-
วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ดูแปลก ดูสงบผิดปกติ
-
ธรรมดามาฟังเทศน์วันเสาร์จะวอกแวกๆ
-
เตรียมจะไปเที่ยวต่อ
-
พยายามศึกษาธรรมะเอาไว้
-
ดูพระไตรปิฎกได้ก็ดู
-
ดูฉบับเต็มไม่ได้ดูฉบับย่อก็ได้
-
พระไตรปิฎกสำหรับประชาชน
-
ของ อาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ เป็นเบื้องต้น
-
สนใจรายละเอียดตรงไหนก็ไปอ่านฉบับเต็มเอา
-
ก่อนหลวงพ่อจะเจอหลวงปู่ดูลย์
-
หลวงพ่อพยายามแสวงหาหนทางปฏิบัติ
-
ตั้งแต่เด็กๆ ทำแต่สมาธิ
-
ทำอานาปานสติสงบเฉยๆ
-
คิดว่าศาสนาพุทธมีอะไรมากกว่าความสงบ
-
ก็พยายามช่วยตัวเอง
ตอนนั้นไม่มีครูบาอาจารย์
-
ยังทำงานอยู่
-
อ่านพระไตรปิฎก อ่านหลายรอบ
-
ได้เห็นธรรมะดีๆ มากมายในพระไตรปิฎก
-
แต่ว่าเราไม่รู้จะตั้งต้นอย่างไร
-
หลักของการปฏิบัติมีมากมายเหลือเกิน
-
ที่พระพุทธเจ้าสอนไว้
-
จนมาเจอหลวงปู่ดูลย์
-
ท่านสอนให้หลวงพ่ออ่านจิตตัวเอง
-
พื้นฐานเราเคยอ่านตำรับตำรา มา
-
หลวงปู่ดูลย์ท่านก็บอกว่า
-
“อ่านหนังสือมามากแล้ว
ต่อไปนี้อ่านจิตตนเอง”
-
ท่านทราบว่าอ่านมามาก
-
แล้วท่านก็แนะนำให้อ่านจิตตนเอง
-
ก็พยายามมาอ่านจิตตัวเองมาเรื่อยๆ
-
ทีแรกอ่านไม่เป็นก็ไปแทรกแซงจิต
-
ไปฝึกจิตให้ว่างๆ
-
ยังติดคำว่าว่างอยู่
-
อ่านหนังสือท่านอาจารย์พุทธทาส
-
มีคำว่า ว่างๆ เยอะ
-
อ่านหนังสือเซนก็มีแต่คำว่าว่างเยอะแยะเลย
-
เลยไปทำจิตว่างๆ
-
ไปเจอหลวงปู่ดูลย์
ทำอยู่ 3 เดือนแล้วขึ้นไปกราบท่านอีกที
-
ท่านบอกทำผิดแล้วล่ะ
-
ให้ไปอ่านจิตไม่ได้ให้ไปแต่งจิต
-
ให้มันนิ่งๆ ว่างๆ นี้เป็นการปรุงแต่งเอาเอง
-
ให้อ่านเอาท่านบอกอย่างนี้
-
หลวงพ่อก็มาเริ่มอ่าน
-
เวลาเราอ่านหนังสือ คิดถึงการอ่านหนังสือ
-
เราไม่ใช่นักประพันธ์เราไม่ใช่คนแต่งหนังสือ
-
เราเป็นแค่คนอ่าน เราไม่ใช่นักวิจารณ์
-
เราเป็นแค่คนอ่าน
-
เพราะฉะนั้นเวลาจะอ่านจิตตัวเอง
-
ก็อ่านเหมือนเราอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง
-
หรือดูเหมือนดูละคร
-
เวลาเราดูละครเราไม่ใช่คนแต่งบทละคร
-
เราไม่ใช่ผู้กำกับ
-
เราไม่ใช่นักวิจารณ์ เราเป็นแค่คนดู
-
กว่าจะจับเคล็ดคำว่า “ดู” ได้
-
คำว่า “เห็นตามความเป็นจริง” ได้
-
ใช้เวลาเหมือนกัน ทำผิดอยู่ 3 เดือน
-
พยายามไปปรุงแต่งจิตเป็น
นักประพันธ์แต่งให้จิตมันดี
-
เวลามันไม่ดีเราก็เป็น
นักวิจารณ์บอกตอนนี้มันไม่ดี
-
ไม่ใช่นักดู ไม่ใช่นักอ่าน
-
พอมาอ่านทำอย่างไร ก็ดูไป
-
จิตใจของเราแต่ละวันไม่เคยเหมือนกัน
-
บางวันจิตใจเรามีความสุข
-
บางวันจิตใจเรามีความทุกข์
-
บางวันจิตเราเป็นกุศลเยอะ
-
บางวันเป็นอกุศลเยอะ
-
บางวันสงบ บางวันฟุ้งซ่าน
-
ภาวนาแล้วเห็นแต่ละวัน
จิตเราไม่เคยเหมือนกันเลย
-
เราก็ภาวนาไหว้พระสวดมนต์ นั่งสมาธิ
-
เดินจงกรมเหมือนกันทุกวัน
-
แต่จิตเราไม่เหมือนกัน
-
เห็นแต่ละวันไม่เหมือนกัน
-
อย่างหลวงพ่อเวลาอยู่ที่บ้าน
-
จะไหว้พระสวดมนต์แล้วก็นั่งสมาธิ ไม่ได้เดิน
-
เพราะบ้านเป็นบ้านโบราณบ้านไม้
-
เวลาเดินแล้วมันร้องเอี๊ยดๆ หนวกหูคนอื่นเขา
-
แต่เวลาออกมาจากบ้าน ทุกก้าวที่เดิน
-
รู้สึกไปเรื่อยๆ
-
ตามรู้ตามเห็นไปเรื่อยๆ
-
พอมาอ่านเราก็จะเห็นเลย
แต่ละวันจิตเราไม่เหมือนกัน
-
ทั้งๆ ที่ภาวนาเหมือนกัน
-
ต่อมาดูได้ละเอียดมากขึ้น
-
ไม่ได้ดูเป็นวันๆ หรอก
-
ดูเป็นช่วงเวลา
-
ตอนเช้าตอนตื่นนอนจิตใจเราเป็นแบบนี้
-
ตอนสายๆ หน่อยเป็นอย่างนี้
-
ตอนเที่ยงจิตใจเราเป็นอย่างนี้
-
ตอนบ่ายจิตใจเป็นอย่างนี้
-
ตอนเย็นๆ จิตใจเป็นอย่างนี้
-
ตอนค่ำๆ ตอนดึกๆ จิตใจไม่เหมือนกันสักที
-
ทั้งๆ ที่เป็นวันเดียวกัน
-
ก่อนจะมาเห็นตรงนี้ได้ก็
เห็นแต่ละวันไม่เหมือนกัน
-
พอภาวนามากเข้าๆ
เราเห็นว่าแต่ละห้วงเวลาไม่เหมือนกัน
-
อย่างตอนเช้าตื่นมา
แล้วเช้าแต่ละวันก็ยังไม่เหมือนกันอีก
-
อย่างเช้าวันจันทร์ตอนนั้นรับราชการ
-
เช้าวันจันทร์เบื่อ ขี้เกียจ
-
เช้าวันอังคารก็เบื่อมาก
-
เช้าวันพุธชักจะอุเบกขาแล้ว เฉยๆ แล้ว
-
เช้าวันพฤหัสเริ่มสดชื่น
-
พอเช้าวันศุกร์นี้กระดี๊กระด๊า
-
แต่ละวันไม่เหมือนกัน
-
ทั้งๆ ที่เป็นห้วงเวลาเดียวกัน
-
แต่ละวันก็ยังไม่เหมือนกันอีก
-
ตอนสายๆ แต่ละวันก็ไม่เหมือนกัน
-
ตอนเที่ยงก็ไม่เหมือนกัน สังเกตไป
-
ตอนเย็นๆ หลวงพ่อสังเกตตัวเอง
-
จิตหลวงพ่อจะมีกำลังมาก
-
ตอนเป็นโยมจิตจะมีกำลังมาก
-
ตอนสัก 4 โมงเย็นไปแล้ว
-
คล้ายๆ ทำงานใกล้จะเลิกงานแล้ว
-
จิตใจเริ่มสดชื่น
-
ตอนทำงานก็เครียดไม่ใช่ไม่เครียด
-
เพราะงานที่ทำนี้ งานที่เครียดมากๆ เลย
-
งานอยู่สภาความมั่นคง
-
วันๆ ก็เป็นเรื่องหาข้อมูลวิเคราะห์ข้อมูล
-
หาทางออกในการแก้ปัญหาแต่ละเรื่อง
-
เรื่องปวดหัวทั้งนั้นล่ะ
-
พอได้เวลาจะเลิกงานใจเริ่มผ่อนคลาย
-
ฉะนั้นเวลาสังเกตตัวเอง
-
ตอนเย็นๆ ตอนเลิกงานจิตจะมีกำลัง
-
จิตจะสดชื่นเกิดสมาธิโดยที่ไม่ต้องนั่งสมาธิ
-
ฉะนั้นตรงนี้เป็นนาทีทองสำหรับหลวงพ่อ
-
พวกเราก็ต้องไปดูตัวเอง
-
เวลาช่วงไหนในแต่ละวัน
-
เป็นช่วงที่สติของเราดีสมาธิของเราดี
-
ช่วงเวลานั้นเป็นเวลานาทีทองของวันนั้น
