แดน พัลลอตต้า (Dan Pallotta): วิธีคิดเกี่ยวกับการกุศลของเราผิดอย่างมหันต์
-
0:01 - 0:04ผมอยากจะพูดเรื่องเกี่ยวกับนวัตกรรมทางสังคม
-
0:04 - 0:08และกิจการเพื่อสังคม
-
0:08 - 0:11ผมบังเอิญมีลูกแฝดสาม
-
0:11 - 0:13พวกเขายังเล็กอยู่ครับ เพิ่งจะห้าขวบ
-
0:13 - 0:14เวลาที่ผมบอกใคร เขาจะถามย้ำว่า จริงเหรอ กี่คนนะ
-
0:14 - 0:18เวลาที่ผมบอกใคร เขาจะถามย้ำว่า จริงเหรอ กี่คนนะ
-
0:18 - 0:19นี่รูปของพวกเด็กๆครับ
-
0:19 - 0:23คนซ้ายคือเสจ แอนนาลิซ่า แล้วก็ไรเดอร์
-
0:23 - 0:28นอกจากนั้น เผอิญผมเป็นเกย์
-
0:28 - 0:30การเป็นเกย์ และการเป็นพ่อให้ลูกแฝดสามคนนั้น
-
0:30 - 0:33เป็นกิจการและนวัตกรรมทางสังคมที่สุด
-
0:33 - 0:35เท่าที่ผมเคยทำมา
-
0:35 - 0:40(เสียงหัวเราะ)
(เสียงปรบมือ) -
0:40 - 0:43แต่นวัตกรรมทางสังคมที่ผมอยากจะเล่าให้ฟังนั้น
-
0:43 - 0:44เกี่ยวกับการกุศลครับ
-
0:44 - 0:47ผมอยากพูดถึงความคิดที่เราถูกสอน
-
0:47 - 0:50เกี่ยวกับการให้ การกุศล
-
0:50 - 0:52และองค์กรไม่แสวงหากำไร (NPO)
-
0:52 - 0:55ที่กำลังกัดกร่อนความเชื่อที่เรารัก
-
0:55 - 0:59และทำให้เราท้อถอย
กับความพยายามที่จะเปลี่ยนโลกใบนี้ -
0:59 - 1:02ผมขอถามก่อนว่า คุณเชื่อหรือไม่
-
1:02 - 1:05ว่าองค์กร NPO เหล่านั้น มีบทบาทสำคัญ
-
1:05 - 1:07ในการเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้
-
1:07 - 1:11คนส่วนใหญ่บอกว่า ธุรกิจจะช่วยพัฒนาเศรษฐกิจ
-
1:11 - 1:14และธุรกิจเพื่อสังคม จะจัดการทุกอย่างที่เหลือเอง
-
1:14 - 1:16ตัวผมเองก็เชื่อว่าธุรกิจ
-
1:16 - 1:19จะทำให้มวลมนุษย์ชนส่วนใหญ่ ก้าวไปข้างหน้า
-
1:19 - 1:23แต่การก้าวหน้าแบบนั้น
มักทิ้งคนประมาณ 10% หรือมากกว่า -
1:23 - 1:28ซึ่งเป็นคนที่ด้อยโอกาสที่สุด หรือโชคไม่ดีไว้ข้างหลัง
-
1:28 - 1:29และธุรกิจเพื่อสังคมล้วนต้องการตลาด
-
1:29 - 1:32และเรายังมีปัญหาที่ทำให้ไม่สามารถ
-
1:32 - 1:35ใช้เงินเพื่อสร้างตลาดได้
-
1:35 - 1:38ผมเป็นกรรมการบริหารให้ศูนย์ผู้พิการแต่กำเนิด
-
1:38 - 1:41และผู้คนเหล่านี้ต้องการเสียงหัวเราะ
-
1:41 - 1:45ต้องการความเห็นอกเห็นใจ และต้องการความรัก
-
1:45 - 1:48คุณจะแปรความรู้สึกเหล่านั้นเป็นเงินได้ยังไง
-
1:48 - 1:51นี่คือพื้นที่ ที่ NPO
-
1:51 - 1:53และ มูลนิธิต่างๆ เข้ามามีส่วนร่วม
-
1:53 - 1:57เพราะการทำงานเพื่อคนอื่นนั้น เป็นตลาดแห่งความรัก
-
1:57 - 1:59เป็นตลาดสำหรับคนที่
-
1:59 - 2:02ไม่มีตลาดการค้าใดๆ ให้เข้าถึง
-
2:02 - 2:05ดังนั้น ถ้าเราต้องการ
อย่างที่ ฟูลเลอร์ บัคมินส์เตอร์ กล่าวไว้ว่า -
2:05 - 2:07โลกที่เหมาะกับทุกๆคน
-
2:07 - 2:09ที่ไม่มีใครถูกลืม
-
2:09 - 2:12ต้องเป็นที่ที่ NPO
-
2:12 - 2:14เป็นส่วนสำคัญของการพูดคุยกัน
-
2:14 - 2:17แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่เป็นอย่างนั้น
-
2:17 - 2:19ทำไมองค์กรด้านมะเร็งเต้านม
-
2:19 - 2:21ยังไม่สามารถรักษามะเร็งเต้านมได้
-
2:21 - 2:23ทำไมองค์กรเพื่อคนไร้ที่อยู่อาศัย
-
2:23 - 2:26ไม่สามารถหยุดการเร่ร่อนในเมืองใหญ่ได้
-
2:26 - 2:30ทำไมอัตราความยากจน
ถึงหยุดคาอยู่ที่ 12 % -
2:30 - 2:33ของประชากรในอเมริกามานานกว่า 40 ปีแล้ว
-
2:33 - 2:37คำตอบคือ ปัญหาสังคมเหล่านี้
-
2:37 - 2:39เป็นปัญหาที่มีขนาดใหญ่มาก
