ทำไมความสงสัยใคร่รู้จึงเป็นกุญแจสำคัญของวิทยาศาสตร์และการแพทย์
-
0:01 - 0:02วิทยาศาสตร์
-
0:03 - 0:06คำที่ทำให้พวกคุณหลายคน
นึกถึงความทรงจำอันน่าเบื่อ -
0:06 - 0:09ในวิชาชีววิทยาหรือฟิสิกส์ตอนมัธยม
-
0:09 - 0:12แต่ผมขอยืนยันนะครับ
ว่าสิ่งที่คุณได้เรียนมาในตอนนั้น -
0:12 - 0:14แทบจะไม่ได้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์เลย
-
0:14 - 0:17สิ่งเหล่านั้นบอกคุณว่า
วิทยาศาสตร์มี "อะไร" -
0:17 - 0:19มันเป็นประวัติศาสตร์
ของสิ่งที่คนอื่น ๆ ได้ค้นพบ -
0:21 - 0:23สิ่งที่ผมสนใจที่สุดในฐานะนักวิทยาศาสตร์
-
0:23 - 0:25ก็คือว่าวิทยาศาสตร์นั้นเป็น "อย่างไร"
-
0:25 - 0:29เพราะว่าวิทยาศาสตร์
คือความรู้ที่ยังอยู่ในกระบวนการ -
0:29 - 0:33เราทำการสังเกต คาดเดาคำอธิบาย
ต่อสิ่งที่เราได้สังเกตนั้น -
0:33 - 0:35และจากนั้นก็ทำการคาดคะเน
ที่เราตรวจสอบได้ -
0:35 - 0:37ด้วยการทดลองหรือการสังเกตอื่น ๆ
-
0:37 - 0:38ยกตัวอย่างนะครับ
-
0:38 - 0:42อย่างแรก คนเราเคยมองว่า
โลกอยู่ด้านล่าง และท้องฟ้าอยู่ด้านบน -
0:42 - 0:46และทั้งดวงอาทิตย์และดวงจันทร์
ก็ดูเหมือนจะโคจรไปรอบ ๆ พวกเขา -
0:47 - 0:48คำอธิบายจากการเดาของพวกเขา
-
0:48 - 0:51ก็คือ โลกจะต้องเป็นศูนย์กลางของจักรวาลแน่ ๆ
-
0:52 - 0:55การคาดคะเนก็คือ
ทุก ๆ อย่างควรที่จะโคจรรอบโลก -
0:56 - 0:58มันได้รับการพิสูจน์จริง ๆ เป็นครั้งแรก
-
0:58 - 1:01เมื่อกาลิเลโอได้ใช้กล้องโทรทัศน์
หนึ่งในตัวแรก ๆ -
1:01 - 1:03และในขณะที่เขามองดู
ท้องฟ้าในยามค่ำคืนอยู่นั้น -
1:03 - 1:07สิ่งที่เขาพบก็คือดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง
นามว่าดาวพฤหัส -
1:07 - 1:11ที่มีดวงจันทร์สี่ดวงโคจรอยู่รอบมัน
-
1:12 - 1:16จากนั้นเขาก็ใช้ดวงจันทร์เหล่านั้น
เพื่อติดตามเส้นทางการโคจรของดาวพฤหัส -
1:16 - 1:20และพบว่าดาวพฤหัสเองก็ไม่ได้โคจรรอบโลก
-
1:20 - 1:22แต่โคจรรอบดวงอาทิตย์
-
1:23 - 1:25ฉะนั้น การคาดคะเนนั้นก็ผิด
-
1:26 - 1:28และสิ่งนี้ก็นำไปสู่การล้มล้างทฤษฎี
-
1:29 - 1:31ที่ว่าโลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล
-
1:31 - 1:35อีกตัวอย่างหนึ่ง เซอร์ ไอแซค นิวตัน
สังเกตเห็นว่าสิ่งต่าง ๆ หล่นลงสู่พื้นโลก -
1:35 - 1:38คำอธิบายจากการคาดเดานี้คือแรงโน้มถ่วง
-
1:39 - 1:42ซึ่งเป็นการคาดคะเนว่า
ทุกอย่างควรจะตกลงสู่พื้นโลก -
1:42 - 1:45แต่แน่ล่ะ ไม่ใช่ทุกอย่างจะตกลงสู่พื้นโลก
-
1:46 - 1:48แล้วเราทิ้งทฤษฎีแรงโน้มถ่วงไปอย่างนั้นหรือ
-
1:49 - 1:53ไม่ครับ เราแก้ไขทฤษฎีนั้น และบอกว่า
แรงโน้มถ่วงดึงสิ่งต่าง ๆ ลงสู่โลก -
1:53 - 1:58เว้นเสียแต่ว่า
มีแรงในทิศทางตรงข้ามที่เท่ากัน -
1:58 - 2:00นั่นนำเราไปสู่การเรียนรู้สิ่งใหม่
-
2:01 - 2:04เราเริ่มที่จะให้ความสนใจมากขึ้น
กับนกและปีกของนก -
2:04 - 2:07และคุณลองนึกถึงการค้นพบทั้งหลาย
-
2:07 - 2:09ที่พรั่งพรูออกมา
จากแนวความคิดนั้นดูสิครับ -
2:10 - 2:15ฉะนั้นการทดสอบที่ผิดพลาด ข้อยกเว้น
และค่าที่แปลกแยกต่าง ๆ -
2:15 - 2:19สอนเราในสิ่งที่เราไม่รู้
และนำเราไปสู่สิ่งใหม่ -
2:20 - 2:23นี่คือวิธีที่วิทยาศาสตร์รุดไปข้างหน้า
