จินตนาการถึงโลกในแบบ 11 มิติ: แทด โรเบิร์ต (Thad Roberts) ณ TEDxBoulder
-
0:15 - 0:18มีใครในที่นี้ที่บังเอิญสนใจเรื่องมิติพิเศษบ้างครับ
-
0:18 - 0:19(เสียงปรบมือ)
-
0:19 - 0:21เยี่ยมเลย
-
0:21 - 0:24ก่อนอื่น ผมขอขอบคุณทุกท่านสำหรับเวลา...
และพื้นที่ของท่าน -
0:24 - 0:26(เสียงหัวเราะ)
-
0:26 - 0:28ดีครับ ผมดีใจที่มุขนี้ฮา
-
0:28 - 0:30เอาล่ะ
-
0:34 - 0:37ลองจินตนาการถึงโลก
ที่ซึ่งผู้อยู่อาศัย เกิดและตาย -
0:37 - 0:40โดยเชื่อว่ามีมิติทางพื้นที่แค่ 2 มิติ
-
0:40 - 0:42เป็นระนาบ
-
0:42 - 0:45"ชาวโลกแบน" กลุ่มนี้จะเห็นสิ่งประหลาดเกิดขึ้น
-
0:45 - 0:51สิ่งที่ไม่มีทางอธิบายได้
ภายใต้ข้อจำกัดของเรขาคณิตในแบบของพวกเขา -
0:51 - 0:59ยกตัวอย่างเช่น ลองจินตนาการว่าวันหนึ่ง
นักวิทยาศาสตร์ชาวโลกแบนบางคนสังเกตเห็นสิ่งนี้: -
0:59 - 1:02ชุดของแสงสีที่ปรากฏขึ้นแบบสุ่ม
-
1:02 - 1:04ในบริเวณต่างๆ ตามเส้นขอบฟ้า
-
1:04 - 1:06ไม่ว่าพวกเขาจะพยายาม
จะอธิบายแสงเหล่านี้อย่างไร -
1:06 - 1:10พวกเขาก็ไม่สามารถจะหาทฤษฎี
ที่ใช้อธิบายสิ่งนี้ได้ -
1:10 - 1:11นักวิทยาศาสตร์บางคนที่ฉลาดขึ้นมาหน่อย
-
1:11 - 1:15อาจคิดค้นวิธีที่จะบรรยาย
แสงวูบวาบเหล่านี้ในเชิงสถิติ -
1:15 - 1:17เช่นทุกๆ 4 วินาที
-
1:17 - 1:21มีโอกาส 11% ที่แสงสีแดงจะวาบขึ้น
ณ จุดใดจุดหนึ่งบนเส้น -
1:21 - 1:24แต่จะไม่มีชาวโลกแบนคนไหนที่จะคาดเดาได้
อย่างแม่นยำว่า เมื่อใด -
1:24 - 1:28หรือ ณ จุดใด ที่แสงสีแดงจะปรากฏขึ้นอีกครั้ง
-
1:28 - 1:31ผลที่ตามมาก็คือ พวกเขาเริ่มที่จะคิดว่า
-
1:31 - 1:34โลกนั้นเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน
-
1:34 - 1:36คิดว่า เหตุผลที่แสงเหล่านี้หาคำอธิบายไม่ได้
-
1:36 - 1:42เป็นเพราะโดยพื้นฐานแล้ว
ธรรมชาตินั้นเป็นสิ่งที่อธิบายไม่ได้ -
1:42 - 1:44พวกเขาคิดถูกหรือเปล่า
ความจริงที่ว่าพวกเขาถูกบังคับ -
1:44 - 1:47ให้บรรยายแสงเหล่านี้ในเชิงสถิติ
-
1:47 - 1:51แปลว่า โลกนั้นคาดเดาไม่ได้ อย่างนั้นหรือ
-
1:52 - 1:54บทเรียนที่เราเรียนรู้จาก โลกแบน ก็คือ
-
1:54 - 1:58เมื่อเราคิดบนพื้นฐานของเศษเสี้ยว
ของเรขาคณิตที่สมบูรณ์ของธรรมชาติ -
1:58 - 2:02เหตุการณ์ที่สามารถคาดเดาได้
จะดูเสมือนเหตุการณ์ที่คาดเดาไม่ได้ -
2:02 - 2:05อย่างไรก็ตาม เมื่อเราขยายมุมมองของเรา
-
2:05 - 2:09และเข้าถึงเรขาคณิตที่สมบูรณ์ของระบบ
-
2:09 - 2:12ความดาดเดาไม่ได้ก็จะหายไป
-
2:12 - 2:16อย่างที่คุณเห็น ตอนนี้เราคาดเดาได้แม่นยำว่า
ที่ใดและเมื่อไหร่ -
2:16 - 2:21แสงสีแดงจะปรากฏขึ้นบนเส้นนี้
-
2:21 - 2:23เรามาที่นี่ คืนนี้
-
2:23 - 2:27เพื่อพิจารณาถึงความเป็นไปได้