-
เราควรจะสงวนควรจะรักษา
ช่วงเวลานี้เอาไว้ภาวนา
-
เพราะฉะนั้นหลวงพ่อ
พอเลิกงานแล้วไม่ทำอะไรหรอก
-
กลับบ้าน
-
ไม่เอานาทีทองตัวนี้ไปทำลายทิ้ง ไปเที่ยว
-
คนเขาก็ชวนไปเที่ยว
ผับเที่ยวบาร์อะไรอย่างนี้
-
ไม่ไป บอกไม่ชอบ
-
แล้วจริงๆ ก็คือไม่ชอบไม่ได้โกหก
-
เคยหลุดเข้าไปในบาร์หรือในผับอะไรทีหนึ่ง
-
นี่มันนรกชัดๆ เลย
-
เสียงก็ดัง ไฟก็วูบๆ วาบๆ คนก็หลง
-
แล้วก็ดื่มน้ำทองแดงกัน
-
เข้าไปเห็นครั้งเดียวเข็ดเลย หนีตลอด ไม่ยอม
-
ใครชวนอย่างไรก็ไม่ไป
-
เรื่องอะไรอยู่ดีๆ
เป็นมนุษย์ดีๆ ไปตกนรกเล่น
-
ฉะนั้นพอเลิกงานตกเย็นตกค่ำ
-
หลวงพ่อภาวนา
-
ขึ้นรถเมล์กลับบ้านก็ภาวนา
-
ตอนเช้าขึ้นรถเมล์ไปทำงานก็ภาวนา
-
ตอนจะกินข้าวก็ภาวนา
-
ภาวนาไม่ใช่ไปนั่งพุทโธๆ อะไรหรอก
-
มีสติอ่านจิตใจตัวเองไปไม่หยุด
-
จิตใจเรามีความสุขก็รู้ จิตใจเราทุกข์ก็รู้
-
จิตสงบก็รู้ จิตฟุ้งซ่านก็รู้
-
ฝึกไปเรื่อยๆ
-
ต่อมาสติแข็งแรงมากขึ้นๆ สมาธิดีขึ้น
-
คราวนี้ไม่ได้เห็นความเปลี่ยนแปลง
ของจิตตามห้วงเวลาแล้ว
-
ถ้าอ่อนที่สุดก็เห็นว่าแต่ละวันไม่เหมือนกัน
-
ถ้าพัฒนาขึ้นมาแล้วเห็นว่า
แต่ละเวลาไม่เหมือนกัน
-
พอสติเราเร็วจริงๆ สมาธิเราดีจริงๆ
-
เราจะเห็นว่าแต่ละขณะไม่เหมือนกัน
-
อย่างตอนเช้านี้
-
จิตเราเปลี่ยนไป
ไม่รู้กี่ร้อยกี่พันครั้งแล้ว
-
แค่ช่วงเช้าแป๊บเดียวนั้น
-
ค่อยๆ สังเกตเอา
-
อย่างออกจากบ้านหรืออยู่ในบ้าน
-
ตอนเช้าจะไปทำงาน
-
พยายามจะขับถ่ายกลัวไปปวดท้องกลางทาง
-
วันนี้ขับถ่ายสะดวก
-
จิตใจสบายรู้สึกผ่อนคลาย
-
วันนี้ท้องผูกไม่ยอมถ่าย กลุ้มใจ
-
ไม่ได้รู้แค่ว่าถ่ายได้ไม่ได้
-
รู้เข้ามาถึงจิตถึงใจเลย
-
จิตใจยินดีพอใจหรือจิตใจกลุ้มใจ
-
นี่คือการปฏิบัติ
-
ถ้าปฏิบัติเก่งเฉพาะตอนนั่งสมาธิ
เดินจงกรมถือว่ายังอ่อนหัดมากเลย
-
ต้องฝึกให้ได้ มีสติอยู่ทุกขณะ
-
คำว่า “ทุกขณะ” ไม่ถึงขณะตามตำราอภิธรรม
-
ตำราอภิธรรมบอกว่าลัดนิ้วมือหนึ่ง
-
จิตเกิดดับแสนโกฏิขณะ
-
ลัดนิ้วมือ ดีดนิ้วทีหนึ่ง
-
จิตเกิดดับแสนโกฏิขณะ อันนั้นตำรา
-
ทางวิทยาศาสตร์ก็พบว่า
-
มันมีช่วงเวลากว่าที่จิตจะ
ขึ้นมารับอารมณ์แต่ละครั้ง
-
แล้วรู้เรื่องว่าอะไรเป็นอะไร ใช้เวลา
-
แต่ไม่ถึงวินาทีผุดความรู้สึกขึ้นมาแล้ว
-
เราก็ดูจากความเป็นจริงที่เราเห็น
-
ไม่ได้ดูจากตำรา
-
ตำราก็อาจจะถูกก็ได้
-
แต่สติเราไม่ละเอียดพอที่จะเห็น
-
ต้องตีความอย่างนี้ไว้ก่อน ไม่ใช่
-
ทำได้ไม่เหมือนตำราบอกตำราผิด
-
อันนั้นเซลฟ์จัดเกินไปแล้ว
-
เราดูเท่าที่เราดูได้
-
หลวงพ่อเห็นว่าจิตมันเปลี่ยนอยู่ทุกขณะ
-
ขณะอะไรไม่ใช่ขณะจิตหรอก
-
ขณะที่ตาเห็นรูปก็เกิดความเปลี่ยนแปลงที่จิต
-
ขณะที่หูได้ยินเสียง
ก็เกิดความเปลี่ยนแปลงที่จิต
-
ขณะที่จมูกได้กลิ่น
ลิ้นกระทบรสกายกระทบสัมผัส
-
ก็เกิดความเปลี่ยนแปลงที่จิต
-
ขณะที่จิตมันคิด
-
จิตมันคิดนึกปรุงแต่งก็เกิดความเปลี่ยนแปลง
-
คิดเรื่องนี้เกิดสุข คิดเรื่องนี้เกิดทุกข์
-
คิดเรื่องนี้เกิดราคะ คิดเรื่องนี้เกิดโทสะ
-
อยู่เฉยๆ จะมีโทสะได้ไหม ไม่ได้หรอก
-
ต้องตามหลังความคิดเรียกพยาบาทวิตกมาก่อน
-
อยู่ๆ จะเกิดราคารุนแรงอะไรได้ไหม ไม่ได้
-
ต้องมีกามวิตกมาก่อน
-
แล้วทั้งหมดต้องหลง
-
ทีแรกเราไม่เห็นขนาดนั้น
-
เราภาวนาเราเห็นว่าจิตเราเปลี่ยนทุกขณะ
-
ขณะที่กระทบอารมณ์นั่นล่ะ ไม่ใช่ขณะจิตหรอก
-
ตาเห็นรูป
-
ทีแรกบอกเห็นรูปใจก็โกรธขึ้นมาอะไรอย่างนี้
-
ดูละเอียดลงไปอีก ไม่ต้องตั้งใจดู
-
แต่เราฝึกสติของเราไปเรื่อยๆ
ฝึกสมาธิของเราไปเรื่อยๆ
-
มันจะเห็นได้ละเอียดๆๆ เข้าไปอีก
-
ขณะที่ตาเห็นรูป
-
จิตไม่มีความสุขไม่มีความทุกข์
-
จิตเฉยๆ ขณะที่ตามองเห็น
-
จะเกิดสุขเกิดทุกข์
เกิดกุศลอกุศลมาเกิดทีหลัง
-
พอตาเห็นรูปปุ๊บมันจะมีการแปล
-
เราจะเห็นการแปลความหมายของรูป
-
รูปนี้คืออะไร
-
แล้วอนุสัยความคุ้นเคยมันก็ให้ค่าออกมา
-
พอใจรูปนี้สวยงาม เห็นดอกไม้สวย
-
ตรงที่ตาเห็นดอกไม้สวยไม่มีคำว่าสวยหรอก
-
ตาเห็นรูปเฉยๆ ตาไม่เห็นของสวยหรอก
-
ตาเห็นแล้วก็จิตมันแปล
ว่านี่ดอกไม้นี่ดอกกุหลาบ
-
สวยเชียว ดอกก็โตสวย
-
พอมีการให้ค่าขึ้นมา
-
ใจก็ยินดีพอใจ ราคะก็เกิด
-
ตามหลังความคิดมา ความคิดที่เป็นกามวิตก
-
กระบวนการมันจะค่อย
ยิ่งภาวนามันยิ่งละเอียดๆๆ เข้าไป
-
เราจะรู้เลยว่าขณะที่ตามองเห็นไม่มีกิเลส
-
แล้วจิตก็เป็นอุเบกขา
-
ขณะหูได้ยินเสียงก็ไม่มีกิเลส
-
ขณะที่จมูกได้กลิ่น
ลิ้นกระทบรส กายกระทบสัมผัส
-
ก็ยังไม่มีกิเลส
-
ตรงที่ใจมันกระทบความคิดแล้วความคิดมันนำไป
-
กิเลสมันก็ทำงานขึ้นมาได้
-
คอยรู้คอยดูค่อยๆ ฝึกไปเรื่อยๆ
-
แล้ววันหนึ่งก็เข้าใจหรอก
-
สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นก็ดับ
-
ไม่มีสิ่งใดที่เกิด
แล้วสิ่งนั้นไม่ดับ ไม่มีเลย
-
เราภาวนาเรื่อยๆ
เราก็เห็นสุขเกิดแล้วสุขก็ดับ
-
ทุกข์เกิดแล้วทุกข์ก็ดับ
-
กุศลเกิดแล้วกุศลก็ดับ
-
อกุศล โลภ โกรธ หลงเกิดแล้วมันก็ดับ
-
จิตที่ไปดูรูปเกิดแล้วก็ดับ ตรงนี้ละเอียด
-
ละเอียดกว่าที่จะรู้
จิตสุขจิตทุกข์จิตดีจิตชั่ว
-