-
2:39 - 2:42แต่องค์กรเราเล็กจิ๋ว เมื่อเทียบกับปัญหาเหล่านั้น
-
2:42 - 2:45และเรามีความเชื่อที่ทำให้มันเล็กอยู่อย่างนั้น
-
2:45 - 2:47เรามีกฏเกณฑ์อยู่สองชุด
-
2:47 - 2:49ชุดหนึ่งสำหรับองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร
-
2:49 - 2:52และอีกชุดหนึ่งสำหรับเศรษฐกิจแบบที่เหลือในโลก
-
2:52 - 2:54มันเป็นการแบ่งแยกปิดกั้น
-
2:54 - 2:57องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรใน 5 ด้าน
-
2:57 - 2:59อย่างแรกคือการให้เงินชดเชย
-
2:59 - 3:02ในองค์กรแสวงหาผลกำไร
ยิ่งคุณสร้างคุณค่ามากเท่าใหร่ -
3:02 - 3:04คุณก็ยิ่งทำเงินได้มากเท่านั้น
-
3:04 - 3:06แต่เราไม่ชอบให้ NPO ใช้เงิน
-
3:06 - 3:10เพื่อกระตุ้นให้ทุกคนสร้างคุณค่า
ในการช่วยเหลือสังคมมากขึ้น -
3:10 - 3:13เรามีความเชื่อต่อต้านว่า
-
3:13 - 3:16คนเราอาจช่วยคนอื่น เพื่อหวังเงินมหาศาล
-
3:16 - 3:18มันน่าสนใจที่เราไม่มีความเชื่อที่จะต่อต้านว่า
-
3:18 - 3:22คนกำลังทำเงินมหาศาล โดยไม่ต้องช่วยใคร
-
3:22 - 3:24ถ้าคุณต้องการหาเงิน 50 ล้านดอลลาร์
-
3:24 - 3:27โดยขายวีดีโอเกมส์รุนแรงให้เด็ก ก็ทำได้เลย
-
3:27 - 3:29เราจะถ่ายคุณขึ้นปก Wired Magazine ให้
-
3:29 - 3:31แต่ถ้าคุณต้องการหาเงินครึ่งล้าน
-
3:31 - 3:32เพื่อรักษาโรคมาลาเรียในเด็ก
-
3:32 - 3:40คุณจะถูกมองว่าเป็นเชื้อโรคเสียเอง
(เสียงปรบมือ) -
3:40 - 3:43และเรามองว่านี่เป็นเรื่องระบบศีลธรรม
-
3:43 - 3:45แต่เราไม่ทันได้นึกว่าระบบความคิดนี้
-
3:45 - 3:48จะส่งผลข้างเคียงที่รุนแรง ซึ่งก็คือ
-
3:48 - 3:52มันทำให้เราต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง
-
3:52 - 3:55ระหว่างการทำเพื่อตัวคุณและครอบครัว
-
3:55 - 3:58หรือทำความดีเพื่อโลกใบนี้
-
3:58 - 4:01ป้อนให้กับบัณฑิต ที่จบใหม่จากสถาบันชั้นนำ
-
4:01 - 4:03และส่งคนเป็นหมื่นคน
-
4:03 - 4:05คนที่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงใหญ่ๆ
ในองค์กร NPO -
4:05 - 4:08แต่ส่งพวกเขาตรงไปหาองค์กรแสวงผลกำไรทั้งหลาย
-
4:08 - 4:13เพราะพวกเขาไม่ยินดีที่จะเสียสละตนเอง
ในเชิงเศรษฐกิจในระยะยาว -
4:13 - 4:16นิตยสาร Bussinessweek ได้ทำสำรวจผลตอบแทน
-
4:16 - 4:19ของผู้บริหาร ที่จบจากมหาวิทยาลัยมา 10 ปีแล้ว
-
4:19 - 4:22และผลตอบแทนของผู้ที่จบเอกบริหาร
จากมหา'ลัยสแตนฟอร์ด -
4:22 - 4:27ขณะที่เขาอายุ 38 นั้น
อยู่ที่ 400,000 ดอลลาร์ รวมโบนัสแล้ว -
4:27 - 4:29ส่วนในปีเดียวกันนั้น เงินเดือนเฉลี่ย
-
4:29 - 4:32ของผู้บริหาร องค์กรการกุศลด้านการแพทย์
ที่มีมูลค่ากว่า 5 ล้านดอลลาร์ในสหรัฐ -
4:32 - 4:37อยู่ที่ 232,000 ดอลลาร์
และ 84,000 ดอลลาร์ สำหรับองค์กรเพื่อยุติความหิวโหย -
4:37 - 4:39ดังนั้น มันจึงไม่มีทางเป็นไปได้เลย
ที่เราจะเอาคนที่ -
4:39 - 4:44มีความสามารถพอจะหาเงินได้ 400,000 เหรียญ
ที่จะยอมเสียสละ 316,000 เหรียญทุกๆปี -
4:44 - 4:48เพื่อเป็นผู้บริหารองค์กรเพื่อยุติความหิวโหย
-
4:48 - 4:51บางคนอาจจะบอกว่า
"ก็เพราะพวกเด็กบริหาร งกเงินเองนี่นา" -
4:51 - 4:54มันก็ไม่ใช้อย่างนั้นเสมอไป
พวกเขาอาจจะฉลาด -
4:54 - 4:56มันถูกกว่า ถ้าเขาจะบริจาคเงิน
-
4:56 - 5:00100,000 ดอลลาร์ ทุกๆปีให้กับองค์กรเพื่อความหิวโหย
-
