คราวต่อไป...
-
ถ้ามีเรื่องอย่างนี้อีก
-
เราจะไม่ทำอย่างนั้นอีกแน่นอน!
-
เราจะไม่พูดอย่างนั้นอีกแน่นอน!
-
ตั้งใจสุดๆ
-
แต่ถึงอย่างงั้น พอเกิดเรื่องปั๊บ
-
ก็ทำเหมือนเดิมเป๊ะเลย
-
ซ้ำแล้วซ้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก
-
นี่ล่ะ กำลังของความเคยชิน
-
การมาฝึกที่หมู่บ้านพลัมเนี่ย
-
คือ อาศัยการมามีสติในการหายใจ
มามีสติในการเดิน
-
ให้ระลึกรู้ถึงแรงดันของความเคยชินอันนี้
-
ไม่ต้องพยายามไปควบคุมมัน
ไม่ต้องพยายามไปกำจัดมัน
-
แค่ยิ้มรับและทักทาย
-
"ไงพวก!"
-
"ยังอยู่อีกเหรอ"
-
"แต่จะแกล้งให้ฉันทำอย่างงั้นอีก
ไม่ได้แล้วนะ"
-
"จะแกล้งให้ฉันพูดอย่างงั้นอีก
ไม่ได้แล้วนะ"
-
แค่รู้ธรรมดาๆ เท่านี้ล่ะ
ก็ทำให้ใจเป็นอิสรภาพแล้ว
-
และถ้าเราฝึกอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ
-
ความเคยชินนี้จะค่อยๆ เปลี่ยนไป
-
ทีละน้อยๆ
-
และถ้า...ข้างในนี้มันมี
เมล็ดพันธุ์ความดีอยู่ พลังงานที่สร้างสรรค์
-
เราก็สามารถค่อยๆ พัฒนามันขึ้นมา
-
และถ้าเรามีเป้าหมายในชีวิต
-
ถ้าเรามีความตั้งใจที่ดี ความปรารถนา
-
ที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง และช่วยเหลือผู้อื่น
-
ให้เป็นทุกข์น้อยลง
-
เมื่อเรารู้ชัดว่าเป้าหมายเราคืออะไร
-
เราจะบ่มเพาะความปรารถนาอันนั้น
-
ยังเจตนานั้นให้บริบูรณ์
-
เตือนตนเองถึงเป้าหมายในทุกๆ วัน
-
เช่นนี้แล้วมันจะมีพลังงานอีกแบบ
-
ที่สามารถใช้บ่มเพาะเจตนาอย่างนี้
-
เป็นการบำรุง หล่อเลี้ยง
ที่เรียกว่าเจตจำนงค์
-
หรือเจตนาที่ดี
-
ฉะนั้น ใครที่มีเจตนาดีที่จะสร้างสรรค์
-
พลังชีวิตดีๆ ในตัวเอง และในโลก
-
เขาจะสามารถใช้ประโยชน์
จากพลังงานทุกรูปแบบที่มีอยู่ในตัวเอง
-
เพื่อไปสู่เป้าหมายอันนั้น
-
ดังนั้นคำตอบก็จะมีเป็น 2 ส่วน
-
อย่างแรก คือการระลึกรู้
-
อย่างที่สอง คือ วางทิศทางหรือแนวทาง
-
ให้มันเป็นไปในทางที่เป็นประโยชน์
-
หล่อเลี้ยง บันดาลใจ เติมเต็ม
-
(เสียงระฆัง)