ที่ว่าเราเองก็อาจเป็นเช่นชาวโลกแบน -
2:27 - 2:31เพราะที่จริงแล้ว โลกเรานั้น
ก็เต็มไปด้วยปริศนามากมาย -
2:31 - 2:37ที่ซึ่งดูเหมือนจะไม่ลงตัว
กับสมมติฐานของเรขาคณิตที่เรามี -
2:37 - 2:41เรื่องลึกลับเช่น การบิดโค้งของอวกาศและเวลา,
หลุมดำ, อุโมงค์ควอนตัม -
2:41 - 2:45ค่าคงที่ทางธรรมชาติ,
สสารมืด, พลังงานมืด, ฯลฯ -
2:45 - 2:48รายชื่อยาวทีเดียว
-
2:48 - 2:51แล้วเราตอบสนองต่อสิ่งลึกลับเหล่านี้อย่างไร
-
2:51 - 2:53เรามีสองทางเลือก:
-
2:53 - 2:56เราอาจเลือกที่จะยึดถือสมมติฐาน
ที่มีก่อนหน้านั้น -
2:56 - 2:59และประดิษฐ์สมการขึ้นใหม่
ที่อยู่นอกระบบ -
2:59 - 3:02ใช้ความพยายามแบบคลุมเครือ
เพื่ออธิบายสิ่งที่เกิดขึ้น -
3:02 - 3:07หรือเราอาจเลือกทางเดินที่อาจหาญ
โยนสมมติฐานเก่าทิ้งไป -
3:07 - 3:09แล้วสร้างพิมพ์เขียวใหม่สำหรับความเป็นจริง
-
3:09 - 3:14พิมพ์เขียวที่ได้รวมเอาปรากฏการณ์เหล่านั้นไว้แล้ว
-
3:14 - 3:17มันถึงเวลาที่จะเลือกทางเดินนั้นแล้ว
-
3:17 - 3:21เพราะเราอยู่ในสถานการณ์เดียวกับชาวโลกแบน
-
3:21 - 3:23กลศาสตร์ควอนตัมที่ต้องอธิบายในเชิงสถิติ
-
3:23 - 3:26ทำให้นักวิทยาศาสตร์ของเรา เชื่อว่า
-
3:26 - 3:30โดยลึกๆ แล้ว โลกเรานั้นคาดเดาไม่ได้
-
3:30 - 3:32และเชื่อว่าเมื่อเราศึกษาให้ลึกขึ้น เรายิ่งค้นพบ
-
3:32 - 3:34ว่าธรรมชาตินั้นไม่สมเหตุผลเอาเสียเลย
-
3:34 - 3:36อืม...
-
3:36 - 3:39บางทีเรื่องลึกลับเหล่านี้กำลังบอกเราว่า
-
3:39 - 3:42มันมีอะไรมากกว่าภาพที่เราเห็น
-
3:42 - 3:45ว่าธรรมชาตินั้นมีเรขาคณิตที่สมบูรณ์มากกว่าที่เราคิด
-
3:45 - 3:49บางทีปรากฏการณ์ลึกลับหลายๆ
อย่างในโลกเรา -
3:49 - 3:51จะสามารถถูกอธิบายได้โดยเรขาคณิตที่สมบูรณ์กว่า
-
3:51 - 3:54ด้วยมิติที่มากขึ้น
-
3:54 - 3:58นั่นก็จะแปลว่า
เรานั้นติดอยู่กับโลกแบบในแบบของเราเอง -
3:58 - 4:02และถ้าเป็นเช่นนั้นจริง
เราจะหนีออกไปได้อย่างไร -
4:02 - 4:04อย่างน้อยก็ในเชิงความคิด
-
4:04 - 4:08ขั้นแรกที่ต้องแน่ใจเสียก่อนก็คือ
เราต้องรู้ให้แน่ชัดว่ามิติคืออะไร -
4:12 - 4:14คำถามเริ่มต้นที่ดีก็คือ
-
4:14 - 4:19ทำไม x, y, z ถึงประกอบกันเป็นมิติทางพื้นที่ได้
-
4:19 - 4:22คำตอบก็คือ การเปลี่ยนตำแหน่งในมิติหนึ่ง
-
4:22 - 4:25ไม่ได้แปลว่าตำแหน่งในมิติอื่นๆ
จะต้องเปลี่ยนด้วย -
4:25 - 4:29มิติคือตัวบ่งชี้ตำแหน่งที่เป็นอิสระต่อกัน
-
4:29 - 4:34ดังนั้นแกน z จึงเป็นหนึ่งมิติ เพราะวัตถุสามารถ
อยู่ที่ตำแหน่ง x และ y ใดๆ -
4:34 - 4:36ในขณะที่มันเคลื่อนที่ในแกน Z
-
4:36 - 4:39ดังนั้น การที่จะบอกว่ามีมิติทางพื้นที่อื่นๆ
-
4:39 - 4:42แปลว่าจะต้องเป็นไปได้ที่วัตถุนั้น
-
4:42 - 4:45จะต้องอยู่นิ่งๆ ในตำแหน่ง x, y และ z
