-
สวัสดีค่า วิวจากแชนเนล Point of View ค่ะ
-
เชื่อว่าหลายๆ คนที่ติดตามข่าวสารบ้านเมืองอะไรต่างๆ
-
น่าจะพอทราบข่าวที่เกาหลีกับญี่ปุ่นเนี่ยตีกันอย่างหนักหน่วงใช่มั้ยคะ
-
ซึ่งวิวก็เป็นหนึ่งในคนที่ได้ยินข่าวนี้นะคะ แล้วก็รู้สึกว่า
-
เฮ้ยจริงๆ ฉันก็พอจะรู้แหละว่าเกาหลีกับญี่ปุ่นเนี่ย ตีกันมาตั้งนานแล้ว
-
แต่ทำไมอยู่ดีๆ เขาถึงตีกันขึ้นมานะคะ
-
แล้วความแค้นเนี่ย มันฝังลึกอะไรขนาดไหน
-
ถึงได้ตีกันขึ้นมารุนแรงขนาดนี้นะคะ
-
ขนาดมีข่าวว่า มีการแบนร้านขายของ มีการทำร้ายร่างกายอะไรต่างๆ กัน
-
ดังนั้นนะคะ วิวก็เลยไปค้นหาข้อมูลมาต่างๆ มากมายค่ะ
-
แล้วก็เรียบเรียงออกมาเป็นทามไลน์นะคะ
-
ความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่นกับเกาหลี
-
ตั้งแต่อดีตเลยนะคะ มาจนถึงปัจจุบันค่ะ
-
ได้ออกมาเป็นคลิปวิดีโอนี้นะคะ
-
ซึ่งถ้าใครอยากไปอ่านเพิ่มเติม อยากอ่านให้ลึกกว่านี้
-
ก็สามารถอ่านได้ด้านล่างค่ะ วิวลงอ้างอิงไว้ให้หมดแล้วนะคะ
-
ที่สำคัญ ใครที่รู้ตัวว่าเชี่ยวชาญเรื่องนี้มากกว่าวิว
-
อยากเพิ่มเติมอะไรให้ก็ คอมเมนต์คุยกันด้านล่างได้เลยค่ะ
-
และก่อนอื่นนะคะ ก่อนจะไปฟังสรุปเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่นกับเกาหลีเนี่ย
-
อย่าลืมกด subscribe ช่อง Point of View แล้วก็ติดตามวิวให้ครบทุกช่องทางนะคะ
-
จะได้ไม่พลาดคลิปวิดีโอสนุกๆ แล้วก็ข่าวสารดีๆ จากช่อง Point of View ค่ะ
-
สำหรับตอนนี้ พร้อมจะไปฟังเรื่องราวที่ทั้งสนุกแล้วก็มีสาระกันหรือยังคะ
-
ถ้าพร้อมกันแล้วก็ ไปฟังกันเลยค่ะ!
-
ถ้าจะพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่นกับเกาหลีเนี่ยนะคะ
-
ต้องบอกว่ามีความสัมพันธ์อันยาวนานมาตั้งแต่สมัยอดีตกาลค่ะ
-
แน่นอนว่าพรมแดนของสองประเทศนี้
-
แม้ว่าญี่ปุ่นจะเป็นเกาะ แต่แผ่นดินที่ใกล้ญี่ปุ่นที่สุดนะคะ
-
ก็คือแผ่นดินเกาหลีนั่นเองค่ะ
-
ทั้งสองประเทศนี้นะคะ ผูกพันกันลึกซึ้งมาตั้งแต่สมัยอดีตค่ะ
-
เพราะว่าเป็นสองประเทศที่รับวัฒนธรรมจีนด้วยกันทั้งคู่นะคะ
-
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกาหลีเนี่ย ถือว่าเป็นรัฐกันชนระหว่างญี่ปุ่นกับจีนเลยทีเดียว
-
เรียกได้ว่ากันไว้ไม่ให้สองประเทศนี้ตีกัน ว่าอย่างนั้นเถอะค่ะ
-
ดังนั้นนะคะ สองประเทศนี้รับอารยธรรมจากจีนเหมือนๆ กัน
-
รับมาก็มาพัฒนาแบบของตัวเองเหมือนกัน
-
เช่นรับตัวอักษรจากจีนมา มาพัฒนาเป็นอักษรเกาหลี
-
รับตัวอักษรจากจีนมา มาพัฒนาเป็นอักษรญี่ปุ่น
-
ดังนั้นค่ะ แน่นอนว่าความขัดแย้งแรกระหว่างสองประเทศนี้ก็จะคล้ายๆ กับกรณีของไทยกับเขมรนั่นเอง
-
คือมีวัฒนธรรมร่วมกันนะคะ และดันเป็นชาติที่ชาตินิยมสูงทั้งคู่
-
ดังนั้นค่ะ ในปัจจุบันก็เลยมีการถกเถียงกันค่อนข้างมากอะนะ
-
ประมาณว่า เฮ้ยอันนี้ของฉัน ฉันเป็นคนผลิตขึ้นมาคนแรก
-
เช่น กิมจิ กิมจินี่เกาหลีก็บอกว่าฉันเป็นคนคิดค้น
-
เธอรับอิทธิพลจากฉันไป
-
ส่วนญี่ปุ่นก็บอกว่า ไม่ใช่ กิมจิเนี่ย ซึ่งเรียกว่าอะไรสักอย่างในภาษาญี่ปุ่น
-
หนูไม่ทราบนะคะ ถ้าใครรู้ก็คอมเมนต์บอกมาหน่อย
-
เนี่ยเป็นของที่ชาวญี่ปุ่นคิดค้นขึ้นมาแล้วเกาหลีเนี่ยรับอิทธิพลไปต่างหาก
-
ประมาณนั้นค่ะ ก็ตีกันไปตีกันมา เรียกได้ว่าโวยวายแย่งของกันอยู่แล้ว
-
ว่าอย่างนั้นเถอะค่ะ แต่ สองประเทศนี้ไม่ได้ตีกันแค่เรื่องอารยธรรมค่ะ
-
ว่าอะไรของใครเท่านั้น สองประเทศนี้ยังมีความสัมพันธ์ที
-
เขาเรียกได้ว่า ยาวนานกว่านั้นนะคะ
-
เดี๋ยวเราไปไล่กันดูตั้งแต่อดีตดีกว่าค่ะ
-
แน่นอนนะคะ ความสัมพันธ์แบบประเทศเพื่อนบ้านในสมัยโบราณ
-
ไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบเพื่อนบ้านถ้อยทีถ้อยอาศัยแน่นอน
-
ไม่ใช่แบบ เธอฉันทำกับข้าวอยู่ ไม่มีน้ำปลาขอยืมหน่อย
-
อะฉันทำแกงอันนี้เสร็จแล้ว ยกไปให้
-
ประเทศเพื่อนบ้านสมัยก่อนหมายความว่า มันจะต้องมีการแย่งดินแดนกันใช่มั้ยคะ
-
เพราะว่าสมัยก่อนเนี่ย มันก็มีการรบพุ่งแย่งดินแดนกันเป็นเรื่องปกติค่ะ
-
ดังนั้นเกาหลีกับญี่ปุ่นเนี่ยนะคะ ตีกันเรื่องการแย่งดินแดนกันมาตลอดค่ะ
