แนวคิดเบื้องหลังระบบปฏิบัติการลินุกซ์
-
0:01 - 0:04คริส แอนเดอร์สัน: นี่เป็นเรื่องที่แปลกมาก
-
0:04 - 0:07ซอฟต์แวร์ของคุณ ลินุกซ์
ถูกใช้ในคอมพิวเตอร์หลายล้านเครื่อง -
0:07 - 0:10และมันน่าจะเป็นส่วนสำคัญ
ของหลาย ๆ อย่างบนอินเทอร์เน็ต -
0:10 - 0:12และผมคิดว่า
-
0:12 - 0:16น่าจะมีเครื่องที่ใช้แอนดรอยด์
สักพันห้าร้อยล้านเครื่องตอนนี้ -
0:16 - 0:18ซึ่งซอฟต์แวร์ของคุณก็เป็นส่วนหนึ่ง
ในทุก ๆ เครื่องนั้น -
0:19 - 0:20มันสุดยอดอยู่นะ
-
0:20 - 0:25คุณน่าจะต้องมีศูนย์บัญชาการ
ที่คอยทำงานต่าง ๆ อยู่เบื้องหลัง -
0:25 - 0:28นั่นคือสิ่งที่ผมคิด
แล้วผมก็ต้องอึ้งเมื่อเห็นภาพนี้ -
0:28 - 0:30มันช่าง--
-
0:30 - 0:32นี่คือสำนักงานใหญ่ของลินุกซ์
-
0:32 - 0:34(เสียงหัวเราะ)
-
0:34 - 0:38(เสียงปรบมือ)
-
0:38 - 0:40ลินุส โตร์วัลดส์: มันไม่ได้มีอะไรมากมายเลย
-
0:40 - 0:42และผมต้องขอบอกว่า
-
0:42 - 0:46ส่วนที่น่าสนใจที่สุดในภาพนี้
-
0:46 - 0:47ที่คนส่วนใหญ่มักจะมีปฏิกิริยาตอบรับ
-
0:47 - 0:49คือโต๊ะเคลื่อนที่ได้อันนี้
-
0:49 - 0:52มันเป็นสิ่งที่น่าสนใจที่สุดในที่ทำงานของผม
-
0:52 - 0:54แต่ผมก็ไม่ได้ใช้มันแล้วนะตอนนี้
-
0:54 - 0:56ซึ่งผมคิดว่าทั้งสองอย่างมันเชื่อมโยงกัน
-
0:57 - 1:00แนวทางการทำงานของผมคือ...
-
1:01 - 1:06ผมไม่อยากให้มีสิ่งรบกวนใด ๆ
-
1:06 - 1:11คุณอาจจะพอมองเห็น
ผนังตรงนั้นจะเป็นสีเขียวอ่อน -
1:11 - 1:16เคยมีคนบอกผมว่าที่สถาบันจิตเวช
เขาใช้สีนั้นทาผนังกัน -
1:16 - 1:17(เสียงหัวเราะ)
-
1:17 - 1:19มันเป็นเหมือนสีที่ช่วยให้ผ่อนคลาย
-
1:19 - 1:22มันไม่ใช่อะไรที่จะมากระตุ้นคุณ
-
1:23 - 1:27แต่สิ่งที่คุณไม่เห็นคือที่คอมพิวเตอร์นี่
คุณเห็นแค่จอของมัน -
1:28 - 1:31แต่สิ่งที่ผมกังวลมากที่สุด
เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ของผมคือ-- -
1:31 - 1:34มันไม่ได้ต้องใหญ่โตหรือทรงพลังอะไร
ซึ่งแบบนั้นผมก็ชอบนะ-- -
1:34 - 1:37แต่มันจะต้องเงียบกริบ
-
1:38 - 1:40ผมรู้จักคนที่ทำงานที่กูเกิล
-
1:40 - 1:43แล้วเขาก็มีศูนย์ข้อมูลขนาดย่อม ๆ
แบบส่วนตัวที่บ้าน -
1:43 - 1:44แต่ผมไม่ทำอย่างนั้น
-
1:44 - 1:48สำนักงานของผมเป็นที่ทำงาน
ที่น่าเบื่อที่สุดเท่าที่คุณเคยเห็นมา -
1:48 - 1:52และผมก็นั่งอยู่คนเดียวเงียบ ๆ
-
1:52 - 1:54ถ้ามีแมวตัวหนึ่งโผล่มา
-
1:54 - 1:56แล้วมานั่งบนตักผม
-
1:56 - 1:58ผมต้องการที่จะได้ยินเสียงมันคราง
-
1:58 - 2:01ไม่ใช่เสียงพัดลมคอมพิวเตอร์
-
2:01 - 2:03คริส: มันเลยน่าประหลาดใจ
-
2:03 - 2:05เพราะการทำงานแบบนี้
-
2:06 - 2:08คุณก็สามารถบริหารอาณาจักรเทคโนโลยี--
-
2:09 - 2:10มันเป็นอาณาจักรจริง ๆ นะ--
-
2:10 - 2:13เพราะฉะนั้น นี่จึงเป็นเครื่องยืนยัน
ถึงความทรงพลังของ Open Source -
2:13 - 2:18บอกเราหน่อยสิครับว่า
คุณทำความเข้าใจเรื่อง Open Source ยังไง -
2:18 - 2:20แล้วมันนำไปสู่การพัฒนาลินุกซ์ได้ยังไง
-
2:22 - 2:23ลินุส: คือ ผมก็ยังทำงานคนเดียว
-
2:23 - 2:27จริง ๆ นะ-- ผมทำงานอยู่ในบ้านคนเดียว
-
2:27 - 2:28ปกติก็ใส่เสื้อคลุมอาบน้ำ
-
2:28 - 2:31ตอนที่ตากล้องมาถึง ผมก็แต่งตัวใหม่
-
2:31 - 2:32ผมเลยใส่เสื้อผ้าอยู่ในรูป
-
2:32 - 2:33(เสียงหัวเราะ)
-
2:33 - 2:35และนั่นคือวิธีทำงานของผม
-
2:35 - 2:37นี่แหละ นี่คือวิธีที่ผมใช้สร้างลินุกซ์นะ
-
2:37 - 2:41ผมไม่ได้สร้างลินุกซ์เป็นแบบโปรเจกต์ร่วม
-
2:41 - 2:46ผมเริ่มมันแบบเป็นแค่หนึ่งในหลาย ๆ โปรเจกต์
-
2:46 - 2:50ตอนนั้นผมทำเพื่อตัวเอง
-
2:50 - 2:52ส่วนหนึ่งก็เพราะผมต้องการผลลัพธ์ของมัน
-
2:52 - 2:54แต่หลัก ๆ ก็คือผมชอบการเขียนโปรแกรม
-
2:54 - 2:59เพราะฉะนั้นมันจึงมีผลลัพธ์ปลายทางมากกว่า
-
2:59 - 3:02ซึ่งในอีก 25 ปีให้หลัง
เราก็ยังไปไม่ถึงจุดนั้น -
3:02 - 3:06แต่จริงๆมันก็คือ
ผมแค่กำลังมองโปรเจกต์ของตนเอง -
3:06 - 3:10โดยที่ไม่มี Open Source อะไร
ในความคิดของผมตอนนั้นเลย -
3:10 - 3:12และสิ่งที่เกิดขึ้นคือ...