-
4:45 - 4:49แต่กำลังเคลื่อนไหวในมิติอื่นๆ
-
4:49 - 4:52แล้วมิติเหล่านั้นอยู่ไหนล่ะ
-
4:52 - 4:56เพื่อไขปริศนานั้น
เราต้องเปลี่ยนแปลงสมมติฐานพื้นฐาน -
4:56 - 5:00เกี่ยวกับเรขาคณิตเรามีเกี่ยวกับอวกาศ
-
5:00 - 5:07เราต้องคิดว่าพื้นที่นั้น แบ่งออกเป็นหน่วยเล็กๆ
ที่ไม่ต่อเนื่อง (ควอนตัม) -
5:07 - 5:11และพื้นที่นั้นประกอบขึ้นจากส่วนเล็กๆ
ที่มีปฏิสัมพันธ์กัน -
5:11 - 5:13ถ้าพื้นที่ประกอบไปด้วยควอนตัม
-
5:13 - 5:17มันจะไม่สามารถถูกแบ่งให้ย่อยลงเป็นอนันต์
-
5:17 - 5:20เมื่อเราแบ่งมันลงจนถึงขนาดพื้นฐานขนาดหนึ่ง
-
5:20 - 5:22เราจะแบ่งมันเพิ่มไม่ได้
-
5:22 - 5:25โดยยังคงการพิจารณาเรื่องระยะทางในพื้นที่อยู่
-
5:25 - 5:27ลองพิจารณาอุปมานี้ครับ:
-
5:27 - 5:30จินตนาการว่าเรามีทองคำบริสุทธิ์อยู่ก้อนหนึ่ง
-
5:30 - 5:33เราตั้งใจจะแบ่งครึ่งมันไปเรื่อยๆ
-
5:33 - 5:35มีคำถามสองข้อให้เราตอบ:
-
5:35 - 5:38เราแบ่งครึ่งมันได้กี่ครั้ง
-
5:38 - 5:43และ เราแบ่งครึ่งมันได้กี่ครั้ง
แล้วโดยสิ่งที่เหลือที่ยังเป็นทองอยู่ -
5:43 - 5:45สองคำถามนี้ต่างกันโดยสิ้นเชิง
-
5:45 - 5:48เพราะเมื่อเราแบ่งมันจนเหลือทองหนึ่งอะตอม
-
5:48 - 5:50เราจะตัดแบ่งต่อไปอีกไม่ได้
-
5:50 - 5:54โดยไม่ทำลายนิยามของทองคำ
-
5:54 - 5:59ถ้าพื้นที่ถูกแบ่งในระดับควอนตัม
การอุปมาแบบเดียวกันก็ใช้ได้ -
5:59 - 6:01เราไม่สามารถพูดถึงระยะทางภายในพื้นที่
-
6:01 - 6:03ที่น้อยกว่าหน่วยพื้นฐานได้
-
6:03 - 6:06ด้วยเหตุผลเดียวกัน
เราไม่สามารถพูดถึงปริมาณทองคำ -
6:06 - 6:10ที่น้อยกว่า 1 อะตอมของทองคำได้
-
6:10 - 6:16การแยกอวกาศออกเป็นหน่วยเล็กๆ
นำเราไปสู่เรขาคณิตแบบใหม่ -
6:16 - 6:17ที่ซึ่งคล้ายกับแบบนี้
-
6:17 - 6:21ชิ้นส่วนเล็กๆ เหล่านี้
หรือควอนตัมเหล่านี้ -
6:21 - 6:25ประกอบกัน กลายเป็นเนื้อแห่งมิติ x, y, z
-
6:25 - 6:28รูปทรงแบบนี้มี 11 มิติ
-
6:28 - 6:31ดังนั้น ถ้าคุณมองแบบนี้ คุณก็เข้าใจมันแล้ว
มันไม่ได้ยากเหนือความเข้าใจ -
6:31 - 6:33เราเพียงแค่ต้องเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
-
6:33 - 6:37โปรดสังเกตว่ามีปริมาตรที่แตกต่างกันอยู่ 3 แบบ
-
6:37 - 6:40และปริมาตรทุกแบบ มี 3 มิติ
-
6:40 - 6:44ระยะห่างระหว่างสองจุดใดๆ ภายในพื้นที่
จะเท่ากับจำนวนควอนตัม -
6:44 - 6:48ที่อยู่ระหว่างสองจุด ณ ขณะนั้น
-
6:48 - 6:51ปริมาตรในแต่ละควอนตัมนั้นเรียกว่า
อินเตอร์สเปเชียล (interspatial) -
6:51 - 6:55ปริมาตรที่ควอนตัมกินเนื้อที่ขณะเคลื่อนที่ไปมานั้น
เรียกว่า ซุปเปอร์สเปเชียล (superspatial) -
6:55 - 6:59โปรดสังเกตว่า การมีข้อมูลตำแหน่ง x, y, z ครบถ้วน
-