-
ถ้าใครจำคลิปที่วิวเคยเล่าประวัติศาสตร์เกาหลีได้นะคะ จะรู้ว่า
-
เกาหลีเนี่ย มีช่วงที่เป็นเอกราชสลับกับช่วงที่เป็นเมืองขึ้นเป็นระยะๆ ใช่มั้ยคะ
-
โดยเกาหลีเนี่ยจะโดนจีนยึดค่ะ ก็คือตั้งแต่สมัย
-
ราชวงศ์ฮั่นที่เข้ามารุกรานเกาหลี
-
อะ แล้วเดี๋ยวเกาหลีก็กลับมาเป็นเอกราชใหม่
-
หลังจากนั้นพอช่วงไหนที่จีนอ่อนแอ เกาหลีก็กลับมามีเอกราช
-
สลับไปสลับมานะคะ
-
โดยเฉพาะช่วงของยุคราชวงศ์หยวนกับราชวงศ์หมิงนะคะ
-
ช่วงนี้เป็นช่วงที่จีนมีอิทธิพลเหนือเกาหลีอย่างมากมายนะคะ
-
แต่อย่างไรก็ตามค่ะ แม้ว่าเกาหลีจะเป็นของจีนก็ตาม
-
เกาหลีก็อยู่ค่อนข้างตะเข็บชายแดนจีนมากๆ
-
ดังนั้นบางที ช่วงไหนที่จักรพรรดิจีนอ่อนแอเนี่ย
-
จักรพรรดิจีนก็ไม่สามารถดูแลเกาหลีได้ถึง
-
ช่วงนั้นถ้าบังเอิญว่าญี่ปุ่นกำลังแข็งแกร่ง ญี่ปุ่นก็จะไปยึดเกาหลีเอาบ้างอะไรบ้างค่ะ
-
ยกตัวอย่างเช่น ในสมัยราชวงศ์โชซ็อนของเกาหลี
-
ซึ่งตรงกับช่วงราชวงศ์หมิงของจีนนั่นเองนะคะ
-
ตอนนั้นเนี่ยญี่ปุ่นมีคนขึ้นมาปกครองคนนึงค่ะ
-
ชื่อว่า โทโยโทมิ ฮิเดะโยชิ จำชื่อคนนี้ไว้ดีๆ นะคะ
-
สำคัญมากกับประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น ถ้ามีการเล่าในอนาคต บุคคลนี้จะสำคัญมาก
-
เพราะว่าเขาเนี่ย เป็นผู้ที่สามารถรวบรวมชาวญี่ปุ่น
-
ที่แตกออกเป็นก๊ก แตกออกเป็นเหล่าเนี่ย
-
มาเป็นปึกแผ่นได้ในที่สุดค่ะ
-
ดังนั้น ช่วงนั้นญี่ปุ่นเนี่ย ถือว่าทรงพลังมาก
-
เป็นปึกแผ่นกันสุดๆ ทำให้โทโยโทมิ ฮิเดะโยชิเนี่ยนะคะ
-
มีความคิดขึ้นมาว่าเฮ้ยไหนๆ ประเทศฉันก็เป็นปึกแผ่นแล้ว
-
และฉันก็แข็งกล้าขนาดนั้น ฉันแผ่อำนาจเข้าไปในคาบสมุทรเกาหลีดีกว่าค่ะ
-
ดังนั้นนะคะ โทโยโทมิ ฮิเดะโยชิก็เลยส่งทหารเข้าไป
-
บุกคาบสมุทรเกาหลีค่ะ ส่งไปเป็นแสนเลยนะ
-
รอบแรกเนี่ย ส่งไปประมาณปีค.ศ. 1592 นะคะ
-
ส่งไปประมาณ 150,000 คน แล้วก็มีการส่งไปอีกระลอกนึงนะคะ
-
ช่วงปี 1596 แต่ทั้งสองรอบเนี่ยก็ไม่สำเร็จนะคะ
-
ที่สำคัญนะคะ ตรงนี้แอบกระซิบเกร็ดประวัติศาสตร์นิดนึงว่า
-
แน่นอนว่าไปบุกเกาหลีเนี่ย จีนก็ต้องลงมาช่วยใช่มั้ยคะ
-
เพราะว่าตอนนั้นเกาหลียังเป็นของจีนอยู่
-
ตอนนี้มีชาวสยามของเราเข้าไปเกี่ยวด้วยนะคะ
-
คือในบันทึกของราชวงศ์จีนเนี่ย มีการบันทึกว่า
-
ตอนนั้นเนี่ย ราชทูตของสยามซึ่งบังเอิญไปอยู่ในประเทศจีนตอนนั้นพอดีเนี่ยนะ
-
ก็มีการเสนอด้วยประมาณว่า ฮัลโหล ตอนนี้การทหารของสยามเนี่ยแข็งแกร่งมาก
-
ให้จีนยืมทหารเนี่ย เอาไปรบกับญี่ปุ่น เอามั้ย
-
นะคะ ซึ่งตอนนั้นเนี่ย ตรงกับยุคสมัยของ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชของสยามนั่นเองค่ะ
-
เรื่องนี้ก็จะมีข้อมูลของมันอีกมากมายนะคะ ประมาณว่าพระนเรศวรฯ รู้เรื่องหรือไม่รู้เรื่อง
-
แต่ว่าอย่างไรก็ตาม ไม่เกี่ยวกับเรื่องของเราค่ะ ดังนั้นข้ามไปนะคะ
-
ซึ่งในรอบนั้นเนี่ย ต่อให้ไม่สามารถยึดเกาหลีไปได้แบบเบ็ดเสร็จนะคะ
-
แต่ถามว่าญี่ปุ่นบุกเข้าไปเกาหลีโหดขนาดไหน
-
ก็บุกโหดขนาดบุกเข้าไปถึงเปียงยางเลยนะคะ
-
แล้วก็มีการจับเชื้อพระวงศ์เกาหลีอะไรต่างๆ เป็นตัวประกันมากมายก
-
จนกระทั่งเกาหลีเนี่ย จะต้องร้องขอความช่วยเหลือไปที่จีน ให้จีนส่งคนมาช่วยค่ะ
-
ดังนั้น นี่ก็เป็นจุดนึงที่เป็นบาดแผลของคนเกาหลีนะคะ ที่ญี่ปุ่นทำเอาไว้ค่ะ
-
ก็วุ่นวายกันมาตั้งแต่สมัยโบราณนะคะ ตามสไตล์เพื่อนบ้านกันแหละ
-
แต่ว่ามันก็เป็นเรื่องปกติ ไม่ได้เกลียดกันอะไรขนาดนั้นนะคะ
-
จนกระทั่งมาช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ค่ะ
-
สองประเทศนี้ถึงเริ่มเกลียดกันแบบจริงจังนะคะ
-
เพราะว่า ช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 จำกันได้ใช่มั้ยคะว่าจักรวรรดิญี่ปุ่นเนี่ย
-
แผ่กระจายอำนาจไปทั่วเอเชียเลยค่ะ
-
และแน่นอนว่าคาบสมุทรเกาหลี ในฐานะที่อยู่ติดกับญี่ปุ่นที่สุด ก็ไม่รอดค่ะ
-
เคยได้ยินชื่อ Sino-Japanese War กันมั้ยคะ
-
สงครามระหว่างจีนสมัยราชวงศ์ชิงตอนปลายกับญี่ปุ่นนะคะ
-
ซึ่งสองชาตินี้แย่งอะไรกันคะ แย่งคาบสมุทรเกาหลีนั่นเองค่ะ