นี่คือวิธีที่วิทยาศาสตร์เรียนรู้ -
2:24 - 2:26บางครั้งตามสื่อ
หรือที่อาจเกิดได้ยากยิ่งกว่า -
2:26 - 2:29ก็คือในบางครั้ง
แม้แต่นักวิทยาศาสตร์เองก็ยังพูด -
2:29 - 2:31ว่าบางสิ่งบางอย่าง
ได้ถูกพิสูจน์แล้วในทางวิทยาศาสตร์ -
2:32 - 2:36แต่ผมหวังว่าคุณจะเข้าใจ
ว่าวิทยาศาสตร์ไม่เคยพิสูจน์อะไร -
2:36 - 2:38ที่เป็นจริงไปตลอดกาล
-
2:40 - 2:43หวังว่า วิทยาศาสตร์จะยังคงสงสัยใคร่รู้มากพอ
-
2:43 - 2:45ที่จะมองหาสิ่งใหม่ ๆ
-
2:45 - 2:47และถ่อมตนพอที่จะยอมรับ
-
2:47 - 2:48เมื่อเราพบกับ
-
2:48 - 2:50ค่าแปลกแยกใหม่
-
2:50 - 2:52ข้อยกเว้นใหม่
-
2:52 - 2:54ซึ่ง เช่นเดียวกับดวงจันทร์ของดาวพฤหัส
-
2:54 - 2:56สอนเราในสิ่งที่เราไม่รู้จริง
-
2:57 - 3:00ทีนี้เราจะมาเปลี่ยนเกียร์กันสักหน่อย
-
3:00 - 3:02คทางูไขว้ หรือสัญลักษณ์ทางการแพทย์
-
3:02 - 3:04มีความหมายที่แตกต่างกันไปมากมาย
ตามแต่ละบุคคล -
3:04 - 3:06แต่ในความหมายสาธารณะส่วนใหญ่
ในทางการแพทย์นั้น -
3:06 - 3:09ได้ทำให้มันกลายเป็นปัญหาทางวิศวกรรม
-
3:09 - 3:11เรามีการประชุมมากมายในสภาคองเกรส
-
3:11 - 3:15และคณะกรรมการบริษัทประกันต่าง ๆ
ที่ประชุมเพื่อหาทางว่าจะจ่ายเงินค่ารักษาอย่างไร -
3:16 - 3:17ทั้งนักศีลธรรมและนักระบาดวิทยา
-
3:17 - 3:20ต่างพยายามหาทางว่า
จะกระจายการแพทย์ออกไปให้ดีที่สุดได้อย่างไร -
3:20 - 3:23และทั้งโรงพยาบาล
และบุคลากรทางการแพทย์นั้น -
3:23 - 3:25ต่างก็จดจ่ออยู่กับระเบียบการ
และสิ่งที่ต้องทำกันแบบโงหัวไม่ขึ้น -
3:25 - 3:28เพื่อพยายามหาทางว่า
จะใช้การรักษาแบบไหนจึงจะปลอดภัยที่สุด -
3:28 - 3:30ทั้งหมดทั้งมวลนี้เป็นสิ่งที่ดีครับ
-
3:31 - 3:34อย่างไรก็ดี พวกเขาเองต่างก็เหมาเอาว่า
-
3:34 - 3:36ตำราทางการแพทย์นั้น
-
3:36 - 3:38สมบูรณ์แล้วในระดับหนึ่ง
-
3:39 - 3:42เราเริ่มที่จะวัดคุณภาพ
ของระบบสาธารณสุขของเรา -
3:42 - 3:44จากความสะดวกรวดเร็วในการเข้าถึง
-
3:44 - 3:46ผมจึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไม ในสภาวะเช่นนี้
-
3:46 - 3:49สถาบันต่าง ๆ ของเรา
ที่ออกข้อกำหนดด้านการสาธารณสุข -
3:49 - 3:52ถึงเริ่มมีหน้าตาเหมือน
ร้านบริการล้างรถเข้าไปทุกที -
3:52 - 3:54(เสียงหัวเราะ)
-
3:54 - 3:58ปัญหาเพียงอย่างเดียวก็คือ
เมื่อผมจบการศึกษาจากวิทยาลัยแพทย์ -
3:58 - 4:00ผมไม่ได้รับอุปกรณ์เล็ก ๆ นั่น
-
4:00 - 4:03ที่ช่างใช้ต่อเข้าไปในรถของคุณ
-
4:03 - 4:05แล้วก็รู้เลยว่ารถคุณมีปัญหาบกพร่องอะไร
-
4:05 - 4:07เพราะว่าจริง ๆ แล้วตำราทางการแพทย์
-
4:07 - 4:09ไม่ได้เบ็ดเสร็จสมบูรณ์เช่นนั้น
-
4:09 - 4:11การแพทย์คือวิทยาศาสตร์
-
4:12 - 4:14การแพทย์คือความรู้ที่ยังอยู่ในกระบวนการ
-
4:15 - 4:17เราทำการสังเกต
-
4:17 - 4:19เราคาดเดาถึงคำอธิบายต่อผลการสังเกตนั้น
-
4:19 - 4:21และจากนั้นเราก็ทำการคาดคะเน
ที่เราสามารถทดสอบได้ -
4:21 - 4:25ที่นี้ พื้นที่ในการทดสอบการคาดคะเน
ทางการแพทย์ส่วนใหญ่ -
4:25 - 4:27คือกลุ่มประชากร
-
4:27 - 4:30และคุณอาจจำได้จาก
ตอนเรียนวิชาชีววิทยาที่แสนน่าเบื่อ -
4:30 - 4:32ว่ากลุ่มประชากรมักจะมีการแจกแจง
-
4:32 - 4:34ไปรอบ ๆ ค่าเฉลี่ย