6:59 - 7:03ทำให้เราบ่งชี้ได้เพียงหนึ่งควอนตัมทางพื้นที่
-
7:03 - 7:06และโปรดสังเกตว่ามันก็เป็นไปได้ ที่วัตถุชิ้นหนึ่ง
-
7:06 - 7:10จะเคลื่อนที่ในแบบอินเตอร์สเปเชียล
หรือซุปเปอร์สเปเชียล -
7:10 - 7:15โดยไม่เปลี่ยนแปลงพิกัด x, y, z เลย
-
7:15 - 7:17นั่นแปลว่า มีวิธีทั้งหมด 9 แบบที่เป็นอิสระต่อกัน
-
7:17 - 7:19ที่วัตถุสักชิ้น จะเคลื่อนที่ไปมา
-
7:19 - 7:21นั่นรวมเป็น 9 มิติทางพื้นที่
-
7:21 - 7:253 มิติของปริมาตรแบบ x, y, z
3 มิติของปริมาตรแบบซุปเปอร์สเปเชียล -
7:25 - 7:27และ 3 มิติของปริมาตรแบบอินเตอร์สเปเชียล
-
7:27 - 7:30และเรายังมีมิติของเวลา
ซึ่งสามารถนิยามได้ว่า -
7:30 - 7:33เป็นเลขจำนวนเต็มของการสั่นพ้อง
ที่แต่ละควอนตัมประสบ -
7:33 - 7:39และเวลาแบบซุปเปอร์ไทม์ (super-time)
ทำให้เราอธิบายการเคลื่อนไหวของควอนตัม
ผ่านซุปเปอร์สเปซได้ -
7:39 - 7:42เอาล่ะ ผมรู้ว่ามันฟังดูงง
และผมไปเร็วมากกว่าที่ผมตั้งใจไว้ -
7:42 - 7:44เพราะว่ามีรายละเอียดมากมายที่เรา
สามารถเจาะลึกลงไปได้ -
7:44 - 7:49แต่มีประโยชน์สำคัญอยู่ข้อหนึ่ง
ในการที่เราสามารถอธิบายพื้นที่ -
7:49 - 7:54ว่าเป็นตัวกลางที่มีคุณสมบัติของ
ความหนาแน่น การบิดเบือน และการกระเพื่อม -
7:54 - 8:00ยกตัวอย่างเช่น เราสามารถอธิบาย
การบิดโค้งของมิติพื้นที่และเวลาของไอน์สไตน์ -
8:00 - 8:03ได้โดยโดยไม่ต้องลดมิติของภาพลง
-
8:03 - 8:07การบิดโค้งคือการเปลี่ยนแปลงความหนาแน่น
ของควอนตัมอวกาศเหล่านี้ -
8:07 - 8:11ยิ่งควอนตัมหนาแน่นมากเท่าไหร่
พวกมันยิ่งมีอิสระน้อยลงในการสั่นพ้อง -
8:11 - 8:13ดังนั้นมันจึงประสบกับเวลาที่เดินช้าลง
-
8:13 - 8:15และในบริเวณที่มีความหนาแน่นสูงสุด
-
8:15 - 8:18และควอนตัมเหล่านี้ถูกอัดรวมเข้าด้วยกัน
-
8:18 - 8:22เช่นในหลุมดำ ควอนตัมเหล่านั้นจะไม่รู้สึกถึงเวลาเลย
-
8:22 - 8:27แรงโน้มถ่วงนั้นคือผลลัพธ์ง่ายๆ
ของวัตถุที่เดินทางเป็นเส้นตรง -
8:27 - 8:29ผ่านห้วงอวกาศที่บิดโค้ง
-
8:29 - 8:31การเดินทางเป็นเส้นตรงผ่านมิติ x, y, z
-
8:31 - 8:34แปลว่าทั้งด้านซ้ายและด้านขวาของคุณ
-
8:34 - 8:38เดินทางด้วยระยะทางเท่ากัน
มีปฏิสัมพันธ์กับจำนวนควอนตัมที่เท่ากัน -
8:39 - 8:42แต่เมื่อมีความเปลี่ยนแปลงความหนาแน่น
เกิดขึ้นในห้วงอวกาศ -
8:42 - 8:46ทางเดินที่เป็นเส้นตรง
จะให้ความรู้สึกทางพื้นที่ที่เท่ากัน -
8:46 - 8:51สำหรับทุกๆ ส่วนของวัตถุนั้น
-
8:51 - 8:53นี่เป็นเรื่องสำคัญมาก
-
8:53 - 8:56ถ้าคุณเคยเห็นกราฟเส้นโค้งของไอน์สไตน์มาก่อน
-
8:56 - 8:58การโค้งของมิติอวกาศและเวลา
-
8:58 - 9:02คุณอาจไม่สังเกตว่ามีอยู่หนึ่งมิติที่ไม่ได้ตั้งชื่อเอาไว้
-
9:02 - 9:06เราสมมติว่า เราใช้ระนาบตามแบบของเรา