-
และสงครามนี้นะคะ เป็นที่มาของการล่มสลายราชวงศ์ชิงเลยทีเดียวนะคะ
-
เรื่องราวทั้งหมดนี้นะคะ เริ่มต้นขึ้นเมื่อญี่ปุ่นโดนชาติตะวันตกบีบบังคับให้เปิดประเทศออกค้าขายค่ะ
-
หลังจากที่ปิดประเทศมานานนะคะ
-
ประกอบกับจักรพรรดิเมจิเนี่ย เพิ่งขึ้นครองราชย์ค่ะ
-
มีการปฏิรูป ปรับปรุงประเทศญี่ปุ่นให้ทันสมัยขึ้น ใช่มั้ยคะ
-
ตอนนั้นเนี่ยนะคะ ญี่ปุ่นรู้สึกว่า เฮ้ย ฉันโดนตะวันตกบีบคั้นไม่ได้ ฉันต้องปกป้องตัวเองแล้ว
-
เพราะว่านอกจากตะวันตกจะมาบีบคั้นฉันแล้วเนี่ย
-
ตะวันตกก็ดูมีอำนาจเหนือประเทศนั้นประเทศนี้ในโลกไปหมดเลย
-
ดูเป็นช่วงล่าอาณานิคมเต็มที่ค่ะ
-
ทีนี้ หันไปดูรอบๆ ตัว ถามว่า ตรงไหนเป็นจุดอ่อนของตัวเองบ้าง
-
ตัวเองอยู่เป็นเกาะใช่มั้ย ใกล้กับเกาะของเราที่สุดก็คือเกาหลี
-
ซึ่งเกาหลีเป็นของจีน อะ ดูเหมือนจะปลอดภัย แต่! ไม่ปลอดภัยค่ะ
-
เพราะว่าจีนตอนนั้นเนี่ย ไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนปกตินะคะ
-
จีนตอนนั้น เพิ่งจะแพ้สงครามกับชาติตะวันตกมารัวๆ เลยค่ะ
-
เรียกได้ว่า ราชวงศ์ชิงตอนนั้น อ่อนแอระส่ำระส่ายมากๆ นะคะ
-
ดังนั้น มีโอกาสสูงมากที่จีนจะโดนชาติตะวันตกยึด
-
และถ้าจีนโดนยึด จีนไม่รอด
-
แล้วถ้าเกาหลีไม่รอด เกาหลีเป็นจุดยุทธศาสตร์ของญี่ปุ่นค่ะ
-
ญี่ปุ่นอาจจะโดนตามไปด้วย
-
ดังนั้นญี่ปุ่นนะคะ ก็เลยเห็นว่า โอเคในเมื่อถ้าเกาหลีอยู่กับจีนแล้วไม่รอด
-
เอาเกาหลีมาไว้กับตัวเองดีกว่าค่ะ
-
ญี่ปุ่นก็เลยตัดสินใจว่า ฉันจะต้องยึดเกาหลี นะคะ
-
เท่านั้นยังไม่พอค่ะ ความสำคัญอีกอย่างนึงของเกาหลีนะคะ
-
คือเกาหลีเนี่ยเป็นแหล่งแร่เหล็กแล้วก็ถ่านหินค่ะ
-
ซึ่งถามว่าแร่สองชนิดนี้มีประโยชน์อะไรคะ
-
เหมาะมากๆ กับญี่ปุ่นเลยค่ะ ในช่วงที่กำลังอุตสาหกรรมเติบโตนะคะ
-
มีเหล็กกับถ่านหินเข้าไป รับรองว่าพรวดๆๆ เลยค่ะ
-
ดังนั้นนะคะ ญี่ปุ่นก็เลยพยายามเข้าไปแทรกแซงเกาหลีอะไรต่างๆ ค่ะ
-
จนกระทั่งในที่สุดนะคะ ในปี 1876 ค่ะ
-
ญี่ปุ่นก็สามารถบังคับให้เกาหลีเซ็นสนธิสัญญาฉบับนึงได้สำเร็จค่ะ
-
นั่นก็คือสนธิสัญญากังฮวานั่นเองค่ะ
-
ซึ่งสนธิสัญญาฉบับนี้นะคะ มีเนื้อหาประมาณว่า ให้เกาหลีสามารถค้าขายกับชาติอื่นได้อย่างอิสระแล้ว
-
พอเซ็นลงไปปุ๊ป แปลว่าเป็นสัญญาณแล้วค่ะว่าเกาหลีไม่ได้อยู่ใต้อำนาจจีนอีกต่อไปนะคะ
-
หลังจากนั้นค่ะ ทุกอย่างแถวนั้นก็ตึงเครียดกันไปหมด
-
เพราะว่าคนในเกาหลี ซึ่งเพิ่งได้เอกราชเนี่ยนะคะ
-
มีทั้งฝ่ายที่นิยมญี่ปุ่น แล้วก็ฝ่ายที่นิยมจีน
-
ประมาณว่า เฮ้ย ฝั่งนี้รู้สึกว่าอยู่กับญี่ปุ่นแล้วจะรุ่งโรจน์
-
เฮ้ย ฝั่งนี้บอกว่าอยู่กับจีนแล้วจะรุ่งโรจน์ นะคะ
-
จนกระทั่งในปี 1884 นะคะ ก็มีคนกลุ่มนึงลุกฮือขึ้นมาในเกาหลีค่ะ
-
คือเป็นกลุ่มคนที่นิยมญี่ปุ่นนะคะ บอกว่า เฮ้ยประเทศเกาหลีควรจะไปเข้ากับญี่ปุ่นจ้า
-
ดังนั้นกลุ่มคนกลุ่มนี้นะคะ ก็เลยลุกขึ้นมาปฏิวัติค่ะ
-
แต่ว่าไม่สำเร็จนะคะ เพราะว่ารัฐบาลตอนนั้นเนี่ย
-
ดันเป็นรัฐบาลที่อนุรักษนิยม เข้ากับจีน เพราะว่าจีนปกครองมาก่อนไง
-
ทางการเกาหลีเนี่ยนะคะ ก็มีการขอความช่วยเหลือไปยังจีนค่ะ
-
รัฐบาลจีนตอนนั้น ก็ส่งคนเข้ามาปราบปรามกลุ่มกบฏอย่างรุนแรงเลยค่ะ
-
เรียกได้ว่ากระจุยกระจายเลยนะคะ
-
ส่งผลให้กลุ่มคนที่พยายามปฏิวัติเนี่ย ก็ต้องล่าถอยออกไปจากประเทศค่ะ
-
และที่สำคัญ ในตอนนั้นสถานทูตญี่ปุ่นในเกาหลีนี่โดนเผาไปด้วยนะ
-
ก็เป็นบาดแผลอีกบาดแผลหนึ่งค่ะ
-
ก็เรียกได้ว่า ตอนนั้นเนี่ยนะคะ จีนกับญี่ปุ่นก็เขม่นๆ กันเต็มที่เลยนะคะ
-
สุดท้าย หลังจากทะเลาะกันเรื่องเกาหลีมาสักพักนึงนะคะ
-
จีนกับญี่ปุ่นก็ตกลงกันได้ค่ะ ประมาณว่า เออ เรามาตกลง พอกันเถอะ
-
หยุดแล้ว ไม่รบไม่อะไรกันแล้ว
-
แต่ว่าก็ต้องมีข้อตกลงกันต่างๆ นะคะ
-
ประมาณว่าเราจะถอนทหารพร้อมกัน ไม่มีอิทธิพลเหนือเกาหลี อะไรต่างๆ
-
แต่! แม้ว่าจะมีข้อตกลงนี้ขึ้นมาแล้วก็ตาม
-
ญี่ปุ่นก็ยังรู้สึกว่า เฮ้ย ไม่อะ จีนมันไม่ได้ทำแบบที่พูดหรอก จีนยังมีอิทธิพลเหนือเกาหลีอยู่
-
ฉันก็ไม่ยอมเหมือนกัน!