-
4:34 - 4:36แบบเกาส์เซียน หรือโค้งปกติ
-
4:36 - 4:37ดังนั้น ในทางการแพทย์
-
4:37 - 4:40หลังจากที่เราทำการคาดคะเน
จากคำอธิบายที่ได้มาจากการคาดเดาแล้ว -
4:40 - 4:42เราก็จะทดสอบมันในกลุ่มประชากร
-
4:43 - 4:46นั่นหมายความว่าสิ่งที่เรารู้ในทางการแพทย์
-
4:46 - 4:49ความรู้ของเรา และทักษะวิธีการต่าง ๆ ของเรา
-
4:49 - 4:51มาจากกลุ่มประชากร
-
4:51 - 4:54แต่เราสามารถนำมันไปใช้ได้
-
4:54 - 4:55ถึงแค่ของเขต ค่าแปลกแยกใหม่
-
4:55 - 4:57ข้อจำกัดใหม่
-
4:57 - 4:58ซึ่ง เช่นเดียวกับดวงจันทร์ของดาวพฤหัส
-
4:58 - 5:01ที่สอนให้เรารู้ในสิ่งที่เรายังไม่รู้จริง
-
5:02 - 5:03ทีนี้ ผมเป็นหมอผ่าตัด
-
5:03 - 5:06ที่ดูแลผู้ป่วยมะเร็งซาร์โคมา
-
5:06 - 5:08มะเร็งซาร์โคมาเป็น
มะเร็งที่พบได้ยากมาก -
5:09 - 5:11มันเป็นมะเร็งที่พบได้ในเนื้อและกระดูก
-
5:11 - 5:16และผมขอบอกคุณเลยว่า
ผู้ป่วยของผมทุกคนนั้นคือค่าที่แปลกแยก -
5:16 - 5:17คือข้อยกเว้น
-
5:18 - 5:21ไม่มีการผ่าตัดผู้ป่วย
มะเร็งซาร์โคมาครั้งไหน -
5:21 - 5:25ที่ผมได้รับการชี้แนะโดย
การทดลองทางคลินิกที่ถูกควบคุมเชิงสุ่ม -
5:26 - 5:29ซึ่งเรามองว่าเป็นหลักฐานจากกลุ่มประชากร
ที่ดีที่สุดในทางการแพทย์ -
5:30 - 5:33ผู้คนต่างพูดถึงการคิดนอกกรอบ
-
5:33 - 5:35แต่ว่าเราไม่มีกรอบ
ในเรื่องมะเร็งซาร์โคมาด้วยซ้ำ -
5:35 - 5:39สิ่งที่เรามีในขณะที่เราแหวกว่าย
ไปในบ่อเลนแห่งความไม่แน่นอน -
5:39 - 5:43ความไม่รู้ ข้อยกเว้น และค่าแปลกแยกต่าง ๆ
ที่รายล้อมเราอยู่ในเรื่องมะเร็งซาร์โคมานั้น -
5:43 - 5:48คือทางลัดไปสู่คุณค่าสองอย่าง
ที่ผมคิดว่ามีความสำคัญมากที่สุด -
5:48 - 5:49ในทุก ๆ ศาสตร์ซึ่งก็คือ
-
5:49 - 5:51ความถ่อมตนและความสงสัยใคร่รู้
-
5:52 - 5:54เพราะว่า หากผมถ่อมตนและสงสัยใคร่รู้แล้ว
-
5:54 - 5:57เมื่อผู้ป่วยสักคนถามคำถามกับผม
-
5:57 - 5:58และผมไม่รู้คำตอบ
-
5:59 - 6:00ผมจะถามเพื่อนร่วมงาน
-
6:00 - 6:03ที่อาจกำลังดูแลผู้ป่วยมะเร็งซาร์โคมา
อีกคนหนึ่งที่มีอาการคล้าย ๆ กัน -
6:03 - 6:06เราอาจจะทำให้เกิดความร่วมมือ
ในระดับนานาชาติด้วยซ้ำ -
6:06 - 6:09ผู้ป่วยเหล่านั้นจะเริ่มพูดคุยกัน
ผ่านช่องทางการสนทนาต่าง ๆ -
6:09 - 6:10และกลุ่มสนับสนุน (support groups)
-
6:11 - 6:14เพราะการสื่อสารอย่างใคร่รู้
และถ่อมตนแบบนี้นี่เอง -
6:14 - 6:18ที่ทำให้เราได้เริ่มใช้ความพยายาม
และเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ -
6:19 - 6:21อย่างเช่น คน ๆ นี้
คือคนไข้รายหนึ่งของผม -
6:21 - 6:23ที่เป็นมะเร็งใกล้กับบริเวณเข่า
-
6:23 - 6:26เพราะการสื่อสารอย่างใคร่รู้และถ่อมตน
-
6:26 - 6:28ในความร่วมมือระดับนานาชาตินี่เอง
-
6:28 - 6:33เราจึงได้เรียนรู้ว่า
เราสามารถนำข้อเท้ามาปรับเป็นเข่าได้ -
6:33 - 6:35เมื่อเราต้องผ่าตัดเอาเข่าที่เป็นมะเร็งออกไป
-
6:35 - 6:38จากนั้นเขาก็สามารถใส่ขาเทียม
แล้ววิ่ง กระโดด และเล่นได้ -
6:38 - 6:41เขามีโอกาสนี้ได้
-
6:41 - 6:44ก็เพราะความร่วมมือระดับนานาชาติ
-
6:44 - 6:46เขาพึงพอใจกับมันมาก
-
6:46 - 6:49เพราะก่อนหน้านั้นเขาได้ติดต่อ
ผู้ป่วยคนอื่น ๆ ที่เผชิญกับสิ่งเดียวกัน -