-
9:06 - 9:08เมื่อใดก็ตามที่มีมวลอยู่บนระนาบนี้
ระนาบจะยืดออก -
9:08 - 9:10ถ้ามีมวลมากขึ้น ระนาบก็ถูกยืดมากขึ้น
-
9:10 - 9:13เพื่อแสดงให้เห็นการบิดโค้งที่มากขึ้น
-
9:13 - 9:15แต่เรายืดมันออกไปในทิศทางไหนล่ะ
-
9:15 - 9:17เรากำจัดแกน z ออกไป
-
9:17 - 9:20เราทำพลาดแบบนี้ทุกครั้งในตำราเรียน
-
9:20 - 9:23ตอนนี้ เราไม่ต้องกำจัดมิติแกน z ออกไป
-
9:23 - 9:27เราสามารถแสดงให้เห็นการบิดโค้งได้
ในรูปแบบเต็มๆ -
9:27 - 9:29และนี่ถือเป็นเรื่องสำคัญ
-
9:29 - 9:32ปริศนาอื่นๆ ที่ผุดขึ้นมาจากเรขาคณิตแบบใหม่นี้
-
9:32 - 9:34เช่น อุโมงค์ควอนตัม (quantum tunneling)
-
9:34 - 9:37จำ "ชาวโลกแบน" ของเราได้ไหมครับ
-
9:37 - 9:40พวกเขาเห็นแสงสีแดงปรากฏขึ้น
ณ จุดหนึ่งบนขอบฟ้า -
9:40 - 9:44และจากนั้นมันก็จะหายไป
และเท่าที่พวกเขารู้ -
9:44 - 9:46มันได้หายไปจากเอกภพ
-
9:46 - 9:50แต่ถ้าแสงสีแดงนั้นปรากฏขึ้นอีก
ณ อีกจุดหนึ่งบนเส้นขอบฟ้า -
9:50 - 9:53พวกเขาอาจเรียกมันว่าอุโมงค์ควอนตัม
-
9:53 - 9:55เช่นเดียวกับที่เราสังเกตเห็นอิเล็กตรอน
-
9:55 - 9:57หายไปจากห้วงอวกาศ
-
9:57 - 9:59และปรากฏขึ้นอีกครั้ง ณ อืกแห่งหนึ่ง
และที่แห่งนั้น -
9:59 - 10:03สามารถอยู่นอกเหนือขอบเขตที่มัน
ไม่ควรจะหลุดออกไปได้ -
10:03 - 10:08เอาล่ะ เราสามารถใช้ภาพนี้ได้
เพื่อไขปริศนานั้นได้ไหม -
10:08 - 10:11คุณเห็นไหม ว่าปริศนาต่างๆ บนโลกเรา
สามารถเปลี่ยนเป็นมุมมองที่สวยงาม -
10:11 - 10:14ภายใต้ภาพของเรขาคณิตแบบใหม่นี้
-
10:14 - 10:16สิ่งที่เราต้องทำ ก็เพียงแต่
พยายามเข้าใจปริศนาเหล่านี้ -
10:16 - 10:23เปลี่ยนสมมติฐานเรื่องเรขาคณิตต่างๆ
ให้เป็นพื้นที่แบบควอนตัม -
10:23 - 10:25ภาพนี้บอกเราได้อีกอย่างหนึ่ง
-
10:25 - 10:27เกี่ยวกับว่าค่าคงที่ต่างๆ ในธรรมชาตินั้นมาจากไหน
-
10:27 - 10:32เช่น ความเร็วแสง ค่าคงที่ของแพลงค์
ค่าคงที่ของแรงดึงดูด และอื่นๆ -
10:32 - 10:36เนื่องจากหน่วยวัดต่างๆ
นิวตัน จูล ปาสคาล ฯลฯ -
10:36 - 10:40สามารถลดรูปลงได้เป็นการผสมกันของ 5 หน่วย
-
10:40 - 10:43คือ ความยาว มวล เวลา กระแสไฟฟ้า และอุณหภูมิ
-
10:43 - 10:45การแบ่งพื้นที่ออกเป็นควอนตัม
-
10:45 - 10:51แปลว่าหน่วยทั้ง 5 นั้นจะต้องอยู่
ในรูปหน่วยควอนตัมที่แบ่งออกไม่ได้อีก -
10:51 - 10:55นี่ทำให้เราได้ตัวเลข 5 ตัว
ที่เกิดขึ้นมาจากเรขาคณิตแบบใหม่ของเรา -
10:55 - 10:58ผลทางธรรมชาติจาก 11 มิติ
ซึ่งมีหน่วยเป็นหนึ่ง -
10:58 - 11:01มีตัวเลขอีก 2 ตัวในมุมมองใหม่ของเรา
-
11:01 - 11:04ตัวเลขที่สะท้อนถึงข้อจำกัดด้านการบิดโค้ง
-
11:04 - 11:07พาย (Pi) สามารถใช้เพื่อแสดงส่วนโค้งที่น้อยที่สุด
-
11:07 - 11:11หรือความโค้งเป็นศูนย์