-
ดังนั้นนะคะ ญี่ปุ่นก็เลยทิ้งทหารตัวเองไว้ในเกาหลีอยู่
-
แล้วก็ยึดจุดยุทธศาสตร์บางส่วนของเกาหลีไว้เป็นของตัวเองด้วยเช่นเดียวกันค่ะ
-
หลายปีผ่านไปนะคะ ในช่วงปี 1904-1905 เนี่ย
-
ช่วงนั้นญี่ปุ่นเนี่ยนะคะ พัฒนาอำนาจของตัวเองขึ้นมาอย่างก้าวกระโดดค่ะ
-
แล้วก็ไปรบอีกสงครามนึง ก็คือสงครามระหว่างญี่ปุ่นกับรัสเซียนั่นเอง
-
ที่สำคัญ รอบนี้ญี่ปุ่นชนะนะคะ
-
พอชนะ ญี่ปุ่นก็ผงาดขึ้นมาเต็มที่ในฐานะจักรวรรดิญี่ปุ่นค่ะ
-
ตอนนั้นเนี่ย ก็แผ่ขยายอำนาจไปทั่วเอเชียเลยใช่มั้ย
-
และแน่นอนค่ะว่าเกาหลีก็เป็นหนึ่งในประเทศที่โดนญี่ปุ่นยึดเป็นอาณานิคมนะคะ
-
ในปี 1910 นั่นเอง
-
ซึ่งก็ไม่ได้แปลว่าชาวเกาหลีจะแฮปปี้ใช่ปะที่โดนยึดเป็นอาณานิคม
-
มันก็จะมีคนต่อต้านมาเป็นระยะๆ นะคะ
-
อย่างเช่นก็มีเหตุการณ์นึงนะคะ ที่นักต่อสู้เพื่ออิสรภาพชาวเกาหลีเนี่ย
-
ไปที่ Harbin ค่ะ ตอนนั้นนายกรัฐมนตรีของจักรวรรดิญี่ปุ่นคนแรกเนี่ยนะคะ เดินทางไปเยือนที่นั่นพอดี
-
คนเกาหลีคนนี้ก็ไปถึง แล้วก็จัดการยิงนายกรัฐมนตรีคนนี้ตายไปเลยค่ะ
-
ประมาณนั้น มันก็มีเหตุการณ์ที่เป็นข้อบาดหมางอย่างนี้มาโดยตลอดนะคะ
-
และแน่นอนค่ะ ระหว่างที่เกาหลีตกเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่นเนี่ยนะคะ
-
ก็ตามสไตล์ ญี่ปุ่นก็จะต้องใช้ทรัพยากรต่างๆ ของเกาหลีให้คุ้มที่สุดค่ะ
-
เช่นญี่ปุ่นเนี่ยพยายามปรับปรุงประเทศเกาหลีให้ทันสมัย
-
ฟังดูเหมือนดีใช่มั้ย แต่เปล่าเลยค่ะ
-
คนที่ได้ประโยชน์จากการปรับปรุงประเทศเนี่ย คือชาวญี่ปุ่นล้วนๆ นะคะ
-
เรียกว่ามาใช้ทรัพยากร ว่าอย่างนั้นเถอะ
-
เกาหลีแทบไม่ได้อะไรเลย แล้วก็จะมีมาตรการชาตินิยมต่างๆ ออกมานะคะ
-
เช่น ห้ามคนเกาหลีพูดภาษาเกาหลี ให้ใช้ภาษาญี่ปุ่น อะไรประมาณนี้
-
ก็เจ็บช้ำน้ำใจชาวเกาหลีไปค่ะ
-
จนกระทั่งในปี 1919 นะคะ ก็มีขบวนการในเกาหลี ชื่อว่ากระบวนการ 1 มีนาคมค่ะ
-
พยายามจะเรียกร้องอิสรภาพของเกาหลีนะ แต่ว่าก็ไม่สำเร็จนะคะ
-
โดนญี่ปุ่นปราบปราบอะไรไป
-
จนกระทั่งคนกลุ่มนี้จะต้องออกไปตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นที่จีนนะคะ
-
แต่ว่าสุดท้าย กลุ่มคนกลุ่มนี้แตกกระจายกันไปด้วยอุดมการณ์ที่แตกต่างกันค่ะ
-
ฝั่งนึงเข้ากับคอมมิวนิสต์ อีกฝั่งนึงก็เออฉันไม่เอาคอมมิวนิสต์ ประมาณนั้น
-
สุดท้ายเรียกร้องอิสรภาพไม่สำเร็จนะคะ เกาหลีก็เลยยังเป็นเมืองขึ้นของญี่ปุ่นต่อไปค่ะ
-
ซึ่งระหว่างนั้นเนี่ยนะคะ ชาวญี่ปุ่นก็ยังทรมานชาวเกาหลีต่างๆ นานา
-
เรียกได้ว่าทำให้เจ็บช้ำน้ำใจหนักมากนะคะ
-
เพราะว่ามีผู้ชายจากเกาหลีเนี่ย โดนเกณฑ์ไปเป็นแรงงานที่ญี่ปุ่นเยอะมากนะคะ
-
เรียกได้ว่าเป็นแสนๆ คนเลยค่ะ
-
ก็โดนเกณฑ์ไปใช้แรงงานในโรงงานของญี่ปุ่นนะคะ เป็นแรงงานทาส ว่าอย่างนั้นเถอะ
-
ผลิตนั่นผลิตนี่ค่ะ แล้วก็ยังมีชายชาวเกาหลีเยอะมากนะคะ
-
โดนเกณฑ์ไปเป็นทหารให้ญี่ปุ่นเอาไปรบในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
-
ก็ไปเข้าร่วมกับฝ่ายอักษรทั้งๆ ที่ตัวเองไม่เต็มใจเลย
-
แล้วก็ตายกันไปเยอะแยะมากมายนะคะ
-
แล้วเรื่องที่เจ็บช้ำน้ำใจที่สุด แล้วก็พูดขึ้นมาทีไรสมัยนี้
-
คนก็จะออกมาดิ้นกันมากมายเลย ก็คือ
-
comfort women นั่นเอง
-
comfort women เนี่ยนะคะ ก็คือผู้หญิงที่มีไว้ให้ทหารญี่ปุ่นใช้บำบัดความใคร่ระหว่างสงครามนั่นเองค่ะ
-
ซึ่งก็ไม่ใช่แค่ชาวเกาหลีอย่างเดียวหรอก
-
ก็มีทั้งชาวไต้หวัน ชาวจีน ชาวญี่ปุ่น ก็ปนกันไปหมดเนี่ยล่ะค่ะ
-
ผู้หญิงพวกนี้บางคนก็โดนหลอกมา บางคนก็โดนฉุดมาดื้อๆ เลย ว่าอย่างนั้นเถอะ
-
ผู้หญิงพวกนี้นะคะ ก็จะโดนส่งไปตามค่ายทหารต่างๆ ค่ะ
-
ให้บำบัดความใคร่ของชาวญี่ปุ่นนะคะ
-
ก็เอาเป็นว่า เป็นเรื่องที่ร้ายแรงมากๆ แล้วก็น่าจะเป็นบาดแผลในใจของคนที่โดนหนักมากๆ นะคะ
-
อย่าง comfort woman คนนึงในเกาหลีเนี่ยนะคะ
-
เขาก็ออกมาให้สัมภาษณ์นะว่าแบบ
-
เฮ้ยตอนสมัยนั้นน่ะ ฉันอายุ 15 โดนฉุดไปนะคะ
-
แล้วก็เขาต้องรับแขกที่เป็นทหารญี่ปุ่นวันนึงแบบ 50 คนเลยทีเดียวนะ
-
แล้วก็รับแขกแบบนั้นซ้ำๆ อยู่ประมาณ 3 ปีเลยทีเดียว กว่าจะหลุดออกมาได้
-
ที่สำคัญนะ มันมีบันทึกในประเทศไทย
-
ใช่ comfort women นี่มาถึงประเทศไทยด้วยนะคะ
-
เพราะว่าก็มีทหารญี่ปุ่นที่เข้ามาในไทยเหมือนกันใช่ปะ
-
มันมีบันทึกถึงขนาดที่บอกว่า
-
ทหารญี่ปุ่นเนี่ย ทำเรื่องนี้กันเป็นระบบถึงขนาดที่ว่า เออพอตั้งค่ายทหารปุ๊บ
-
ก็ต้องมีบ้านหลังนึงเอาไว้สำหรับ comfort women โดยเฉพาะ
-
แล้วก็มีการเอาหมอมาคอยตรวจอะไรต่างๆ ชาวญี่ปุ่นเท่านั้นที่จะเข้าไปใช้บริการได้
-
คนประเทศอื่นเข้าไปไม่ได้ เพราะว่ากลัวโรคติดต่ออย่างซิฟิลิสนะคะ
-
ก็จะมีหมอคอยตรวจตลอดเพื่อให้ปลอดภัยที่สุดค่ะ
-
ก็เป็นระบบอะ ก็ยิ่งน่าเศร้ากว่าเดิมอีกนะ แปลว่าได้รับการอนุมัติจากทางการค่ะ
-
ว่ากันว่า มีผู้หญิงชาวเกาหลีเนี่ยนะคะ โดนจับไปเป็น comfort women ให้ทหารญี่ปุ่นเนี่ย
-
ประมาณแสนกว่าคนเลยทีเดียว
-
ก็เยอะมากๆ นะ แล้วก็หลายคนก็ยังมีชีวิตอยู่จนถึงปัจจุบันนี้นะคะ
-