คือเห็นจิตมันเกิดดับทางอายตนะทั้ง 6
-
จิตเกิดที่ตาดับที่ตา จิตเกิดที่หูดับที่หู
-
จิตเกิดที่จมูกดับที่จมูก
เกิดที่ลิ้นดับที่ลิ้น
-
เกิดที่ร่างกายดับที่กาย
จิตเกิดที่ใจก็ดับที่ใจ
-
จิตเกิดที่ไหนก็ดับที่นั้น
จิตไม่ได้มีดวงเดียว
-
หัดภาวนาทีแรกเรารู้สึกจิตมีดวงเดียว
-
แล้วก็เที่ยวร่อนเร่ไปทางทวารทั้ง 6
-
คิดว่าจิตมีดวงเดียว
-
ดวงนี้หลงไปดูพอรู้ทันมันก็วิ่งกลับมา
-
มันหลงไปฟังพอรู้ทันมันก็วิ่งกลับมา
-
เข้าฐาน เห็นจิตเหมือนตัวแมงมุม
-
เดี๋ยวก็วิ่งไปข้างซ้าย
เดี๋ยวก็วิ่งไปข้างขวา
-
เดี๋ยวขึ้นข้างบนเดี๋ยวลงข้างล่าง
-
แมงมุมมีตัวเดียววิ่งไปวิ่งมา
-
พอเราภาวนาละเอียดเข้าๆ เราเห็น
-
จิตเกิดที่ไหนก็ดับที่นั้น
-
จิตเสวยอารมณ์อันไหนก็ดับพร้อมอารมณ์อันนั้น
-
เกิดดับไปด้วยกัน
-
มันถี่ยิบขึ้นมา จะเห็น
-
ทีแรกเรายังไม่เห็นหรอก
-
เราต้องฝึกให้มีจิตที่เป็นผู้รู้ก่อน
-
จิตตั้งมั่นเด่นดวงขึ้นมา
-
เป็นมหากุศลจิตประกอบด้วยปัญญา
-
เกิดขึ้นโดยไม่ได้จงใจ
-
ต้องเป็นจิตชนิดนี้ถึงจะมีกำลังมากพอ
-
ที่จะเดินปัญญาได้จริง
-
ไม่อย่างนั้นยังเป็นปัญญาพื้นๆ คิดๆ เอา
-
แต่ถ้าจะขึ้นวิปัสสนาปัญญา
-
จิตต้องตั้งมั่นอัตโนมัติมีกำลัง
-
ของฟรีไม่มีก็ต้องฝึก
-
วิธีฝึกให้จิตตั้งมั่นทำอะไรดี
-
ทำได้ 2 วิธี หนึ่ง
ฝึกเข้าฌานที่ประกอบด้วยสติ
-
อันที่สอง อาศัยสัมมาสติ
หรือสติระลึกรู้รูปนามกายใจ
-
พอสติเราระลึกรู้รูปธรรมนามธรรม
-
ถูกต้องตรงตามความเป็นจริง
-
จิตที่ตั้งมั่นก็จะเกิดขึ้นเอง
-
เพราะฉะนั้นเจริญสัมมาสติให้มาก
แล้วสัมมาสมาธิจะเกิดร่วมด้วย
-
เกิดด้วยกันกับสัมมาสติ
-
ขาดสตินี่
-
สัมมาสัมมาทั้งหลายหายหมดเลยไม่เหลือเลย
-
ฉะนั้นต้องฝึกสติให้ดี
-
วิธีฝึกสติอยู่ในหลักสูตร
ชื่อการเจริญสติปัฏฐาน
-
มี 4 อย่าง กาย เวทนา จิต ธรรม
-
ถนัดอันไหนเอาอันนั้น แล้วได้ทุกอัน
-
สุดท้ายได้ทั้งหมดล่ะ
-
อย่างเราหัดรู้สึกร่างกาย
-
ร่างกายเคลื่อนไหวรู้สึก
ร่างกายเคลื่อนไหวรู้สึกไปเรื่อยๆ
-
ต่อมาจิตเราหลงไป
-
ร่างกายเราขยับปุ๊บเรารู้เลยว่าจิตหลงไปแล้ว
-
มันก็เข้ามารู้จิตได้
-
สติปัฏฐาน 4 มันก็
เหมือนโต๊ะตัวเดียวกันนี้ล่ะ
-
แต่มันมี 4 มุม
-
แข็งแรงหน่อยก็ยกมุมใด
มุมหนึ่งมันก็ขึ้นมาหมดแล้ว
-
ได้หมดล่ะ ไม่ยาก
-
ชาวพุทธเราอย่าทิ้งการเจริญสติปัฏฐาน
-
ตราบใดที่ยังมีการเจริญสติปัฏฐานอยู่
-
การบรรลุมรรคผลนิพพานยังมีความเป็นไปได้
-
ไม่เจริญสติปัฏฐาน
ไม่มีทางบรรลุมรรคผลอะไรหรอก
-
วิชาสติปัฏฐานเป็นวิชาที่ดี
-
ส่วนวิชาที่จะอยู่กับโลก
-
เขาเรียก เดรัจฉานวิชา
-
พระพุทธเจ้าไม่ได้ด่าเดรัจฉานวิชา
-
อย่าเข้าใจผิด
-
ตัวอย่างเดรัจฉานวิชาคืออะไร
-
แพทยศาสตร์นี้เดรัจฉานวิชา
-
รัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์
-
ทันตแพทยศาสตร์ นิเทศศาสตร์
-
เดรัจฉานวิชาทั้งนั้นเลย
-
วิชาหมอนวดก็เดรัจฉานวิชา
-
คำว่าเดรัจฉานวิชาไม่ได้แปลว่า
วิชาของสัตว์เดรัจฉาน
-
ดิรัจฉาน ตัวนี้แบบไปทางขวางไปทางนี้ ขวาง
-
สัตว์เดรัจฉาน สังเกตไหม
-
กระดูกสันหลังมักจะขวาง คือขนานกับโลก
-
เดรัจฉานวิชาคือวิชาที่จะอยู่กับโลก
-
จำเป็นต้องมีไหม จำเป็น
-
ถ้าขืนไม่มีเดรัจฉานวิชาทำมาหากินไม่เป็น
-
รู้วิธีเลี้ยงเด็กก็เดรัจฉานวิชา
-
รู้วิธีเลี้ยงเสือ ตอนนี้หมูเด้งจืดแล้ว
-
ตอนนี้มีเสือชื่ออะไร น้องเอวา
-
คนเลี้ยงเสือได้เขาก็มีวิชาของเขา
-
ให้เราไปเลี้ยง เสือเอาไปกิน
-
ฉะนั้นเดรัจฉานวิชาไม่ใช่วิชาต่ำต้อย
-
เป็นวิชาที่ต้องเอาไว้อยู่กับโลก
-
สิ่งที่ตรงข้ามกับเดรัจฉานวิชา
คือวิชาทางตั้ง แนวตั้ง
-
เดรัจฉานวิชามันแนวขนาน ขนานไปกับโลก
-
แนวตั้งคือการปฏิบัติธรรมนั่นล่ะ
-
พัฒนาไตรสิกขาศีล สมาธิ ปัญญาขึ้นมา
-
แล้วลงท้ายไปเจริญสติปัฏฐานให้ได้
-
ในที่สุดก็จะพ้นโลก
-
เหมือนยิงจรวด ยิงจรวดขึ้นไปอย่างนี้
-
ถ้าเครื่องบินมันขนานกับโลกมันก็ไปอย่างนี้
-
ไปจากที่หนึ่งของโลกไปอีกที่หนึ่งของโลก
-
ถ้าเป็นทางจิตใจก็คือ
จากภพนี้ก็ย้ายไปอีกภพหนึ่ง
-
ก็เวียนว่ายตายเกิดในภพน้อยภพใหญ่
-
แต่วิชาโลกุตตระ วิชาแนวตั้ง
-
เหมือนจรวดลอยขึ้นไปพ้นจากโลก
-
อยู่เหนือโลกก็คือคำว่า โลกุตตระ
-
คนยุคนี้ไม่เรียนธรรมะ ก็
-
ชอบวิจารณ์ตัดสินพระบ้าง ตัดสินฆราวาสบ้าง
-
ว่าทำไม่ถูกอะไร อย่างนี้
-
อย่างวิชาหมอดูเป็นเดรัจฉานวิชา
-
พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ว่าอะไร
-
ที่ท่านห้ามมีอันเดียว
-
ห้ามพระประกอบอาชีพทางเดรัจฉานวิชา
-
ท่านห้ามตัวนี้ต่างหากล่ะ
-
ท่านไม่ได้ห้ามฆราวาส อย่ามั่ว
-
ถ้าพระไปรักษาโรค
-
พระสมัยโบราณจะรักษาโรค
-
คนไม่สบายไม่รู้จะไปไหน โรงพยาบาลไม่มี
-
หามกันไปหาพระ กระดูกหักให้พระต่อให้
-
พระทำเดรัจฉานวิชาไหม ทำ
-
อาบัติไหมไม่อาบัติ
-
เพราะไม่ได้เอาไว้ทำมาหากิน
-
ทำเพื่อสงเคราะห์โลก
-
ไม่มีความละเอียดรอบคอบไม่เข้าใจ
เรื่องธรรมวินัยแล้วชอบตัดสิน
-
พระทำอย่างนี้ไม่ถูก
อันนี้ก็ไม่ถูก นั่นก็ไม่ถูก
-
พระดีๆ ก็คือพระพุทธรูป
-
ห้ามกระดุกกระดิกทำอะไรไม่ได้เลย
-
พอไม่ได้เรียนไม่ได้ศึกษาแล้วก็
