< Return to Video

วีเอส รามจันทรัน: เซลล์ประสาทที่สรรค์สร้างอารยธรรม

  • 0:00 - 0:03
    วันนี้ ผมอยากจะพูดถึงเรื่องสมองของมนุษย์อย่างเราๆ
  • 0:03 - 0:05
    ซึ่งก็เป็นงานวิจัยที่เรากำลังศึกษากันอยู่ ที่มหาวิยาลัย University of California
  • 0:05 - 0:07
    เรามาลองขบคิดถึงปัญหาต่อไปนี้ดูสักหน่อย
  • 0:07 - 0:10
    นี่คือก้อนเนื้อ หนักราวๆ 3 ปอนด์ (1.36 กิโลกรัม)
  • 0:10 - 0:12
    ซึ่งสามารถวางบนฝ่ามือคุณได้อย่างง่ายดาย
  • 0:12 - 0:16
    แต่เจ้าก้อนน้อยๆนี้ก็สามารถขบคิดถึงความกว้างใหญ่ระดับจักรวาลได้
  • 0:16 - 0:18
    สามารถขบถึงความหมายของ ค่าอนันต์ หรือ ความไม่สิ้นสุด
  • 0:18 - 0:21
    ถามคำถามเกี่ยวกับความหมายของการคงอยู่ของตัวมันเอง
  • 0:21 - 0:23
    ไปจนถึง ธรรมชาติของ'พระเจ้าผู้สร้าง'
  • 0:23 - 0:25
    และนี่คือสิ่งที่น่าทึ่งที่สุดในโลกก็ว่าได้
  • 0:25 - 0:28
    แต่มันก็ยังเป็นสิ่งที่คงความลึกลับมากที่สุดที่มนุษย์เราเผชิญ
  • 0:28 - 0:30
    แล้วมันมาได้ยังไงกันแน่?
  • 0:30 - 0:32
    อืม... เป็นที่ทราบกันดีว่า สมองคนเรานี่ประกอบด้วยเซลล์ประสาท
  • 0:32 - 0:34
    เช่นในภาพที่เราเห็นอยู่นี้
  • 0:34 - 0:37
    มันประกอบไปด้วยเซลล์ประสาท 100 พันล้านเซลล์ ในมนุษย์วัยทำงาน
  • 0:37 - 0:40
    และแต่ละเซลล์ฯก็สร้างการติดต่อสื่อสารกัน 1,000 ถึง 10,000 ครั้ง
  • 0:40 - 0:42
    กับเซลล์ประสาทรอบๆ
  • 0:42 - 0:44
    และจากข้อมูลดังกล่าว ได้มีคนคำนวนว่า
  • 0:44 - 0:47
    ตัวเลขของความหลากหลาย ของกิจกรรมที่เกิดจากการคุยกันเองในเซลล์ฯเหล่านั้น
  • 0:47 - 0:50
    เกินตัวเลขของธาตุพื้นฐานทุกๆธาตุของทั้งจักรวาล
  • 0:50 - 0:52
    เอาล่ะ แล้วเราจะศึกษาสมองได้อย่างไร?