6:50 - 6:54ฉะนั้น ข้อยกเว้นและค่าแปลกแยก
ในทางการแพทย์นั้น -
6:54 - 6:58ไม่เพียงแต่สอนให้เรารู้ในสิ่งที่เราไม่รู้
แต่ยังนำเราไปสู่แนวคิดใหม่ ๆ ด้วย -
6:59 - 7:01ทีนี้ ตรงนี้สำคัญมากนะครับ
-
7:01 - 7:05แนวคิดใหม่ ๆ ทั้งหลาย ที่เกิดขึ้นมา
จากค่าแปลกแยกและข้อยกเว้นทางการแพทย์ -
7:05 - 7:08ไม่ได้ใช้ได้แค่กับ
ค่าแปลกแยกและข้อยกเว้นเท่านั้น -
7:09 - 7:12เราไม่ได้เรียนรู้แค่วิธีการดูแล
ผู้ป่วยมะเร็งซาร์โคมา -
7:12 - 7:14จากผู้ป่วยมะเร็งซาร์โคมาเท่านั้น
-
7:15 - 7:17บางครั้ง ค่าแปลกแยก
-
7:17 - 7:19และข้อยกเว้น
-
7:19 - 7:22ก็สอนเราถึงสิ่งที่ค่อนข้างเป็นประโยชน์มาก
ต่อกลุ่มประชากรทั่วไป -
7:23 - 7:25เช่นเดียวกับต้นไม้ที่อยู่นอกป่า
-
7:25 - 7:29ค่าแปลกแยกและข้อยกเว้น
ต่างดึงความสนใจของเรา -
7:29 - 7:34และอาจนำเราไปสู่ความเข้าใจ
ที่มากกว่าเดิมว่าต้นไม้คืออะไร -
7:34 - 7:36เรามักมองแต่เรื่องใหญ่ ๆ
อย่างป่าไม้ที่หายไป -
7:36 - 7:38แต่กลับลืมมองเรื่องเล็ก ๆ
-
7:38 - 7:40อย่างต้นไม้สักต้นที่หายไปจากป่า
-
7:41 - 7:43แต่ต้นไม้ที่อยู่อย่างโดด ๆ นั้น
-
7:43 - 7:46ทำให้ความสัมพันธ์ต่าง ๆ
ที่กำหนดนิยามว่าต้นไม้คืออะไร -
7:46 - 7:50รวมถึงความสัมพันธ์ต่าง ๆ
ระหว่างลำต้น รากและกิ่ง -
7:50 - 7:51ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
-
7:51 - 7:53ถึงแม้ว่าต้นไม้นั้น
อาจจะแปลกประหลาดไปบ้าง -
7:53 - 7:56หรือแม้ว่ามันจะมีความสัมพันธ์
ระหว่างลำต้น ราก และกิ่ง -
7:56 - 7:58ในแบบที่ไม่ปกติ
-
7:58 - 8:01อย่างไรเสีย มันก็ดึงความสนใจของเรา
-
8:01 - 8:03และสามารถทำให้เราทำการสังเกต
-
8:03 - 8:05ที่เราจะสามารถทดสอบต่อไปได้
กับกลุ่มประชากรทั่วไป -
8:06 - 8:08ผมบอกคุณว่ามะเร็งซาร์โคมานั้น
เป็นมะเร็งที่พบได้ยาก -
8:08 - 8:11พวกมันคิดเป็นเพียงหนึ่งเปอร์เซ็นต์
ของมะเร็งทั้งหมด -
8:11 - 8:15คุณอาจยังรู้อีกว่ามะเร็งนั้น
จัดเป็นโรคทางพันธุกรรมอย่างหนึ่ง -
8:16 - 8:19ตามนิยามของโรคทางพันธุกรรม
มะเร็งเกิดจากออนโคยีน (oncogenes) -
8:19 - 8:21ที่ถูกกระตุ้นให้ทำงานในมะเร็ง
-
8:21 - 8:24และยีนกดการเจริญของเนื้องอก
ที่ถูกปิดการทำงานซึ่งทำให้เกิดมะเร็ง -
8:24 - 8:27คุณอาจคิดว่า
เราได้เรียนรู้เกี่ยวกับออนโคยีน -
8:27 - 8:29และยีนกดการเจริญของเนื้องอก
จากมะเร็งทั่ว ๆ ไป -
8:29 - 8:31อย่างมะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก
-
8:31 - 8:32และมะเร็งปอด
-
8:32 - 8:34แต่คุณอาจคิดผิด
-
8:34 - 8:37เรารู้จักออนโคยีน
และยีนกดการเจริญของเนื้องอก -
8:37 - 8:38เป็นครั้งแรก
-
8:38 - 8:42จากมะเร็งที่มีโอกาสเกิดขึ้นน้อยนิด
เพียงแค่หนึ่งเปอร์เซ็น ที่เรียกว่าซาร์โคมา -
8:43 - 8:45ในปี ค.ศ. 1966 เพย์ตัน รูว์
ได้รับรางวัลโนเบล -
8:45 - 8:47จากการค้นพบว่าไก่
-
8:47 - 8:51มีมะเร็งซาร์โคมาในรูปแบบที่ติดต่อได้
-
8:51 - 8:54สามสิบปีต่อมา แฮโรลด์ เวอร์มุส
และไมค์ บิชอป ได้ค้นพบ -
8:54 - 8:57ว่าส่วนที่สามารถแพร่ต่อไปได้นั้นคืออะไร
-
8:57 - 8:58มันคือไวรัสชนิดหนึ่ง
-
8:58 - 9:00ที่มียีน
-
9:00 - 9:01ที่เรียกว่า ซาร์โคมา ออนโคยีน