-
ชอบมั่วชอบตีความชอบตัดสิน มั่วมาก
-
ทำให้พระธรรมวินัยศาสนาอยู่ยาก อยู่ลำบาก
-
ธรรมะจริงๆ สูญหายไป
-
สัทธรรมปฏิรูปเกิดขึ้นมาแทนที่
-
บางทีพูดแล้วโก้เก๋ดี
-
พูดแล้วแหมดูดีจังเลย
-
คนที่พูดแล้วดูดีที่มีชื่อเสียงที่สุดเลย
-
คือเทวทัต
-
เทวทัตเป็นคนเสนอพระพุทธเจ้า
-
บอกต่อไปนี้พระต้องมักน้อยสันโดษ
-
ต้องดำรงชีวิตด้วยอาหารบิณฑบาตเท่านั้น
-
ต้องใช้ผ้าบังสุกุลจีวรเท่านั้น
-
ต้องไม่มีกุฏิไม่มีอะไร
-
ไม่สร้างวัดสร้างวาอะไร
-
อยู่ตามธรรมชาติธรรมดา
-
ต้องกินมังสวิรัติ ฟังแล้วดี
-
พวกคนไม่ฉลาดก็เคลิ้ม
-
เทวทัตเคร่งครัดกว่าพระพุทธเจ้าอีก
-
ส่วนหนึ่งพวกพระก็ยังตามไปเลย
-
ตามเทวทัตไปเป็นร้อยๆ เลย
-
แล้วต่อมาพระโมคคัลลานะ สารีบุตร
-
ท่านไปอธิบายธรรมะให้ฟัง
-
ตอนที่ท่านเข้าไปสำนักของเทวทัต
-
เทวทัตกำลังเทศน์ให้ลูกศิษย์ฟังอยู่
-
พอเห็นพระโมคคัลลานะ สารีบุตรเข้าไปก็ดีใจ
-
นึกว่าแปรพักตร์จากพระพุทธเจ้า
มาเป็นสาวกของเทวทัตแล้ว
-
เทวทัตก็บอกว่าช่วยเทศน์แทนหน่อย
-
เมื่อยแล้วจะไปนอน
-
พอตื่นมาลูกศิษย์หายไปหมดแล้ว
-
มาฟังเทศน์พระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร
-
รู้ผิดชอบชั่วดีถอยออกมาเลย
-
เหลือที่ไม่ถอยออกมาไม่มาก
-
พวกที่ถอยออกมาก็มาภาวนา
-
จำไม่ได้ว่าออกมาแล้วภาวนาแล้วผลเป็นอย่างไร
-
แต่มีเรื่องเล่าอันหนึ่ง
-
อันนี้ต้องใช้วิจารณญาณในการฟัง
-
สำนวนนี้เคยคุ้นๆ ไหม
-
ต้องใช้วิจารณญาณในการฟัง
-
เมื่อก่อนหลวงพ่อเคยรู้จักพระองค์หนึ่ง
ตอนหลวงพ่อยังไม่บวช
-
ท่านพิการมือนิ้วท่านติดกันอย่างนี้
-
ติดกันหมดเลย
-
แล้วท่านบอกท่านพิการมาแต่เด็กเลย
-
สงสัยบาปกรรมอะไรทำให้พิการอย่างนี้
-
ท่านก็ระลึกๆ ไป จริงหรือเปล่าไม่รู้
-
อันนี้ท่านเล่าพิสูจน์ไม่ได้
-
ท่านบอกท่านเคยเป็นลูกศิษย์เทวทัต
-
แต่กลับใจแล้ว กลับใจแล้ว
-
ตอนเป็นลูกศิษย์เทวทัตก็ประกาศ
ว่าต่อไปนี้จะไม่ไหว้พระพุทธเจ้าแล้ว
-
แล้วต่อมาก็เปลี่ยนใจกลับเข้ามา
-
บอกว่าอกุศลนี่ นิ้วของท่านเป็นแบบนี้
-
แยกออกจากกันไม่ได้ ทำได้แค่นี้
-
จริงหรือเปล่าไม่รู้
-
อันนี้เรื่องของกรรมเป็นเรื่องอจินไตย
-
แต่การกระทำทั้งหลายทั้งปวงย่อมมีผลแน่นอน
-
ลูกศิษย์เทวทัตปรามาสพระพุทธเจ้า
ปรามาสพระสาวก
-
ก็ต้องรับวิบาก เทวทัตก็ต้องรับวิบาก
-
เพราะฉะนั้นเวลาเราได้ยินใครเขาเสนอวาทะ
-
คมคายดูดีเหลือเกินเลย
-
ต้องทบทวนว่ามันตรงกับพระไตรปิฎกหรือเปล่า
-
บางทีการเสนออะไรที่เข้มมากๆ
-
พระพุทธเจ้าท่านไม่เอา ท่านบอก
-
เดี๋ยวศาสนาจะอยู่ยาก ศาสนาจะอันตรธานเร็ว
-
อย่างเป็นพระบอกต้องฉันเจอย่างเดียว
-
ชาวบ้านเขาไม่ได้กินเจ
-
ใครเขาจะมาหาอาหารเจให้ทุกวันๆ
-
สุดท้ายพระอาหารไม่พอแล้วก็อยู่ไม่ได้
-
ศาสนาก็หายไป พระหายไปไม่มีใครสืบทอด
-
ฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านจะไม่สุดโต่งๆ
-
ศาสนาถึงได้ยืนยาวมาถึงทุกวันนี้
-
ทำไมมาเรื่องนี้ได้ก็ไม่รู้
-
รวมความก็คือต้องเจริญสติปัฏฐาน
-
หลวงพ่อสอนอยู่ทุกวี่ทุกวันก็เรื่องนี้ล่ะ
-
แต่ก่อนที่เราจะมาเจริญสติปัฏฐานได้
-
บทเรียนของเราต้องครบ ไตรสิกขา
-
ศีลต้องรักษา
-
ตั้งใจไว้ก่อนจะรักษาศีล 5
ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
-
เรื่องรักษาศีลก็เคยมี
คนถามหลวงปู่เทสก์กระมัง
-
บอกว่า ถ้าท่านเดินไปแล้วเห็นผู้หญิงตกน้ำ
-
พระจะกระโดดลงไปช่วย
-
อาบัติไหมไปจับตัวผู้หญิง
-
ไม่ช่วยจิตจะเศร้าหมองไหม
-
ถ้าจิตเศร้าหมองแสดงว่า
-
ตรงนั้นเราต้องทำชั่วอะไรสักอย่างแล้ว
-
อย่างเราเห็นผู้หญิงตกน้ำ แล้วเราก็อุเบกขา
-
จริงๆ แล้วจิตจะไม่ดีเลย จิตจะกระด้าง
-
เห็นสัตว์ลำบากแล้วเฉยเมย
-
คิดว่าความเฉยเมยคืออุเบกขา ไม่ใช่
-
เป็นความใจไม้ไส้ระกำ
-
ท่านบอกว่าท่านก็ใช้วิธีนี้สิ
-
ท่านกระโดดลงไปในน้ำไปอยู่ใกล้ๆ เขา
-
เดี๋ยวเขาก็เกาะท่านท่านก็ว่ายเข้าฝั่ง
-
ท่านว่าอย่างนี้ แต่หลวงพ่อคงไม่เอา
-
ขืนมาเกาะเราก็พากันจมแน่เลย
-
หาไม้หาอะไรโยนให้ ให้เกาะ ก็ต้องช่วย
-
จำเป็นจริงๆ
-
ก็ลงไปลากขึ้นมาแล้วมาปลงอาบัติเอา
-
บางทีก็ต้องคิดต้องพิจารณา
-
ถือศีลเคร่งๆ ไปเลยแบบงมงายก็ใช้ไม่ได้
-
ศีลรักษาไปเพื่อให้จิตใจเป็นปกติ
-
เพื่อให้หมู่สงฆ์สงบสุข
-
เพื่อให้คนที่ยังไม่เลื่อมใสเกิดเลื่อมใส
-
เพื่อให้คนที่เลื่อมใสแล้ว
-
มีความมั่นคงในพระศาสนา เลื่อมใสมั่นคง
-
ศีลไม่ได้ถือเอาไว้ทรมานตัวเอง
-
ศีลไม่ได้ถือไว้ใจร้ายกับคนอื่น
-
เพราะฉะนั้นก็ต้องรู้จักอะไรควรอะไรไม่ควร
-
เห็นมีพระมีข่าวเรื่อยเลย ดูแลแม่
-
เช็ดอึเช็ดฉี่อาบน้ำให้อะไรให้
-
ถามว่าถูก ไม่ถูก ก็ไม่ถูก
-
ถ้าไม่มีใครทำให้ก็ต้องทำ
-
อาบัติร้ายแรงไหม อาบัติไม่ร้ายแรง
-
อาบัติที่ร้ายแรงคือภิกษุมี
ความกำหนัดจับต้องกายหญิง
-
ไม่ได้มีความกำหนัดมีแต่ความเมตตา
-
ดีกรีมันมี
-
ว่ามันผิดร้ายแรงแค่ไหน
-
ไม่ใช่เห็นอะไรก็บอกจับสึกๆ
-
ทุกวันนี้ง่ายเหลือเกิน
เจอพระไม่ชอบใจ บอกจับสึก
-
เพราะฉะนั้นต้องเรียน ขอแนะนำ
-
อ่านพระไตรปิฎกดีที่สุดเลยหัดอ่านไป
-