  • 0:52 - 0:54
    วิธีหนึ่ง ก็คือ การสังเกตคนไข้ที่มีความบอบชำ้หรือแผลในส่วนต่างๆของสมอง
  • 0:54 - 0:57
    และศึกษาความเปลี่ยนแปลงไปจากพฤติกรรมก่อนหน้า
  • 0:57 - 0:59
    นั่นคือสิ่งที่ผมได้พูดไปใน TED ครั้งที่แล้ว
  • 0:59 - 1:01
    วันนี้ ผมจะมาพูดถึงอีกวิธีหนึ่ง
  • 1:01 - 1:03
    ซึ่งจะเป็นการนำ เครื่องมืดวัดคลื่นไฟฟ้า วางไว้ที่ส่วนต่างๆของสมอง
  • 1:03 - 1:07
    และเก็บข้อมูลเกี่ยวกับกิจกรรมของแต่ละเซลล์ประสาทในสมอง
  • 1:07 - 1:11
    คล้ายๆกับการดักฟัง เจ้าเซลล์ทั้งหลายในสมองนั่นเอง
  • 1:11 - 1:14
    ล่าสุด ได้มีการค้นพบโดยนักวิจัย
  • 1:14 - 1:16
    จากเมืองปาร์มา, อิตาลี
  • 1:16 - 1:19
    นาม Giacomo Rizzolatti และเพื่อนร่วมทีมเขา
  • 1:19 - 1:21
    พบว่า มีกลุ่มของเซลล์ประสาท ที่ถูกตั้งชื่อว่า 'เซลล์ประสาทกระจกเงา'
  • 1:21 - 1:24
    ซึ่งรวมอยู่ส่วนหน้าของสมองสองซีก
  • 1:24 - 1:26
    ทีนี้ ก็ยังมีเซลล์ประสาทอีกแบบ
  • 1:26 - 1:29
    เรียกว่า 'เซลล์ประสาทมอเตอร์ควบคุมทั่วไป' ในส่วนหน้าของสมอง
  • 1:29 - 1:31
    ที่เป็นที่รู้จักดีมากว่า 50 ปีมาแล้ว
  • 1:31 - 1:34
    เซลล์ประสาทเหล่านี้จะทำงานเมื่อร่างกายเจ้าของกระทำกริยาบางอย่าง
  • 1:34 - 1:37
    เช่น เมื่อผมเอื้อมมือไปหยิบลูกแอปเปิล แบบนี้
  • 1:37 - 1:41
    เจ้า 'เซลล์ประสาทมอเตอร์ฯ' ก็จะทำงานทันที
  • 1:41 - 1:44
    และถ้าผมเอืื้อมไปดึงของบางอย่าง เซลล์ประสาทอีกตัวก็จะทำงาน
  • 1:44 - 1:46
    เพื่อสั่งให้ผมดึงของสิ่งนั้น
  • 1:46 - 1:48
    ทั้งหมดนี้ถูกสั่งงานโดยกลุ่ม 'เซลล์ประสาทมอเตอร์ฯ' ที่เป็นที่รู้จักมานานแล้วนั่นเอง
  • 1:48 - 1:50
    แต่สิ่งที่ Rizzolatti พบ ก็คือ
  • 1:50 - 1:52
    ประเภทย่อยของเจ้าเซลล์ประสาทเหล่านี้
  • 1:52 - 1:54
    ราวๆ 20% ของทั้งกลุ่มอาจทำงาน ขณะที่ผม
  • 1:54 - 1:57
    กำลังมองดูใครสักคนทำกริยาเดียวกัน
  • 1:57 - 2:00
    นี่คือเซลล์ประสาทที่ทำงานเวลาผมเอื้อมไปจับวัตถุบางอย่าง
  • 2:00 - 2:03
    แต่มันก็จะทำงานเช่นกัน เมื่อผมมองคุณโจหรือใครสักคนทำกริยาเดียวกัน
  • 2:03 - 2:05
    และนี่เป็นสิ่งที่น่าทึ่งอย่างแท้จริง
  • 2:05 - 2:07
    เพราะว่ามันราวกับว่า เจ้าเซลล์ประสาทตัวนี้ได้
  • 2:07 - 2:09
    รับเอามุมมองผู้อื่นมาขบคิดเอง
  • 2:09 - 2:13
    ราวกับว่ามันได้จำลอง โลกความจริงเสมือน
  • 2:13 - 2:15
    ของการกระทำของผู้อื่นนั่นเอง
  • 2:15 - 2:18
    แล้วเจ้า 'เซลล์ประสาทกระจกเงา' เหล่านี้มีความสำคัญอะไรบ้าง?
  • 2:18 - 2:21
    อย่างหนึ่งก็คือ มันต้องมีความเกี่ยวข้องกับการเลียนแบบและลอกเลียนพฤติกรรม
  • 2:21 - 2:24
    เพราะว่าการเลียนแบบพฤติกรรมเป็นสิ่งที่ซับซ้อน
  • 2:24 - 2:27
    ที่ต้องการการรับเอาการมองโลกของผู้อื่นเข้ามา
  • 2:27 - 2:29
    ฉะนั้นการเลียนแบบและลอกเลียนพฤติกรรมจึงมีความสำคัญ
  • 2:29 - 2:31
    แล้ว ทำไมถึงสำคัญ?
  • 2:31 - 2:34
    เรามาลองดูที่สไลด์ต่อไปนี้กัน
  • 2:34 - 2:37
    ถามว่า เราเลียนแบบได้อย่างไร? ทำไมมันถึงสำคัญ?