5:00 - 5:02ยกเว้นภาษีได้อีก 50,000 เหรียญ
-
5:02 - 5:06ก็ยังมีเงินได้สูงกว่าทำงานในองค์กรการกุศล
ราว 270,000 เหรียญต่อปี -
5:06 - 5:09แล้วยังถูกเรียกขานว่า เป็นคนใจบุญสุนทาน
-
5:09 - 5:11เพราะเขาบริจาคหนึ่งแสนเหรียญให้การกุศล
-
5:11 - 5:13ได้นั่งเป็นกรรมการบริหารมูลนิธิ
-
5:13 - 5:15เผลอๆ คอยแนะนำ ผู้บริหารที่น่าสงสาร
-
5:15 - 5:18ที่ตัดสินใจมาเป็นผู้บริหารขององค์กรเพื่อยุติความหิวโหย
-
5:18 - 5:22แล้วเขาก็มีอำนาจ และมีแรงผลักดันแบบนี้
ไปตลอดชีวิตการทำงาน -
5:22 - 5:26และยังมีคำชื่นชม รอพวกเขาอยู่อีกด้วย
-
5:26 - 5:29การแบ่งแยกอีกแบบหนึ่ง
เกิดขึ้นในวงการโฆษณาและการตลาด -
5:29 - 5:33เราบอกคนในกลุ่มแสวงหาผลกำไรว่าให้
"ใช้เงิน ใช้เงิน ใช้เงิน" ในการโฆษณา -
5:33 - 5:36ใช้จนกระทั่งเงินเหรียญสุดท้ายหมดคุณประโยชน์ลง"
-
5:36 - 5:40แต่ในทางกลับกัน เราไม่อยากเห็นเงินบริจาคของเรา
ถูกใช้เพื่อโฆษณา -
5:40 - 5:44ความคิดเราคือ
"ถ้าคุณขอรับบริจาคชั่วโมงโฆษณา -
5:44 - 5:47ได้ออกอากาศตอนตีสี่ ผมก็โอเคนะ"
-
5:47 - 5:49แต่ผมไม่อยากให้เงินบริจาคของผม
ถูกนำไปใช้ซื้อโฆษณา -
5:49 - 5:51ผมอยากให้เงินไปถึงผู้ที่ยากไร้"
-
5:51 - 5:53ประหนึ่งว่าเงินที่โยนไปในโฆษณา
-
5:53 - 5:56ไม่สามารถดึงเงินจำนวนมากกว่ากลับมาได้
-
5:56 - 5:58เพื่อช่วยเหลือผู้ที่กำลังขาดแคลน
-
5:58 - 6:00ในปี 1990 บริษัทของผมได้สร้าง
-
6:00 - 6:03โครงการเดินทางด้วยจักรยานทางไกล
เพื่อรณรงค์เรื่องโรคเอดส์ -
6:03 - 6:08และการเดินทางไกลสามวันในระยะ 60 ไมล์
เพื่อรณรงค์ต่่อต้านมะเร็งเต้านม -
6:08 - 6:11และในช่วงเวลา 9 ปีที่ผ่านมา
-
6:11 - 6:16เราได้เห็นคนธรรมดา 182,000 คน ที่เข้ามา
ร่วมทำวีรกรรมเหล่านี้กับพวกเรา -
6:16 - 6:20และพวกเขาได้ระดมทุน จำนวน 581 ล้านดอลลาร์
-
6:20 - 6:25พวกเขาระดมทุนได้มาก และรวดเร็ว
-
6:25 - 6:27กว่างานอื่นๆ ในประวัติศาสตร์
-
6:27 - 6:30ด้วยความคิดที่ว่า ทุกคนเหนื่อยหน่าย
-
6:30 - 6:33กับการถูกขอให้ทำเท่าที่ทำได้ เพื่อสังคม
-
6:33 - 6:35พวกเขาต้องการค้นหา
-
6:35 - 6:37ศักยภาพที่แท้จริงที่เขาทำได้
-
6:37 - 6:41เพื่ออุดมการณ์ที่เขาสนใจ
-
6:41 - 6:44แต่พวกเขาต้องได้รับการชักชวน
-
6:44 - 6:45เราได้คนจำนวนมากมายมาเข้าร่วม
-
6:45 - 6:48โดยซื้อโฆษณาเต็มหน้า
ในนสพ. เดอะนิวยอร์คไทม์ -
6:48 - 6:51ในนสพ. เดอะ บอสตัน โกลบ
และช่วงเวลาไพรม์ไทม์ในทีวีและวิทยุ -
6:51 - 6:53คุณคิดว่าจะมีคนเข้าร่วมกี่คน
-
6:53 - 6:56ถ้าเราทำแต่แจกใบปลิวในร้านซักรีด
-
6:56 - 7:00ยอดการบริจาคในอเมริกานั้นค้างอยู่ที่
-
7:00 - 7:042% ของผลิตภัณฑ์มวลรวม
ตั้งแต่เราเริ่มวัดกันในช่วงปี 1970 -
7:04 - 7:06มันเป็นความจริงที่สำคัญมาก เพราะมันบอกเราว่า
-
7:06 - 7:09ในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร
-
7:09 - 7:12ไม่เคยแย่งส่วนแบ่งการตลาด
-
7:12 - 7:15มาจากองค์กรแสวงหาผลกำไรได้เลย
-
7:15 - 7:17แล้วคุณลองคิดดูว่า องค์กรหนึ่ง
-
7:17 - 7:20จะแย่งส่วนแบ่งการตลาด มาจากอีกองค์กรหนึ่งได้อย่างไร
-
7:20 - 7:23ถ้าองค์กรนั้นไม่ได้รับอนุญาตให้ทำการตลาด
-
7:23 - 7:25ถ้าเราบอกบริษัทอุปโภคบริโภคว่า
-
7:25 - 7:28"คุณสามารถโฆษณาสรรพคุณทุกอย่างได้"
-
7:28 - 7:31แต่บอก NPO ว่า
"คุณไม่สามารถโฆษณาความดีของคุณได้นะ" -