-
3:13 - 3:17โปรเจกต์นี้ก็โตขึ้น
จนกลายเป็นอะไรที่คุณอยากอวด -
3:19 - 3:23จริง ๆ นะ มันเหมือนว่า
"ว้าว ดูสิ่งที่ผมทำสิ!" -
3:23 - 3:25เชื่อผมซิ
ตอนนั้นมันไม่ได้ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นหรอก -
3:26 - 3:28ผมทำให้มันเป็นของสาธารณะ
-
3:28 - 3:30แต่มันก็ยังไม่ได้เป็น Open Source
-
3:30 - 3:35เป็นแค่แหล่งข้อมูลเปิดเฉย ๆ
ซึ่งผมไม่ได้มีความตั้งใจ -
3:35 - 3:40ว่าจะใช้แนวคิดให้เป็น Open Source
อย่างที่เราคิดกันทุกวันนี้ -
3:40 - 3:42มาพัฒนามัน
-
3:42 - 3:43มันออกจะเป็นว่า
-
3:43 - 3:46"ดูสิ ฉันนั่งทำมันมาครึ่งปีเลยนะ"
-
3:46 - 3:48"ช่วยติชมหน่อย"
-
3:49 - 3:51แล้วคนอื่น ๆ ก็เข้ามาหาผม
-
3:51 - 3:53ที่มหาวิทยาลัยเฮลซินกิ
-
3:53 - 3:57ผมมีเพื่อนที่เคยทำ Open Source--
-
3:57 - 4:00ตอนนั้นมันถูกเรียกว่า "Free Software"--
-
4:00 - 4:05และเขาก็เป็นคนแนะนำผมเข้าสู่แนวคิดนี้
แล้วพูดว่า เฮ้ -
4:05 - 4:10นายสามารถใช้สิทธิ์ Open Source
ที่มีอยู่นี่ได้นะ -
4:12 - 4:14แล้วผมก็คิดอยู่สักพักหนึ่ง
-
4:14 - 4:18จริง ๆ ผมน่ะกังวล
เกี่ยวกับผลประโยชน์ทางธุรกิจต่างๆ -
4:18 - 4:22ผมว่านั่นคือสิ่งที่คนที่เริ่มต้น
บางสิ่งบางอย่างขึ้นมาใหม่กังวลกัน -
4:22 - 4:27คือกลัวว่าจะมีใครมาฉกฉวยโอกาส
จากผลงานของตัวเอง ใช่ไหมล่ะ -
4:28 - 4:31เพราะฉะนั้นผมเลยตัดสินใจว่า "ช่างมันเหอะ"
-
4:32 - 4:33แล้ว--
-
4:33 - 4:34คริส: แล้วพอถึงจุดหนึ่ง
-
4:34 - 4:37ก็มีคนเพิ่มโค้ดบางท่อน
-
4:37 - 4:40ที่คุณคิดว่า "ว้าว น่าสนใจแฮะ
เป็นผมคงคิดไม่ได้แน่" -
4:40 - 4:42"มันน่าจะพัฒนาไปได้อีกนะ"
-
4:42 - 4:44ลินุส: จริง ๆ มันไม่ได้เริ่มจาก
-
4:44 - 4:47คนมาเพิ่มโค้ดด้วยซ้ำ
มันเป็นว่า คนมาเพิ่มแนวคิดมากกว่า -
4:48 - 4:51แค่มีใครซักคนมองดูโปรเจกต์ของคุณ--
-
4:51 - 4:54และผมมั่นใจว่ามันเป็นจริงสำหรับเรื่องอื่น
เช่นกัน -
4:54 - 4:55แต่มันจริงมาก ๆ สำหรับเรื่องโค้ด--
-
4:55 - 4:59ว่าถ้ามีคนอื่นมาสนใจโค้ดของคุณ
-
4:59 - 5:01มานั่งอ่านมันนานพอที่จะให้คำติชมได้
-
5:02 - 5:03หรือให้แนวคิดเพิ่มเติมได้
-
5:03 - 5:05นั่นเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับผม
-
5:05 - 5:08ตอนนั้นผมอายุแค่ 21 ยังวัยรุ่นอยู่
-
5:08 - 5:12แต่เอาเข้าจริง ๆ
ผมก็เริ่มเขียนโปรแกรมมาแล้วครึ่งชีวิต -
5:12 - 5:16ซึ่งทุกโปรเจกต์ก่อนหน้านั้น
เป็นเรื่องที่ผมทำคนเดียวทั้งนั้น -
5:16 - 5:19และมันเป็นเหมือนแสงสว่างจากพระเจ้า
เมื่อทุกคนเริ่มให้คำติชม -
5:19 - 5:23และให้การตอบรับกับโค้ดของคุณ
-
5:23 - 5:27แม้แต่ก่อนหน้านั้นที่ทุกคนจะให้โค้ดกลับมา
-
5:27 - 5:29ตอนนั้นแหละที่เป็นจังหวะสำคัญให้ผมพูดว่า
-
5:29 - 5:31"ฉันรักทุกคนจัง"
-
5:31 - 5:32อย่าเข้าใจผิดนะ--
-
5:32 - 5:34ผมไม่ใช่คนที่ชอบอยู่กับคนอื่นเลย
-
5:34 - 5:37(เสียงหัวเราะ)
-
5:38 - 5:40ผมไม่ชอบอยู่กับคนอื่น ๆ เลยนะ--
-
5:40 - 5:41(เสียงหัวเราะ)
-
5:41 - 5:43แต่ผมรักคอมพิวเตอร์
-
5:43 - 5:45ผมรักการได้สื่อสารกับคนอื่น ๆ ผ่านอีเมล
-
5:45 - 5:48เพราะว่ามันเหมือนจะมีกันชนเล็ก ๆ อยู่
-
5:48 - 5:55แต่ผมก็รักคนที่ติชมและลงมา
มีส่วนร่วมในโปรเจกต์ของผม -
5:55 - 5:57และทำให้มันพิเศษกขึ้นกว่าเดิมมาก
-
5:57 - 6:00คริส: แสดงว่ามันมีจุดหนึ่งที่
คุณมองสิ่งที่กำลังถูกสร้างขึ้น -
6:00 - 6:02แล้วอยู่ดี ๆ มันก็เริ่มพุ่งทะยานไปข้างหน้า
-
6:02 - 6:06จนคุณคิดขึ้นมาว่า "เดี๋ยวนะ
นี่อาจจะกลายเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ก็ได้" -
6:06 - 6:09"ไม่ใช่แค่โปรเจกต์ของคนคนเดียว
ที่ผมกำลังได้รับคำวิจารณ์อยู่" -
6:09 - 6:13"แต่เป็นการพัฒนาระดับสุดยอด
ในโลกแห่งเทคโนโลยี" -