  • 2:37 - 2:39
    "กลุ่มเซลล์ประสาทกระจกเงา, การเลียนแบบ, และการลอกเลียนพฤติกรรม"
  • 2:39 - 2:43
    เอาล่ะ ลองมาดูที่ วัฒนธรรม, ปรากฎการณ์ที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมของมนุษย์กันบ้าง
  • 2:43 - 2:47
    หากเราย้อนเวลาไปราวๆ 75,000 ถึง 100,000 ปีที่แล้ว
  • 2:47 - 2:49
    แล้วมองดูที่วิวัฒนาการของมนุษย์ เราจะพบว่า
  • 2:49 - 2:52
    มีบางอย่างที่สำคัญมากเกิดขึ้นราว 75,000 ปีที่แล้ว
  • 2:52 - 2:54
    และนั่นก็คือ การวิวัฒนาการและแผ่วงกว้างของ
  • 2:54 - 2:57
    จำนวนความทักษะใหม่ๆที่เป็นเอกลักษณ์ของมนุษย์ยุคนั้น
  • 2:57 - 2:59
    เช่น การเริ่มใช้เครื่องทุ่นแรง
  • 2:59 - 3:02
    การใช้ประโยชน์จากไฟ, การรู้จักสร้างที่อยู่อาศัย, และ แน่นอนที่สุดคือ การใช้ภาษา
  • 3:02 - 3:04
    และยังมี ความสามารถในการอ่านจิตใจผู้อื่น
  • 3:04 - 3:06
    และการแปลภาษากายของคนผู้นั้น
  • 3:06 - 3:08
    ทั้งหมดนี้ได้พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วมาก
  • 3:08 - 3:11
    แม้ว่า สมองมนุษย์ได้มีขนาดเท่าเดิมตั้งแต่เวลานั้น
  • 3:11 - 3:13
    เกือบสามถึงสี่พันปีมาจวบจนปัจจุบัน
  • 3:13 - 3:15
    แสนปีก่อน สิ่งเหล่านี้วิวัฒนาการมาเร็วมากๆ
  • 3:15 - 3:18
    และผมอยากบอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเวลานั้นก็คือ
  • 3:18 - 3:21
    การพัฒนาก้าวกระโดดของระบบเซลล์ประสาทกระจกเงา
  • 3:21 - 3:23
    ซึ่งได้ทำให้คุณสามารถเลียนแบบพฤติกรรมต่างๆของผู้อื่นได้
  • 3:23 - 3:27
    เพื่อว่า เมื่อเกิดการค้นพบที่ไม่คาดคิด
  • 3:27 - 3:30
    โดยคนหนึ่งที่เป็นสมาชิกในกลุ่ม เช่น การใช้ประโยชน์จากไฟ
  • 3:30 - 3:32
    หรือประเภทของเครื่องมือเฉพาะทางนั้น แทนที่จะถูกลืมเลือนไป
  • 3:32 - 3:35
    ก็ได้แผ่กว้างอย่างรวดเร็ว จนการเลียนแบบหรือความรู้นั้นๆทั่วถึงประชากรทั้งหมด
  • 3:35 - 3:38
    หรือส่งผ่านไปยังทายาทรุ่นต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • 3:38 - 3:40
    นี่เอง ที่ทำให้ทฤษฎีวิวัฒนาการ กลายเป็นแบบ Lamarck
  • 3:40 - 3:42
    ไม่ใช่แบบ Darwin
  • 3:42 - 3:45
    ทฤษฎีวิวัฒนาการแบบดาร์วินจะเป็นไปในแบบช้าๆ กินเวลาเป็นแสนๆปี
  • 3:45 - 3:47
    หมีขั้วโลก กว่าจะได้เป็นขนขาวๆ
  • 3:47 - 3:50