7:31 - 7:35คุณคิดว่าเงินของลูกค้าจะไหลไปทางไหน
-
7:35 - 7:38เรื่องที่สามคือเรื่องความเสี่ยง
-
7:38 - 7:42ในการทดลองใช้วิธีใหม่ในการหารายได้
-
7:42 - 7:46เพราะ ดิสนีย์ สามารถทำหนัง
มูลค่า 200 ล้านดอลลาร์ ที่เจ๊งได้ -
7:46 - 7:48โดยไม่มีใครเรียกอัยการให้สอบสวน
-
7:48 - 7:52แต่ถ้าคุณบริจาคเงิน 1 ล้านเหรียญเพื่อการกุศล
-
7:52 - 7:55แลัวมันไม่สร้างผลตอบแทน 75% ให้กับองค์กร
-
7:55 - 7:57ภายในช่วง 12 เดือนแรก
-
7:57 - 7:59คุณก็จะถูกเรียกมาสอบสวน
-
7:59 - 8:02ดังนั้น NPO จึงลังเลอย่างมาก
ในการลองทำอะไรที่กล้าหาญ -
8:02 - 8:06ทำอะไรที่แตกต่าง หรือระดมทุนขนาดใหญ่
-
8:06 - 8:08เพราะกลัวว่า ถ้างานนั้นล้มเหลว ชื่อเสียงของพวกเขา
-
8:08 - 8:10จะถูกลากจมโคลนไปด้วย
-
8:10 - 8:12คุณทราบดีว่า เมื่อคุณห้ามการล้มเหลว
-
8:12 - 8:13คุณก็ทำลายความคิดสร้างสรรค์ไปด้วย
-
8:13 - 8:16เมื่อคุณทำลายความคิดสร้างสรรค์
คุณก็ไม่สามารถหาเงินเพิ่มได้ -
8:16 - 8:18พอรายได้ไม่เพิ่ม คุณก็โตไม่ได้
-
8:18 - 8:23พอคุณโตไม่ได้ คุณก็แก้ปัญหาใหญ่ในสังคมไม่ได้
-
8:23 - 8:26การแบ่งแยกด้านที่สี่คือ เรื่องเวลา
-
8:26 - 8:30ทำไมอเมซอนอยู่ได้หกปี โดยไม่คืนเงินให้นักลงทุน
-
8:30 - 8:32แล้วทุกคนก็อดทนรอ
-
8:32 - 8:34พวกเขารู้ว่า มีเป้าหมายระยะยาวรออยู่
-
8:34 - 8:36นั่นคือการเป็นเจ้าใหญ่ในตลาด
-
8:36 - 8:39แต่ถ้าองค์กรการกุศลฝันว่า
-
8:39 - 8:43จะสร้่างองค์กรขนาดใหญ่ ใช้เวลาหกปี
-
8:43 - 8:45จะไม่มีเงินซักแดงตกถึงผู้ยากไร้
-
8:45 - 8:47เงินทั้งหมดจะถูกใช้เพื่อการขยายองค์กร
-
8:47 - 8:50เราคงเห็นคนโดนตรึงไม้กางเขนประจานแน่
-
8:50 - 8:52และด้านสุดท้ายก็คือเรื่องกำไร
-
8:52 - 8:55สำหรับองค์กรที่ทำกำไรแล้ว พวกเขาคืนกำไรให้กับผู้คน
-
8:55 - 8:57เพื่อดึงดูดแหล่งเงินทุน มาส่งเสริมความคิดใหม่ๆ
-
8:57 - 9:00แต่องค์กรการกุศลทั้งหลาย
ไม่สามารถจ่ายกำไรให้กับทุกคนได้ -
9:00 - 9:05ดังนั้นองค์กรที่แสวงผลกำไรจึงผูกขาดตลาด
ที่มีมูลค่าหลายล้านล้านไว้ -
9:05 - 9:07ส่วน NPO ก็อดอยาก ไร้หนทางเติบโต
-
9:07 - 9:10ไร้ความเสี่ยง แต่ไร้ความคิดใหม่ๆ ต่อไป
-
9:10 - 9:14พอเอาทั้ง 5 ด้านมารวมกัน
คุณก็ไม่สามารถใช้เงิน -
9:14 - 9:16เพื่อดึงคนเก่งๆ มาจากองค์กรที่แสวงหาผลกำไร
-
9:16 - 9:18โฆษณาที่ทำก็เล็กกว่า
-
9:18 - 9:21ที่องค์กรที่แสวงหาผลกำไร ใช้หาลูกค้าใหม่ๆ
-
9:21 - 9:23คุณไม่สามารถเสี่ยง เพื่อดึงลูกค้าเหล่านั้น
-
9:23 - 9:25แบบที่องค์กรแสวงหาผลกำไรเสี่ยงได้
-
9:25 - 9:27คุณมีเวลาหาลูกค้าน้อยกว่า
-
9:27 - 9:29ที่องค์กรแสวงหาผลกำไรมี
-
9:29 - 9:31และคุณไม่มีตลาดหุ้น เพื่อหาทุน
-
9:31 - 9:34ถึงแม้ว่าคุณหาเงินก้อนแรกมาได้
-
9:34 - 9:36และคุณเพิ่งวางหมากให้ NPO
-
9:36 - 9:39เสียเปรียบองค์กรแสวงหาผลกำไรอย่างยิ่งยวด
-
9:39 - 9:41ในทุกๆ ระดับ
-
9:41 - 9:45ถ้าสงสัยว่ากฎที่แตกต่างนี้ มีผลกระทบอย่างไร
-
9:45 - 9:47ลองดูสถิติที่น่าเห็นใจนี้
-
9:47 - 9:49ตั้งแต่ปี 1970 ถึง 2009
-
9:49 - 9:51มีองค์กรไม่แสวงผลกำไร
-
9:51 - 9:55ที่ก้าวข้ามเส้นรายได้ 50 ล้านดอลลาร์ไปได้
-
9:55 - 9:57มีทั้งหมด 144 องค์กร
-
9:57 - 9:59ขณะที่จำนวนขององค์กรแสวงหาผลกำไร
-
9:59 - 10:03มีอยู่ 46,136 องค์กร