6:14 - 6:15ลินุส: ก็ไม่เชิงนะ
-
6:15 - 6:19คือผมหมายถึงว่า จุดสำคัญสำหรับผม
ไม่ใช่ตอนที่มันเริ่มจะใหญ่ขึ้น -
6:19 - 6:21แต่เป็นตอนที่มันเริ่มจะขยายจากจุดเล็ก ๆ
-
6:22 - 6:25จุดที่สำคัญคือตอนที่ไม่ได้อยู่กับผม
เพียงคนเดียวอีกต่อไป -
6:25 - 6:29และมีสิบคน หรือร้อยคน เข้ามาร่วมกัน--
-
6:29 - 6:30นั่นคือจุดสำคัญ
-
6:30 - 6:34จากนั้นทุกอย่างก็ค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไป
-
6:34 - 6:38จากหนึ่งร้อยคนเป็นหนึ่งล้านคน
นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญเลย--สำหรับผม -
6:38 - 6:40เอ่อ อันที่จริงก็อาจจะใช่แหละ
-
6:40 - 6:41(เสียงหัวเราะ)
-
6:41 - 6:43คือถ้าคุณจะขายผลงานนั้น
มันก็เป็นเรื่องใหญ่มาก-- -
6:43 - 6:45อย่าเข้าใจผมผิดนะ
-
6:45 - 6:47แต่ถ้าคุณสนใจในเทคโนโลยี
-
6:47 - 6:49แล้วคุณก็สนใจในโปรเจกต์หนึ่ง
-
6:49 - 6:51เรื่องใหญ่คือตอนที่คุณชวนทุกคนมาร่วมกัน
-
6:51 - 6:52แล้วจากนั้นมันก็จะขยายขึ้นเอง
-
6:52 - 6:56และจริง ๆ แล้วมันก็ไม่ได้มีตอนไหนเลย
-
6:56 - 6:58ที่ผมคิดว่า "ว้าว มันเริ่มขึ้นแล้ว"--
-
6:58 - 7:02เพราะมันใช้เวลานานมาก จริง ๆ นะ
-
7:02 - 7:05คริส: นักเทคโนโลยีทุกคนที่ผมเคยคุยด้วย
ต่างก็ให้เครดิตคุณ -
7:05 - 7:08ว่าเป็นคนที่พลิกโฉมของพวกเขา
-
7:08 - 7:09และไม่ใช่แค่กับลินุกซ์
-
7:09 - 7:11แต่รวมถึงสิ่งที่เรียกว่า Git
-
7:11 - 7:15ซึ่งคือระบบจัดการการพัฒนาซอฟต์แวร์
-
7:15 - 7:18ช่วยสรุปให้เราหน่อยครับว่า
คุณเกี่ยวข้องกันมันยังไง -
7:18 - 7:20ลินุส: คือมันมีประเด็นอยู่
-
7:20 - 7:23และเรื่องนี้ก็ใช้เวลาพอสมควร
กว่าจะโผล่ขึ้นมาให้เห็น -
7:23 - 7:25คือเมื่อคุณ...
-
7:26 - 7:31ขยายจากการมีคน 10 คน หรือ 100 คน
ทำงานชิ้นหนึ่งด้วยกัน -
7:31 - 7:33กลายมาเป็น 10,000 คน ซึ่ง--
-
7:33 - 7:37ตอนนี้เราอยู่ในสถานการณ์นั้น
ที่ตรงศูนย์กลาง -
7:37 - 7:40เรามีคนซักพันคนที่เกี่ยวข้อง
ในการออกเวอร์ชั่นใหม่ทุกรอบ -
7:40 - 7:44ซึ่งนั่นคือทุก ๆ สองเดือน
หรือสองถึงสามเดือนโดยประมาณ -
7:44 - 7:47ดังนั้น บางคนเลยไม่ค่อยได้ทำอะไรมาก
-
7:47 - 7:49มีอยู่หลายคนเลยทีเดียวที่
เปลี่ยนแปลงแค่จุดเล็ก ๆ -
7:49 - 7:52แต่เพื่อจะคงสิ่งนี้ไว้
-
7:52 - 7:55ขนาดของมันก็ทำให้คุณต้องเปลี่ยนวิธีดูแล
-
7:55 - 7:57ดังนั้นเราเลยต้องเจอความลำบากกันมาก
-
7:59 - 8:05และมันก็มีบางโปรเจกต์ที่จริง ๆ แล้ว
ทำแค่รักษาโค้ดให้ใช้ได้ตามปกติ -
8:05 - 8:09CVS เองก็เป็นสิ่งที่คนใช้กันแพร่หลาย
-
8:09 - 8:12ซึ่งผมเกลียด CVS สุด ๆ ไปเลยล่ะ
แล้วก็จะไม่ยอมแตะมันด้วย -
8:13 - 8:16ผมเลยลองสิ่งใหม่ที่ฉีกแนวออกไป
และน่าสนใจ -
8:16 - 8:18และเป็นสิ่งที่ทุกคนเกลียดด้วยนะ
-
8:19 - 8:20(เสียงหัวเราะ)
-
8:20 - 8:22ลินุส: แล้วเราก็มาอยู่ในจุดที่แย่มาก
-
8:23 - 8:25คือมีคนหลายพันอยากจะเข้ามามีส่วนร่วม
-
8:25 - 8:30แต่เพราะอะไรหลาย ๆ อย่าง ผมก็ถึงจุดวิกฤติ
-
8:30 - 8:33ท่ีผมไม่สามารถจะขยายขอบเขตมันออกไป
-
8:33 - 8:36จนผมสามารถทำงานร่วมกับคนเป็นพันได้
-
8:36 - 8:38Git เลยเป็นโปรเจกต์ใหญ่ชิ้นที่สองของผม
-
8:38 - 8:43ซึ่งจริง ๆ แล้วผมก็แค่สร้างขึ้นมา
เพื่อดูแลโปรเจกต์ใหญ่ชิ้นแรก -
8:43 - 8:46และนี่คือวิธีที่ผมทำงานจริง ๆ นะ
-
8:46 - 8:48ผมไม่ได้เขียนโปรแกรมเพื่อ--
-
8:48 - 8:50เอ่อ จริง ๆ ก็เขียนเอาสนุกนั่นแหละ--
-
8:50 - 8:52แต่ผมอยากจะเขียนสิ่งที่มีความหมาย
-
8:52 - 8:56ดังนั้น ทุกโปรเจกต์ที่ผมเคยทำมา
มันก็คือสิ่งที่ผมต้องการ -
8:56 - 8:58และ--
-
8:58 - 9:01คริส: ซึ่งนั่นก็คือว่า จริง ๆ แล้วทั้ง
Linux และ Git -
9:01 - 9:04ต่างก็เกิดมากจากความไม่ตั้งใจของคุณ
-