พระวินัย พระสูตรพวกนี้ อ่าน
-
อภิธรรมอ่านไม่รู้เรื่อง
-
ต้องไปเรียนอภิธัมมัตถสังคหะอะไรพวกนั้นก่อน
-
ศีลต้องรักษา สมาธิต้องฝึก
-
ทุกวันแบ่งเวลาไว้เลย
-
ถึงเวลาจะต้องปฏิบัติในรูปแบบ
-
ทำไมหลวงพ่อไม่ใช้คำว่าถึงเวลา
ให้ไปนั่งสมาธิให้ไปเดินจงกรม
-
เพราะว่าแต่ละคนรูปแบบ
ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน
-
บางคนกวาดพื้นอยู่เป็นเครื่องอยู่
-
นั่นคือการทำในรูปแบบของเขา
-
ตอนหลวงพ่อบวชครั้งแรกที่วัดชลประทาน
-
หลวงพ่อปัญญาเป็นพระอุปัชฌาย์
-
มีพระผู้เฒ่าองค์หนึ่งกุฏิอยู่ติดๆ กัน
-
ท่านกวาดวัด ฉันข้าวเสร็จตอนเช้าก็กวาดวัดไป
-
กวาดจากหน้าวัดไปท้ายวัด
-
ท้ายวัดกวาดมาหน้าวัด
-
กวาดอยู่อย่างนั้นทั้งวัน
-
หลวงพ่อตอนนั้นโง่ ก็ไปบอกท่าน
-
บอกหลวงพ่อทำไมไม่นั่งสมาธิไม่เดินจงกรม
-
ไม่ต้องห่วงเดี๋ยวผมช่วยกวาด
-
เราไปนั่งสมาธิกันดีกว่า
-
ท่านก็ยิ้มหวานหลวงพ่อ
ยังจำรอยยิ้มของท่านได้
-
ท่านบอกคุณบวชสั้นๆ คุณไปนั่งสมาธิเดินจงกรม
-
เดี๋ยวผมกวาดเอง
-
นี่ความโง่ของเรา
-
ที่จริงท่านภาวนาทั้งวันเลย
-
ร่างกายท่านเคลื่อนไหวท่านกวาดใบไม้
-
กวาดถนนกวาดใบไม้กวาดไปเรื่อยๆ
-
ร่างกายเคลื่อนไหวรู้สึก
-
เห็นรูปเคลื่อนไหวใจเป็นคนรู้
-
เราภาวนาเป็นแล้วเราถึงนึกถึงท่านได้
-
โอ๊ยตายแล้ว
-
เราไปบอกท่านด้วยความโง่ของเราแท้ๆ
-
แต่ประกอบด้วยเมตตา
-
ความโง่นั้นไม่ได้ประกอบด้วย
-
ดูถูกว่าท่านไม่ยอมไปนั่งภาวนา
-
เรามีความเมตตาอยากให้
ท่านได้ภาวนาบ้างมีเวลาบ้าง
-
เพราะฉะนั้นหลวงพ่อจะใช้คำว่าทำในรูปแบบ
-
รูปแบบแต่ละคนไม่เหมือนกัน
-
แค่กวาดวัดก็เป็นการปฏิบัติในรูปแบบแล้ว
-
ได้เห็นรูปเคลื่อนไหวใจเป็นคนรู้
-
อย่างบางคน
-
หลวงพ่อไปที่บ้านจิตสบาย
เห็นมีคนหนึ่งส่งการบ้าน
-
หลวงพ่อดูแล้วคนนี้
ไม่เคยช่วยเมียทำงานบ้านเลย
-
เมียก็ชักโมโห
-
บอกไปช่วยเมียทำงาน ช่วยเมียซักผ้า ถูบ้าน
-
เขาเชื่อเขาไปทำ แล้วจิตใจเขาก็สบาย
-
สบายเพราะอะไร เพราะเมียไม่ด่า
-
เมียไม่บ่นแล้วสบายใจ
-
ก็รู้เนื้อรู้ตัว ทำงานไปรู้เนื้อรู้ตัวไป
-
ในครอบครัวก็ดีจิตใจตัวเองก็ดี
-
นี่ทำในรูปแบบ
-
ไม่ใช่ทำในรูปแบบต้อง
นั่งสมาธิท่านี้ต้องเดินท่านี้
-
บางทีเดินจงกรมต้องกำหนดโน้นกำหนดนี้
-
มีเท่านั้นจังหวะเท่านี้จังหวะ ทำแล้วเครียด
-
ทำแล้วเครียดไม่ใช่การปฏิบัติหรอก
-
ทำอกุศลที่ยังไม่เกิดให้เกิด
-
ทำอกุศลที่เกิดแล้วให้แรงขึ้น
-
อย่างทำแบบเครียดๆ ไปเรื่อยๆ
-
อกุศลอะไรจะแรง กูเก่ง กูดีกว่าคนอื่น
-
อกุศลพวกนี้จะเด่นขึ้นมา
-
เพราะฉะนั้นถึงเวลาไปทำในรูปแบบ
-
ถนัดกรรมฐานอะไรเอานั้นล่ะ
-
มีต้นไม้เยอะก็ไปรดต้นไม้
-
อย่างที่นี่ตกเย็นพระต้องไปรดต้นไม้
-
ต้นไม้มี 2 ส่วน
-
ต้นไม้รอบๆ กุฏิอันนี้เช้าๆ เขาก็รดกันแล้ว
-
ทางเดินก็แบ่งกันกวาดทั่ววัด
-
แต่ฤดูนี้พอกวาดเสร็จคล้อยหลัง
-
ลมพัดทีเดียวใบไม้ลงมาเต็มเหมือนเดิม
-
แต่ไม่ต้องกวาดซ้ำแล้ว
-
เพราะถ้ากวาดก็คือไม่ต้องทำอย่างอื่นแล้ว
-
อย่างน้อยก็รักษาข้อวัตร
-
กวาดแล้ว ตั้งใจกวาด
-
ตอนเช้าก็รดต้นไม้รอบๆ กุฏิ
-
ตอนเย็นไปรดต้นไม้ฝั่งโน้น
-
ไปปลูกป่ากันไว้ร่วมร้อยไร่
-
แบกน้ำตักน้ำใส่ถังเอาไปรดต้นไม้
-
รดทีละต้นทีละต้น
-
ฝั่งโน้นไม่รู้ต้นไม้กี่พันต้น ฝั่งโน้น
-
ถามว่าเสียเวลาภาวนาไหม ไม่เสีย
-
เวลาตักน้ำรู้สึกตัวหิ้วน้ำไปรู้สึกตัว
-
ถ้าไม่รู้สึกทำอะไร ไม่รู้สึกตัวก็ทำน้ำหก
-
หรือเดินตกหลุมตกบ่อแข้งขาเคล็ด
-
บางองค์ขาเส้นเอ็นพลิกเดินเผลอไปหน่อย
-
นี่คือการปฏิบัติ ไปรดต้นไม้
-
ทุกวันทำอย่างนี้ล่ะ
-
เห็นไหมต้องมีรักษาศีล
-
ต้องทำในรูปแบบทุกวันๆ
-
แล้วก็ต้องเจริญสติในชีวิตประจำวัน
-
ถ้าทำได้อย่างที่บอก 3 อย่างนี้
-
มรรคผลไม่ไกลหรอก
-
การเจริญสติในชีวิตประจำวัน
ส่วนใหญ่ก็คือการเจริญสติปัฏฐานนั่นล่ะ
-
อย่างเรามีสติเห็นร่างกายหายใจออก
มีสติเห็นร่างกายหายใจเข้า
-
แล้ววันไหนจิตใจเราฟุ้งซ่าน
-
เราเห็นร่างกายหายใจออกหายใจเข้าสักพักหนึ่ง
-
จิตมันจะรวมลงไป จะพักผ่อนหายฟุ้งซ่าน
-
วันไหนจิตเรามีกำลังอยู่แล้ว
หายใจออกรู้สึกหายใจเข้ารู้สึก
-
เราก็จะเห็นว่าร่างกายที่
หายใจเป็นคนละอันกับจิต
-
ร่างกายกับจิตแยกออกจากกัน
-
ขึ้นเจริญปัญญาแล้ว
-
ฉะนั้นแค่เราหายใจมันมีทั้งสมถะทั้งวิปัสสนา
-
อย่างเวลาจะทำสมาธิเราก็หายใจไป
-
แล้วถ้าจิตมันต้องการพักผ่อนมันจะรวมสงบลงไป
-
รวมเองไม่ต้องสั่งให้รวมเลย
-
ยกเว้นมีวสีชำนาญแล้ว
-
นึกอยากรวมเมื่อไรก็รวมได้ทันที
-
แต่ถ้ายังรวมไม่ได้ก็อย่าไปตกใจ
-
ถึงเวลาเราก็ทำกรรมฐานไป
-
แล้วถ้าจิตมันต้องการพัก
มันรวมเองมันเข้าเอง
-
ตอนที่เกิดอริยมรรคอริยผลจิตก็รวมเอง
-
ถ้าตั้งใจรวมไม่ค่อยได้เรื่องหรอก
-
ยังเจือโลภเจตนาอยู่
-
อย่างเราหายใจไป หายใจไป
-
วันนี้จิตเรามีกำลังแล้ว
-
มันไม่รวม ไม่เคลิ้ม
-
ตั้งมั่นทรงตัวขึ้นมา
-
สติระลึกรู้กายก็เห็นไตรลักษณ์ของกาย
-
ใครเป็นคนรู้กาย จิตเป็นคนรู้กาย
แล้วก็เห็นไตรลักษณ์ของจิต
-
เวทนาเกิดขึ้นในกาย
-
เเล้วก็เห็นว่าเวทนาในกายกับกายก็คนละอันกัน
-
แล้วเป็นคนละอันกับจิต