ในขณะที่ตัวเลขอีกตัวหนึ่งที่เราเรียกว่า เฌอ (Zhe) -
11:11 - 11:14สามารถใช้เพื่อแสดงสถานะการบิดโค้งสูงสุด
-
11:14 - 11:17เหตุผลที่เราต้องมีค่าสูงสุดเพราะ
เรามีอวกาศแบบควอนตัม -
11:17 - 11:23เราไม่สามารถแบ่งมันออกไปได้เป็นอนันต์
-
11:23 - 11:24แล้วเลขเหล่านี้ให้อะไรแก่เรา
-
11:24 - 11:27รายชื่อยาวเหยียดเหล่านี้
คือค่าคงที่ตามธรรมชาติ -
11:27 - 11:30และถ้าคุณสังเกต แม้ในขณะที่เรามองมันแบบผ่านๆ
-
11:30 - 11:33พวกมันต่างประกอบขึ้นด้วยตัวเลขห้าตัว
-
11:33 - 11:35ที่เกิดจากเรขาคณิตแบบใหม่ของเรา และตัวเลขอีกสองตัว
-
11:35 - 11:39ที่มาจากข้อจำกัดของการบิดโค้ง
-
11:39 - 11:42นั่นมันเป็นเรื่องสำคัญมาก
สำหรับผมมันสำคัญมาก -
11:42 - 11:44มันแปลว่าค่าคงที่ของธรรมชาติ
-
11:44 - 11:47เกิดจากเรขาคณิตของพื้นที่
-
11:47 - 11:51พวกมันเป็นผลพวงโดยตรงที่เกิดจากแบบจำลองนั้น
-
11:54 - 11:58เอาล่ะ ถึงตอนสนุกแล้ว
เพราะมีประโยคเด็ดๆ อยู่หลายที่ -
11:58 - 12:01ออกจะยากสักหน่อยที่จะรู้ว่า
ใครจะชอบตรงไหน -
12:01 - 12:04ด้วยเรขาคณิตในมิติแบบใหม่นี้
-
12:04 - 12:07ทำให้เราสามารถอธิบายแรงดึงดูด
-
12:07 - 12:09ได้ในเชิงแนวคิดทั้งหมด
-
12:09 - 12:11คุณจะเห็นภาพทั้งหมดได้ในหัวของคุณ
-
12:11 - 12:14หลุมดำ อุโมงค์ควอนตัม ค่าคงที่ในธรรมชาติ
-
12:14 - 12:16และในกรณีที่ไม่มีสิ่งไหนเลยที่คุณสนใจ
-
12:16 - 12:18หรือคุณไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับพวกมันมาก่อน
-
12:18 - 12:24คุณคงแทบไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับสสารมืด
และพลังงานมืดเป็นแน่ -
12:24 - 12:28สองสิ่งนี้ก็เป็นผลพวงมาจากเรขาคณิตแบบใหม่
-
12:28 - 12:31สสารมืดนั้น
เมื่อเราสังเกตดาราจักรที่ห่างไกลออกไป -
12:31 - 12:35และสังเกตเหล่าดาวฤกษ์ที่โคจรอยู่ในดาราจักรเหล่านั้น
-
12:35 - 12:38ดาวฤกษ์ที่อยู่ใกล้ขอบดาราจักรนั้นเคลื่อนที่เร็วเกินไป
-
12:38 - 12:42ราวกับว่าพวกมันมีแรงดึงดูดมากกว่าปกติ
-
12:42 - 12:46เราจะอธิบายสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร
เราอธิบายไม่ได้ -
12:46 - 12:49เราจึงคิดว่าต้องมีสสารอย่างอื่นอยู่ที่นั่น
ซึ่งสร้างแรงดึงดูดเพิ่มเติม -
12:49 - 12:51ที่ส่งผลกระทบแบบนั้น
แต่เรามองไม่เห็นสสารนั้น -
12:51 - 12:58เราจึงเรียกมันว่าสสารมืด และเรานิยามสสารมืด
ว่าเป็นบางสิ่งที่เรามองไม่เห็น! -
12:58 - 13:00ซึ่งก็ดี มันเป็นขั้นตอนที่ดี
เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี -
13:00 - 13:03แต่ในแบบจำลองของเรา
เราไม่ต้องใช้วิธีคิดก้าวกระโดดแบบนั้น -
13:03 - 13:05เราคิดแบบก้าวกระโดด