(src oncogene) -
9:02 - 9:06ทีนี้ ผมไม่ได้บอกคุณว่า src เป็น
ออนโคยีนที่สำคัญที่สุด -
9:06 - 9:07ผมไม่ได้บอกคุณว่า
-
9:07 - 9:10ว่า src เป็นยีนที่ถูกเปิดการทำงาน
บ่อยที่สุดในมะเร็งทุกชนิด -
9:10 - 9:13แต่ว่ามันเป็นออนโคยีนตัวแรก
-
9:14 - 9:16ข้อยกเว้นและค่าแปลกแยก
-
9:16 - 9:19ดึงความสนใจของเราและนำเราไปสู่บางสิ่ง
-
9:20 - 9:24ที่สอนเราถึงสิ่งสำคัญอื่น ๆ มากมาย
เกี่ยวกับชีววิทยาเรื่องอื่น ๆ -
9:25 - 9:29ทีนี้ TP53
คือยีนกดการเจริญเนื้องอกที่สำคัญที่สุด -
9:29 - 9:32มันเป็นยีนกดการเจริญเนื้องอก
ที่ถูกปิดการทำงานบ่อยที่สุด -
9:32 - 9:34ในมะเร็งเกือบทุกชนิด
-
9:34 - 9:37แต่เราไม่ได้รู้จักมันจากมะเร็งทั่ว ๆ ไป
-
9:37 - 9:39เรารู้จักมันตอนที่ นายแพทย์ลี และฟราเมนี
-
9:39 - 9:41มองไปที่ครอบครัวต่าง ๆ
-
9:41 - 9:43แล้วสะกิดใจว่าครอบครัวเหล่านี้
-
9:43 - 9:45มีคนที่เป็นมะเร็งซาร์โคมามากเกินไป
-
9:46 - 9:48ผมบอกคุณไปว่า
มะเร็งซาร์โคมานั้นพบได้ยาก -
9:48 - 9:51จำได้ไหมครับว่าโอกาสมีแค่หนึ่งในล้าน
-
9:51 - 9:53ถ้ามันเกิดขึ้นถึงสองครั้ง
ในครอบครัวใดครอบครัวหนึ่ง -
9:53 - 9:55มันก็เหมือนจะเกิดขึ้นง่ายเกินไปแล้ว
ในครอบครัวนั้น ๆ -
9:57 - 9:59เหตุผลที่ว่ามันพบได้ยากนั้น
-
9:59 - 10:01ทำให้เราหันมาสนใจ
-
10:02 - 10:04และนำเราไปสู่แนวคิดใหม่
-
10:05 - 10:07ทีนี้ พวกคุณหลายคนอาจบอกว่า
-
10:07 - 10:08และอาจพูดถูกว่า
-
10:09 - 10:10อืม นั่นมันก็เจ๋งอยู่นะ เคลวิน
-
10:10 - 10:12แต่คุณไม่ได้กำลังพูดถึงปีกของนกนะ
-
10:13 - 10:16คุณไม่ได้กำลังพูดถึงดวงจันทร์
ที่ลอยอยู่รอบ ๆ ดาวเคราะห์ที่ชื่อว่าพฤหัส -
10:17 - 10:18นี่คือมนุษย์คนหนึ่งเลยนะ
-
10:18 - 10:21ค่าแปลกแยกและข้อยกเว้นนี้ อาจนำเรา
ไปสู่ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ก็จริงอยู่ -
10:21 - 10:23แต่นี่มันคนนะ
-
10:24 - 10:26และผมก็พูดได้แต่เพียงว่า
-
10:26 - 10:28ผมรู้เรื่องนั้นดีอยู่แก่ใจ
-
10:30 - 10:33ผมได้สนทนากับผู้ป่วยที่เป็นโรคที่พบได้ยาก
และเป็นอันตรายถึงชีวิตเหล่านี้ -
10:34 - 10:36ผมเขียนเกี่ยวกับการสนทนาเหล่านี้
-
10:36 - 10:38การสนทนาเหล่านี้เต็มไปด้วยเรื่องเลวร้าย
-
10:38 - 10:40พวกมันเต็มไปด้วยคำที่น่ากลัวมากมาย
-
10:40 - 10:43อย่างเช่น "ผมมีข่าวร้าย"
หรือ "เราทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว" -
10:44 - 10:47ในบางครั้ง การสนทนาเหล่านี้
ก็ทำให้คำคำหนึ่งหลุดออกมา -
10:48 - 10:49"ระยะสุดท้าย"
-
10:53 - 10:56ความเงียบอาจทำให้เรารู้สึกอึดอัดนิดหน่อย
-
10:57 - 11:00ในขณะที่การเว้นวรรคในวงการแพทย์นั้น
-
11:00 - 11:02อาจมีความสำคัญ
-
11:02 - 11:04เท่า ๆ กับคำที่เราใช้ในการสนทนาเหล่านี้
-
11:05 - 11:07สิ่งที่เราไม่รู้คืออะไร
-
11:07 - 11:09การทดลองที่กำลังเกิดขึ้นอยู่มีอะไรบ้าง
-
11:10 - 11:11มาลองทำอะไรง่าย ๆ ด้วยกันหน่อยครับ
-
11:11 - 11:15บนจอภาพนี้ เราเห็นคำว่า "ไม่มีทาง"
-
11:15 - 11:16สังเกตการเว้นวรรคให้ดี ๆ นะครับ
-
11:17 - 11:20ถ้าเราลองเลื่อนการเว้นวรรคนั้นไปเล็กน้อย
-
11:21 - 11:22"ไม่มีทาง"