9:04 - 9:06ที่แค่ไม่อยากจะทำงานกับคนเยอะ ๆ
-
9:06 - 9:08ลินุส: ถูกต้องที่สุด
-
9:08 - 9:09(เสียงหัวเราะ)
-
9:09 - 9:10คริส: น่าแปลกนะ
ลินุส: ใช่เลย -
9:10 - 9:12(เสียงปรบมือ)
-
9:12 - 9:15แต่ถึงอย่างนั้น คุณก็ยังเป็นคนที่พลิกโฉม
โลกเทคโนโลยีไม่ใช่แค่ครั้งเดียว -
9:15 - 9:17แต่เป็นถึงสองครั้ง
-
9:17 - 9:19และเราก็ต้องมาพยายามเข้าใจว่า
ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น -
9:19 - 9:21คุณก็บอกใบ้กับเรามาบ้าง แต่ว่า..
-
9:21 - 9:26นี่เป็นรูปของคุณสมัยเด็กกับลูกรูบิค
-
9:26 - 9:30คุณบอกว่าคุณเริ่มเขียนโปรแกรมว่าตั้งแต่
อายุ 10-11 ชวบ -
9:30 - 9:31นั่นคือกว่าครึ่งชีวิตมาแล้ว
-
9:31 - 9:35คุณคือพวกอัจฉริยะทางคอมพิวเตอร์
แบบว่า พวกเนิร์ด -
9:35 - 9:37หรือเป็นดาวเด่นของโรงเรียนที่ทำได้ทุกอย่าง
-
9:37 - 9:39คุณเป็นยังไงบ้างตอนเด็ก ๆ
-
9:40 - 9:43ลินุส: ผมว่าผมเป็นพวกเนิร์ดตัวอย่างเลยล่ะ
-
9:43 - 9:44แบบว่า ผมน่ะ...
-
9:45 - 9:47ผมไม่ใช่คนที่ชอบจะอยู่กับคนอื่นเท่าไหร่
-
9:47 - 9:50ในรูปนั่นคือน้องชายของผม
-
9:50 - 9:53เห็นได้ชัดเลยว่าผมสนใจรูบิค
-
9:53 - 9:54มากกว่าน้องชายตัวเอง
-
9:54 - 9:55(เสียงหัวเราะ)
-
9:55 - 9:58ส่วนน้องสาวชองผม
คือเธอไม่ได้อยู่ในรูปนะครับ -
9:58 - 10:01แต่ว่า ตอนที่ครอบครัวเรามาเจอกัน--
-
10:01 - 10:05จริง ๆ ครอบครัวเราไม่ได้ใหญ่
แต่ผมก็มีลูกพี่ลูกน้องอยู่สองสามคน-- -
10:05 - 10:07เธอจะต้องซักซ้อมผมก่อนล่วงหน้า
-
10:07 - 10:10อย่างเช่น ก่อนที่ผมจะเดินเข้าไปในห้อง
เธอจะพูดว่า -
10:10 - 10:13"โอเค มันคืออย่างนี้นะ..."
-
10:14 - 10:16เพราะว่าผมไม่ใช่คนที่--
-
10:16 - 10:17ผมเป็นพวก Geek
-
10:18 - 10:19ผมสนใจคอมพิวเตอร์
-
10:19 - 10:20ผมสนใจเลข
-
10:20 - 10:21ผมสนใจฟิสิกส์
-
10:21 - 10:22ผมทำได้ดีในเรื่องพวกนี้
-
10:22 - 10:25ผมไม่คิดว่าผมวิเศษวิโสอะไรนะ
-
10:26 - 10:28ซึ่งอันที่จริง น้องสาวผมก็บอกว่า
-
10:28 - 10:35คุณลักษณะที่พิเศษกว่าคนอื่นของผม
คือการไม่ยอมปล่อยวาง -
10:36 - 10:38คริส: โอเค งั้นมาพูดเรื่องนี้กันหน่อย
มันน่าสนใจนะ -
10:38 - 10:39คุณไม่ยอมปล่อยวาง
-
10:39 - 10:42เพราะงั้นมันไม่ได้เกี่ยวกับว่า
คุณ Geek หรือคุณฉลาด -
10:42 - 10:45แต่มันคือ ... ความรั้นรึเปล่า
-
10:45 - 10:47ลินุส: มันคือความรั้น
-
10:47 - 10:48มันคือ อย่างเช่น
-
10:49 - 10:51เวลาคุณเริ่มอะไรขึ้นมาอย่างหนึ่ง
-
10:51 - 10:57แล้วไม่พูดว่า "โอเค พอแล้วไปทำอย่างอื่นกัน--
-
10:57 - 10:58"ดูสิ น่าสนใจแฮะ"
-
10:59 - 11:02ซึ่งผมก็สังเกตเห็นมัน
ในชีวิตด้านอื่น ๆ เหมือนกัน -
11:03 - 11:07ผมอาศัยอยู่ในซิลิคอน วัลเลย์ มาเจ็ดปี
-
11:07 - 11:11และผมก็ทำงานในบริษัทเดิมที่ซิลิคอน วัลเลย์
-
11:11 - 11:13ตลอดเจ็ดปีนั้น
-
11:13 - 11:14นี่มันแปลกมาก ๆ เลยนะ
-
11:15 - 11:17มันไม่ใช่สิ่งที่คนอื่น ๆ เขาทำกันนะ
-
11:17 - 11:21แนวคิดของซิลิคอน วัลเลย์
คือให้คนเปลี่ยนงานไปเรื่อย ๆ -
11:21 - 11:23คล้าย ๆ กับการผสมผสานรวมกัน
-
11:23 - 11:25ซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมเป็น
-
11:25 - 11:28คริส: แต่ระหว่างการพัฒนาลินุกซ์เอง
-
11:28 - 11:32บางครั้งความไม่ยอมเปลี่ยนใจของคุณ
ก็ทำให้คุณมีปัญหากับคนอื่น -
11:32 - 11:34ลองเล่าให้เราฟังหน่อยสิ
-
11:34 - 11:40มันมีประโยชน์จริง ๆ ไหมที่เรายังคงรักษา
ระดับมาตรฐานของสิ่งที่กำลังสร้างขึ้นมา -
11:40 - 11:42คุณจะอธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นว่ายังไงบ้าง
-
11:42 - 11:44ลินุส: คือผมก็ไม่รู้ว่ามันมีประโยชน์ไหมนะ
-
11:45 - 11:48ย้อนกลับตรงที่ว่า
"ผมไม่ใช่คนชอบอยู่กับคนอื่น"-- -
11:48 - 11:50คือบางครั้งผมก็...