-
10:03 - 10:06เพราะฉะนั้น เรากำลังต่อกรกับ
ปัญหาทางสังคมขนาดใหญ่มหึมา -
10:06 - 10:09แต่องค์กรเราไม่สามารถขยายตัวได้เลย
-
10:09 - 10:13ที่ทำได้กลับเป็นองค์กรอย่าง
โคคาโคล่า หรือ เบอร์เกอร์คิง -
10:13 - 10:16แล้วทำไมเราจึงมีแนวคิดแบบนี้
-
10:16 - 10:20ก็ แบบเดียวกับหลักการอื่นๆ ที่เราคลั่งไคล้กันในอเมริกา
-
10:20 - 10:23ความคิดเหล่านี้มาจาก
ความเชื่อของพวกเคร่งศาสนา (Puritan) -
10:23 - 10:26พวกเขาอพยพมาด้วยเหตุผลทางศาสนา
หรืออย่างน้อยเขาก็บอกเช่นนั้น -
10:26 - 10:30แต่พวกเขามาที่นี่เพื่อหาเงินจำนวนมากด้วย
-
10:30 - 10:32พวกเขารักพระเจ้า แต่พวกเขาก็เป็น
-
10:32 - 10:34นักลงทุนที่จริงจังด้วย
-
10:34 - 10:38และพวกเขามักถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกที่
มีแนวโน้มขูดรีดกำไร -
10:38 - 10:40เมื่อเทียบกับผู้มาตั้งรกรากกลุ่มอื่นๆ
-
10:40 - 10:43แต่ในขนะเดียวกัน พวกเคร่งศาสนา ก็เป็น
พวกลัทธิคาลวินด้วย -
10:43 - 10:46พวกเขาถูกสอนให้เกลียดตัวเอง
-
10:46 - 10:49พวกเขาถูกสอนว่า การเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน
-
10:49 - 10:52เป็นเส้นทางสู่นรกตลอดกาล
-
10:52 - 10:55ซึ่งมันขัดแย้งกัน ถูกไหม
-
10:55 - 10:57พวกเขาเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก
มาเพื่อสร้างเนื้อสร้างตัว -
10:57 - 11:01แต่การสร้างเนื้อสร้างตัวนั้น
จะพาลงนรกโดยตรงเลย -
11:01 - 11:03พวกเขาทำอย่างไรกับเรื่องนี้
-
11:03 - 11:05การกุศล กลายเป็นคำตอบของพวกเขา
-
11:05 - 11:07มันกลายเป็นที่พึ่งทางใจด้านเศรษฐกิจ
-
11:07 - 11:11ให้เขาได้ไถ่บาป
จากการค้ากำไรของพวกเขา -
11:11 - 11:14ห้าเซนต์ต่อหนึ่งดอลลาร์
-
11:14 - 11:16คุณจะทำเงินเพื่อการกุศลได้อย่่างไร
-
11:16 - 11:19ในเมื่อการกุศล เป็นแค่การไถ่บาป
จากการหาเงิน -
11:19 - 11:23เงินกระตุ้น จึงไม่ถือเป็นส่วนหนึ่ง
ในการช่วยเหลือผู้อื่น -
11:23 - 11:26เพื่อที่เขาจะได้สบายใจ
ในการหาเงินสำหรับตัวเอง -
11:26 - 11:29ในช่วง 400 ปีที่ผ่านมา ไม่มีอะไรมาขัดขวาง
-
11:29 - 11:35เพื่อบอกว่า "การทำงานที่ไม่ก่อให้เกิดผล
แบบนี้มันไม่ยุติธรรมเลย" -
11:35 - 11:39อุดมคติที่มีมาแต่เดิมกำลังถูกตรวจสอบ
โดยคำถามที่อันตรายคำถามนี้ -
11:39 - 11:43ซึ่งก็คือ "เงินบริจาคของฉันกี่เปอร์เซ็นต์กัน
ที่กลายเป็นค่าใช้จ่ายประกอบการ -
11:43 - 11:45มีหลายปัญหาเกี่ยวกับคำถามนี้
-
11:45 - 11:47แต่ผมจะขอเน้นแค่สองเรื่อง
-
11:47 - 11:51อย่างแรก มันทำให้เรารู้สึกว่าค่าประกอบการนั้น
เป็นเรื่องที่ไม่ดี -
11:51 - 11:55ว่ามันไม่ใช่ส่วนหนึ่งของอุดมการณ์หลัก
-
11:55 - 12:00แต่มันใช่ครับ โดยเฉพาะถ้ามันทำให้เราเติบโตได้
-
12:00 - 12:02ความคิดนี้ที่ฟังต่อๆกันมา ไม่ว่าอย่างไรก็ดี
-
12:02 - 12:04กลายเป็นปฎิปักษ์กับอุดมการณ์
-
12:04 - 12:07ก่อให้เกิดปัญหาที่ใหญ่กว่าเดิม นั่นคือ
-
12:07 - 12:10องค์กรถูกบังคับให้ทำงานต่อไป
โดยลดค่าใช้จ่าย -
12:10 - 12:12ที่ต้องใช้ในการเติบโต
-
12:12 - 12:15เพียงเพื่อให้ค่าประกอบการนั้นอยู่ในระดับต่ำ
-
12:15 - 12:17เราถูกสอนว่า องค์กรการกุศลควรใช้เงิน
-
12:17 - 12:20ให้น้อยที่สุดเท่าที่ทำได้
สำหรับค่าประกอบการ เช่นการระดมทุน -
12:20 - 12:24ด้วยทฤษฏีที่ว่า