    ต้องกินเวลาลูกหลานเป็นพันๆรุ่น บางที ก็อาจถึงแสนปี
  • 3:50 - 3:53
    ในขณะที่ คนเรา เช่น เด็กคนหนึ่ง สามารถจะดูพ่อแม่ตน
  • 3:53 - 3:56
    ฆ่าหมีขั้วโลก
  • 3:56 - 3:59
    และถลกหนังพร้อมขนมาเป็นเครื่องนุ่งห่มขึ้นมา
  • 3:59 - 4:01
    แล้วเด็กก็เรียนรู้ทั้งหมดในขั้นตอนเดียว
  • 4:01 - 4:03
    ขณะที่หมีขั้วโลกของดาร์วิน ใช้เวลาเป็นแสนปีเพื่อเรียนรู้
  • 4:03 - 4:06
    สมองของเจ้าเด็กสามารถทำได้ภายใน 5 หรือ 10 นาทีเท่านั้น
  • 4:06 - 4:08
    และเมื่อมันได้เรียนรู้แล้ว ความรู้นี้ก็จะขยายกว้างออก
  • 4:08 - 4:11
    ไปตามสัดส่วนแบบเรขาคณิต ทั่วทุกพื้นที่
  • 4:11 - 4:14
    นี่เป็นรากฐานสำคัญ การเลียนแบบของทักษะที่ซับซ้อนต่างๆนั้น
  • 4:14 - 4:17
    คือสิ่งที่เราเรียกว่า วัฒนธรรม และ รากฐานของอารยธรรม
  • 4:17 - 4:19
    ทีนี้ ก็มีเซลล์ประสาทกระจกเงาอีกแบบ
  • 4:19 - 4:21
    ซึ่งเกี่ยวข้องกับบางสิ่งที่ต่างออกไป
  • 4:21 - 4:23
    กล่าวคือ ในกลุ่มของเซลล์ประสาทกระจกฯ
  • 4:23 - 4:26
    (เช่น นอกจากเซลล์ประสาทกระจกฯ สำหรับกริยาต่างๆแล้ว) ได้มีเซลล์ประสาทกระจกฯสำหรับการสัมผัส
  • 4:26 - 4:28
    พูดอีกแบบก็คือ หากมีคนมาแตะต้องมือผม
  • 4:28 - 4:30
    เซลล์ประสาทในบริเวณที่เป็นส่วนรับการสัมผัส
  • 4:30 - 4:32
    ในบริเวณประสาทรับความรู้สึกจะทำงานทันที
  • 4:32 - 4:35
    แต่ เซลล์ประสาทเดียวกันนี้ ก็จะทำงานในกรณีอื่นๆบางกรณีเช่นกัน
  • 4:35 - 4:37
    ในเวลาที่ผมแค่เห็นคนอื่นถูกสัมผัส
  • 4:37 - 4:40
    ดังนั้น มันสามารถเข้าใจความรู้สึกของคนอื่นที่ถูกสัมผัสได้
  • 4:40 - 4:42
    และเกือบทั้งกลุ่มเซลล์เหล่านั้น จะทำงานเมื่อผมถูกสัมผัส
  • 4:42 - 4:45
    ในตำแหน่งต่างๆกัน กลุ่มเซลล์ฯแต่ละกลุ่มจะรับผิดชอบแต่ละตำแหน่งที่ถูกสัมผัส
  • 4:45 - 4:47
    แต่เจ้ากลุ่มย่อยจะทำงานเช่นกันเมื่อผมเห็นคนอื่น
  • 4:47 - 4:49
    ถูกสัมผัสในตำแหน่งเดียวกัน
  • 4:49 - 4:51
    และที่นี่เช่นเดียวกัน คุณก็เป็นเจ้าของเซลล์ฯเหล่านั้น
  • 4:51 - 4:53
    ซึ่งได้มีถูกสร้างให้มีความเข้าในในผู้อื่นได้อย่างดี
  • 4:53 - 4:56
    ทีนี้ คำถามก็คือ: หากผมเห็นคนหนึ่งได้รับการสัมผัส
  • 4:56 - 5:00
    ทำไมผมถึงไม่ฉงน และ รู้สึกถึงการสัมผัสนั้นอย่างแท้จริงได้เลย
  • 5:00 - 5:02
    ในการที่ ผมแค่การเห็นผู้อื่นถูกสัมผัส ?