-
เวทนาทางกายก็ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์
-
จิตที่รู้เวทนาทางกายก็ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์
-
เราเห็นสังขาร จิตสังขาร
-
จิตที่เป็นกุศลบ้างอกุศลบ้าง
-
ทีแรกเราก็เห็นว่าจิตเราโลภจิตเราโกรธ
-
พอเราภาวนามากเข้าๆ เราเห็นว่า
-
ความโลภ ความโกรธ
ความหลงกับจิตเป็นคนละอันกัน
-
ความโลภกับจิตคนละอันกัน
-
ความโกรธกับจิตเป็นคนละอันกัน
-
เป็นองค์ธรรมคนละชนิดกัน
-
ตัวโลภตัวโกรธตัวหลงเป็นสังขาร
-
เรียกว่าสังขารขันธ์ อยู่ในสังขารขันธ์
-
จิตเป็นอีกขันธ์หนึ่งอยู่ในวิญญาณขันธ์
-
เป็นคนละอันกัน
-
คนทั่วไปบอกเราโกรธ
-
อันนี้โง่ที่สุดแต่ไม่โง่มากไม่ถึงที่สุด
-
โง่ที่สุดคือไม่รู้ว่าตัวเองกำลังโกรธ
-
ไปอาละวาดใส่คนอื่นแล้ว
-
ดีขึ้นมาหน่อยเห็นว่าเรากำลังโกรธ
-
ดีกว่านั้นก็คือเห็นว่า
ความโกรธกับจิตคนละอันกัน
-
มันแยกออกจากกัน
-
แล้วดีกว่านั้นก็คือเห็นว่า
-
ความโกรธก็ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์
จิตก็ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์
-
จิตก็เดินปัญญาละเอียดๆๆ เข้าไปเรื่อยๆ
-
สุดท้ายก็เข้ามาที่จิต
-
ก็เห็นจิตนั้นเกิดดับ
จิตเกิดที่ไหนจิตก็ดับที่นั้น
-
ตอนที่หลวงพ่อเห็นตรงนี้ทีแรก
-
จิตเกิดที่ตาแล้วก็ดับที่หูแล้วก็ดับ
-
เลยเกิดสงสัยแล้ว
เราจะเอาจิตไปตั้งไว้ที่ไหนดี
-
ก็เข้าไปกราบหลวงปู่ดูลย์
-
หลวงปู่ครับ จิตมันตั้งอยู่ที่ไหน
-
คิดว่ามันตั้งอยู่กลางอก
คิดว่ามันอยู่ตรงนี้
-
แล้วมันเกิดที่ตา ตัวนี้หายไป
-
เกิดที่ตาแล้วก็ดับ เกิดที่หูแล้วก็ดับ
-
แล้วเข้ามาตรงนี้ เห็นตัวนี้มันไหวๆๆ อยู่
-
ก็เลยนึกว่าจิตมันอยู่ตรงนี้กระมัง
-
แต่ไหนๆ เจอหลวงปู่แล้วถามหลวงปู่สักหน่อย
-
หลวงปู่ครับจิตมันอยู่ที่ไหน
-
จิตมันตั้งอยู่ที่ไหน
-
หลวงปู่บอกจิตไม่มีที่ตั้ง
-
บอกแค่นี้เราก็เข้าใจแล้ว
-
เราไม่ต้องเอาจิตไปตั้งไว้ที่ไหนหรอก
-
จิตตั้งอยู่กับอารมณ์
-
เกิดพร้อมกับอารมณ์ ดับพร้อมกับอารมณ์
-
จิตเกิดที่ไหน
-
เกิดออกไปรู้อารมณ์ทางตา
แล้วก็ดับพร้อมกับการรู้อารมณ์ทางตา
-
ออกไปฟังเสียงแล้วก็ดับพร้อมกับเสียง
-
พร้อมกับการฟังเสียง
-
นี่มันเกิดดับ
-
ภาวนาพอละเอียดๆ มันเข้ามาที่จิตนี่ล่ะ
-
แล้วเห็นจิตมันสร้างภพสร้างชาติตลอดเวลาเลย
-
แล้วภาวนาถ้าเราเข้าใจ
ธรรมะประณีตขึ้น ประณีตขึ้น
-
การปฏิบัติมันบีบวงมาที่จิต
-
บางทีเราก็เห็นจิต บางทีเราก็ไม่เห็นจิต
-
จิตตัวนี้คือจิตผู้รู้
-
อะไรทำให้เรามองจิตผู้รู้ไม่ออก
-
อาสวกิเลสทั้ง 4
-
อาสวกิเลสเกิดเมื่อไร หาจิตผู้รู้ไม่เจอแล้ว
-
อาสวะที่ดูง่ายๆ อย่างตัวภพดูง่าย
-
จิตสร้างภพเมื่อไร
-
จิตก็หลุดเข้าไปอยู่ไปเกิดในภพนั้น
-
ถ้ารู้ทันปุ๊บจิตหลุดออกจากภพ ภพดับ
-
จิตผู้รู้ก็เด่นดวงขึ้นมา
-
มันจะเข้ามารู้ที่ตัวจิตผู้รู้ได้
-
พอรู้ที่ตัวจิตผู้รู้ได้
-
สิ่งที่ปิดกั้นทำให้เรารู้จิตผู้รู้ไม่ได้
ก็คืออาสวกิเลสทั้ง 4 ตัวนั่นล่ะ
-
กามาสวะเข้ามามาดึงจิตเราไป
-
ดึงดูดจิตเราไปหากามคุณอารมณ์
-
ภวาสวะจิตไปสร้างภพแล้วหลงอยู่ในภพอันนั้น
-
อวิชชาสวะมันไม่รู้แจ้งอริยสัจ
-
ทิฏฐาสวะ เวลาเราติดในความคิดความเห็น
-
ถูกความคิดความเห็นย้อมเมื่อไร
-
ตัวจิตผู้รู้เราก็สูญหายไป
-
พอไม่ถูกอาสวะทั้ง 4 ย้อม สติสมาธิเราดี
-
อาสวะเข้ามาย้อมไม่ได้
จิตผู้รู้เด่นดวงขึ้นมา
-
แล้ววันหนึ่งเราก็จะเห็น
-
จิตผู้รู้เองก็ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์
-
จิตผู้รู้นั่นล่ะก็คือตัวทุกข์
-
แล้วคือหัวโจกของตัวทุกข์
-
ดูยากที่สุดเลยว่าคือตัวทุกข์
-
เพราะว่าถ้าเราภาวนาเรามีจิตผู้รู้
-
เรารู้สึกตัวนี้บรมสุข
-
ถ้าเมื่อไรไม่ถูกอาสวะย้อม
-
เห็นมันบ่อยๆ เนืองๆ รู้แจ้งแทงตลอด
-
จิตผู้รู้นั่นล่ะคือตัวบรมทุกข์
-
ทุกข์ยิ่งกว่าทุกสิ่งทุกอย่างเลย
-
พอรู้ทุกข์แจ่มแจ้งก็หมดความรักใคร่ยินดี
-
หมดความอยาก หมดความยึดถือ
-
เพราะฉะนั้นพอรู้ทุกข์แจ่มแจ้ง
-
สมุทัยคือตัณหาอุปาทาน
อะไรพวกนี้ก็ถูกทำลายทันที
-
ดับอัตโนมัติ
-
เราไม่ต้องดับตัณหา
-
รู้ทุกข์แจ่มแจ้งเมื่อไรตัณหาดับเอง
-
ดับอัตโนมัติ
-
สิ้นตัณหาเมื่อไร นิโรธคือ
นิพพานปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตา
-
นิโรธคือสภาวะที่สิ้นตัณหา
-
หลวงพ่อเคยภาวนาผิด
-
กำหนดจิตลงไปแล้วว่างลงไป
-
คิดว่าฝึกเข้านิโรธไปแล้ว
-
หลวงปู่บุญจันทร์ท่านมาเจอ ท่านด่าเอา
-
นิพพานอะไรมีเข้ามีออก
-
เลยรู้เลยไม่ใช่แล้ว
-
ถ้ายังกำหนดจิตอย่างโน้นกำหนดจิตอย่างนี้
-
ไม่ใช่ของจริงแล้ว
-
ของจริงก็คือต้องรู้ทุกข์แจ่มแจ้ง
-
จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้งว่ามันคือตัวทุกข์
-
จิตก็หมดความอยากหมดความยึดถือในตัวจิต
-
สิ้นอยากเมื่อไรก็คือนิพพาน
-
นิพพานคือสภาวะที่สิ้นตัณหา
-
แล้วขณะนั้นอริยมรรคเกิดขึ้น
-
นี่เส้นทาง เราทำไป
-
เดินไปเรื่อยๆ มาตรงนี้ได้ด้วยการรักษาศีล
-
ฝึกในรูปแบบให้จิตมีสมาธิขึ้นมา
-
แล้วก็เอาจิตที่ตั้งมั่น
มีสมาธิแล้วมาเดินปัญญา
-