ในเชิงที่ว่าพื้นที่นั้นเป็นควอนตัม -
13:05 - 13:08และสิ่งอื่นๆที่เหลือ
เป็นผลพวงจากสมมติฐานนั้น -
13:08 - 13:11เราเชื่อว่า
พื้นที่นั้นสร้างขึ้นจากสิ่งพื้นฐาน -
13:11 - 13:15แบบเดียวกับที่เราเชื่อ
ว่าอากาศนั้นเกิดจากโมเลกุล -
13:15 - 13:18ถ้านั่นเป็นจริง
แปลว่าข้อกำหนดที่ตามมาก็คือ -
13:18 - 13:22คุณสามารถมีการเปลี่ยนแปลงของความหนาแน่น
ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของแรงโน้มถ่วง -
13:22 - 13:27และคุณควรจะต้องมีการเปลี่ยนสถานะ
-
13:27 - 13:30แล้วอะไรเป็นตัวกระตุ้นการเปลี่ยนสถานะล่ะ
-
13:30 - 13:32ก็อุณหภูมิไง
-
13:32 - 13:37เมื่อบางสิ่งเย็นตัวถึงจุดหนึ่ง
การเรียงตัวของโครงสร้างของมันจะเปลี่ยนไป -
13:37 - 13:40และมันจะเปลี่ยนสถานะ
-
13:40 - 13:43การเปลี่ยนแปลงความหนาแน่นนี้
ณ บริเวณขอบนอกของดาราจักร -
13:43 - 13:47จะก่อให้เกิดสนามแรงโน้มถ่วง
-
13:47 - 13:50เพราะนั่นคือนิยามของสนามแรงโน้มถ่วง
-
13:50 - 13:53มันคือการเปลี่ยนแปลงของความหนาแน่น
-
13:53 - 13:55เอาล่ะ
-
13:56 - 14:00ข้ามพวกนี้ไปเลย
-
14:00 - 14:05ทีนี้ ผมจะอธิบายเรื่องพลังงานมืด
ในเวลา 15 วินาที -
14:05 - 14:08เมื่อเรามองออกไปยังขอบอวกาศ
เราสังเกตว่าแสงจากที่ห่างไกล -
14:08 - 14:10จะเกิดปรากฏการณ์เรดชิฟท์
(redshift - ความยาวคลื่นเคลื่อนไปทางสีแดง) -
14:10 - 14:12แปลว่ามันสูญเสียพลังงานบางส่วน
ในขณะที่เดินทางมาหาเรา -
14:12 - 14:14โดยใช้เวลานับพันล้านปี
-
14:14 - 14:16แล้วเราจะอธิบายเรดชิฟท์ได้อย่างไร
-
14:16 - 14:21ณ ปัจจุบัน เราเข้าใจว่า
มันแปลว่าเอกภพกำลังขยายตัวออก -
14:21 - 14:24ข้อกล่าวอ้างของเราทั้งหมดที่ว่าเอกภพ
กำลังขยายตัว ล้วนมาจากสิ่งนี้ -
14:24 - 14:26จากการวัดว่า เรดชิฟท์ นั้นเปลี่ยนแปลงอย่างไร
-
14:26 - 14:28ณ ที่ระยะห่างเท่านี้ ระยะห่างนี้ ระยะห่างนี้
-
14:28 - 14:32และเช่นกัน เราวัดการขยายตัวด้วยวิธีนี้
-
14:32 - 14:35แต่มีอีกวิธีหนึ่งที่สามารถอธิบายเรดชิฟท์ได้
-
14:35 - 14:37เช่นเดียวกับที่ อาจมีวิธีอื่นที่จะใช้อธิบายว่า
ทำไม ถ้าผมถือส้อมเสียงอันหนึ่ง -
14:37 - 14:39ที่ปรับมาให้เป็นเสียงโน้ตดนตรี C
-
14:39 - 14:43แต่เมื่อผมนำมันไปไว้ในอุโมงค์แล้ว
คุณกลับได้ยินเสียงโน้ต B -
14:43 - 14:46แน่นอนว่า คุณอาจบอกว่านั่นเป็นเพราะ
ผมกำลังเคลื่อนที่ออกห่างจากคุณในอุโมงค์ -
14:46 - 14:51แต่มันก็อาจเป็นได้ว่า
ความดันอากาศในอุโมงค์ -
14:51 - 14:54นั้นลดลงในขณะที่เสียงเดินทางมายังหูของคุณ
-
14:54 - 14:56นั่นฟังดูออกจะเป็นไปได้ยากสักหน่อย
-
14:56 - 14:59เพราะความดันอากาศไม่ได้ลดลงเร็วแบบนั้น
-
14:59 - 15:03แต่เมื่อเราคิดถึงแสงที่เดินทางมานับพันล้านปี