-
11:22 - 11:25จะกลายเป็น "ไม่ [มัน]มีทาง"
-
11:25 - 11:27ซึ่งมีความหมายตรงข้ามโดยสิ้นเชิง
-
11:27 - 11:29แค่เพียงการเว้นวรรคใหม่แค่วรรคเดียว
-
11:32 - 11:33ผมจะไม่มีวันลืมคืนนั้นเลย
-
11:33 - 11:36ที่ผมเดินเข้าไปในห้องของผู้ป่วยคนหนึ่ง
-
11:36 - 11:38ผมได้ทำการผ่าตัดอย่างยาวนานในวันนั้น
-
11:38 - 11:40แต่ผมก็ยังอยากที่จะไปพบเขา
-
11:40 - 11:43เขาเป็นเด็กชายที่ได้รับการวินิจฉัยว่า
เป็นมะเร็งกระดูกเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านั้น -
11:44 - 11:47ผมและแม่ของเขาได้เข้าพบ
แพทย์ด้านเคมีบำบัดหลายคน -
11:47 - 11:48ก่อนหน้านั้นในวันนั้น
-
11:48 - 11:51และเขาได้ถูกส่งไปยังโรงพยาบาล
เพื่อเริ่มรักษามะเร็งด้วยเคมีบำบัด -
11:51 - 11:53ตอนที่ผมไปถึงห้องของเขา
ก็เกือบเที่ยงคืนแล้ว -
11:53 - 11:56เขาหลับอยู่ แต่ผมเห็นแม่ของเขา
-
11:56 - 11:57กำลังอ่านหนังสือใต้แสงไฟฉาย
-
11:57 - 11:59ข้าง ๆ เตียงของเขา
-
11:59 - 12:01เธอออกมาที่ทางเดินข้างนอก
เพื่อคุยกับผมเป็นเวลาสองสามนาที -
12:02 - 12:04ปรากฏว่าสิ่งที่เธอกำลังอ่านอยู่นั้น
-
12:04 - 12:07คือวิธีการรักษาที่แพทย์เคมีบำบัดเหล่านั้น
-
12:07 - 12:08ได้ให้กับเธอในวันนั้น
-
12:08 - 12:09เธอจดจำมันเรียบร้อยแล้ว
-
12:11 - 12:15เธอบอกว่า "คุณหมอโจนส์คะ
คุณบอกฉัน -
12:15 - 12:17ว่าเราไม่ได้เอาชนะ
-
12:17 - 12:18มะเร็งประเภทนี้ได้เสมอไป
-
12:20 - 12:23แต่ฉันได้ศึกษาวิธีการรักษานี้แล้ว
และฉันคิดว่าฉันทำได้ -
12:24 - 12:28ฉันคิดว่าฉันรับได้
กับการบำบัดที่ยากลำบากมาก ๆ เหล่านี้ -
12:28 - 12:31ฉันจะลาออกจากงาน
ฉันจะย้ายไปอยู่กับพ่อแม่ -
12:31 - 12:33ฉันจะทำให้ลูกของฉันปลอดภัย"
-
12:35 - 12:37ผมไม่ได้บอกเธอ
-
12:38 - 12:41ผมไม่ได้หยุดเธอเพื่อเปลี่ยนความคิดของเธอ
-
12:42 - 12:44เธอกำลังปักใจเชื่อในวิธีการนี้
-
12:44 - 12:47ที่ถึงแม้ว่าจะปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดแล้วก็ตาม
-
12:47 - 12:50ก็อาจช่วยชีวิตลูกชายของเธอไว้ไม่ได้
-
12:52 - 12:53ผมไม่ได้บอกเธอ
-
12:54 - 12:56ผมไม่ได้เติมคำลงไปในช่วงที่เว้นวรรคนั้น
-
12:57 - 12:59แต่หนึ่งปีครึ่งหลังจากนั้น
-
12:59 - 13:02ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนก็ตาม
ลูกชายของเธอก็เสียชีวิตด้วยมะเร็ง -
13:03 - 13:05ผมควรที่จะบอกเธอไหมในตอนนั้น
-
13:05 - 13:08ทีนี้ พวกคุณหลาย ๆ คนอาจบอกว่า
"แล้วไงล่ะ" -
13:08 - 13:09ฉันไม่ได้เป็นมะเร็งซาร์โคมาซะหน่อย
-
13:09 - 13:11ครอบครัวฉันก็ไม่มีใครเป็นมะเร็งซาร์โคมา
-
13:11 - 13:12และทั้งหมดนี้มันก็ดีอยู่หรอกนะ
-
13:12 - 13:15แต่มันอาจไม่เกี่ยวข้องกับชีวิตของฉันสักเท่าไร"
-
13:15 - 13:16และคุณอาจพูดถูก
-
13:16 - 13:19มะเร็งซาร์โคมา
อาจไม่ได้มีผลอะไรกับชีวิตคุณมากนัก -
13:21 - 13:23แต่การเว้นวรรคการพูดในทางการแพทย์นั้น
-
13:23 - 13:25สำคัญต่อชีวิตของคุณ
-
13:27 - 13:29ผมไม่ได้บอกคุณถึงความลับแย่ ๆ อย่างหนึ่ง
-
13:29 - 13:33ผมบอกคุณว่าในทางการแพทย์
เราทดสอบการคาดคาดคะเนในกลุ่มประชากร -
13:33 - 13:34แต่ผมไม่ได้บอกคุณ
-