เกาหลีเนี่ย เป็นเมืองขึ้นของญี่ปุ่นอยู่ทั้งหมด 35 ปีเต็มๆ ค่ะ
-
จนกระทั่งญี่ปุ่นแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 1945
-
เกาหลีถึงโดนปลดปล่อยให้เป็นอิสระนะคะ
-
ซึ่งก็อย่างที่เคยเล่าไปแล้วในคลิปก่อนๆ นะคะ ว่าเกาหลีก็โดนแบ่งออกเป็นเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ค่ะ
-
ดังนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่นกับเกาหลีที่จะเล่าต่อจากนี้
-
ก็เป็นญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้แล้วนะคะ ไม่ใช่เกาหลีทั้งหมดเนาะ
-
แม้ว่าจะได้รับเอกราชแล้วนะคะ
-
แต่ว่าแน่นอนโดนไปขนาดนี้ เกาหลีจะต้องไม่แฮปปี้กับญี่ปุ่นมากๆ ค่ะ
-
ดังนั้น ก็เลยไม่ยอมสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตใดๆ กับญี่ปุ่นเลยแม้แต่น้อย
-
เรียกได้ว่า ทำให้บรรยากาศของเอเชียตะวันออกในยุคนั้นน่ะ อึมครึมมากๆ
-
ก็เหมือนเวลาเรานั่งติดกับเพื่อนในห้องเรียนแล้วไม่คุยกันน่ะ อึมครึมมั้ย ก็บรรยากาศเดียวกันนะคะ
-
แต่สุดท้าย ทั้งสองประเทศนี่ก็เหมือนจะคิดได้นะคะว่าทะเลาะกันไปก็พังทั้งคู่นั่นแหละ
-
เพราะว่า เกาหลีเนี่ยต้องการเงินทุนจากญี่ปุ่นมาพัฒนาประเทศนะคะ
-
รวมถึงต้องการซื้อของดีราคาถูกจากญี่ปุ่นด้วยค่ะ
-
ในขณะที่ญี่ปุ่นเนี่ย ก็ต้องการขายของให้เกาหลี
-
เพราะว่า อะ ฉันก็ต้องการตลาดที่จะซื้อของฉันเหมือนกันค่ะ
-
ดังนั้น ในที่สุดนะคะ ในปี 1965 ญี่ปุ่นกับเกาหลีก็เลย
-
ตกลงเซ็นสนธิสัญญายุติความขัดแย้งและลดความบาดหมางกันค่ะ
-
จากเหตุการณ์นี้นะคะ ญี่ปุ่นก็ไม่ได้แค่เซ็นสนธิสัญญาอย่างเดียวนะ
-
แต่ว่า มอบเงินเยียวยาให้กับเกาหลีด้วยนะคะ
-
เนื้อหาในสนธิสัญญานี้นะคะ
-
ญี่ปุ่นก็ต้องมอบเงินช่วยเหลือให้เกาหลีถึง 800 ล้านดอลลาร์สหรัฐค่ะ
-
ก็มีทั้งให้ แล้วก็ให้ยืมปนๆ กันนะคะ
-
เพื่อช่วยเหลือด้านเศรษฐกิจนั่นเอง
-
นึกสภาพสมัยปี 1965
-
ยุคนั้นนี่ ก๋วยเตี๋ยวน่าจะชามละไม่ถึงบาทป้ะ
-
เยอะมากนะ เรียกได้ว่าญี่ปุ่นนี่ให้เงินไปเยอะมากๆๆ
-
เพราะว่าต้องการให้ความขัดแย้งและความบาดหมางสิ้นสุดลงค่ะ
-
ประกอบกับว่า ช่วงหลังจากนั้นเป็นสงครามเย็นใช่มั้ยคะ
-
ทั้งสองประเทศเนี่ยอยู่ฝ่ายสหรัฐอเมริกาเหมือนกันใช่ปะ
-
ไม่เอาคอมมิวนิสต์ทั้งคู่
-
ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็เลยค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับค่ะ
-
ถึงแม้ว่าหลังสงครามเย็นเลิกแล้วเนี่ย เกาหลีจะเริ่มหันไปสร้างความสัมพันธ์กับจีน กับรัสเซีย ซึ่งไม่ใช่สหภาพโซเวียตแล้ว
-
แต่ว่าเกาหลีกับญี่ปุ่นก็ยังค่อนข้างจะเป็นพันธมิตรกันอยู่
-
เพราะว่าก็จับมือกันต่อต้านเกาหลีเหนือรัวๆ
-
เพราะว่าเกาหลีเหนือนี่ก็ ทดลองนิวเคลียร์ใกล้สองประเทศนี้ไง
-
ใช่มะ จนเรื่องทั้งหมดเนี่ยดำเนินมาถึงปี 2005 นะคะ
-
ทั้งสองประเทศนี้เป็นคู่ค้าที่แบบ คู่หูดูโอ้เลยอะ
-
เพราะว่าตัวเลขการนำเข้าส่งออกของสองประเทศนี้ถือว่าเป็นอันดับต้นๆ ของกันและกันเลยทีเดียวค่ะ
-
อย่างไรก็ดีนะคะ ถึงผลประโยชน์จะลงตัว นักธุรกิจแฮปปี้
-
แต่ประชาชนทั่วไปเขาไม่ได้แฮปปี้ด้วยไง
-
คือเขายังรู้สึกเจ็บกับบาดแผลที่โดนอยู่นะคะ
-
ดังนั้น เกาหลีกับญี่ปุ่นก็เลยมีข้อพิพาทกันมาเรื่อยๆ
-
ตรงนั้นบ้างตรงนี้บ้างค่ะ
-
แถมทั้งสองประเทศนี้นะคะ ก็ยังมีปัญหาเรื่องพรมแดนกันอยู่เหมือนเดิมเลยค่ะ
-
คือเรื่องพรมแดนบริเวณหมู่เกาะลิอันคอร์ทนั่นเองนะคะ
-
คือหมู่เกาะนี้เป็นหมู่เกาะที่อยู่ห่างจากเกาะฮอนชู ที่เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น ประมาณ 211 กิโลเมตร ค่ะ
-
แต่ว่าอยู่ห่างจากเกาหลีเนี่ย 216.8 กิโลเมตร
-
เอาจริงๆ ห่างกันประมาณ 5.8 กิโล ไม่เยอะเลยนะ
-
แล้วก็ถ้าวัดผิดนิดเดียวนี่ก็ อาจจะไปใกล้ประเทศไหนประเทศนึงมากกว่า
-
แผนที่ตรงกันหรือเปล่า อะไรอย่างนี้ค่ะ
-
ดังนั้น สองประเทศก็อ้างสิทธิ์เหนือหมู่เกาะนี้ทั้งคู่เลย ประมาณว่า
-
หมู่เกาะนี้ของฉันจ้า ไม่ใช่ของเธอ
-
แล้วก็จัดการตั้งชื่อเกาะของตัวเองเรียบร้อยนะคะ
-
ฝั่งญี่ปุ่นเนี่ยก็เรียกหมู่เกาะนี้ว่าหมู่เกาะทาเคชิม่านะคะ
-
ฝั่งเกาหลีนี่ก็เรียกหมู่เกาะนี้ว่าหมู่เกาะดกโดนั่นเองค่ะ
-
ก็ตั้งชื่อของตัวเองเรียบร้อย อันนี้ของฉัน ดังนั้นก็ไม่แปลกที่จะตีกันเป็นระยะๆ นะคะ
-
แถมที่สำคัญเนี่ย เวลาที่มีใครสักคนนึงพูดเรื่องเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 2 ขึ้นมานะคะ
-
ก็จะหันกลับมาตีกันเป็นระยะๆ ค่ะ
-
อย่างเช่นมีศาลเจ้านึงนะคะ ชื่อว่าศาลเจ้ายาซุคุนิค่ะ
-
เป็นศาลเจ้าที่รวมพวกป้ายสถิตวิญญาณอะไรต่างๆ ของอาชญากรระดับต้นของสงครามโลกครั้งที่ 2 เลยนะ
-
รวมทหาร รวมอะไรไว้เยอะมากๆๆๆ ค่ะ
-
ทุกครั้งที่มีผู้บริหารระดับสูงของญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรี หรือคณะรัฐบาลเนี่ย
-
ไปเซ่นไหว้ดวงวิญญาณที่ศาลเจ้านี้นะ
-
ฝั่งเกาหลีกับจีนก็จะลุกขึ้นมาจับกลุ่มเม้ามอยขึ้นมาทันที ประมาณว่า
-
ฉันขอประณามเธอ เธอไปเซ่นไหว้ดวงวิญญาณของอาชญากรสงครามได้อย่างไร!