  • 5:02 - 5:06
    กล่าวคือ ผม'เข้าใจ'ความรู้สึกเขา แต่ไม่ได้'รู้สึก'ไปด้วยจริงๆ
  • 5:06 - 5:08
    นั่นก็เพราะว่าเรามีเซลล์รับความรู้สึกซ่อนอยู่ในชั้นผิวหนัง
  • 5:08 - 5:10
    เซลล์รับรู้การสัมผัส และความเจ็บปวด แล้วก็ส่งข้อมูลความรู้สึกนั้นๆไปสู่สมอง
  • 5:10 - 5:13
    และคล้ายๆกับสมองกระซิบบอกเราว่า "ไม่ต้องห่วง คุณไม่ได้ถูกสัมผัสจริงๆหรอก
  • 5:13 - 5:16
    ฉะนั้น แค่จงเข้าใจความรู้สึกทั้งหมดของผู้นั้น
  • 5:16 - 5:18
    แต่ไม่จำเป็นต้องเข้าไปร่วมรู้สึกด้วยนะ
  • 5:18 - 5:20
    ไม่เช่นนั้นแล้ว คุณจะเกิดความสับสนและวุ่นวายใจได้"
  • 5:20 - 5:22
    นั่นบอกถึงว่า มีสัญญาณตอบรับ
  • 5:22 - 5:24
    ซึ่งห้ามสัญญาณจาก'นิวรอนกระจก' (หรือ เซลล์ประสาทกระจกเงา)
  • 5:24 - 5:27
    ซึ่งป้องกันคุณจากความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับผู้นั้นอย่างแท้จริง
  • 5:27 - 5:30
    แต่ถ้าคุณตัดแขนออก คุณจะทำให้แขนผมชาไปเลยอย่างง่ายดาย
  • 5:30 - 5:32
    คล้ายๆกับฉีดยาชาให้แขนผม
  • 5:32 - 5:34
    ทำให้กลุ่มร่างแหประสาทแขนไร้ความรู้สึก แขนจึงชาด้านไป
  • 5:34 - 5:36
    และไม่มีข้อมูลความรู้สึกเข้ามา
  • 5:36 - 5:38
    และหากตอนนี้ผมเห็นคุณถูกสัมผัส
  • 5:38 - 5:40
    ผมก็จะค่อยๆกลับมารู้สึกได้ที่มือของผม
  • 5:40 - 5:42
    พูดอีกอย่างคือ คุณได้ทำลายอุปสรรค
  • 5:42 - 5:44
    ระหว่างคุณและเพื่อนมนุษย์ด้วยกันทุกคน
  • 5:44 - 5:47
    ดังนั้นผมจึงเรียกมันว่า 'เซลล์ประสาทคานธี' หรือ 'เซลล์ประสาทแห่งการเข้าใจผู้อื่น'
  • 5:47 - 5:48
    ((เสียงหัวเราะ))
  • 5:48 - 5:51
    และนี่ไม่ใช่สิ่งที่เป็นอุปมาอุปมัยที่จับต้องไม่ได้
  • 5:51 - 5:53
    สิ่งที่ขวางกั้นระหว่าง 'คุณ' กับ 'เขา'
  • 5:53 - 5:55
    ก็คือ ผิวหนังหรือร่างกาย คุณเองเท่านั้น
  • 5:55 - 5:59
    ลองทำเป็นไม่มีร่างกายขวางกั้นดู คุณจะรับรู้ถึงสัมผัสที่ได้จากคนนั้น ภายในจิตใจคุณเอง
  • 5:59 - 6:02
    คุณ ได้ทำลายกำแพง ที่กั้นระหว่าง 'คุณ' และ 'เพื่อนมนุษย์' ด้วยกันลงในที่สุด
  • 6:02 - 6:04
    และแน่นอนว่า สิ่งนี่เองที่เป็นรากฐานสำคัญของปรัชญาตะวันออก
  • 6:04 - 6:07
    คือ ไม่มีสิ่งได้คงอยู่ได้ด้วยตัวมันเองสิ่งเดียว
  • 6:07 - 6:09
    ที่ปลีกตัวจากเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เพื่อการสำรวจโลก
  • 6:09 - 6:11
    สำรวจผู้อื่น
  • 6:11 - 6:14
    ความจริงแล้ว คุณไม่ได้เชื่อมต่อกันทาง เฟสบุค และ อิเตอร์เนต เท่านั้น
  • 6:14 - 6:17
    คุณยังเชื่อมต่อกันผ่านสายใยนิวรอนของคุณเองกับเพื่อนมนุษย์ด้วย
  • 6:17 - 6:20
    และที่แห่งนี้ก็ มีสายใยของนิวรอนนั้นเชื่อมถึง, สื่อสารกันอยู่ทั่วทั้งห้อง
  • 6:20 - 6:22