13:35 - 13:37และบ่อยครั้งคนในวงการแพทย์จะไม่บอกคุณ
-
13:37 - 13:40ว่าทุกครั้งที่แต่ละคน
-
13:40 - 13:42เข้ารับการบริการทางการแพทย์
-
13:42 - 13:46แม้ว่าคนคนนั้นจะอยู่
ในกลุ่มประชากรทั่วไปอย่างแท้จริงก็ตาม -
13:47 - 13:50ทั้งเจ้าตัวและแพทย์จะไม่รู้เลย
-
13:50 - 13:52ว่าคนคนนั้นจะตกไปอยู่ในประชากรกลุ่มไหน
-
13:53 - 13:56ฉะนั้น การเข้ารับบริการทางการแพทย์ทุกครั้ง
-
13:56 - 13:57ก็คือการทดลองอย่างหนึ่ง
-
13:58 - 14:00คุณจะกลายเป็นตัวทดลอง
-
14:00 - 14:02ในการทดลองสักอย่างหนึ่ง
-
14:03 - 14:07และผลลัพธ์ที่ออกมาจะเป็นผลที่ดีกว่า
หรือไม่ก็แย่กว่าสำหรับคุณ -
14:08 - 14:10ตราบใดที่การรักษานั้นยังใช้ได้ดี
-
14:10 - 14:13เราก็จะยังคงพึงพอใจกับบริการอันรวดเร็ว
-
14:13 - 14:17และคุยฟุ้งอวดเก่งได้อย่างมั่นใจเต็มเปี่ยม
-
14:18 - 14:19แต่เมื่อสิ่งต่าง ๆ ไม่ได้ผล
-
14:19 - 14:21บางครั้ง เราก็อยากได้ทางเลือกใหม่
-
14:23 - 14:26เพื่อนร่วมงานของผมผ่าเนื้องอก
ออกจากแขนขาของผู้ป่วยรายหนึ่ง -
14:27 - 14:29เขาเป็นกังวลกับเนื้องอกนี้
-
14:29 - 14:32ในงานสัมมนาทางการแพทย์ของเรา
เขาพูดถึงความกังวลของเขา -
14:32 - 14:33ว่าเนื้องอกนี้เป็นเนื้องอก
-
14:33 - 14:36ประเภทที่มีโอกาสสูง
ที่จะเกิดขึ้นซ้ำในแขนขาข้างเดิม -
14:37 - 14:39แต่สิ่งที่เขาคุยกับผู้ป่วยคนนั้น
-
14:39 - 14:41คือสิ่งที่ผู้ป่วยต้องการ นั่นก็คือ
-
14:41 - 14:42ความมั่นใจที่เต็มเปี่ยม
-
14:42 - 14:45เขาบอกว่า "ผมรับมือกับมันได้แล้ว
และคุณก็หายขาดแล้วด้วย" -
14:45 - 14:47เธอและสามีของเธอตื่นเต้นมาก
-
14:47 - 14:51พวกเขาออกไปฉลองงานเลี้ยงอาหารค่ำ
สุดเลิศหรู เปิดขวดแชมเปญ -
14:52 - 14:54ปัญหาเดียวก็คือไม่กี่สัปดาห์ต่อมา
-
14:54 - 14:57เธอเริ่มสังเกตเห็นปุ่มเล็ก ๆ
ปุ่มใหม่ที่บริเวณเดิม -
14:57 - 15:02กลายเป็นว่าเขาไม่ได้รับมือกับมันได้จริง
และเธอก็ไม่ได้หายขาดจริง ๆ -
15:02 - 15:04แต่สิ่งที่เกิดขึ้น ณ จุด ๆ นี้เอง
ที่ทำให้ผมสนใจมาก -
15:05 - 15:07เพื่อนร่วมงานของผม
เข้ามาหาผมแล้วก็บอกว่า -
15:07 - 15:10"เคลวิน จะเป็นอะไรไหมถ้าผม
อยากให้คุณดูแลผู้ป่วยคนนี้แทนผม" -
15:10 - 15:13ผมบอกว่า "ทำไมล่ะ
คุณก็รู้ดีพอ ๆ กับผมนี่นา -
15:13 - 15:15คุณไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนะ"
-
15:15 - 15:20เขาบอกว่า "ขอร้องล่ะ
ดูแลผู้ป่วยคนนี้ให้ผมเถอะนะ" -
15:21 - 15:23เขารู้สึกอับอาย
-
15:23 - 15:24ไม่ใช่เพราะสิ่งที่เขาได้ทำลงไป
-
15:25 - 15:27แต่เพราะสิ่งที่เขาได้พูดไว้
-
15:28 - 15:29เพราะความมั่นใจที่มากเกินไป
-
15:31 - 15:33ดังนั้น ผมก็เลยลงมือผ่าตัดในแบบที่
ผู้ป่วยอาจได้รับผลกระทบมากกว่า -
15:33 - 15:36และพูดคุยกับผู้ป่วยคนนั้น
ในแบบที่แตกต่างออกไปมากหลังจากนั้น -
15:36 - 15:39ผมบอกว่า "เป็นไปได้สูงว่า
ผมจัดการกับมันได้เรียบร้อยแล้ว -
15:39 - 15:41และก็เป็นไปได้สูงว่าคุณหายขาดแล้ว
-
15:41 - 15:44แต่ว่านี่คือการทดลองที่เรากำลังทำอยู่
-
15:45 - 15:47นี่คือสิ่งที่คุณจะต้องจับตามอง
-
15:47 - 15:49นี่คือสิ่งที่ผมจะต้องจับตามอง
-
15:49 - 15:53และเราก็จะต้องร่วมมือกัน