-
ก็จะมีการประท้วงประณามอะไรต่างๆ ตามมามากมายนะคะ
-
แล้วทีนี้ถามว่าชาวญี่ปุ่นก็รู้ว่าทุกครั้งที่ไปไหว้เนี่ย เกาหลีกับจีนจะอาละวาด
-
แล้วไปไหว้ทำไม?
-
อะ ต้องบอกว่านี่มันเชื่อมต่อกับความเชื่อของลัทธิชินโตของญี่ปุ่นอะนะ
-
ลัทธิชินโตเนี่ย เชื่อในพลังของวิญญาณค่ะ
-
ประมาณว่าคนที่มีความมุ่งมั่นอย่างกล้าแกร่งก่อนตายเนี่ย
-
วิญญาณก็จะกลายเป็นวิญญาณที่มีพลังนะคะ
-
ซึ่งการกล้าแกร่งก่อนตายเนี่ย มันก็มีทั้งทางดีและทางร้าย นึกออกปะ
-
แล้วถ้าคนนั้นเป็นคนที่แบบว่ามีความคิดร้ายๆ กล้าแกร่งก่อนตายเนี่ย
-
วิญญาณมีโอกาสสูงมากที่จะกลายเป็นวิญญาณร้ายค่ะ แล้วก็ออกมาอาละวาดทำร้ายผู้คนต่างๆ
-
ดังนั้นเนี่ยนะคะ วิธีแก้ของศาสนาชินโตก็คือ
-
ให้สร้างศาลเจ้าขึ้นมา แล้วก็เอาป้ายสถิตวิญญาณของคนคนนั้นไปยัดไว้ในศาลเจ้า
-
ต้องมีป้ายสถิตวิญญาณของวิญญาณที่กล้าแกร่งตนนั้นค่ะ ตั้งอยู่ในศาลเจ้า แล้วก็ไปเซ่นไหว้ต่างๆ
-
เพื่อให้เกิดความสันติ ความสงบสุขนั่นเอง
-
ประมาณว่า วิญญาณ จงสงบสุขนะ อย่าเป็นวิญญาณร้ายเลย
-
ขอจงสงบสุข ไปสู่สุขตินะจ๊ะ
-
ประมาณว่าเขาไปไหว้เนี่ย เขาไม่ได้ไปไหว้เพราะว่ายกย่อง ว่าแบบนี่คือวีรบุรุษของเรา
-
แต่เขาไปไหว้ประมาณว่า อย่ามาอาละวาด ไม่เอาๆ ไม่โอเค
-
ประมาณนั้นค่ะ แต่อย่างไรก็ดี มันก็ไม่ใช่ความเชื่อที่เป็นสากลไง
-
ความเชื่อของสากลคือ ถ้าไปเคารพก็แปลว่าเคารพอะ ประมาณนั้นนะคะ
-
แต่ว่า จะไปเข้าข้างชาวญี่ปุ่นอย่างเดียวก็ไม่ถูกค่ะ
-
เพราะว่ามันก็มีชาวญี่ปุ่นที่เป็นพวกขวาจัด ที่อนุรักษ์นิยมสุดขีด ชาตินิยมสุดขีด
-
อยู่เหมือนกันนะคะ ที่ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองผิดอะไรเลย
-
อย่างเช่นในศาลเจ้านี้ ก็จะมีพิพิธภัณฑ์อยู่ แล้วก็เล่าประวัติศาสตร์ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ค่ะ
-
เขาบอกว่าในพิพิธภัณฑ์นี้ เป็นการโกหกที่ไม่ได้เอ่ยคำโกหกสักคำเดียว
-
งงมะ คือเขียนความจริงทั้งหมดแหละ แต่ว่าเลือกเขียนเฉพาะความจริงที่ทำให้ญี่ปุ่นเป็นฝ่ายที่ถูกค่ะ
-
รวมถึงพวกหนังสือเรียนต่างๆ ของญี่ปุ่นเนี่ย
-
บางทีก็เขียนประวัติศาสตร์แบบข้ามบางส่วนไป ทำให้จีนกับเกาหลีไม่แฮปปี้เลย
-
จีนกับเกาหลีบอกว่า เฮลโหล เธอจะมาลืมเรื่องนี้ไม่ได้
-
เธอควรจะเล่าเรื่องนี้ว่าเธอทำอะไรกับพวกฉันเอาไว้ นะคะ
-
ไม่งั้นคนรุ่นใหม่ของพวกเธอเนี่ย ก็จะลืมไปเลย แล้วก็บอกว่าเธอไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น
-
ประมาณนั้นค่ะ เรื่องที่สองประเทศนี้ขัดแย้งกันก็ยังไม่หมดนะคะ
-
เช่นในปี 2013 เนี่ย ประธานาธิบดีของเกาหลี ก็ไปเยือนเมืองฮ าร์บินของจีนใช่มั้ยคะ
-
ไปถึงก็ ไปดูตรงจุดที่นายกรัฐมนตรีคนแรกของจักรวรรดิญี่ปุ่นโดนยิงนั่นแหละ
-
จำได้ใช่มั้ย ไปถึงแล้วก็บอกว่า นี่ นักต่อสู้เพื่ออิสรภาพของเกาหลีคนนั้นน่ะ
-
ถือว่าเป็นวีรบุรุษของเกาหลีเลยนะ
-
เราควรไปขอให้รัฐบาลจีนสร้างอนุสาวรีย์ให้เขาตรงนั้น
-
ซึ่งชาวญี่ปุ่นก็ออกมาบอกว่า ฮัลโหล เธอจะไปสร้างอนุสาวรีย์ให้เขาได้ยังไง
-
เขาเป็นอาชญากร เป็นฆาตกรที่ฆ่านายกรัฐมนตรีของเรานะ!