-
11:52 - 11:54เรียกว่ายังไงดี
-
11:54 - 11:57"ใจแคบ" เรื่องความรู้สึกของคนอื่น
เรียกแบบนี้แล้วกัน -
11:58 - 12:03และบางครั้งมันก็ทำให้คุณพูดจา
ทำร้ายจิดใจคนอื่น -
12:03 - 12:07ซึ่งผมไม่ได้พอใจกับมันเลย
-
12:07 - 12:08(เสียงปรบมือ)
-
12:08 - 12:10แต่ในขณะเดียวกัน--
-
12:11 - 12:14ผมก็เข้าใจคนที่บอกว่า
ผมควรจะเป็นคนที่น่าคบกว่านี้นะ -
12:15 - 12:20แต่พอผมพยายามจะอธิบายให้พวกเขาฟังว่า
บางทีคุณอาจจะน่าคบเกินไปก็ได้ -
12:20 - 12:23คุณน่าจะดุดันมากขึ้นอีกหน่อย
-
12:23 - 12:26พวกเขาก็มองว่าผมนั่นแหละที่ไม่น่าคบ
-
12:26 - 12:28(เสียงหัวเราะ)
-
12:28 - 12:31ที่ผมอยากจะบอกก็คือ เราแต่ละคนไม่เหมือนกัน
-
12:31 - 12:32ผมไม่ใช่คนชอบเข้าสังคม
-
12:32 - 12:35มันไม่ใช่อะไรที่ผมภูมิใจ
-
12:35 - 12:36แต่มันก็เป็นส่วนหนึ่งของผม
-
12:36 - 12:39และสิ่งนึงที่ผมชอบมาก
เกี่ยวกับ Open Source ก็คือ -
12:39 - 12:45มันเปิดโอกาสให้คนที่แตกต่างกัน
สามารถมาทำงานร่วมกันได้ -
12:45 - 12:46เราไม่จำเป็นต้องชอบซึ่งกันและกัน--
-
12:46 - 12:49แถมบางครั้งเรายังไม่ชอบหน้ากันซะด้วยซ้ำ
-
12:49 - 12:52จริง ๆ--นะ
บางทีมันก็มีการโต้เถียงที่รุนแรงมาก ๆ -
12:52 - 12:55แต่คุณก็ยังได้เจอ จริง ๆ
คุณสามารถพบสิ่งนั้น-- -
12:56 - 12:59สิ่งที่คุณไม่ได้เห็นด้วย ว่าคุณไม่เห็นด้วย
-
12:59 - 13:02มันก็แค่ว่าคุณสนใจในสิ่งอื่น ๆ ต่างหาก
-
13:02 - 13:05เพราะฉะนั้น กลับมาที่ประเด็นที่ผมพูดไป
-
13:05 - 13:09ว่าผมห่วงเรื่องพวกบริษัทใหญ่ ๆ
จะมาหาผลประโยชน์จากงานของคุณ -
13:09 - 13:11ไม่นานนัก มันก็กลายเป็นว่า
-
13:12 - 13:14พวกคนจากบริษัทเหล่านั้น
เป็นคนที่ดี ดีมาก ๆ -
13:15 - 13:18และพวกเขาก็ทำในสิ่งที่ผมไม่สนใจจะทำซักนิด
-
13:18 - 13:20จนเขาประสบความสำเร็จในอีกรูปแบบนึง
-
13:20 - 13:26พวกเขาใช้ Open Source ในทางที่
ผมไม่ได้อยากจะเดินไป -
13:26 - 13:28แต่เพราะว่ามันคือ Open Source
พวกเขาเลยทำได้ -
13:28 - 13:30และมันก็ทำงานด้วยกันได้อย่างสวยงาม
-
13:30 - 13:32ซึ่งจริง ๆ ผมก็คิดว่า มันทำงานทั้งสองทางนะ
-
13:32 - 13:36คุณต้องมีทั้งพวกคนที่เข้ากับคนง่าย
คนที่เป็นนักสื่อสาร -
13:36 - 13:37คนที่อบอุ่นและน่าคบหา
-
13:37 - 13:39ใครชอบ--
-
13:39 - 13:40(เสียงหัวเราะ)
-
13:40 - 13:43คนที่อยากจะกอดคุณแน่น ๆ
แล้วพาคุณเข้าไปในสังคมใหม่ -
13:43 - 13:45แต่นั่นไม่ใช่ทุกคน
-
13:45 - 13:46และนั่นก็ไม่ใช่ผม
-
13:46 - 13:48ผมสนใจเทคโนโลยี
-
13:48 - 13:50มีคนที่สนใจเรื่อง User Interface
-
13:50 - 13:53แต่ผมน่ะให้ตายก็สร้าง UI ไม่ได้
-
13:53 - 13:56สมมตินะ ถ้าผมต้องติดอยู่บนเกาะร้าง
-
13:56 - 13:59แล้วทางออกเดียวของผมที่จะหนีไปได้
คือต้องสร้าง UI สวยๆมาหน่ึงอัน -
13:59 - 14:01ผมคงตายอยู่ที่นั่นแหละ
-
14:01 - 14:02(เสียงหัวเราะ)
-
14:02 - 14:04เพราะฉะนั้น สรุปคือมันมีคนหลายประเภท
-
14:04 - 14:07และผมก็ไม่ได้กำลังแก้ตัว
แต่ผมกำลังพยายามอธิบาย -
14:07 - 14:08คริส: ตอนที่เราคุยกันอาทิตย์ก่อน
-
14:08 - 14:11คุณพูดถึงงานชิ้นอื่น ๆ ที่คุณมี
-
14:11 - 14:13ซึ่งผมรู้สึกว่าน่าสนใจมาก
-
14:13 - 14:14แนวคิดที่เรียกว่า รสนิยม
-
14:14 - 14:16และผมก็มีรูปสองสามรูปตรงนี้
-
14:16 - 14:20ผมคิดว่านี่เป็นตัวอย่างของการ
ไม่ค่อยมีรสนิยมในการเขียนโค้ด -
14:20 - 14:23ส่วนอันนี้ คือการมีรสนิยมขึ้นมากหน่อย
-
14:23 - 14:25ซึ่งทุกคนคงจะเห็นได้ชัดเจน
-
14:25 - 14:27มันต่างกันยังไงครับ
-
14:29 - 14:30ลินุส: คืออันนี้เนี่ย--
-