เพื่อหาคำตอบว่าการผ่าตัดครั้งนี้ -
15:53 - 15:54จะกำจัดมะเร็งของคุณได้หรือไม่"
-
15:55 - 15:57ผมบอกคุณได้เลยว่า ทั้งเธอและสามีของเธอ
-
15:57 - 16:00ไม่ได้วิ่งไปเปิดแชมเปญฉลอง
เป็นครั้งที่สองหลังจากที่พูดคุยกับผม -
16:02 - 16:04แต่ในตอนนี้ เธอได้กลายเป็น
นักวิทยาศาสตร์ไปแล้ว -
16:04 - 16:08ไม่ใช่เพียงแค่ตัวทดลองในการทดลองของเธอ
-
16:10 - 16:12และดังนั้น ผมขอสนับสนุนให้คุณ
-
16:12 - 16:15มองหาความถ่อมตนและความสงสัยใคร่รู้
-
16:15 - 16:16ในตัวแพทย์ของคุณ
-
16:17 - 16:20เกือบ 2 หมื่นล้านครั้งในแต่ละปี
-
16:20 - 16:24ที่จะมีสักคนเดินเข้าไปยังห้องทำงานของหมอ
-
16:24 - 16:26แล้วคนคนนั้นก็กลายเป็นผู้ป่วย
-
16:27 - 16:31คุณหรือใครสักคนที่คุณรัก
จะกลายเป็นผู้ป่วยคนนั้นในไม่ช้า -
16:32 - 16:33คุณจะพูดกับหมอของคุณอย่างไร
-
16:35 - 16:36คุณจะบอกอะไรกับพวกเขา
-
16:37 - 16:38พวกเขาจะบอกอะไรกับคุณ
-
16:41 - 16:43พวกเขาไม่สามารถบอกสิ่งที่พวกเขาไม่รู้
-
16:43 - 16:44ให้คุณทราบได้
-
16:46 - 16:49แต่พวกเขาบอกคุณได้ว่าพวกเขาไม่รู้เมื่อใด
-
16:50 - 16:52เพียงแค่คุณเอ่ยปากถาม
-
16:52 - 16:55ฉะนั้น ได้โปรดเถอะครับ มาร่วมพูดคุยกัน
-
16:56 - 16:57ขอบคุณครับ
-
16:57 - 17:00(เสียงปรบมือ)
- Title:
- ทำไมความสงสัยใคร่รู้จึงเป็นกุญแจสำคัญของวิทยาศาสตร์และการแพทย์
- Speaker:
- เควิน โจนส์ (Kevin Jones)
- Description:
-
วิทยาศาสตร์คือกระบวนการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้องกับการทำการทดลอง ความล้มเหลว และการแก้ไขปรับปรุง และศาสตร์แห่งการแพทย์นั้นก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น นักวิจัยด้านมะเร็ง เควิน บี. โจนส์ เผชิญหน้ากับปริศนาดำมืดของการผ่าตัดและการรักษาพยาบาลด้วยคำตอบง่าย ๆ ซึ่งก็คือ ความซื่อสัตย์ ในการบรรยายที่ชวนคิดเกี่ยวกับธรรมชาติของความรู้ โจนส์แสดงให้เห็นว่าวิทยาศาสตร์จะก่อให้เกิดผลที่ดีที่สุดเมื่อนักวิทยาศาสตร์ต่างยอมรับอย่างไม่ทะนงตัวว่าพวกเขาไม่เข้าใจเรื่องอะไรบ้าง
- Video Language:
- English
- Team:
- closed TED
- Project:
- TEDTalks
- Duration:
- 17:13
Kelwalin Dhanasarnsombut edited Thai subtitles for Why curiosity is the key to science and medicine | ||
Kelwalin Dhanasarnsombut approved Thai subtitles for Why curiosity is the key to science and medicine | ||
Kelwalin Dhanasarnsombut edited Thai subtitles for Why curiosity is the key to science and medicine | ||
Purich Worawarachai accepted Thai subtitles for Why curiosity is the key to science and medicine | ||
Purich Worawarachai edited Thai subtitles for Why curiosity is the key to science and medicine | ||
Kelwalin Dhanasarnsombut edited Thai subtitles for Why curiosity is the key to science and medicine | ||
Purich Worawarachai declined Thai subtitles for Why curiosity is the key to science and medicine | ||
Purich Worawarachai edited Thai subtitles for Why curiosity is the key to science and medicine |