-
แต่ฝั่งเกาหลีก็บอกว่า เอ้า แล้วไง อาชญากรของเธอแต่ฮีโร่ของฉันน่ะ
-
เขาถือเป็นหนึ่งในคนที่นำขบวนการกู้ชาติของฉันเลยนะ
-
ก็ประมาณนั้นค่ะ ทำให้ตอนช่วงปี 2013 ก็มีความขัดแย้งกันขึ้นมาอีกระลอกนึงนะคะ
-
และที่สำคัญ ก็มีอีกช่วงนึงค่ะที่เมื่อหลายปีก่อน จำได้มั้ย
-
ตอนช่วงที่มันมีข่าวว่านายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่น นายชินโซ อาเบะ
-
พยายามจะแก้รัฐธรรมนูญให้ญี่ปุ่นสามารถมีทหารได้มากขึ้น อะไรต่างๆ เนี่ยนะคะ
-
เพราะว่าตอนนั้นค่ะ ญี่ปุ่นไปมีปัญหากับจีน
-
เรื่องข้อพิพาททางทะเลกันน่ะนะ
-
ทำให้นายชินโซ อาเบะเนี่ยรู้สึกว่า เฮ้ย ไม่ได้ละ
-
ฉันจะโดนคุกคามจากจีน ฉันควรจะมีกำลังทหารของตัวเองมากขึ้นอะไรต่างๆ
-
ก็พยายามจะแก้รัฐธรรมนูญใช่มั้ยคะ ว่า
-
ขอมีทหารนะจ๊ะ นู่นนี่นั่น ขอมีกำลังป้องกันตัวเองตรงนั้นตรงนี้
-
ทีนี้ พอพูดแบบนี้ออกมาปุ๊บ เกาหลีกับจีนเนี่ย ลุกขึ้นมาทันทีเลยค่ะ
-
ประมาณว่า ฮัลโหล เธอจำสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้มั้ย
-
ในสงครามโลกครั้งที่ 2 เธอมีทหาร แล้วเธอก็ไปบุกชาวบ้านไปทั่วไง
-
ดังนั้น ตอนที่เธอยอมแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 มันมีข้อนึงเขียนไว้ว่า
-
ไม่ให้เธอมีกำลังทหาร ให้มีแค่กองกำลังป้องกันตัวเอง
-
จะมามีกำลังทหารเนี่ย แปลว่าจะมีเรื่องกับเราใช่มั้ย
-
ดังนั้นก็ลุกขึ้นมาประท้วงกันต่างๆ นานา
-
แล้วก็เป็นเหตุให้ฝั่งญี่ปุ่นเนี่ย มีข้ออ้างมากขึ้นว่า นี่ไง เห็นมั้ย
-
อันตรายแล้ว เขาเริ่มลุกขึ้นมาต่อต้านเราแล้ว เราควรจะมีกำลังป้องกันตัวเองนะจ๊ะ
-
ก็เลยตีกันขึ้นมาอีกระลอกนึงค่ะ
-
และระลอกล่าสุด ที่เป็นที่มาของคลิปวิดีโอนี้นะคะ
-
ก็คือในช่วงปลายปี 2018 นี่เอง
-
ตอนนั้นเนี่ย จักรพรรดิอากิฮิโตะ จักรพรรดิองค์ที่แล้วนะคะ
-
ก่อนจะสละราชบัลลังก์เนี่ย ไปงานที่ระลึกวันสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ค่ะ
-
ไปถึงก็ต้องมีการกล่าวสุนทรพจน์อะไรต่างๆ ใช่มั้ย
-
ซึ่งหนึ่งในสุนทรพจน์เนี่ย ก็มีการพูดถึงประมาณว่า
-
เออ สงครามโลกครั้งที่ 2 มันก็เป็นเรื่องในอดีตที่น่าเศร้าเนอะ เราหวังว่าจะไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก
-
แล้วมันก็เป็นบทเรียนของเรา อะไรต่างๆ
-
แต่ไม่ได้กล่าวถึงจีนกับเกาหลีโดยตรงค่ะ
-
ทำให้ประธานาธิบดีเกาหลี ออกมาให้สัมภาษณ์กับ Bloomberg
-
ก็คือเป็นสื่อของอเมริกาใช่ปะ ให้สัมภาษณ์ประมาณว่า
-
จักรพรรดิอากิฮิโตะเนี่ย ก็คือลูกชายของอาชญากรสงคราม
-
หรือว่าจักรพรรดิฮิโระฮิโตะไม่ใช่เหรอ
-
ประมาณนั้นนะคะ แล้วก็บอกว่า ฉันอยากให้จักรพรรดิเนี่ยออกมากล่าวขอโทษ comfort women โดยตรง นะคะ
-
ซึ่งฝั่งญี่ปุ่นก็บอกว่า เฮ้ยมันเกินไปแล้ว นี่ลามปามไปแล้ว
-
ดูภาษาที่ใช้สิ แล้วอะไร มาเกี่ยวอะไรกับจักรพรรดิ
-
จักรพรรดิฉันจะต้องไปขอโทษเธอเหรอ อะไรประมาณนี้นะคะ
-
ที่สำคัญเนี่ย ตลอดระยะเวลาของรัชสมัยของจักรพรรดิอะกิฮิโตะเนี่ย
-
จักรพรรดิอะกิฮิโตะกล่าวขอโทษไปแล้วนะคะ
-
โดยขอโทษโดยตรงต่อประธานาธิบดีเกาหลีใต้เนี่ย ถึง 2 ครั้ง
-
แล้วก็กล่าวคำเสียใจต่อเหตุการณ์นี้ 2 ครั้งไปแล้ว
-
แค่นี้ยังไม่พออีกเหรอ ก็ขอโทษไปแล้วไง จะให้ขอโทษไปถึงเมื่อไร ประมาณนั้นค่ะ
-
บวกกับอีกเรื่องนึงนะคะที่จุดชนวนให้เรื่องนี้ใหญ่ขึ้นมาอีก
-
ก็คือศาลของเกาหลีเนี่ย ตัดสินให้ชายที่โดนใช้แรงงานในญี่ปุ่นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เนี่ย
-
ชนะคดีต่อบริษัทญี่ปุ่นทั้งหมด 3 บริษัทค่ะ
-
โดยบอกว่า เฮ้ย ให้บริษัทพวกนี้ไปชดใช้ให้กับชายคนนี้นะ ที่เคยใช้แรงงานทาสเขาไป
-
ซึ่งชาวญี่ปุ่นก็มองว่า ฮัลโหล ทำไมฉันต้องชดใช้ด้วย
-
ก็ตอนนั้นชดใช้ไปแล้วไง จำไม่ได้เหรอ
-
แต่ว่าฝั่งเกาหลีนะคะก็บอกว่า ไม่จริง อันนั้นรัฐต่อรัฐ
-
คือประเทศญี่ปุ่นชดใช้ต่อประเทศเกาหลีใต้
-
แต่ว่าคนแต่ละคนที่โดนละเมิดสิทธิ์เนี่ยยังไม่ได้โดนชดใช้เลยนะ
-
อันนั้นมันรัฐต่อรัฐ เธอต้องไปชดใช้แต่ละคนที่เธอทำด้วย
-
ซึ่งชาวญี่ปุ่นก็มองว่า อันนี้ไม่ใช่แล้ว มันเยอะเกินไปแล้วนะจ๊ะ
-
สรุปโวยวายกันไป โวยวาย กันมานะคะ ฝั่งญี่ปุ่นก็เลยโกรธค่ะ
-
ช่วงเดือนกรกฎาปี 2019 ที่ผ่านมาเนี่ยนะคะ
-
ตอนต้นปี ญี่ปุ่นก็เลยตัดสินใจออกมาตรการนึงขึ้นมาค่ะ