14:30 - 14:33เอ่อ ในที่นี้มีใครเคยเขียนโปรแกรมมาบ้าง
-
14:34 - 14:35คริส: พระเจ้าช่วย
-
14:35 - 14:36ลินุส: ผมรับรองเลย
-
14:36 - 14:38ทุกคนที่ยกมือเมื่อสักครู่
-
14:38 - 14:41ทุกคนเคยทำสิ่งที่เรียกว่าSingly Linked List
(ลิสต์แบบทางเดียว) -
14:41 - 14:43และมันสอน--
-
14:43 - 14:47นี่ คือแบบแรกที่ไม่ค่อยมีรสนิยมนัก
-
14:47 - 14:51นี่คือสิ่งที่คุณถูกสอน
ตอนเริ่มเขียนโปรแกรมแรก ๆ -
14:51 - 14:53โดยที่คุณไม่ต้องเข้าใจโค้ดเลยก็ได้
-
14:53 - 14:55สิ่งที่น่าสนใจสำหรับผม
-
14:55 - 14:57คือตรงคำสั่ง If อันสุดท้าย
-
14:59 - 15:01เพราะสิ่งที่จะเกิดขึ้นใน
Singly Linked List คือ-- -
15:01 - 15:05คำสั่งนี้จะไปลบข้อมูลออกจากลิสต์--
-
15:05 - 15:09ซึ่งมันจะมีความแตกต่างกัน
ระหว่างเมื่อมันเป็นข้อมูลตัวแรก -
15:09 - 15:11กับเมื่อมันเป็นข้อมูลตรงกลาง ๆ
-
15:11 - 15:12เพราะถ้ามันเป็นข้อมูลตัวแรก
-
15:12 - 15:15คุณจะต้องเปลี่ยน Pointer (ตัวชี้)
ให้ไประบุที่ตัวแรก -
15:15 - 15:17แต่ถ้ามันอยู่ตรงกลาง
-
15:17 - 15:19คุณต้องเปลี่ยน Pointer ของตัวก่อนหน้า
-
15:19 - 15:21ดังนั้น มันเลยเป็นสองกรณีที่ต่างกันสุด ๆ
-
15:21 - 15:22คริส: นี่คืออันที่ดีกว่า
-
15:22 - 15:24ลินุส: นั่นคือดีกว่า
-
15:24 - 15:26มันไม่ต้องมีคำสั่ง If
-
15:27 - 15:29ซึ่งจริง ๆ มันไม่ได้มีผลอะไรเลย--
-
15:29 - 15:32ผมไม่ได้อยากให้คุณเข้าใจว่า
ทำไมมันไม่มีคำสั่ง If -
15:32 - 15:33แต่ผมอยากให้คุณเข้าใจว่า
-
15:33 - 15:36บางครั้งคุณก็สามารถมองปัญหาในอีกมุมหนึ่ง
-
15:36 - 15:39และเขียนมันขึ้นมาใหม่เพื่อให้เคสแปลกๆหายไป
-
15:39 - 15:41และกลายเป็นเคสปกติแทน
-
15:41 - 15:43ซึ่งนั่นคือโค้ดที่ดี
-
15:43 - 15:45แต่นี่คือโค้ดง่ายๆ
-
15:45 - 15:46นี่คือวิชาพื้นฐาน
-
15:46 - 15:49มันไม่ได้สำคัญอะไร--
ถึงแม้ว่ารายละเอียดจะเป็นเรื่องสำคัญ -
15:50 - 15:54สำหรับผม
ลักษณะของคนที่ผมอยากจะทำงานด้วย -
15:54 - 15:57คือเมื่อคนนั้นมีรสนิยมที่ดี
ซึ่งคือทำอย่างไร... -
15:57 - 15:59ผมส่งตัวอย่างง่าย ๆ นี่มาให้คุณ
-
15:59 - 16:01มันไม่ได้มีผลอะไรมาก เพราะมันเล็กเกินไป
-
16:02 - 16:04แต่การมีรสนิยมที่ดี มันยิ่งใหญ่กว่านั้นมาก
-
16:04 - 16:08การมีรสนิยมที่ดี คือการเห็นภาพรวมใหญ่
-
16:08 - 16:12แล้วก็เหมือนจะรู้โดยสัญชาตญาณ
ว่าต้องทำยังไงถึงจะดี -
16:12 - 16:15คริส: โอเค งั้นเราจะมาสรุปกัน
-
16:16 - 16:17คุณมีรสนิยม
-
16:18 - 16:20ในสิ่งที่มีความหมายต่อโปรแกรมเมอร์
-
16:20 - 16:22แล้วคุณก็--
-
16:22 - 16:23(เสียงหัวเราะ)
-
16:23 - 16:26ลินุส: ผมคิดว่า
มันมีความหมายต่อบางคนในที่นี้นะ -
16:28 - 16:31คริส: คุณเป็นนักเขียนโปรแกรมที่ฉลาดมาก ๆ
-
16:31 - 16:33และคุณก็หัวแข็งอย่าบอกใคร
-
16:34 - 16:35แต่มันก็ยังต้องมีอย่างอื่นอีกสิ
-
16:35 - 16:37คือ คุณได้เปลี่ยนอนาคตไปแล้ว
-
16:37 - 16:40คุณต้องมีความสามารถในการมองเห็นภาพ
อนาคตอันยิ่งใหญ่นี้สิ -
16:40 - 16:41เป็นคนยึดถือในวิสัยทัศน์
-
16:41 - 16:44สินุส: จริง ๆ แล้วผมค่อยข้างอึดอัด
ที่งาน TED นี่นะ -
16:44 - 16:46ตลอดสองวันที่ผ่านมาเลย
-
16:46 - 16:49เพราะว่ามันมีเรื่องของวิสัยทัศน์
เข้ามาเกี่ยวข้องกันเยอะ -
16:49 - 16:50แต่ผมไม่ใช่คนมีวิสัยทัศน์
-
16:50 - 16:53ผมไม่ได้มีแผนชีวิตห้าปีข้างหน้า
-
16:53 - 16:54ผมเป็นวิศวกร
-
16:54 - 16:55แล้วผมก็คิดว่าจริง ๆ นะ--
-
16:55 - 16:58เอาจริง ๆ เถอะ ผมมีความสุขดีกับทุกคน
-
16:58 - 17:00คนที่เดินมองก้อนเมฆไปเรื่อย ๆ
-
17:00 - 17:03หรือมองดาวบนฟ้า
และพูดว่า "ฉันอยากจะไปตรงนั้นจัง" -