แยกธาตุแยกขันธ์แยกรูปแยกนามไป
-
ทำสติปัฏฐาน 4 นั่นล่ะ
-
ฝึกเรื่อยๆ
-
สติปัฏฐานนั้นเป็นของวิเศษอีกอย่าง
-
ในเบื้องต้นที่เราฝึกทำให้สติเราดีขึ้น
-
ในเบื้องปลายทำให้เกิดปัญญา
-
นี้หมดเวลาแล้ว เทศน์ละเอียดตรงนี้ไม่ทัน
-
ไปหาฟังเอาก็แล้วกัน
หลวงพ่อเทศน์เอาไว้เยอะแยะแล้ว
-
ต่อไปตรวจการบ้าน
-
เบอร์ 1: ในรูปแบบเดินจงกรม
และรู้สึกกายที่เคลื่อนไหว
-
เมื่อจิตใจหลงไปคิดแล้วรู้
-
เบอร์ 1: ในรูปแบบเดินจงกรม
และรู้สึกกายที่เคลื่อนไหว
-
เมื่อจิตใจหลงไปคิดแล้วรู้
-
ถ้าดูจิตไม่ได้จะทำสมถะโดยคิดถึงพระพุทธเจ้า
-
และครูบาอาจารย์พร้อมกับรู้สึกถึงร่างกาย
-
ในชีวิตประจำวันเจริญสติโดยการรู้สึกกาย
-
บางครั้งรู้ใจที่หลงไป
-
ถ้าอยู่กับผู้อื่นจะหลงไปกับโลก
-
นานๆ จะรู้สึกตัว
-
ที่ปฏิบัติอยู่นี้ถูกต้องไหมคะ
-
ถูก แล้วเรารู้ว่าตรงไหน
เป็นจุดอ่อนเราก็เลี่ยงเสีย
-
ยุ่งกับโลกน้อยๆ ยุ่งกับคนอื่นน้อยๆ
-
ใช้ได้ ภาวนาไป
-
เบอร์ 2
-
เบอร์ 1 ตรงนี้จิตไม่เข้าฐาน ดูออกไหม
-
จิตอยู่ข้างนอกนิดหนึ่ง
-
อย่าดึงๆ
-
หลวงพ่อบอกไว้เฉยๆ ไม่ต้องดึงจิตเข้ามา
-
หายใจสิ หายใจสบายๆ
-
เก่งๆ หายใจไป
-
รู้สึกไหมตรงนี้กับเมื่อกี้ไม่เหมือนกัน
-
เมื่อกี้จิตไม่ตั้งมั่นไม่ถึงฐาน
-
จำตัวนี้ได้ก็โอเค แต่ว่าตรงนี้จงใจทำไม่ได้
-
พอเรารู้ว่าจิตเราไม่เข้าฐาน
เราก็ทำกรรมฐานของเราไป
-
เดี๋ยวมันก็เข้าเองล่ะ
-
แต่ถ้าเราไม่รู้ว่าจิตเราไม่
เข้าฐานทำอย่างไรมันก็ไม่เข้า
-
เบอร์ 2
-
ในรูปแบบทำทุกวัน
-
เดินรู้สึกตัว ดูจิตหลงคิด รู้
-
นั่งสมาธิ ดูจิตหลง รู้ เพ่ง รู้
-
หลังๆ หลงบ่อยกว่าเพ่ง
-
บางครั้งเห็นเหมือน
เราดูการนั่งสมาธินั้นอยู่
-
จิตทำงานเอง จนจิตสงบแต่ไม่นิ่งเฉย
-
บางครั้งก็มีเคลิ้มไปบ้าง
-
ขอหลวงพ่อตรวจการบ้านค่ะ
-
ใช้ได้ ดี ต้องเพิ่มนั่นนิดหนึ่ง
-
ทำความสงบเข้ามาเป็นระยะๆ
-
กำลังสมาธิไม่พอ ใจมันจะฟุ้งง่าย
-
ทำในรูปแบบแล้วก็ไม่เดินปัญญาตอนนั้น
-
เช่น พุทโธๆๆ ไป
-
สงบก็ช่างไม่สงบก็ช่างทำไปเรื่อยๆ
-
เดี๋ยวมันสงบเอง แล้วจิตมันจะมีแรง
-
ของเบอร์ 2 จิตมันยังไม่ค่อยมีแรง
-
ที่ดูที่อะไรดูถูกแล้วล่ะ
-
แต่มันดูด้วยจิตที่ไม่ค่อยมีแรง
-
ฉะนั้นเรารู้ตรงนี้เป็นจุดอ่อน
เราก็เพิ่มสมาธิขึ้น
-
เบอร์ 3
-
ทำในรูปแบบสม่ำเสมอ
-
เมื่อก่อนคาดหวังจากการปฏิบัติ
-
เดี๋ยวนี้คาดหวังน้อยลง
-
เข้าใจความยึดมากขึ้น
-
เห็นจิตใจทำงานได้เองบ่อยขึ้น
-
รู้เผลอ รู้หลงมากกว่าเดิม
-
โดยรวมมั่นใจในการปฏิบัติ มีความเห็นถูกขึ้น
-
ตัวเราไม่มีอยู่จริง
-
ชีวิตประจำวันอยู่กับอิริยาบถ 4
-
เดิน ยืน นั่ง นอน คอยรู้สึก
-
ทำไปเรื่อยๆ ไม่ท้อไม่เลิก
-
ขอหลวงปู่ชี้แนะค่ะ
-
ดี ที่ทำอยู่ใช้ได้
-
แต่ปัญหาใหญ่ของนักปฏิบัติ
ก็คือสมาธิมันไม่ค่อยพอกัน
-
ของโยมสมาธิเยอะ เบอร์ 3
-
แต่มันไม่เข้าที่มันไม่เข้าฐาน
-
ขณะนี้จิตยังอยู่ข้างนอกรู้สึกไหม
-
มองเห็นไหมว่า
จิตมันไม่เข้ามาไม่เข้าหาตัวเอง
-
ไม่โอปนยิโกน้อมเข้ามา น้อมเข้ามา
-
สังเกตลงไปในร่างกายนี้
รู้สึกลงไปในร่างกายบ่อยๆ
-
เห็นแต่ความเป็นปฏิกูล อสุภะ
ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
-
ดูบ่อยๆ ดูอย่างนี้บ่อยๆ
-
เบอร์ 4
-
ภาวนาในรูปแบบ
-
ดูการเคลื่อนไหวของร่างกายทุกวันเป็นหลัก
-
ในชีวิตประจำวันดูร่างกาย
เคลื่อนไหวสลับกับลมหายใจเข้าออก
-
มีความคิดแทรกตอนที่ภาวนา
-
ส่วนใหญ่เป็นเรื่องราวในอดีต
-
พยายามไม่สนใจความคิดเหล่านั้น
-
และกลับมาดูที่อาการเคลื่อนไหวทางกายแทน
-
ตอนนี้ทำถูกหรือไม่คะ
-
ทำถูก แต่ตั้งใจมากไปหน่อย
-
ตั้งใจใจจะเครียด จะแน่นๆ จะหนักๆ
-
ถ้าภาวนาแล้วมันหนักมันแน่น
แสดงว่าเราจงใจเยอะไป
-
มันไม่ธรรมดา ตั้งใจเยอะไป
-
ภาวนาใช้ใจธรรมดาๆ อย่าตั้งใจแรง รู้สึกไป
-
คิดเยอะ อย่าคิดเยอะ
-
เห็นไหมร่างกายขยับ
-
รู้ว่าร่างกายขยับรู้ด้วยจิตธรรมดา
-
จิตธรรมดาเลย
-
ตรงนี้ไม่ธรรมดาแล้ว เมื่อกี้ธรรมดา
-
ตรงนี้จิตหลง หลงคิด
-
ยิ้มหวาน
-
เห็นร่างกาย ยิ้มอย่างนี้ไม่เอา ยิ้มจอมปลอม
-
ยิ้มแต่หน้า
-
ใจมันแน่นรู้สึกไหม ใจมันยังแน่นอยู่
-
ใจที่แน่นเกิดจากอยาก
-
อยากปฏิบัติ อยากรู้ อยากเห็น
อยากเป็น อยากได้ อยากดี
-
อยากไม่ขาดสติ อยากเจริญ
-
มีความอยากมาเมื่อไรใจจะแน่นๆ
-
ใจที่ดีคือใจธรรมดา
-
จิตธรรมดานั้นประภัสสรผ่องใส
-
จิตธรรมดานั่นล่ะคือจิตผู้รู้
-
แต่พอมีกิเลสมันเลยกลายเป็นจิตผู้หลงไป
-
เพราะฉะนั้นจิตโดยตัวมันประภัสสรผ่องใส
-
เศร้าหมองเพราะกิเลสที่จรมา
-
เราไม่ต้องทำอะไร
รู้ทันกิเลสที่จรมาก็แล้วกัน
-
อย่างอยากปฏิบัติ รู้ทันว่าอยาก
-
รู้ว่าอยากปฏิบัติ ความอยากปฏิบัติดับแล้ว
-
ทำอย่างไร ก็ปฏิบัติไปด้วยใจที่ไม่ต้องอยาก
-
ให้เป็นธรรมดาอย่างนี้
-
เบอร์ 4 ตึงไป
-
รู้สึกไหม มันจงใจมากไป ตั้งใจแรงไป
-
เบอร์ 4 คอยเคลื่อนไหวกระดุกกระดิก
-
แล้วก็เห็นร่างกายเคลื่อนไหวไปเรื่อยๆ
-
ไม่ต้องแกล้งทำ
-
เราเคลื่อนไหวอยู่แล้วโดยธรรมชาติ
-
เราหายใจร่างกายมันก็เคลื่อนไหว
-
เคลื่อนไหวไปตามธรรมชาติธรรมดา
-
มีหน้าที่ใช้ร่างกายทำอะไรก็ทำไป