    และจิตสำนึกของคุณก็ไม่ได้แยกออกต่างหากจาก
  • 6:22 - 6:24
    จิตสำนึกของผู้อื่นแม้แต่น้อย
  • 6:24 - 6:26
    และมันไม่ใช่ปรัชญาที่ไร้ความหมายแต่อย่างใด
  • 6:26 - 6:29
    มันเกิดมาจากความเข้าใจที่เรามีใน'ประสาทวิทยาศาสตร์' ขั้นพื้นฐาน
  • 6:29 - 6:32
    ทีนี้ คุณมีคนไข้ที่ไร้แขนหรือขา ที่เขายังรู้สึกว่าแขนขาเขายังอยู่ และหากคุณไร้แขน
  • 6:32 - 6:34
    แต่คุณยังรู้สึกได้ว่ามันยังอยู่ เวลาคุณเห็นแขนผู้อื่นถูกจับ
  • 6:34 - 6:36
    คุณจะรู้สึกได้ที่ 'แขนล่องหน' ของคุณเอง
  • 6:36 - 6:38
    แต่สิ่งที่น่าทึ่งไปกว่านั้นคือ
  • 6:38 - 6:41
    หากคุณรู้สึกปวดที่แขนล่องหนของคุณ และคุณใช้มือที่เหลือบีบหรือ
  • 6:41 - 6:43
    นวดมือผู้อื่น
  • 6:43 - 6:45
    นั่นจะช่วยคลายปวดให้กับแขนล่องหนคุณเองไปด้วย
  • 6:45 - 6:47
    ราวกับว่าเจ้านิวรอน (หรือ เซลล์ประสาท)
  • 6:47 - 6:49
    สามารถเอาความผ่อนคลายเข้ามาได้เพียงแต่มัน
  • 6:49 - 6:51
    ได้เห็นผู้อื่นถูกนวด และผ่อนคลายนั่นเอง
  • 6:51 - 6:54
    และนี่คือสไลด์สุดท้ายของผม
  • 6:54 - 6:56
    นานมาแล้ว พวกเราได้แบ่งแยกวิทยาศาสตร์
  • 6:56 - 6:58
    ออกจากมนุษยชาติ ไว้อย่างชัดเจน
  • 6:58 - 7:01
    คุณ C.P. Snow ได้พูดเกี่ยวกับสองสิ่งไว้ว่า:
  • 7:01 - 7:03
    'วิทยาศาสตร์ก็เรื่องหนึ่ง มนุษยชาติก็อีกเรื่องหนึ่ง
  • 7:03 - 7:05
    ไม่สามารถมาร่วมเดินด้วยกันได้'
  • 7:05 - 7:07
    แต่ที่ผมอยากบอกก็คือ ระบบของนิวรอนกระจก นั้นได้เป็นตัวเชื่อมระหว่างสองสิ่ง
  • 7:07 - 7:10
    ซึ่งทำให้คุณต้องมาขบคิดอีกครั้ง เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ เช่น จิตสำนึก,
  • 7:10 - 7:12
    การแสดงออกถึงการคงอยู่ของปัจเจก,
  • 7:12 - 7:14
    สิ่งที่กั้นคุณออกจากเพื่อนมนุษย์คนอื่น,
  • 7:14 - 7:16
    สิ่งที่ทำให้คุณรู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น,
  • 7:16 - 7:19
    ไปจนถึงเรื่องอื่น เช่น การวิวัฒน์มาของวัฒนธรรมและอารยธรรม
  • 7:19 - 7:21
    ที่เป็นเอกลักษณ์ของทั้งมนุษยชาติ ขอบคุณครับ
  • 7:21 - 7:23
    (((เสียงปรบมือ))
Title:
วีเอส รามจันทรัน: เซลล์ประสาทที่สรรค์สร้างอารยธรรม
Speaker:
Vilayanur Ramachandran
Description:

นักระบบประสาทวิทยา วีเอส รามจันทรัน ได้ชี้ให้เห็นถึงการทำงานอันน่าทึ่งของ 'เซลล์ประสาทกระจกเงา' (mirror neurons) และเซลล์ประสาทที่ถูกค้นพบล่าสุดเหล่านี้เองที่ช่วยให้เราได้เรียนรู้พฤติกรรมทางสังคมอันซับซ้อนซึ่งเป็นเหตุให้อารยธรรมมนุษย์พัฒนามาเป็นอย่างทุกวันนี้

more » « less
Video Language:
English
Team:
closed TED
Project:
TEDTalks
Duration:
07:25
Bank Light added a translation

Thai subtitles

Revisions