ยิ่งคุณใช้เงินในการระดมทุนน้อยเท่าไหร่ -
12:24 - 12:27ยิ่งมีเงินเหลือมากพอเพื่ออุดมการณ์หลัก
-
12:27 - 12:30มันก็จริงถ้าเราอยู่ในโลกที่รันทด
-
12:30 - 12:33ซึ่งหมายความว่าขนมพายชิ้นนี้
ไม่สามารถขยายใหญ่ขึ้นได้ -
12:33 - 12:37แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง
ที่การลงทุนในเรื่องการระดมทุนนั้น -
12:37 - 12:40ทำให้ระดมทุนได้มากขึ้น
และทำให้พายชิ้นนี้ใหญ่ขึ้นได้ -
12:40 - 12:42แปลว่าเราเข้าใจตรงข้ามกับความเป็นจริง
-
12:42 - 12:45และเราควรใช้เงินมากขึ้น ไม่ใช่น้อยลง
-
12:45 - 12:47ในการระดมทุน เพราะการระดมทุนเป็นกิจกรรมเดียว
-
12:47 - 12:50ที่สามารถเพิ่มเงินเหล่านั้นเป็นทวีคูณ
-
12:50 - 12:54เพื่อนำไปใช้กับอุดมการณ์ที่เราใส่ใจ
ซะมากมายเหลือเกิน -
12:54 - 12:57ผมขอยกสองตัวอย่าง อันแรกคือ
เราเริ่มโครงการขี่จักรยานเพื่อโรคเอดส์ -
12:57 - 13:00ด้วยเงินลงทุนประมาณ 50,000 ดอลลาร์
ในส่วนทรัพย์สินเสี่ยง -
13:00 - 13:05ภายในช่วงเวลา 9 ปี เราสามารถทำเงินได้เป็น 1,982 เท่า
-
13:05 - 13:11เงินต้นนั้นกลายเป็นยอด 108 ล้านเหรียญ
หลังหักค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับเอดส์แล้ว -
13:11 - 13:13เราปล่อยโครงการเพื่อมะเร็งเต้านม เป็นเวลาสามวัน
-
13:13 - 13:17โดยมีเงินลงทุนเริ่มต้น 350,000 ดอลลาร์
ในส่วนทรัพย์สินเสี่ยง -
13:17 - 13:21ภายในเวลาห้าปี เราหาเงินได้เพิ่มอีก 554 เท่า
-
13:21 - 13:25กลายเป็นยอด 194 ล้านเหรียญ หลังจากหักค่าใช้จ่ายแล้ว
-
13:25 - 13:27เพื่อการวิจัยด้านมะเร็งเต้านม
-
13:27 - 13:30ทีนี้ถ้าคุณเป็นคนใจบุญที่สนใจเรื่องมะเร็งเต้านม
-
13:30 - 13:31อะไรดูสมเหตุสมผลกว่ากัน
-
13:31 - 13:35ระหว่างออกไปหานักวิจัยที่ดีที่่สุดในโลก
-
13:35 - 13:38แล้วเอาเงิน 350,000 ดอลลาร์ ให้เธอใช้ทำวิจัย
-
13:38 - 13:42เทียบกับการมอบเงิน 350,000 ดอลลาร์ ให้ฝ่ายระดมทุน
-
13:42 - 13:47เพื่อให้มันทวีคูณ เป็น 194 ล้านดอลลาร์
เพื่อการวิจัยมะเร็งเต้านม -
13:47 - 13:51ปี 2002 เป็นปีที่เราประสบความสำเร็จมากที่สุด
-
13:51 - 13:54ในปีนั้นปีเดียว เราหาเงินให้มะเร็งเต้านม
-
13:54 - 13:58ได้ 71 ล้านเหรียญหลังจากหักค่าใช้จ่ายแล้ว
-
13:58 - 14:00แล้วเราก็ต้องปิดกิจการลง
-
14:00 - 14:03อย่างกระทันหัน และอย่างน่าเสียใจ
-
14:03 - 14:08ทำไม ก็เพราะว่าผู้ให้การสนับสนุน
เลิกสนับสนุนเรา -
14:08 - 14:10พวกเขาไม่ต้องการมีส่วนร่วม
-
14:10 - 14:13เพราะเราถูกสื่อประณาม
-
14:13 - 14:16เรื่องการนำเงิน 40% จากยอดรวมไปใช้หาพนักงาน
-
14:16 - 14:19กับการบริการลูกค้า
และการสร้างประสบการณ์ที่สวยงามอื่นๆ -
14:19 - 14:23มันไม่มีคำศัพท์ทางบัญชีที่ถูกบัญญัติมา
เพื่อใช้อธิบายถึง -
14:23 - 14:25ลักษณะการลงทุนเพื่อการเติบโตและอนาคต
-
14:25 - 14:30นอกจากหัวบัญชี
ว่าเป็น "ค่าใช้จ่ายในการประกอบการ" -
14:30 - 14:36ในวันหนึ่ง พนักงานเจ๋งๆ ของเราทั้ง 350 คน
-
14:36 - 14:40จึงตกงาน
-
14:40 - 14:44เพราะพวกถูกระบุว่าเป็นค่าประกอบการ
-
14:44 - 14:46ผู้สนับสนุนของเราลองไปจัดงานเองดู
-
14:46 - 14:47ผลคือค่าประกอบการกลับสูงขึ้น
-
14:47 - 14:50รายได้สนับสนุนการวิจัยกลับลดลง
-
14:50 - 14:56คิดเป็น 84 เปอร์เซ็นต์
หรือ 60 ล้านดอลลาร์ต่อปี -