-
15:03 - 15:05ที่เราต้องการ ก็คือเหล่าควอนตัม
-
15:05 - 15:11ที่มีความยืดหยุ่นเพียงเล็กน้อย
แล้วผลของเรดชิฟท์ก็จะโดดเด่นขึ้นมา -
15:11 - 15:14ยังมีอะไรอีกมากมายในการสำรวจแนวคิดนี้
-
15:14 - 15:17ถ้าคุณสนใจ เชิญไปยังเว็บไซต์นี้ได้
-
15:17 - 15:20และเชิญติชมได้ตามสบายเลยนะครับ
-
15:20 - 15:26เวลาจะหมดแล้ว ดังนั้นให้ผมสรุป ว่าพิมพ์เขียวใหม่
ของมิติทั้ง 11 นี้ ให้เครื่องมือทางความคิดแก่เรา -
15:26 - 15:29เครื่องมือที่ใช้ขยายขอบเขตของจินตนาการ
-
15:29 - 15:35และ บางที อาจจุดประกายความโรแมนติก
ในภารกิจของไอน์สไตน์ขึ้นมาอีกครั้ง -
15:35 - 15:36ขอบคุณครับ
-
15:36 - 15:39(เสียงปรบมือ)
- Title:
- จินตนาการถึงโลกในแบบ 11 มิติ: แทด โรเบิร์ต (Thad Roberts) ณ TEDxBoulder
- Description:
-
ในการบรรยายนี้ แทด โรเบิร์ต เผยให้เห็นถึงทฤษฎีที่อาจถูกพิสูจน์ว่าเป็นกุญแจสำคัญในการลดความซับซ้อนของความยุ่งยากหลายประการในกลศาสตร์ควอนตัม มิติของอวกาศ และเวลา
- Video Language:
- English
- Team:
closed TED
- Project:
- TEDxTalks
- Duration:
- 15:48
![]() |
TED Translators admin edited Thai subtitles for Visualizing Eleven Dimensions: Thad Roberts at TEDxBoulder | |
![]() |
Kelwalin Dhanasarnsombut edited Thai subtitles for Visualizing Eleven Dimensions: Thad Roberts at TEDxBoulder | |
![]() |
Kanawat Senanan approved Thai subtitles for Visualizing Eleven Dimensions: Thad Roberts at TEDxBoulder | |
![]() |
Kanawat Senanan commented on Thai subtitles for Visualizing Eleven Dimensions: Thad Roberts at TEDxBoulder | |
![]() |
Kanawat Senanan edited Thai subtitles for Visualizing Eleven Dimensions: Thad Roberts at TEDxBoulder | |
![]() |
Kanawat Senanan edited Thai subtitles for Visualizing Eleven Dimensions: Thad Roberts at TEDxBoulder | |
![]() |
Kanawat Senanan accepted Thai subtitles for Visualizing Eleven Dimensions: Thad Roberts at TEDxBoulder | |
![]() |
Unnawut Leepaisalsuwanna declined Thai subtitles for Visualizing Eleven Dimensions: Thad Roberts at TEDxBoulder |
Unnawut Leepaisalsuwanna
ตามที่คุยกันในกรุ๊ปนะครับ ผมเปลี่ยน spatial dimension ให้เป็นมิติทางพื้นที่แล้ว นอกจากนั้นจะเป็นการแก้ไขเล็กๆน้อยๆนะครับ รบกวนลองดูจาก revision history ถ้าขัดแย้งตรงไหนบอกได้เลยครับ (พี่ปั้นแปลดีมากเลย) :)
Kanawat Senanan
ขอบคุณครับ โอ ตามนั้นเลยครับ ผม review แล้วไม่มีแก้ไขเพิ่มเติม เลยขอใช้สิทธิ์ LC approve เลยแล้วกันนะครับ - ปั้น