17:03 - 17:05แต่ผมจะมองลงมาที่พื้น
-
17:05 - 17:08ผมอยากจะซ่อมหลุมที่อยู่ตรงหน้า
-
17:08 - 17:09ก่อนที่ผมจะตกลงไป
-
17:09 - 17:11นั่นคือคนแบบผม
-
17:11 - 17:12(เสียงเชียร์)
-
17:12 - 17:13(เสียงปรบมือ)
-
17:13 - 17:17คริส: คุณคุยกับผมเรื่องคนสองคน
เมื่ออาทิตย์ก่อน -
17:17 - 17:20พวกเขาเป็นใคร และเกี่ยวข้องกับคุณยังไง
-
17:20 - 17:24ลินุส: คือ มันก็เป็นเรื่องยอดฮิต
ในโลกเทคโนโลยี -
17:24 - 17:26เกี่ยวกับเทสล่า และเอดิสัน
-
17:26 - 17:31ในขณะที่เทสล่าถูกมองเป็นพวกเพ้อฝัน
เป็นคนที่มีความคิดหลุดโลก -
17:31 - 17:34แต่คนก็ยังรักเทสล่า
-
17:34 - 17:37คือก็ยังมีคนตั้งชื่อบริษัทตามเขาก็แล้วกัน
-
17:37 - 17:38(เสียงหัวเราะ)
-
17:39 - 17:42แต่ก็ยังมีเอดิสันอยู่อีกคน
-
17:42 - 17:46เขามักจะถูกมองว่าเป็นคนเรียบง่าย
-
17:46 - 17:47และนอกจากนี้--
-
17:47 - 17:50คำพูดที่โด่งดังที่สุดของเขาคือ
-
17:50 - 17:55"อัจฉริยะเกิดจากแรงบันดาลใจ 1%
และการออกแรงอีก 99%" -
17:55 - 17:57ซึ่งผมอยู่ทีมเอดิสันนะ
-
17:57 - 17:59และถึงแม้ว่าทุกคนจะไม่ได้ชอบเขาเท่าไหร่
-
17:59 - 18:02เพราะถ้าคุณจับสองคนนี้มาเทียบกัน
-
18:02 - 18:07เทสล่าเขาจะมีความเข้าใจในแนวคิด
แบบที่เราเป็นกันอยู่สมัยนี้ -
18:07 - 18:09แต่เอาจริง ๆ แล้ว ใครกันแน่ที่เปลี่ยนโลก
-
18:10 - 18:13เอดิสันอาจจะไม่ใช่คนน่าคบหา
-
18:13 - 18:16เขาทำหลาย ๆ อย่างที่มัน--
-
18:16 - 18:19เขาอาจจะไม่ใช่คนฉลาดหลักแหลมนัก
-
18:19 - 18:21ไม่ได้มีวิสัยทัศน์มากมาย
-
18:21 - 18:25แต่ผมคิดว่า
ผมจะออกไปทางแนวเอดิสันมากกว่าเทสล่า -
18:26 - 18:28คริส: หัวข้อ TED ของเราในอาทิตย์นี้
คือความฝัน-- -
18:28 - 18:29ก็คือ กล้าฝันให้ยิ่งใหญ่
-
18:30 - 18:31คุณนี่เหมือนจะตรงกันข้ามเลยนะ
-
18:31 - 18:33ลินุส: ผมพยายามจะกด ๆ มันลงมาหน่อย ใช่เลย
-
18:33 - 18:35คริส: เยี่ยมไปเลย
-
18:35 - 18:36(เสียงหัวเราะ)
-
18:36 - 18:37เราโอเค เราโอเคกับคุณ
-
18:39 - 18:42บริษัทอย่างกูเกิล หรืออีกหลาย ๆ บริษัท
-
18:42 - 18:44ทำเงินจากซอฟท์แวร์ของคุณหลายพันล้านดอลาร์
-
18:44 - 18:45นั่นทำให้คุณโมโหมั้ย
-
18:45 - 18:46ลินุส: ไม่นะครับ
-
18:46 - 18:49ไม่ มันไม่ได้ทำให้ผมอารมณ์เสีย
ด้วยเหตุผลหลาย ๆ อย่าง -
18:49 - 18:51อย่างหนึ่งก็คือ ผมยังโอเคอยู่นะ
-
18:51 - 18:52ผมกำลังไปได้สวยเลยล่ะ
-
18:53 - 18:55แต่อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ--
-
18:55 - 19:00ถ้าไม่ใช่เพราะ Open Source
และการปล่อยให้สิ่งต่าง ๆ เป็นอิสระไป -
19:00 - 19:02สินุกซ์ก็คงไม่ได้เป็นแบบที่เป็นทุกวันนี้
-
19:02 - 19:07และมันก็สร้างประสบการณ์ที่ผมไม่ได้ชอบนัก
อย่างการมาพูดในที่สาธารณะ -
19:07 - 19:09แต่ถึงกระนั้นมันก็เป็นประสบการณ์อย่างหนึ่ง
-
19:09 - 19:11เชื่อผมสิ
-
19:11 - 19:16เพราะฉะนั้น มันเลยมีหลาย ๆ อย่างที่
ทำให้ผมเป็นคนที่มีความสุขเอามาก ๆ -
19:16 - 19:19และทำให้ผมคิดว่า ผมตัดสินใจถูก
-
19:19 - 19:21คริส: งั้น สำหรับแนวคิด Open Source--
-
19:21 - 19:23ผมว่าเราจะจบที่ตรงนี้แหละ--
-
19:23 - 19:27คุณว่าแนวคิดเรื่อง Open Source
เป็นที่เข้าใจกันดีในโลกแล้ว -
19:27 - 19:30หรือมันยังมีหนทางให้ไปได้อีก
-
19:30 - 19:32มีอะไรให้มันทำได้อีกไหมครับ
-
19:33 - 19:35ลินุส: ผมก็ยังสองจิตสองใจนะตอนนี้
-
19:35 - 19:39ผมว่าสาเหตุหนึ่งที่ Open Source
ทำงานได้ดีกับโค้ดก็คือ -
19:40 - 19:42เพราะว่าท้ายที่สุดแล้ว
-
19:42 - 19:45โค้ดมันจะเป็นอะไรที่มีถูกมีผิดชัดเจน
-