14:56 - 14:59นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเราสับสน
-
14:59 - 15:03ระหว่างจริยธรรม และความมัธยัสถ์
-
15:03 - 15:06เราถูกสอนว่า การขายขนมปัง
มีค่าประกอบการเพียง 5 เปอร์เซ็นต์ -
15:06 - 15:11นั้นเหมาะสมกว่า
องค์กรเพื่อการกุศลที่จะมีค่าประกอบการ 40% -
15:11 - 15:14แต่เรามองข้ามความจริงที่สำคัญที่สุดไป
-
15:14 - 15:18นั่นคือ ขนาดขององค์กร
หรือขนาดของชิ้นพายทั้งสอง -
15:18 - 15:22ใครจะสนว่าธุรกิจเบเกอรี่เล็กๆ
บวกค่าการประกอบการแค่ 5% -
15:22 - 15:25แต่ถ้าการขายขนมปัง
ทำให้องค์กรมีรายได้แค่ 71 ดอลลาร์ -
15:25 - 15:27เพราะมันไม่ต้องลงทุนเพื่อขยายกิจการ
-
15:27 - 15:29แล้วองค์การที่เชี่ยวชาญด้านระดมทุน
-
15:29 - 15:32หารายได้ได้ 71 ล้านดอลลาร์
เพราะเขามีความสามารถพอล่ะ -
15:32 - 15:34ทีนี้ พายชิ้นไหนกันที่เราจะเลือก และพายชิ้นไหน
-
15:34 - 15:38ที่ผู้คนที่หิวโหยจะเลือก
-
15:38 - 15:42นี่คือผลกระทบในภาพกว้างครับ
-
15:42 - 15:45ผมบอกว่ายอดเงินบริจาคคิดเป็น 2%
ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในสหรัฐฯ -
15:45 - 15:48คิดเป็นเม็ดเงินประมาณ 300 ล้านดอลลาร์ต่อปี
-
15:48 - 15:52แต่มีเพียง 20 เปอร์เซ็นต์
หรือประมาณ 60 ล้านดอลลาร์เท่านั้น -
15:52 - 15:54ที่บริจาคให้องค์กรด้านสุขภาพ
และบริการด้านมนุษยชนอื่นๆ -
15:54 - 15:57ที่เหลืออยู่กับองค์กรเพื่อศาสนา
การศึกษา และการวิจัยในโรงพยาบาล -
15:57 - 16:00และเงิน 60 ล้านดอลาร์นั้น
เรียกได้ว่าเกือบจะไม่พอ -
16:00 - 16:02กับการจัดการปัญหาเหล่านั้น
-
16:02 - 16:04แต่ถ้าเราจะสามารถทำให้การบริจาคนี้
-
16:04 - 16:10ที่คิดเป็น 2 % ของผลิตภัณฑ์มวลรวม
ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว -
16:10 - 16:13กลายเป็น 3% ของผลิตภัณฑ์มวลรวม
ด้วยการลงทุนเพื่อความเติบโตนั้น -
16:13 - 16:17จะทำให้มีเงินเพิ่ม 150 ล้านดอลลาร์ต่อปี
-
16:17 - 16:20และถ้าเงินเพิ่มส่วนใหญ่นั้น
-
16:20 - 16:22แบ่งไปด้านสุขภาพและมนุษยชน
-
16:22 - 16:25เพราะเราสนับสนุนทั้งสองนั้น ให้ลงทุนด้านการเติบโต
-
16:25 - 16:29หมายความว่าส่วนงานนั้น
จะเติบโตเป็นสามเท่า -
16:29 - 16:31เรากำลังพูดถึงขนาดที่ใหญ่ขึ้น
-
16:31 - 16:34และเรากำลังพูดถึงความเป็นไปได้
ที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจริงๆ -
16:34 - 16:37แต่มันจะไม่มีทางเกิดขึ้นด้วยการบังคับ
-
16:37 - 16:39ให้องค์กรเหล่านี้ลดตัวเองลงมา
-
16:39 - 16:45เพื่อรักษาค่าประกอบการให้ต่ำเข้าไว้
-
16:45 - 16:48คนยุคเราคงไม่อยากให้คนรุ่นหลัง
มาอ่านบันทึกแล้วพบว่า -
16:48 - 16:51"เราได้รักษาค่าประกอบการ
ขององค์กรการกุศลให้ต่ำเข้าไว้" -
16:51 - 16:59(หัวเราะ) (เสียงปรบมือ)
-
16:59 - 17:01เราอยากให้คนรุ่นหลังรู้ว่า
เราเปลี่ยนโลกอย่างไรบ้าง -
17:01 - 17:03และเราจะทำเช่นนั้นได้
-
17:03 - 17:06ด้วยการเปลี่ยนวิธีคิดเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้
-
17:06 - 17:08เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้เมื่อคุณพูดถึงการกุศล
-
17:08 - 17:10อย่าถามว่าค่าประกอบการคิดเป็นเท่าใหร่
-
17:10 - 17:12แต่ถามถึงขนาดความฝันของพวกเค้า
-
17:12 - 17:16ความฝันแบบบริษัทแอปเปิล กูเกิล หรือ อเมซอน