-
แต่มีสติรู้ไปเรื่อยๆ
-
ไม่ไปเพ่งเอาไว้ให้นิ่งๆ
-
เบอร์ 5
-
เห็นการเกิด
-
แต่ไม่เห็นการดับของความโลภและความโกรธ
-
เมื่อปวดกายก็ฝึกแยกใจกับ
กายความปวดออกจากกัน
-
โดยมีใจเห็นความปวดแทรกอยู่ในกาย
-
อยากเดินปัญญาเป็น
-
แต่ไม่รู้ว่าจิตตั้งมั่นมากพอ
และพร้อมที่จะเดินปัญญาไหมคะ
-
ภาวนาได้ดี จิตตั้งมั่น
-
เดินปัญญาได้แต่จิตมันไม่ค่อยชอบเดินปัญญา
-
ชอบเฉยๆ มากกว่า
-
พอเวลาภาวนาพอจิตตั้งมั่นแล้ว
-
มันกลัวจิตตั้งมั่นจะหายไปพยายามรักษาเอาไว้
-
เวลาจิตตั้งมั่นแล้ว เบอร์ 5
-
พิจารณาเข้าไปในร่างกายเลย
-
พิจารณาเข้าไปเลย
-
หัวกะโหลกเราเป็นอย่างนี้ มีตาโบ๋ๆ อย่างนี้
-
มีปากงับๆๆ ได้ ข้างล่างนะ
ข้างบนไม่เป็นอย่างนี้
-
ขากรรไกรอย่างนี้ ดูไปเรื่อยๆ ในร่างกาย
-
พิจารณาลงไปให้ถึงกระดูกเลย
-
เห็นกระดูก กระดูกมันหมุนแล้ว
-
กระดูกตัวนี้หมุน
-
คอยรู้สึกอย่างนี้ รู้สึกบ่อยๆ
-
ดีไม่ใช่ไม่ดี
-
เก่ง เบอร์ 5 ใช้ได้
-
แต่ว่าเดินปัญญาดูเข้าไปในกายเลย
-
ดูเข้าไปเลย ดูเข้าไปที่กระดูกเลยก็ได้
-
เห็นไหมกระดูกมันเคลื่อน
-
กระดูกมันขยับ เวลาปาก
-
เวลากินข้าวเราขยับขากรรไกรบนหรือขากรรไกรล่าง
-
ขยับอย่างนี้ เราก็รู้
-
บางคนไม่รู้
-
คิดว่าขยับข้างบน คิดว่าตัวนี้ขยับ
-
วิธีพิสูจน์ง่ายๆ เอาคางไปเกยโต๊ะไว้
-
แล้วจะพูดไม่ได้
-
ดูเข้าไปถึงกระดูกดูเข้าไป
-
เบอร์ 6
-
รักษาศีล 5
-
ภาวนาในรูปแบบด้วยการสวดมนต์
ทำวัตรเช้าเย็นทุกวัน
-
เพิ่งหยุดทำงานประจำ
-
จึงใช้เวลาศึกษาในเรื่องขันธ์ 5
-
ทุกข์ และการเดินอริยสัจ
-
ใช้โยนิโสมนสิการในการพิจารณากายใจ
-
เห็นทุกข์และกิเลสได้ละเอียดขึ้น
-
รู้ทันบ้าง ไม่ทันบ้าง
-
เห็นขันธ์แยกขณะผ่ารากฟันเทียม
-
เลยเข้าใจที่หลวงพ่อสอนว่า
-
แยกขันธ์แล้วให้ดูไตรลักษณ์
-
เห็นถูกต้องไหมคะ
-
ถูก ดี
-
จุดอ่อนยังมีนิดหนึ่ง
-
เราอย่าคิด ความคิดมันล้ำไป ปัญญามันล้ำไป
-
ตามรู้ตามเห็นสภาวะไปเรื่อยๆ
-
ไม่อย่างนั้นมันล้ำหน้าไป
-
คอยคิดแต่เรื่องไตรลักษณ์ไปเรื่อยๆ
-
ภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา ต้องสมดุลกัน
-
ถ้าปัญญาล้ำหน้าไป สมาธิไม่พอ ใจมันจะฟุ้ง
-
เบอร์ 6 สังเกตไหมใจมันยังฟุ้งเล็กๆ อยู่
-
เพราะฉะนั้นอย่าทิ้งการทำความสงบ ต้องทำ
-
เดินปัญญามากไป จิตจะฟุ้งซ่าน
-
เป็นคนปัญญาเยอะ
-
พวกปัญญาเยอะมีจุดอ่อนสมาธิคือไม่ค่อยพอ
-
ไปทำสมาธิเพิ่มขึ้น
-
ทำความสงบให้จิตอยู่กับเนื้อกับตัว
-
สงบ พักผ่อน
-
จิตมีกำลังแล้วค่อยถอยออกมาเดินปัญญาต่อ
-
ไม่น่าห่วงเรื่องเดินปัญญา
-
จิตมันเดินปัญญาเก่ง
-
เบอร์ 7
-
ปฏิบัติในรูปแบบทุกวันโดยทำ
อานาปานสติอย่างน้อย 30 นาที
-
ระหว่างวันเฝ้ารู้เวทนาที่เกิดขึ้นในร่างกาย
-
เห็นทุกข์มากขึ้นและมักหลงคิดบ่อยๆ
-
บางครั้งก็หลงคิดไปนานแล้วถึงจะรู้สึกตัว
-
ขอหลวงปู่ช่วยแนะนำ
วิธีการปฏิบัติที่เหมาะกับจริตค่ะ
-
จิตมันชอบคิด
-
ถ้าจิตมันชอบคิดเราจะไปฝืน
บอกมันอย่าคิดมันไม่เชื่อ
-
พามันคิดไปเลยคิดอะไรก็ได้
-
คิดเรื่องโลกๆ ก็ยังได้เลย
-
แต่คิดแล้วต้องลงไตรลักษณ์ให้ได้
-
อย่างเราคิดถึงอะไรสวยๆ งามๆ
-
คิดว่าเราไปเดินสวนสาธารณะดูดอกไม้งาม
-
ดูทุ่งทานตะวัน ดูอะไรอย่างนี้
-
ดูไปแหมใจมีความสุข
-
แล้วลงท้าย ดอกไม้มันเหี่ยวลงไป
-
มันก็ไม่ยั่งยืน ของสวยของงามอะไรอย่างนี้
-
ฉะนั้นคิดอะไรก็ได้
-
แต่ให้ลงไตรลักษณ์ให้ได้
-
ลองไปทำดู เพราะจิตมันชอบคิด
-
จิตมันชอบคิดไปฝืนไม่ให้คิดมันทำไม่ได้หรอก
-
ส่วนที่กรรมฐานทำอยู่แล้ว
-
ดีอยู่แล้วทำต่อไป
-
ทำอานาปานสติ ทำอะไรไม่ผิดหรอก ทำไปเถอะ
-
แต่เวลาช่วงไหนที่จิตมันฟุ้งซ่านมากๆ
-
พามันคิดแล้วลงไตรลักษณ์
-
ถ้าเป็นช่วงปกติก็หายใจไปรู้สึกไป
-
อย่างที่ทำอยู่ถูกแล้ว
-
แยกออกไหม หมายถึงเวลาปกติก็ทำอย่างที่ทำนี้
-
แต่ช่วงไหนที่ใจมันฟุ้งมาก
-
คิดพิจารณาลงไปเลย
-
คิดอะไรก็ได้แล้วลงไตรลักษณ์ให้ได้ก็แล้วกัน
-
เบอร์ 8
-
เดินจงกรมวันละ 1.30 - 2 ชั่วโมง
-
ระหว่างวันดูกายและจิตทำงาน
-
ถ้าฟุ้งซ่านจะบริกรรมระลึกถึงพระรัตนตรัย
-
หลวงพ่อให้ดูความเป็นอนัตตา
-
คิดว่าพอจะเห็นว่ากายไม่ใช่เรา
-
แต่จิตยังคงเป็นเราอยู่
-
เวลานั่งจะเพ่งมากเลยต้องเดิน
-
หรือใช้การพิจารณากายเคลื่อนไหว
-
แล้วรู้สึกตัวแทน
-
ไม่แน่ใจว่าดูความเป็นอนัตตาได้จริงไหมคะ
-
จริง ไปดูอีก ทำไป
-
ร่างกายเคลื่อนไหวรู้สึกไป ดี ที่ทำอยู่
-
ไปทำต่อทำอีก
-
เบอร์ 7 อย่างนี้จงใจเยอะไปแล้วเบอร์ 7
-
คิดเอาเป็นเอาตาย
-
ใจมันไม่สบาย จะไม่ได้สมาธิ
-
คิดที่มันไม่รุนแรงนัก
-
คิดๆๆ ไป อันนี้เป็นอุบาย
-
เป็นอุบายในการแก้เรื่อง
จิตมันช่างคิดไม่ยอมหยุด
-
มันคิดไม่ยอมหยุด
-
ไปห้ามมันไม่ได้ก็พามันคิดไป
-
แล้วลงไตรลักษณ์ให้ได้
เดี๋ยวมันหยุดเองล่ะ
-
แต่ถ้าตอนไหนมันไม่ได้
ฟุ้งซ่านไม่ต้องไปคิดเยอะ รู้สึกไป
-
เดี๋ยวสับสน
-
ภาวนาอยู่ดีๆ บอกหลวงพ่อให้ไปนั่งคิด
-
เละเลย เสีย
-
แล้วมาโทษหลวงพ่อสอนยังอย่างไร ฟุ้งไปเลย
-
แค่อุบายไว้แก้ปัญหาเฉพาะหน้า
เวลามันคิดหนักๆ คิดไม่เลิก
-
วันนี้เทศน์ให้ฟังเท่านี้
-
เชิญ