19:45 - 19:49และมันมักจะมีวิธีที่ดีพอที่จะตัดสินได้ว่า
-
19:49 - 19:53นี่คือการทำอย่างถูกต้อง
หรือนี่คือการทำได้ไม่ดีนัก -
19:53 - 19:56โค้ดมันก็มีแค่ใช้ได้ กับใช้ไม่ได้
-
19:56 - 20:00นั่นแปลว่าจะไม่ค่อยมีการถกเถียงเกิดขึ้น
-
20:00 - 20:04แต่เราก็ยังมีเถียงกันอยู่ดี จริงไหมล่ะ
-
20:04 - 20:06ในขณะที่ในเรื่องอื่น--
-
20:06 - 20:10อย่างคนเคยพูดกันเรื่อง Open Politics
หรืออะไรแบบนั้น-- -
20:10 - 20:13ซึ่งมันก็ยากมากจริง ๆ ที่จะบอกว่า
-
20:13 - 20:16ใช่ คุณสามารถใช้หลักการเดียวกัน
ในเรื่องอื่นได้ -
20:17 - 20:22เพราะสีขาวและดำไม่ได้แค่เปลี่ยนเป็นเทา
-
20:22 - 20:24แต่ยังแปลงเป็นสีอื่น ๆ อีกด้วย
-
20:24 - 20:29เพราะฉะนั้น ชัดเจนเลยว่า Open Source
ในทางวิทยาศาสตร์กำลังกลับมา -
20:29 - 20:30วิทยาศาสตร์เคยอยู่ตรงนั้นมาก่อน
-
20:30 - 20:33และแล้ว
วิทยาศาสตร์ก็กลายเป็นเรื่องค่อนข้างจำกัดไป -
20:33 - 20:37ด้วยบทความราคาแพง และอีกหลาย ๆ เรื่องทำนองนั้น
-
20:37 - 20:41ซึ่ง Open Source ก็กำลังกลับมา
-
20:41 - 20:45ด้วยพวก arXiv หรือบทความวิจัยสาธารณะ
-
20:47 - 20:49วิกิพีเดียเองก็เปลี่ยนโลกไปเยอะ
-
20:49 - 20:51มันเลยมีตัวอย่างอื่น ๆ อยู่
-
20:51 - 20:52และผมเชื่อว่ายังตามมาอีกมาก
-
20:54 - 20:55คริส: แต่คุณก็ไม่ได้ยึดติดอะไร
-
20:55 - 20:57มันเลยไม่ใช่เรื่องที่คุณต้องมาตั้งชื่อมัน
-
20:57 - 20:58ลินุส: ไม่
-
20:58 - 20:59(เสียงหัวเราะ)
-
20:59 - 21:01มันขึ้นอยู่กับพวกคุณที่จะสร้างมัน จริงไหม
-
21:01 - 21:03คริส: ใช่เลย
-
21:03 - 21:04คุณลินุสครับ
-
21:04 - 21:06ขอบคุณสำหรับลินุกซ์
ขอบคุณสำหรับอินเทอร์เน็ต -
21:06 - 21:08ขอบคุณสำหรับมือถือแอนดรอยด์ทั้งหลาย
-
21:08 - 21:11ขอบคุณการมาเยือน TED
และเปิดเผยเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับตัวคุณ -
21:11 - 21:12ลินุส: ขอบคุณครับ
-
21:12 - 21:17(เสียงปรบมือ)
- Title:
- แนวคิดเบื้องหลังระบบปฏิบัติการลินุกซ์
- Speaker:
- ลินุส โตร์วัลดส์
- Description:
-
ลินุส โตร์วัลดส์ เปลี่ยนโฉมโลกเทคโนโลยีถึงสองครั้ง ครั้งแรกด้วยระบบ Linux ซึ่งช่วยในการทำงานของอินเตอร์เน็ต และครั้งที่สองกับ Git ระบบจัดการโค้ดที่ถูกใช้งานโดยนักพัฒนาทั่วโลก ในการสัมภาษณ์แสนพิเศษโดยคริส แอนเดอร์สัน ผู้ดูแล TED คุณโตร์วัลดส์จะมาพูดคุยอย่างเปิดอกถึงตัวตนที่ก่อให้เกิดแนวทางการทำงานที่ไม่เหมือนใคร การออกแบบต่างๆ และชีวิตของเขา "ผมไม่ใช่คนมีวิสัยทัศน์อะไร ผมเป็นวิศวกร" โตร์วัลดส์กล่าว "ผมมีความสุขมากกับคนที่เดินมองก้อนเมฆไปเรื่อยๆ ... แต่ผมจะมองลงมาที่พื้นดิน และผมก็อยากจะซ่อมหลุมที่อยู่ตรงหน้าให้เรียบร้อย ก่อนที่ผมจะตกลงไป"
- Video Language:
- English
- Team:
closed TED
- Project:
- TEDTalks
- Duration:
- 21:30
![]() |
Unnawut Leepaisalsuwanna approved Thai subtitles for The mind behind Linux | |
![]() |
Unnawut Leepaisalsuwanna edited Thai subtitles for The mind behind Linux | |
![]() |
Rawee Ma accepted Thai subtitles for The mind behind Linux | |
![]() |
Rawee Ma edited Thai subtitles for The mind behind Linux | |
![]() |
Rawee Ma declined Thai subtitles for The mind behind Linux | |
![]() |
Rawee Ma edited Thai subtitles for The mind behind Linux | |
![]() |
Patcharamai Tatiyavattanachai edited Thai subtitles for The mind behind Linux | |
![]() |
Patcharamai Tatiyavattanachai edited Thai subtitles for The mind behind Linux |