-
คือลดการส่งออกสารเคมีทั้งหมด 3 ตัวไปที่เกาหลีนะคะ
-
ฟังดูเบสิกมะ ก็แค่ส่งออกสารเคมีตัวนึงน้อยลง
-
เผอิญว่าสารเคมีนั้น เป็นสารเคมีที่ใช้ผลิตชิพแล้วก็หน้าจอโทรศัพท์มือถือค่ะ
-
และที่สำคัญ สารเคมีตัวนี้ ญี่ปุ่นนี่เป็นเจ้าตลาดโลกเลยนะ
-
เรียกว่า ถ้าญี่ปุ่นไม่ส่งให้ ไปหาที่อื่นก็ไม่ได้
-
แล้วมันเดือดร้อนเกาหลียังไง
-
ถ้าถามว่าเศรษฐกิจเกาหลีแขวนอยู่บนอะไรคะ แขวนอยู่บนสองบริษัทด้วยกันค่ะ
-
ก็คือบริษัท LG กับ Samsung นั่นเอง
-
คือถ้าไม่ให้มาผลิตนี่ก็จบเลยนะ เศรษฐกิจเกาหลี
-
ดังนั้นเกาหลีก็เลยไม่แฮปปี้มากๆ ค่ะ
-
ฝั่งคนเกาหลีก็เลยโกรธ หันมาชาตินิยมบ้างค่ะ
-
ด้วยการแบนสินค้าญี่ปุ่น ประมาณว่า อะ เธอไม่ขายฉันก็ไม่ซื้อ
-
พวกที่โดนกระทบหนักๆ ก็พวกยูนิโคล่อะไรประมาณนี้นะคะ
-
ชาวเกาหลีนี่ไม่ซื้อเลยนะ ยอดขายตกฮวบๆๆๆ ค่ะ
-
ทะเลาะกันไปทะเลาะกันมาสักพักนะคะ
-
ฝั่งเกาหลีก็เริ่มรู้สึกว่าเฮ้ยมันไม่โอเค
-
ก็เลยบอกว่า นี่ ถ้าเราทะเลาะกันต่อไปนี่พังทั้งคู่นะ
-
ขอตั้งโต๊ะเจรจาได้มั้ย
-
แต่ว่าตั้งโต๊ะเจรจากันไป คุยกันไปยาวนานถึง 5 ชั่วโมง
-
ก็ไม่ได้ข้อตกลงนะคะ
-
สุดท้ายก็เลยทะเลาะกันต่อ
-
พอทะเลาะกันต่อเนี่ยนะคะ ฝั่งเกาหลีก็พยายามไปฟังองค์การการค้าโลก
-
ประมาณว่า เอ้ยญี่ปุ่นกีดกันทางการค้าอะ เข้าไม่ขายให้เราได้ยังไง
-
มันไม่ยุติธรรมอะไรเลยนะ ส่วนฝั่งญี่ปุ่นก็แก้ตัวค่ะ
-
บอกว่า เดี๋ยว นี่ไม่ใช่การกีดกันทางการค้า มันเป็นเรื่องของความมั่นคง
-
คือเวลาเราจะส่งออกอะไรไปหาประเทศไหนเนี่ย
-
มันก็เป็นเรื่องของการเชื่อใจกัน ซึ่งตอนนี้ดูเกาหลีทำตัวสิ เราเชื่อใจเกาหลีไม่ได้เลยนะ
-
ก็ไม่แปลกที่ฉันจะไม่ส่งออก
-
ดังนั้น นานาชาติก็เลยบอกว่า เออ ช่างมันเถอะ
-
แกก็ไปตีกันเองสองประเทศละกัน อย่ามาเอาฉันไปอ้างเลย ตีอะไรก็ตีกันเลยจ้า
-
ประมาณนั้นค่ะ จนกระทั่งเมื่อต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมานะคะ เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม ก็เกิดเรื่องอีกค่ะ
-
เพราะว่าญี่ปุ่นเนี่ยตัดสินใจ ถอดชื่อเกาหลีนะคะ ออกจาก white list
-
ก็คือลิสท์ที่บอกว่า ใครมีชื่ออยู่ในนี้จะได้สิทธิประโยชน์พิเศษทางการค้า อะไรต่างๆ
-
ญี่ปุ่นบอก ฉันไม่ไว้ใจเกาหลีแล้ว ฉันเอาชื่อเกาหลีออกเลยจ้า
-
ฝั่งเกาหลีก็บอกว่า อ้าว เธอเอาชื่อฉันออก เดี๋ยวฉันเอาชื่อเธอออกเหมือนกันนะ
-
ดังนั้น ทั้งสองฝ่ายก็เลยตีกันหนักกว่าเดิม วุ่นวายไปหมดเลยค่ะ
-
จนกระทั่งตอนนี้ทั้งสองฝ่ายก็เริ่มมีข่าวว่าเกลียดกันจนถึงขั้นว่ามีการทำร้ายร่างกายกันแล้วนะ
-
ที่นักท่องเที่ยวญี่ปุ่นเนี่ย โดนชาวเกาหลีทำร้าย อะไรต่างๆ ค่ะ
-
ซึ่งเราก็ต้องติดตามเรื่องนี้กันต่อไปนะคะ แต่นี่ก็คือเรื่องราวสาเหตุที่มาทั้งหมด
-
ตั้งแต่แรกกกก จนถึงปัจจุบันค่ะ ว่า
-
เกาหลีกับญี่ปุ่นไปตีอะไรกันนะคะ
-
เป็นไง คลิปนี้ยาวมั้ยคะ ถ้าใครมีอะไรเพิ่มเติมมากกว่าที่วิวเล่าเนี่ย
-
สามารถคอมเมนต์มาคุยกันด้านล่างได้เลยนะคะ
-
เพราะว่านี่ก็คือการหาข้อมูลมารวมๆ ให้ฟังกันคร่าวๆ
-
เพื่อที่จะได้เห็นภาพรวมกันค่ะ
-
ส่วนใครชื่นชอบคลิปนี้นะคะ อย่าลืมกดไลก์เป็นกำลังใจให้วิว
-
แล้วก็กดแชร์เพื่อชวนเพื่อนๆ มาดูด้วยกันค่ะ
-
แล้วพบกันใหม่โอกาสหน้านะคะ บ๊ายบาย
-
สวัสดีค่ะ
-
เอาจริงเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องละเอียดอ่อนนะ
-
ถามว่าญี่ปุ่นทำเกาหลีไว้หนักมั้ย ก็ทำไว้หนักจริง
-
แต่ถามว่าญี่ปุ่นชดเชยให้เกาหลีไปแล้วมั้ย ก็ชดเชยไปแล้วจริง
-
แต่พอมันเป็นเรื่องของความรู้สึกอะค่ะ มันเป็นเรื่องของคนแต่ละคนที่ ฉันโดนกระทำ
-
ฉันโดนนู่น ฉันโดนนี่ ถามว่าชดเชยเท่าไรมันถึงจะพอ
-
ในฝ่ายของคนที่โดนกระทำเนี่ย ก็คงรู้สึกว่าชดเชยเท่าไรก็ไม่พอ
-
ฉันต้องได้รับการชดเชย
-
ส่วนในฝ่ายของคนขอโทษนี่ก็คงรู้สึกว่าแบบ เออ ฉันก็ขอโทษไปแล้ว
-
ก็ฉันจะทำอะไรได้อะ แล้วก็คนยุคนั้นที่เป็นคนกระทำก็ตายไปหมดแล้ว
-
ฉันเกิดมาฉันก็ไม่ได้เป็นคนทำนิ
-
อะไรประมาณนี้นะคะ ก็เป็นเรื่องละเอียดอ่อนจริงๆ ค่ะ ไม่สามารถตัดสินได้
-
ณ ที่นี้ วิวไม่ได้ตัดสินนะคะว่าใครถูกหรือใครผิด อยากให้ทุกคนฟังเป็นข้อมูล
-
แล้วก็ไปลองตัดสินกันเอาเองแล้วกันค่ะ
-
สำหรับวันนี้ลาไปก่อนแล้วกันนะคะ บ๊ายบาย
-
สวัสดีค่ะ