-
17:16 - 17:18ถามถึงวิธีวัดความก้าวหน้าของความฝัน
-
17:18 - 17:21และสิ่งที่เขาต้องการ
เพื่อทำให้ความฝันนั้นเป็นจริง -
17:21 - 17:23ไม่ว่าค่าประกอบการจะสูงแค่ไหน
-
17:23 - 17:28ใครจะสนใจเรื่องค่าประกอบการ
ตราบใดที่ปัญหาเหล่านั้นได้รับการแก้ไข -
17:28 - 17:31ถ้าเราสามารถเปิดใจ
-
17:31 - 17:35เปิดความคิดได้ขนาดนั้น
เหล่า NPO ก็สามารถ -
17:35 - 17:39มีบทบาทในการเปลี่ยนโลก ให้กับประชากรทุกคน
-
17:39 - 17:45คนที่ต้องการการเปลี่ยนแปลงอย่างที่สุด
-
17:45 - 17:50และถ้านั่นจะเป็นมรดกที่เราจะทิ้งไว้ให้คนรุ่นหลัง
-
17:50 - 17:53ว่าเราได้แสดงความรับผิดชอบ
-
17:53 - 17:56ต่อความคิดที่เรารับตกทอดมา
-
17:56 - 17:59แล้วมาใตร่ตรอง ปรับปรุงใหม่
-
17:59 - 18:03เราได้คิดหนทางใหม่
ที่มนุษยชาติจะเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ -
18:03 - 18:06เพื่อพวกเราทุกๆ คนตลอดไป
-
18:06 - 18:11ผมว่า เราควรให้เด็กๆ เป็นคนสรุป
ว่าอนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไร -
18:11 - 18:13แอนนาลิซ่า: นั่นก็จะเป็น
-
18:13 - 18:15เสจ: นวัตกรรมทางสังคม
-
18:15 - 18:17ไรเดอร์: ที่แท้จริง
-
18:17 - 18:20แดน: ขอบคุณมากครับ ขอบคุณ
-
18:20 - 18:30(เสียงปรบมือ)
-
18:30 - 18:34ขอบคุณครับ (เสียงปรบมือ)
- Title:
- แดน พัลลอตต้า (Dan Pallotta): วิธีคิดเกี่ยวกับการกุศลของเราผิดอย่างมหันต์
- Speaker:
- Dan Pallotta
- Description:
-
นักเรียกร้องสิทธิและนักระดมทุน แดน พัลลอตต้า เรียกร้องถึงความไม่เท่าเทียมของการทำการกุศลในสังคม เรามีองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร (NPO, nonprofit organization) จำนวนมาก หากแต่พวกเขาได้รับคำชื่นชมเมื่อใช้เงินได้น้อย ไม่ใช่จากการทำงานให้สำเร็จลุล่วง และแทนที่จะวัดผลงานกันแบบเดิมๆ ด้วยการวัดความมัธยัสถ์เหนือกว่าคุณธรรม เขาขอให้เราเริ่มให้รางวัลองค์กรการกุศลทั้งหลายที่มีเป้าหมายสูงๆ และประสบความสำเร็จมากๆ (ถึงแม้ว่ามันจะมีค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ตามมาก็ตาม) ในการพูดครั้งนี้ เขาขอให้พวกเราลองเปลี่ยนวิธีที่เราใช้คิดเปลี่ยนโลกกันดีกว่า
- Video Language:
- English
- Team:
- closed TED
- Project:
- TEDTalks
- Duration:
- 18:54
Unnawut Leepaisalsuwanna edited Thai subtitles for The way we think about charity is dead wrong | ||
Unnawut Leepaisalsuwanna edited Thai subtitles for The way we think about charity is dead wrong | ||
Unnawut Leepaisalsuwanna approved Thai subtitles for The way we think about charity is dead wrong | ||
Kelwalin Dhanasarnsombut accepted Thai subtitles for The way we think about charity is dead wrong | ||
Kelwalin Dhanasarnsombut commented on Thai subtitles for The way we think about charity is dead wrong | ||
Unnawut Leepaisalsuwanna approved Thai subtitles for The way we think about charity is dead wrong | ||
Unnawut Leepaisalsuwanna rejected Thai subtitles for The way we think about charity is dead wrong | ||
Unnawut Leepaisalsuwanna commented on Thai subtitles for The way we think about charity is dead wrong |